วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ในรอยบรรพ์ - ตอนที่ 2

บทที่ 2

บนระเบียงของเรือนแบบล้านนาหลังกลางเก่ากลางใหม่มีเถาเล็บมือนางเลื้อยพันจนแทบไม่เห็นราวไม้ดั้งเดิม ดอกที่เพิ่งแย้มผลิสีชมพูและดอกแก่สีแดงแซมใบเขียวแต่งแต้มสีสันให้เรือนหลังย่อมดูสดใส กระถางต้นไม้เลื้อยจำพวกเดฟและเดฟกระเป๋าที่แขวนตามชายคาสร้างความสดชื่นให้แก่ผู้อาศัยและผู้พบเห็น หญิงสาวร่างสูงเพรียวในชุดกางเกงยีนและเสื้อเชิ้ตสีเข้มดูทะมัดทะแมงทอดสายตาไปทางทุ่งนาที่อยู่ห่างออกไป ดวงตาคมเลื่อนลอยราวกับกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องที่ยากเกินความเข้าใจ

เหตุใดหนอ...เธอจึงรู้สึกเคยคุ้นกับที่แห่งนี้อย่างประหลาด รู้สึกตั้งแต่เลี้ยวรถวกเข้ามาถึงหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว ความคุ้นเคยกับสถานที่กับความเจ็บปวดรวดร้าวปะปนกันอยู่ในอกอย่างบอกไม่ถูก

บ้านหลังนี้เป็นเรือนขนาด 5 ห้องนอนและมีพื้นที่ใต้ถุนซึ่งถูกกั้นเป็นห้องครัวและห้องอาหาร และเป็นหนึ่งในบ้านสองสามหลังที่บริษัทรุ่งอรุณได้จัดการเช่าให้นักโบราณคดีและวิศวกรได้พำนักในระหว่างที่ต้องทำงานในจังหวัดที่ห่างไกลจากบ้านเกิด ไกลออกไปด้านหลังของไซต์ขุดมีบ้านพักคนงานเรียงรายอยู่ในดงกล้วยน้ำว้าที่ทั้งผลและลำต้นกลายมาเป็นอาหารอันโอชะของคนงาน และใบก็ได้กลายมาเป็นวัสดุสารพัดประโยชน์อยู่เรื่อยๆ

“คราวนี้งานใหญ่เลยนะ พี่เม่น คงจะไม่หมูอย่างที่ผ่านมา เปลี่ยนบริษัทรับเหมามาหลายรายแล้ว ไม่รู้มีปัญหาอะไร ต้องขอบายทุกที งานมันถึงได้รอดมาหาเจ้าเล็กๆ อย่างเราได้ไงล่ะพี่”

เสียงทุ้มๆ ดังออกมาก่อนที่เจ้าของร่างจะโผล่ตามมา ธีระวิทย์ หนุ่มผิวเข้มใบหน้าคร้ามคม ผู้ซึ่งเดินทางมาขลุกอยู่กับชาวบ้านแห่งนี้ล่วงหน้าเพื่อสำรวจแหล่งโบราณสถานและเตรียมการ เดินออกมาสมทบที่ระเบียงแล้วมองตามสายตาของมาธวี ‘เจ้านาย’ และ ‘รุ่นพี่’ ที่เขายิ่งกว่าเคารพรักพลางยิ้มนิดๆ กับท่าทางกระตือรือร้นของบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้า แม้ว่ามองจากภายนอกแล้ว เม่น หรือมาธวีจะดูอ้อนแอ้นโปร่งบาง หากไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเธอสามารถปกครองคนงานและพนักงานในบริษัทได้อย่างเฉียบขาดยิ่งนัก ออกจะมากกว่า ษมา รุ่นพี่หนุ่มของเขา เพื่อนรักเพื่อนเกลอของเจ้าหล่อนเสียอีกด้วยซ้ำ ดวงตาคมลึกเปี่ยมอำนาจแบบที่ใครเห็นก็ไม่กล้าแหยม ความเด็ดขาดในการแก้ปัญหาและครองใจคนที่ใครๆต่างก็ต้องยกนิ้วให้หญิงสาววัย 27 ปีคนนี้ ตัวเขาเองเคยเห็นมาธวีควงไม้หน้าสามชี้หน้าเฉ่งคนงานที่ดื้อแพ่งไม่ยอมทำงานมาแล้ว

“เอ็งไม่ทำเอ็งก็ไม่ต้องทำ ยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้มีคนอยากได้งานถมไป ลูกเมียอดตายก็ให้คนเขารู้กันว่าหัวหน้าครอบครัวมันขี้เกียจ”

แปลก...คนงานชายร่างบึกบึนกลับกริ่งเกรงร่างแบบบางอ้อนแอ้นของมาธวีกันทุกคน คงจะเพราะแววตาของเจ้าหล่อนกระมัง แต่หลังจากข้อขัดแย้งผ่านไป เธอก็มานั่งร่วมวงเหล้ากับคนงานคนนั้น พูดจาหยอกล้อหัวเราะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มิหนำซ้ำเมื่อมีโอกาสได้กลับบ้านทีไร เธอก็หอบเอาผลไม้ตากแห้งเช่น มะม่วงกวน หรือมะขามคลุกมาฝากคนงานและพนักงานในไซต์ด้วยเสมอๆ จนเป็นที่รักและเกรงใจของคนงานทั้งหญิงชายไปตาม ๆ กัน

ในช่วงเวลาปกติ มาธวีก็ดูเหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไป หากเมื่อไรที่เธอต้องทำงาน รังสีอำนาจแผ่ออกมาจากผู้หญิงธรรมดาๆคนนี้อย่างเห็นได้ชัด ช่วยไม่ได้ที่ใครเห็นก็จะต้องคร้ามเกรง ทั้งที่เธอยังไม่เคยใช้ความรุนแรงหรืออาวุธกับคนในปกครองเลยถ้าไม่จำเป็น

“อยากจะลงไปเดินดูไซต์ที่พวกผมเริ่มเคลียร์พื้นที่เอาไว้มั้ยพี่ วันจันทร์จะได้เริ่มงานกันเลย” ธีระวิทย์ถามด้วยความกระตือรือร้น “เพิ่งจะ 4 โมง ยังไม่มืดเลย ไม่ต้องรอไอ้สองตัวที่เหลือหรอกพี่ ป่านนี้เข้าไปจีบสาวที่ร้านไก่ปิ้งเจ๊หอมเพลินไปแล้ว”

“ไปก็ได้ เดี๋ยวขอไปหยิบเสื้อกันหนาวก่อน อากาศเริ่มเย็นแล้ว” มาธวีก้าวยาว ๆ กลับเข้าไปในห้อง แล้วเดินกลับมาในชั่วอึดใจ

“ดีพี่ จะได้กลับมาทันกินข้าวเย็น เดี๋ยวป้าแม้นที่นายแม่ของพี่อุตส่าห์ส่งมาเพื่อคุมความประพฤติ...เอ๊ย...ส่งมาช่วยดูแลเรื่องอาหารการกินจะน้อยใจเสียก่อน” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ อย่างไรเสียมาธวีก็เป็นลูกสาว ต่อให้คล่องตัวเพียงไหนหัวอกคนเป็นแม่ก็คงยากที่จะวางใจได้

“ไอ้ที น้อยๆ หน่อย เดี๋ยวแม่ก็บอกให้ป้าแม้นทำอาหารให้แค่พี่กับเจ้าสองตัวนั่น ส่วนนายน่ะ ทำกินเองก็แล้วกัน”

“อย่านะเจ๊เม่น ผมขอร้อง พี่จะตัดเงินเดือนผมก็ตัดไป จะมาตัดอาหารป้าแม้นจากชีวิตผมนี่ ยอมตายดีกว่า รสมือป้าแกนี่ยิ่งกว่าชาววังอีกพี่” ธีระวิทย์โอดครวญดังลั่น

มาธวีหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ไม่ใช่หรอก...ป้าแม้นไม่ได้มาที่นี่เพื่อช่วยเหลือด้านอาหารการกินอย่างเดียว เธอรู้อยู่แก่ใจว่ามารดาส่งป้าแม้นมาเพื่อช่วยสอดส่องดูแลและรายงานเรื่อง ‘ฝันร้าย’ ซ้ำๆ ซากๆ นั่นต่างหาก

“เออ...ให้มันรู้เสียมั่ง ใครเป็นใคร” หญิงสาวยืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ไซต์นี้ใครใหญ่ก็รู้ ๆ กันอยู่”

“คร้าบ...พี่สาวที่เคารพ พวกผมเคารพรักพี่อยู่แล้ว พี่ไม่ต้องลงทุนมาคุมงานที่นี่ด้วยตัวเองก็ได้ อยู่ทำงานออฟฟิศสบายๆ ที่โน่นดีกว่า พวกกระผมจะได้หายใจหายคอโล่งหน่อย” ธีระวิทย์พูดทีเล่นทีจริง เพราะทราบดีว่าลูกพี่สาวขยันขันแข็งและทุ่มเทกับงานขนาดไหน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านับแต่วันจันทร์นี้ไป การขุดค้นที่ไซต์นี้คงจะไม่ดำเนินไปเรื่อยๆด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเหมือนอย่างตอนที่พวกเขามาสำรวจเป็นแน่ ลอง ‘นายหญิง’ ลงสนามด้วยตัวเองอย่างนี้ ถ้าสปีดไม่ถึง 120 ธีระวิทย์ยอมเอาศีรษะเป็นประกัน

“พวกแกทำงานช้าเกินไป ไซต์นี้ใหญ่นะ เท่าที่กะไว้จากภาพถ่ายดาวเทียมกับการสำรวจก็น่าจะเป็นร้อยไร่ รัฐก็ซื้อที่เพิ่มมาได้เรื่อยๆแล้ว พี่อยากให้เราทำงานให้เห็นผลเร็วๆ การรอคอยนับพันปีจักได้สิ้นสุดลงเสียที” ประโยคสุดท้ายเบาหวิวและแผ่วโหย ตามมาด้วยอาการเหม่อลอยของหญิงสาว ชายหนุ่มรุ่นน้องมองหน้ารุ่นพี่สาวด้วยความงุนงง

“พี่เม่น พี่พูดว่าไงนะ”

“เปิดผืนธรณีให้เร็วที่สุด หากพลาดจากครั้งนี้จักต้องรอต่อไปไร้กำหนด อาจต้องรอจวบจนสิ้นพุทธกาล” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสงบนิ่งผิดจากเสียงมาธวีคนเดิม ที่ถึงแม้ว่าจะตะโกนโหวกเหวกไปบ้างในบางครั้งหากน้ำเสียงมักจะเปี่ยมด้วยอารมณ์ขันและแววอ่อนโยนเสมอ

“อะไรนะ” ความขี้เล่นช่างพูดหายไปจากตัวชายหนุ่มเป็นปลิดทิ้ง ธีระวิทย์อ้าปากค้างจ้องมองเจ้าของประโยคเขม็ง ร่างบอบบางนิ่งขึงไปครู่ใหญ่ ดวงหน้าละมุนสะบัดแรงๆ สองสามครั้ง

“อะไร...นายที ตะโกนอะไรโหวกเหวก หนวกหู”

“พี่เม่นนั่นแหละ พูดอะไร”

“พูดว่าอยากให้งานเสร็จเร็วๆ จะได้กลับบ้านเสียที”

“ไม่ใช่...เมื่อกี้พี่ไม่ได้พูดยังงี้นี่ พี่พูดว่าอะไรนะ จำไม่ได้...อะไรเกี่ยวกับเปิดผืนธรณี หรือพุทธกาลอะไรนี่แหละ”

“จะบ้าเรอะ ฉันนี่นะจะพูดอะไร ฝันกลางวันไปแล้วนายที” มาธวี ขมวดคิ้วแล้วมองหน้าธีระวิทย์อย่างไม่เชื่อถือชายหนุ่มมองตามรุ่นพี่สาวไปด้วยความงุนงงสุดขีด

“ใครฝันกันแน่วะ ผีเข้ากลางวันแสกๆหรือเปล่า บรื๋อ...พูดแล้วขนลุก”

.........................................................................................................................

เส้นทางจากตัวหมู่บ้านไปถึงทุ่งนา ซึ่งเป็นบริเวณที่สำรวจพบแหล่งโบราณสถานใต้ดินต้องผ่านทางเดินลูกรังแคบๆ และสวนลำไยหลายต่อหลายสวน ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาต่างรู้จักคณะสำรวจที่มาทำงานที่นี่เป็นอย่างดี สังเกตได้จากถ้อยคำทักทายทั้งหลาย

“อ้าว พ่อที...มากับหนุ่มที่ไหนล่ะนั่น น้องชายหรือนี่ หน้าตาหล่อเหลาเอาการ วันนี้ไม่ไปก๊งที่ร้านเจ๊หอมกับเพื่อนๆ เรอะ

“เอ่อ...วันนี้คงก๊งไม่ได้จ้ะ ต้องพาเจ้านายไปดูงานที่ไซต์ก่อน เอ่อ แล้วท่านผู้นี้ไม่ใช่หนุ่มนะป้า สาวแท้ๆ ชื่อพี่เม่นจ้ะ”

“อ้าว แม่คุณ เป็นผู้หญิงหรอกเรอะ เอ้อใช่...ผิวเนียน ตาคม ขนตางอนเช้งอย่างนี้ก็ต้องผู้หญิงสินะ ป้าเห็นใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ กางเกงตัวใหญ่ๆ ก็คิดว่าเป็นผู้ชาย ก็สาวๆ สมัยนี้นุ่งผ้ากันแค่คืบเดียวกันทั้งนั้นทั้งข้างบนข้างล่าง พอเห็นคนที่ไม่ตามแฟชั่นก็เลยเดาผิดไป โทษที”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ป้าไม่ใช่คนแรกที่ทักผิด แต่ต่อไปนี้ป้าคงเจอเม่นบ่อยๆล่ะค่ะ เพราะเม่นจะมาดูแลงานที่นี่อีกหลายเดือนเลย เดี๋ยวก็จำได้แม่น”

เมื่อเดินมาถึงสุดทางลูกรัง ต้นข่อยคู่ต้นใหญ่ตั้งตระหง่านราวกับบ่งบอกเขตประตูสู่มหานคร แมกไม้ร่มครึ้มสองข้างทางก็สิ้นสุดลงด้วย เหลือเพียงทุ่งนาโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศยามเย็นสงบเงียบ แสงแดดสีทองสาดฉาย ข้าวรวงทองชูช่อรับสายลมแผ่วๆ

“พี่เห็นเนินตรงโน้นไหม มันเป็นสันขึ้นมายาวมาก ชาวบ้านเรียกกันว่าสันนา ดูจากรูปถ่ายดาวเทียมแล้วผมสันนิษฐานว่ามันอาจจะเป็นกำแพงเมืองนะพี่ เพราะมันเป็นรูปวงรี แล้วเนินด้านโน้นอาจจะเป็นวิหารหรือสิ่งก่อสร้างอะไรสักอย่าง ทางการเพิ่งซื้อที่มาได้จากชาวบ้าน กรมศิลป์ฯ ยังไม่ได้สำรวจเลย”

“เขตราชฐานเก่าต่างหาก”

“หืม...พี่รู้ได้ไง” มาธวีกระพริบตาปริบๆ เพื่อไล่ความงุนงง

“ไม่รู้หรอก ใช้ความรู้สึกเฉยๆ เดี๋ยวขุดลงไปก็รู้”

“อื่ม ก็คงจะต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ถัดจากเนินนั่นไปมีสระน้ำด้วยพี่ มี 2 สระ สระแรกเล็กหน่อยอยู่ติดเนินดินนั่น อีกสระขนาดใหญ่กว่ามากอยู่ไกลออกไปทางทุ่งนาของชาวบ้าน เขาเรียกว่าบวกแสนควาย มีตำนานด้วยนะพี่ วันนั้นผมก็มึนๆ เลยจำไม่ค่อยได้ ไว้ค่อยไปถามชาวบ้านแถวนี้เอา”

เสียงเล่าเรื่องของธีระวิทย์หาได้ผ่านประสาทรับรู้ของมาธวีไม่ นักโบราณคดีสาวเดินไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย ภายในใจรู้สึกเหมือนช่องอกที่ว่างเบาโหวงกลับเต็มตื้น...คล้ายได้มาอยู่ในถิ่นที่คุ้นเคยอีกครั้ง ตั้งแต่เล็กจนโตมาทุกวันนี้ บ้านสวนที่นนทบุรีเป็นประดุจนิวาสถานมาตลอด หากลึกๆ ลงไป เธอรู้ดี...เธอกำลังรอคอย บางสิ่งบางอย่าง ใจของเธอร่ำร้องที่จะได้กลับไปยังถิ่นที่เธอจากมา หากเป็นที่ไหน....เธอไม่เคยรู้

“ลองไปดูหน่อยได้ไหม”

“ได้สิพี่ ระวังไมยราพหน่อยนะ มันมีหนาม”

“พี่ใส่รองเท้าผ้าใบ ไม่เป็นไรหรอก นายสิระวัง...ใส่รองเท้าแตะ” ว่าแล้วสาวห้าวก็ก้าวสวบๆ ตัดดงหญ้าไปทันที

พ้นจากเนินดินไปแล้ว ก็มาถึงสระน้ำขนาดย่อมที่มีวัชพืชขึ้นปกคลุมบริเวณริมฝั่งเป็นแห่งๆ ผืนน้ำไหวเป็นระลอกตามแรงลมสะท้อนแสงแดดสุดท้ายของวัน

“สระแห่งอุทยานหลวงกว้างใหญ่เหลือเพียงเท่านี้เองหรือ” ความรู้สึกภายในผลักดันให้มาธวีพูดประโยคที่ฟังหวนละห้อยจนแม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ แต่ธีระวิทย์เลิกใส่ใจไปแล้วด้วยคิดว่ารุ่นพี่สาวเดาสุ่มไปตามเรื่อง

“สระน้ำมันก็ตื้นเขินได้ตามกาลเวลาสิพี่ คนอาจจะถมที่ไปบ้าง หญ้าที่ตายๆไปก็กลายเป็นดินทับถมกันเป็น
นร้อยเป็นพันปีได้นี่นา ดีเลย มาแถวนี้ทั้งที ขอผมถ่ายรูปสถานที่หน่อยก็แล้วกัน วันก่อนลืมไป”

“ตามสบาย...เดี๋ยวพี่เดินไปดูด้านโน้นหน่อยนะ” ร่างสูงเพรียวก้าวยาวๆไปยังอีกฟากของสระโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของรุ่นน้อง หากธีระวิทย์ก็ปล่อยเลยตามเลยด้วยเห็นว่าลูกพี่น่าจะเอาตัวรอดเองได้อยู่แล้ว
ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ มาธวีเดินเลียบสระน้ำด้วยความรู้สึกตีบตันอยู่ในอกเ มื่อยามที่อยู่คนเดียวกระแสความรู้สึกในใจรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่านัก

เจ็บปวด...รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบคั้น...

ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเธอเดินอ้อมไปยังด้านหลังของสระน้ำ ใบหน้าละมุนหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาทางเดินที่หายไปในดงหญ้าสูงแค่เข่า ลมหนาวของจังหวัดในแถบภาคเหนือนั้นเย็นเอาเรื่อง หากไอเย็นที่วูบผ่านร่างเธอในขณะนี้กลับเย็นเยียบในรูปแบบที่ต่างออกไป เย็นจนขนลุกตั้งชันไปทั้งตัว มาธวีหันขวับไปตามทิศทางแห่งสายลมนั้นทันที และอาจจะเพราะอุปาทาน สิ่งที่เธอเห็นด้วยหางตาจึงเป็นเหมือนชายผ้านุ่งสตรีลวดลายวิจิตรไหวพลิ้วที่ลับหายไปในดงไม้ หายลับไปพร้อมเสียงหัวเราะแผ่วๆ

“ใครน่ะ” เจ๊ใหญ่แห่งบริษัทรุ่งอรุณ ตัดสินใจร้องเรียกออกไป หากสิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ...เงียบสนิทถึงขนาดที่เสียงลมก็หยุดหายไปชั่วขณะ

ความหวาดหวั่นแปลกๆ เข้ามาครอบครองจิตใจ หรือว่าสระแห่งนี้...จะเป็นสระน้ำที่เธอเห็นในความฝัน แม้ว่ารูปลักษณ์ของมันจะเปลี่ยนไปมากก็ตาม จริงอย่างที่แม่คาดเดาเอาไว้ ตั้งแต่มาถึงที่นี่...ฝันร้ายไม่เป็นเพียงฝันร้ายอีกต่อไป ความรู้สึกประหลาดและข้อเท็จจริงที่ผุดขึ้นในสมองและอุปาทานอีกมากมายร้อยแปดมันหลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดแม้กระทั่งในยามตื่น หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายจนใจทั้งดวงปวดร้าวไปหมด และเธอจะยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆได้อย่างไร

“โอ๊ย...ปล่อยทิ้งไว้ต้องเป็นบ้าตายแน่ๆ ”

มาธวีสบถและบ่นออกมาเบาๆ กลัวน่ะ...ยอมรับว่ากลัวอยู่ แต่จะให้วิ่งหนีหรือ...ไม่มีทาง สิ่งใดก็ตามที่ทำให้เธอหวาดหวั่น ขอให้รู้ไว้ มาธวีคนนี้ไม่เคยวิ่งหนีความเป็นจริง ดูอย่างความฝันที่ตามหลอกหลอนเธอนั่นสิ เธอยังทนมาได้ถึงยี่สิบกว่าปี แค่การเผชิญหน้ากับสิ่งเหนือธรรมชาติ...เธอไม่กลัวหรอก ดีเสียอีกจะได้รู้กันเสียทีว่าที่นี่คือสถานที่ที่เธอเห็นในความฝันจริงหรือไม่ จะได้ไม่ต้องมาทรมานกับความอยากรู้กึ่งกังวลอย่างนี้

หลังจากยืนวัดใจกันอึดใจใหญ่ ‘สิ่งนั้น’ ก็ไม่โผล่ออกมาให้พบเจอ และเธอก็ไม่อยากจะเดินเข้าไปหาเรื่องถึงในดงไม้ มาธวีจึงตัดสินใจลืมเรื่องที่เกิดขึ้นและทำในสิ่งที่ได้ตั้งใจไว้เช่นเดิม ดวงหน้าหวานละมุนเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ จวนค่ำแล้ว...หากเธอคงจะพอมีเวลาว่างระหว่างที่ธีระวิทย์กำลังตระเวนถ่ายรูปอีกสักครึ่งชั่วโมงสำหรับทำสิ่งที่เธอชื่นชอบเพื่อกำจัดความฟุ้งซ่าน ดวงตาคมลึกจ้องมองแสงสีที่สะท้อนจากแผ่นน้ำพลางแย้มริมฝีปากออกด้วยความพอใจในสิ่งที่เห็น ภาพทิวทัศน์ของทุ่งนาและสระน้ำในเขตชนบทถูกบันทึกด้วยกล้องดิจิตอลเอาไว้เพื่อนำไปประกอบการแต่งกลอนที่เธอมักจะนำเอาไปโพสต์ไว้ตามเวบบอร์ดต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นงานอดิเรกที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว หรือถ้าจะพูดให้ถูก...มันคืองานที่เธอพยายามใช้ดึงตัวเองออกจากความหวั่นไหวทั้งหลายทั้งมวลที่เกิดจากฝันร้ายเรื้อรังนั่นเอง

กล้องถ่ายรูปและกระเป๋าสะพายถูกทิ้งไว้โคนต้นไม้ ไดอารี่เล่มบางถูกเหน็บไว้กับกระเป๋าด้านในเสื้อแจ็คเก็ตสีหม่น สองมือเล็กหากแข็งแรงเหนี่ยวตัวขึ้นไปบนคบไม้และไต่ออกไปบนกิ่งก้านสาขาที่ยื่นออกไปบนพื้นน้ำอย่างคล่องแคล่วทันที

“คงจะไม่หักนะเนี่ย” หญิงสาวจัดการขย่มตัวเบาๆ ทดสอบความแข็งแรงของกิ่งไม้ ความหนาของมันทำให้เธอพอจะใจชื้นได้บ้างว่าคงจะรับน้ำหนักไม่ถึงครึ่งร้อยได้สบายๆ และเมื่อพบทำเลที่ดี เธอก็เริ่มจรดปลายดินสอลงบนหน้ากระดาษ แล้วร่างกลอนลงไปอย่างเพลิดเพลิน แต่ช่วยไม่ได้...บทกวีที่มากลั่นออกมาจากความรู้สึกก็พลอยอยู่ในอารมณ์หม่นเศร้าไปด้วย

ยามสิ้นแสงตะวัน
หัวใจพลันสิ้นแสงทองส่องวิถี
ฟากฟ้าไร้ดวงตาแห่งราตรี
ดาริการิบหรี่ดูอ่อนแรง...

ทิวทัศน์จากด้านบนน่าพิสมัยกว่าจากทางด้านล่าง อาจเป็นเพราะต้องเพิ่มความอุตสาหะในการปีนป่ายด้วยก็เป็นได้ ทุ่งนาผืนสีทองไหวระยับตามแรงลมที่ผัดพลิ้วผ่าน ต้นมะพร้าวและต้นตาลสูงชะลูดบ่งบอกถึงขอบเขตรอยต่อของบ้านสวนและทุ่งนา นกที่บินไปมาและส่งเสียงร้องเพลงกล่อมคนทำงานกลางแจ้งให้เพลิดเพลิน กลอนบทแล้วบทเล่าถูกเขียนลงไปในสมุดเล่มบางนั้น ใจที่จดจ่อสรรหาถ้อยคำมาเรียงร้อยให้คล้องจองเริ่มถอยห่างจากภวังค์และความรู้สึกหวาดหวั่นแบบแปลกๆ ที่ยึดพื้นที่ของจิตใจตั้งแต่ก้าวล่วงเข้ามาในบริเวณแห่งนี้ มาธวีปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปกับงานอดิเรกที่โปรดปราน จนกระทั่งธีระวิทย์ตะโกนโหวกเหวกออกมาจากอีกด้านของสระน้ำ

“เจ๊... ขึ้นไปทำอะไรบนนั้น ลงมาได้แล้ว กลับบ้านเหอะ ผมหิว”

“เออ...กลับก็ได้ แกอย่าตะโกนขึ้นมาทันทีทันใดแบบนี้ได้ไหมวะ พี่ตกใจหมดนะเว้ย ยิ่งกำลังอินๆ อยู่ด้วย ตกน้ำตกท่าไปจะทำยังไง” สาวที่ดูภายนอกห้าวเหลือใจตะโกนตอบเป็นเสียงบ่นยาวเหยียดทันควัน พลางเริ่มขยับตัวหมายไต่กลับเข้ามาที่คาคบไม้เพื่อที่จะกระโดดลงพื้นดินอย่างเช่นขามา

หากเพียงชั่วอึดใจที่เธอหันหลังกลับ เงาทะมึนของร่างสูงใหญ่ในชุดดำที่ยืนจ้องมองเธออยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจากมุมมืดใต้ต้นไม้ทำให้มาธวีสะดุ้งสุดตัว แม้ว่าจะบอกตัวเองว่าไม่กลัวการเผชิญหน้ากับสิ่งเหนือธรรมชาติหากเลือดในกายก็กลับเย็นเยียบดุจน้ำแข็งจนเผลอตัวปล่อยมือจากกิ่งไม้ด้านบน ร่างเพรียวตกลงไปในน้ำใสเย็นดังตูม และก่อนที่สายน้ำจะท่วมศีรษะและทุกอย่างจนมิดเธอยังมองเห็นดวงตาสีดำ...สนิท จนออกประกายม่วงแห่งร่างนั้น ความรู้สึกวูบในอกชัดเจนเสียจนสองขาอ่อนแรงเกินกว่าที่จะหยัดยืนได้
น้ำในสระบริเวณใต้ต้นไม้ลึกเพียงอก หากมาธวีก็ต้องอาศัยแรงในการตะเกียกตะกายเพื่อให้ยืนบนสองขาได้อย่างมั่นคง และคงจะทำได้ไม่สำเร็จถ้าไม่มีมือใหญ่แข็งแรงช่วยดึงร่างที่อ่อนปวกเปียกให้ยืนขึ้นตรงได้อีกครั้ง

“เป็นอะไร ทำไมจู่ๆ ก็กระโดดลงน้ำเล่น อากาศเย็นนะช่วงนี้” นักโบราณคดีสาวหันหน้าไปมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนห่างไปเพียงคืบ แล้วก็ถอนใจยาว ที่แท้เจ้าของร่างในชุดดำสูงใหญ่ที่ยืนตัวตรงแหนวจ้องมาจากใต้ต้นไม้ก็คือผู้ชายคนนี้นี่เอง ผู้ชายคนหนึ่งที่มีเลือดเนื้อ มีชีวิต...หาใช่สิ่งเหนือธรรมชาติอย่างที่เธอหวั่นเกรงไม่

“ฉัน....” มาธวีพูดไม่ออกเพราะฟันเริ่มกระทบกันดังกึกๆ แข้งขาก็หมดเรี่ยวแรงเอาดื้อๆ ท่อนแขนที่แข็งแรงนั้นจึงตวัดเธอไว้ในอ้อมกอดและลากเธอเข้าสู่ฝั่งโดยไม่รอคำตอบ หญิงสาวรู้สึกราวกับกระแสไฟฟ้าอ่อนๆแล่นผ่านร่างกายส่วนที่สัมผัสกับเรือนร่างแข็งแกร่งของคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเสียยิ่งกว่าเดิม

“อยู่บนดินดีๆ ไม่ชอบ ทำเป็นเท่ขึ้นไปนั่งบนต้นไม้ แล้วไง...พลาดตกลงมาเสียเอง” เสียงทุ้มที่บ่นติดๆ กันเป็นชุดนั้นทำให้หญิงสาวไม่สามารถระงับวาจาเผ็ดร้อนไว้ได้อีกต่อไป

“นี่คุณคะ ที่ฉันตกลงไปนั่นเพราะใครล่ะถ้าไม่ใช่เพราะคุณ เล่นใส่ชุดดำแล้วมายืนซุ่มเงียบๆใต้ต้นไม้แบบนั้นใครเห็นใครก็ต้องตกใจ ยิ่งเพิ่งจะเห็นผู้หญิงในชุดโบราณเดินลับหายไปด้านโน้นอยู่ด้วย” และเพราะประโยคสุดท้ายนั้นเอง เจ้าของร่างสูงใหญ่และนัยน์ตาสีดำสนิทจนออกประกายม่วงยกมือขึ้นจับต้นแขนเธอไว้ทันที

“ว่ายังไงนะ เห็นผู้หญิงงั้นเหรอ”

“ปล่อยได้แล้ว...” ไม่พูดเปล่า ร่างเปรียวสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนแข็งแรงนั้นด้วย แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจท่าทีของเธอ หากส่งคำถามออกมาด้วยความแปลกใจ

“ผมถามว่าคุณเห็นผู้หญิงในชุดโบราณงั้นเหรอ”

“ใช่ แล้วคุณจะอยากรู้ไปทำไม” มือเรียวบิดน้ำที่ปลายเสื้อตัวโคร่งจนน้ำไหลหยดเป็นทาง

“ก็ผมก็เดินตามผู้หญิงคนหนึ่งมาที่นี่แหละ พอมาถึงก็เห็นคุณนั่งอยู่บนกิ่งไม้ ผมเลยเดินเข้าไปดูใกล้ๆเผื่อว่าจะใช่ผู้หญิงคนนั้น แต่มองๆ ไปคุณก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าโบราณ ก็เลยคิดจะย่องกลับเงียบๆ ไม่อยากรบกวนเพราะเห็นว่ากำลังจดอะไรยิกๆ อยู่ แต่คุณก็หันกลับมาพอดี แล้วก็...ตูม...ตกน้ำไปแล้ว”

ร่างบางเริ่มห่อตัวด้วยความหนาว ฟังเริ่มกระทบกันดังกึกๆ ชายหนุ่มปริศนาจึงคว้าเอาเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่สีดำที่วางอยู่โคนต้นไม้มาคลุมให้และเรื่องที่สนทนาค้างเอาไว้ก็ถูกพับเก็บชั่วคราว

“เอ้า เอานี่ไปใส่ก่อน”

“จะดีเหรอ แล้วคุณจะใส่อะไรล่ะ” คราวนี้น้ำเสียงอ่อนลงมาก ดวงตาคมหวานกวาดขึ้นลงทั่วร่างกำยำที่บัดนี้อยู่ในเสื้อยืดแขนสั้นสีดำอีกเช่นกันเพียงตัวเดียว

“ที่ที่ผมเคยอยู่หนาวกว่านี้เยอะ แล้วผมก็เปียกน้ำแค่ไม่ถึงอกด้วยซ้ำ คุณน่ะสิ...เปียกทั้งตัวเลย” และเมื่อฝ่ายเสนอ เสนอให้ตรงๆ มาธวีกลับคว้าเสื้อเอาไว้โดยปราศจากท่าทีเกรงใจหรือขวยอายด้วยจริตสาว

“งั้นก็ดีแล้ว ขอบคุณนะคะ ฉันกำลังหนาวพอดี” หญิงสาวถอดเสื้อกันหนาวตัวที่โชกน้ำออกวางไว้บนพื้นหญ้าข้างตัวและสวมเสื้อตัวใหญ่โคร่งทับพลางติดกระดุมให้มิดชิด ก่อนที่จะหันหลังให้ ขยับตัวและถอดเอาเสื้อเชิ้ตตัวบางที่ชุ่มน้ำไม่ผิดกันออกมา ทำเอาคนแอบอมยิ้มกับท่าทีง่ายๆ สบายๆ แบบนั้น

“นี่คุณจะไม่เกรงใจผมหน่อยเหรอ ผู้ชายคนหนึ่งยังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้นะ”

“ฉันมั่นใจว่าถอดได้โดยที่ไม่น่าเกลียดแน่นอน แต่ถ้าจะกรุณาช่วยหันหลังให้หน่อยก็ดี” คนพูดพูดด้วยท่าทีไม่รู้สึกรู้สาอะไร จนอีกฝ่ายต้องถอนหายใจก่อนที่จะหันหลังให้ตามคำขอเป็นเชิงยอมแพ้ เสียงสวบสาบดังออกมาจากดงหญ้าข้างทาง แล้วร่างของธีระวิทย์ก็โผล่พรวดออกมาเมื่อมาธวีจัดการกับตัวเองจนเกือบจะเรียบร้อยดีแล้ว

“พี่เม่น...เป็นอะไรมากหรือเปล่า ผมอยู่ตรงโน้นเห็นพี่ตกน้ำพอดี” ชายหนุ่มรุ่นน้องกระหืดกระหอบวิ่งมาจากอีกด้านของสระน้ำขัดจังหวะบทสนทนาของทั้งคู่

“ไม่เป็นไร พลาดตกน้ำเฉยๆ คุณคนนี้เขามาช่วยเอาไว้” นิ้วบอบบางที่ไม่น่าจะเป็นมือของนักโบราณคดีกลัดกระดุมเม็ดสุดท้าย

“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยพี่ผมไว้... อ้าว คุณธนานี่เอง คิดว่าหนุ่มที่ไหน” ท้ายประโยคกลายเป็นคำอุทานอย่างแปลกใจ

“สวัสดีครับ คุณที นี่พาพี่สาวมาเดินเล่นหรือ” ดูน้ำเสียงช่างเป็นกันเองกับนักโบราณคดีหนุ่มอย่างเห็นได้ชัด

“เปล่าครับ นี่พี่เม่น มาธวี หัวหน้าผมเองน่ะครับ เขาจะมาเริ่มงานแล้ว ผมเลยพาเขามาเดินดูรอบๆสถานที่”

“อ๋อ...หัวหน้างานนี่เอง ผมชื่อธนาจากเอ็นพีเอชดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณมาธวี แต่ว่าตอนนี้กลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว เดี๋ยวเป็นปอดบวมไปล่ะแย่เลย จะค่ำแล้วนะเนี่ย เอ้า...อย่าลืมกระเป๋ากับกล้อง” ธนาส่งของของเธอมาให้ พลางออกคำสั่งเป็นชุดด้วยท่าทีของคนคุ้นเคยกับการจัดการและออกคำสั่ง แม้จะนึกหมั่นไส้เล็กน้อยแต่มาธวก็อดที่จะรู้สึกถึงความเป็นห่วงเป็นใยในน้ำเสียงนั้นไม่ได้ ดูทีหรือ...ขนาดของของเธอเขายังเป็นห่วง เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ดวงตาดำคมก็เบิกกว้าง เสียงอุทานด้วยความตกใจลอดออกมาจากริมฝีปากรูปสวยที่เริ่มสีจางลงด้วยความหนาวเย็นที่ร่างกายได้รับ

“ตายแล้ว ไดอารี่ของฉัน” ร่างบางวิ่งกลับไปยังริมสระน้ำ มองเห็นสมุดของเธอลอยอยู่ไม่ห่างจากฝั่งนัก

“โหย...ลูกรักของแม่ นายที...ช่วยลงไปเอาให้เจ๊หน่อยสิ”

“พี่เม่นครับ หนาวจะตาย น้ำก็เย็น พี่เปียกไปแล้ว ลงไปอีกรอบไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก กระผมยังตัวแห้งอยู่ยังไม่อยากจะเปียกครับ”

“อะไรกัน ซีเนียริตี้คืออะไรน่ะ รู้จักมั้ย...พี่เชื้อสั่ง เมินเฉยได้ยังไง”

“รู้พี่...แต่เราเลยวัยรับน้องมานานโขแล้วนะ อยู่ในโลกของความเป็นจริงหน่อย มันตกน้ำไปแล้ว ค่อยซื้อใหม่ก็ได้น่า เดี๋ยวผมซื้อให้สามเล่มเลยเอ้า”

“ที่เสียดายน่ะ ไม่ใช่สมุด...กลอนกับบทความของฉันทั้งนั้นนะที่สูญเสียไปนั่นนะ”

“ก็บอกแล้วว่าให้เขียนในคอมพิวเตอร์ เจ๊ก็ไม่ยอม บอกว่าไม่ได้อารมณ์ แล้วเป็นยังไงล่ะ...”

“นี่คุณธนา คุณช่วยฉันอีกรอบได้ไหมคะ ในฐานะที่คุณทำให้ฉันตกใจจนตกลงไปในน้ำ” เมื่อบังคับรุ่นน้องไม่ได้ หยิงสาวคนเดียวในที่แห่งนั้นจึงหันมาหาที่พึ่งอีกคนหนึ่ง ชายหนุ่มในชุดดำมองตอบดวงตาคมกล้าของสาวห้าวด้วยดวงตาที่แฝงเอารอยยิ้มเอาไว้เต็มเปี่ยม ผู้หญิงคนนี้กล้าขอร้องตรงๆ ให้เขาซึ่งเป็นเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับเธอช่วยเหลือโดยไม่มีชั้นเชิง

เขานิยมคนแบบนี้ และอยากให้ความช่วยเหลืออยู่หรอก เพียงแต่ว่า...

“เอ่อ...คือผมไม่ค่อยชอบน้ำเท่าไหร่ ยิ่งสระน้ำที่มีโคลนเลนอย่างนี้อีก เมื่อครู่นี้ผมตกใจมากไปหน่อยกลัวว่าคุณจะจมน้ำเลยถลารวดเดียวถึงตัวเลย”

เมื่อไม่มีใครช่วยเหลือและตัวเองก็ไม่อยากลงไปเปียกให้ต้องหนาวอีกรอบ มาธวีจึงได้แต่มองตามไดอารี่ที่ลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำห่างจากตลิ่งพอประมาณด้วยความเสียดาย

“ไปเถอะพี่ เดี๋ยวป้าแม้นรายงานพฤติกรรมให้นายแม่ฟังนะ ว่ามาถึงวันแรกก็กลับบ้านผิดเวลาแล้ว แถมยังซนจนตกน้ำตกท่าอีก ไปก่อนนะครับคุณธนา”

ชายหนุ่มยิ้มให้กับร่างสองร่างที่เดินลับตาไป หรือจะพูดให้ถูกก็คือชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่ากึ่งลากกึ่งจูงแม่สาวหน้าใสคนนั้นให้เดินตัดพงหญ้ากลับไปยังตัวหมู่บ้าน ฝ่ายหญิงยังแสดงอาการอิดออดไม่อยากกลับเพราะยังไม่ได้ของรักคืน หากต้านทานแรงของคนลากที่ถูกครอบงำด้วยความหิวไม่ได้

ธนาเหลือบมอง ‘ของรัก’ ของแม่สาวหน้าใสที่ลอยอยู่ในน้ำ ครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะหยิบเอากิ่งไม้ที่วางทิ้งอยู่ในพงหญ้าออกมาเขี่ยสมุดเล่มนั้นให้เข้ามาใกล้ฝั่ง หลังจากเขี่ยไปเขี่ยมาสักพักวัตถุนั้นก็ลอยเข้ามาในระยะที่แขนยาวๆ จะเอื้อมถึง นิ้วเรียวหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมาเปิดดู กระดาษด้านในเปียกชุ่มหากยังพออ่านออกว่าเจ้าของเขียนอะไรลงไปบ้าง ไม่เป็นไร...เขาจะเอาไปตากแห้งให้เจ้าหล่อนเอง และถ้ามีเวลาว่าง อาจจะแถมบริการคัดลอกใหม่ให้ด้วย

ในขณะที่กำลังจะหมุนตัวกลับ ชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นเสื้อเชิ้ตตัวบางชุ่มน้ำวางอยู่บนพื้นหญ้า นี่แม่ตัวดีคงจะหยิบกลับไปแค่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่โดยเผลอวางเสื้อตัวนี้ทิ้งไว้กระมัง ท่าทางจะต้องเอาไปซักให้แล้วตากให้แห้งพร้อมๆ กับสมุดไดอารี่เล่มนั้นเลยก็ได้ ริมฝีปากหยักได้รูปแย้มออกด้วยความขัน นี่ถ้าเป็นคนหลงตัวเองเสียหน่อยก็คงจะคิดว่าแม่สาวคนนั้นให้ท่าเขาเป็นแน่แท้ ไหนจะเปลี่ยนเสื้อต่อหน้าต่อตา ไหนจะทิ้งของเอาไว้ดูต่างหน้ามากมายขนาดนี้

‘เราได้เจอกันอีกแน่ มาธวี’ ธนาคิดอย่างครึ้มอกครึ้มใจ แม้ว่าเธอจะไม่ได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่แสดงออกถึงความเป็นหญิงอย่างชัดเจน หากร่างบางในอ้อมกอดยามที่เขาและเธออยู่ในน้ำนั้นช่างสร้างความรู้สึกวูบวาบแบบแปลกๆได้ดีเหลือเกิน

รอยยิ้มเจ้าเสน่ห์จุดประกายให้ใบหน้าได้รูปนั่นอีกครั้ง เมื่ออยู่ที่อังกฤษ ผู้หญิงส่วนมากที่รู้จักเขาได้มอบตำแหน่งพ่อมดเจ้าเสน่ห์ให้เขา ค่าที่เขาสามารถใช้คำพูดและท่าทีทำให้สาวๆ โอนอ่อนผ่อนตามได้อย่างง่ายดาย...นี่ก็คงจะถึงเวลานำเอาคุณสมบัตินั้นออกมาใช้อีกกระมัง ผู้หญิงคนนี้ท่าทางไม่เหมือนคนอื่นเสียด้วย ดูใส บริสุทธิ์ เป็นธรรมชาติแบบไม่ต้องปรุงสีเจือรส ห้าวหาญ และมีเอกลักษณ์ในตัวอย่างประหลาด เห็นทีจะต้องทำความรู้จักให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว

น่าสนใจ....แม่กวางน้อย หวังว่าเจ้าคงจะไม่ตื่นตระหนกหนีไปเสียก่อน บางที...เขาอาจจะไม่ได้ต้องการเพียงแค่เพื่อนแก้เหงาธรรมดาก็ได้ ใครจะรู้

ห่างออกไปในดงไม้...เสียงทอดถอนใจดังแว่วมา พร้อมเสียงรำพึงแผ่วเบา
‘คงช่วยได้เพียงแค่เร่งการณ์ให้พบกัน...หากมากกว่านั้น คงต้องแล้วแต่พรหมลิขิตและบุญทำกรรมแต่ง’

เสียงร้องระงมด้วยความทุกข์ทรมานดังขึ้นราวกับจะตอบรับคำพูดนั้น เพียงแต่ว่า...มันเป็นได้เพียงแค่เสียงเพรียก ที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้ยลยินมานานแสนนาน

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ไม่มีความคิดเห็น: