บทที่ 1
ม่านสีขาวบางเบาพลิ้วไหวเป็นระลอกก่อนที่จะปลิวตามแรงลมที่กรรโชกแรงจนบานหน้าต่างของบ้านเรือนไทยกลางสวนชานเมืองแทบจะหลุดจากตะขอที่เกี่ยวเอาไว้ ท้องฟ้าคืนขึ้นสิบห้าค่ำที่สมควรจะกระจ่างด้วยแสงจันทร์กลับมืดมิดด้วยกลุ่มเมฆหนาทึบ เสียงหรีดหริ่งเรไรที่เคยร้องระงมทั่วบ้านสวนเงียบสนิทราวกับจะหยุดรอ ‘บางสิ่งบางอย่าง’หากร่างที่นอนอยู่บนเตียงยังตกอยู่ในห้วงนิทราอย่างยากที่จะถอนตัวออกมาได้
“ไม่...เราไม่ไป ไม่ไปที่นั่นอีกแล้ว”
ริมฝีปากบางขยับเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะเปล่งเสียงออกมาแผ่วเบา คิ้วเรียวโก่งราวคันศรขมวดมุ่น เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดพราวบนหน้าผาก ดวงหน้างามละมุนเริ่มกระสับกระส่ายราวกับตกอยู่ในความทุกข์ทรมานใจอย่างแสนสาหัส
“ไม่...ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากเห็นอะไรทั้งนั้น” หยาดน้ำตาไหลซึมออกมาจากดวงตาคู่ที่ปิดสนิท จนหมอนที่รองรับศีรษะได้รูปเปียกน้ำเป็นดวงๆ มือเรียวบางและท่อนแขนเนียนยกขึ้นมาเพื่อไขว่คว้า หากสิ่งที่จับต้องได้คือความว่างเปล่า
“อย่า...อย่าทำนะ ศศลักษณา ไม่...ไม่” ร่างบางผลุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกรีดร้องออกมาดังลั่น ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นหอบหายใจถี่อย่างเหนื่อยอ่อน อีกครั้งแล้วหรือ...ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเธอมาตั้งแต่จำความได้
ลมฝนที่ตั้งเค้าเมื่อครู่หยุดไปทันควัน เมฆที่บดบังดวงจันทร์เริ่มจางหาย ดวงตาแห่งยามราตรีเริ่มสาดฉายแสงทองอีกครั้ง เสียงกุกกักดังขึ้นจากห้องข้างๆ และมาหยุดที่หน้าประตูห้อง เสียงเคาะประตูรัวถี่ดังขึ้น
“เม่น...เป็นอะไรหรือเปล่าลูก เปิดให้แม่เข้าไปหน่อยได้ไหม” น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน
“เม่นไม่เป็นอะไรหรอกค่ะแม่ แค่ฝันร้ายนิดหน่อยเหมือนเดิม แม่ไปนอนเถอะค่ะ” ‘มาธวี พิทักษ์ธรรม’ หญิงสาวเจ้าของห้องร้องบอกมารดาเชิงตัดบท หากอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ยอมง่ายๆ
“ขอแม่เข้าไปเถอะ แม่เป็นห่วง ช่วงนี้ฝันบ่อยเหลือเกินนี่เรา”
ร่างที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆลุกขึ้นจากเตียง ผ้าห่มแพรเนื้อบางเบาเลื่อนหลุด เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งที่อยู่ในชุดนอนแบบผู้ชาย องค์ประกอบอื่นเช่นผมซอยสั้นระต้นคอ ท่าทางคล่องแคล่วและผิวสีงาช้างเนียนละมุนยิ่งทำให้มองเผินๆ ราวกับเจ้าของร่างเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่ง ขัดกับคำพูดคำจาอ่อนหวานคะขาที่ส่งโต้ตอบกับมารดาอยู่เมื่อครู่เสียเหลือเกิน มาธวีเปิดสวิตซ์โคมไฟที่ทำมาจากหวายสานบนตั่งตัวเตี้ยๆที่วางอยู่ติดหัวเตียงพลางเดินไปยังประตูบานใหญ่ที่ลั่นดาลอยู่ ประตูหนาหนักถูกเปิดออกกว้าง ณ ที่นั้น ‘มัทนา’ หญิงวัยกลางคนในชุดนอนตัวยาวยืนอยู่ด้วยสีหน้ากังวล
“อาทิตย์นี้ฝันร้ายทุกวันเลยนะลูก แล้วอย่างนี้จะรับงานไกลบ้านได้หรือ แม่กลัวว่าเราจะไปทำให้ลูกน้องตื่นตกใจเสียเปล่าๆนะสิ” ผู้เป็นมารดาเป็นฝ่ายเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาด้วยความเป็นห่วง แล้วเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเตียงไม้ที่ปูด้วยฟูกและผ้าคลุมฝ้ายทอมือ พลางเพ่งพิศดวงหน้างามละมุนที่ปรากฏริ้วรอยอิดโรยของลูกสาวภายใต้ไฟสีเหลืองอำพัน
“ได้สิคะ...งานก็ส่วนงาน ความฝันก็ส่วนความฝัน เม่นไม่เอามาปะปนกันหรอก ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าเม่นจะไม่เคยไปไกลจากบ้าน”
เมื่อตั้งตัวติดหญิงสาวที่ดูอ่อนแอและหวั่นไหวไปกับความฝันก็กลายมาเป็นผู้มีบุคลิกแห่งความเป็นผู้นำที่ฉายชัดออกมาอีกครั้ง มัทนาถอนใจยาวก่อนที่จะลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน ใช่..ในฐานะนักโบราณคดี มาธวีต้องออกไปทำงานไกลบ้านไกลเมืองอยู่บ่อยครั้ง และเธอก็ควรจะคุ้นเคยกับหน้าที่การงานของบุตรีเสียที หากเธอไม่เคยลบล้างความกังวลใจออกไปได้ ยิ่งครั้งนี้...ความกังวลใจของเธอยิ่งทบทวี เนื่องเพราะอาการฝันร้ายของลูกสาวนั้น ยิ่งถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นตามวัย
ตั้งแต่สามีของเธอเสียชีวิตไป มาธวีก็ต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อดูแลทั้งตัวเองและมารดาตั้งแต่ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น มาบัดนี้เธอเติบโตเป็นหญิงที่ดูแกร่ง ฉลาด ทันคน และสามารถคุมคนงานในไซต์ขุดค้นทางโบราณคดีและบริหารงานด้านการจัดการของบริษัทที่เธอเป็นหุ้นส่วนอยู่ได้อย่างมั่นคงสง่างาม หากคนเป็นแม่เท่านั้นถึงจะรู้...รู้โดยที่เจ้าตัวไม่เคยปริปากบอก แม้ภายนอกมาธวีจะแกร่ง หากภายในใจนั้นลูกสาวของเธอเปราะบาง และต้องการคนที่จะเป็นที่พึ่งพิงได้เป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เมื่อเธอมีปัญหาที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ปัญหาที่ไม่มีใครแก้ไขได้แม้แต่จิตแพทย์....ความฝันที่ซ้ำๆกันทุกคืน
“ผมตรวจเช็คอาการลูกสาวคุณดูแล้วนะครับ แกก็ปกติดีทุกอย่าง ขอยอมรับว่าจนปัญญาจริงๆ” จิตแพทย์ชั้นนำของประเทศที่เธอตัดสินใจพาลูกสาวเข้าพบให้ข้อสรุป และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอพึ่งพิงการรักษาทางด้านวิทยาศาสตร์
“แต่ดิฉันว่าไม่ธรรมดาแน่ๆ ค่ะ ใครที่ไหน จะฝันซ้ำ ๆ ถึงสถานที่เดียว หรือคนกลุ่มเดียวได้แทบทุกคืน” มัทนาแย้งเสียงอ่อนด้วยความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ การที่ต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ในคราเดียว และยังต้องดูแลบ้านสวนและกิจการค้าต้นไม้อีกนั้น ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย
“คุณมัทเคยพาหนูเม่นไปเที่ยวตามสถานที่ที่ทำให้แกเก็บภาพมาฝังจำในอนุสติส่วนลึกหรือเปล่า อย่างเช่นโบราณสถาน หรือว่าภาพยนตร์เรื่องที่ใช้รุนแรง”
“ไม่เคยแน่ค่ะ” ผู้เป็นแม่ยืนยันมั่นเหมาะ นายแพทย์วัยกลางคนถอนใจยาว
“ผมรู้ว่าในฐานะที่ผมเป็นบุคคลที่ทำงานในสาขาที่เชื่อในเหตุและผลที่พิสูจน์ได้ ผมไม่ควรจะแนะนำในสิ่งที่ผมกำลังจะแนะนำต่อไปนี้ แต่ในฐานะที่ผมรักษาหนูเม่นมาแต่เล็กแต่น้อยจนเห็นแกเป็นเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง ก็คงจะขอพูดในฐานะคนรู้จักก็แล้วกัน ผมว่า...คุณมัทน่าจะพาหนูเม่นเข้าวัดปฏิบัติธรรมดูนะครับ บางทีอาจจะช่วยได้ อย่างน้อยก็ทำให้จิตใจสงบ และมีสติถึงพร้อม สามารถบังคับจิตใจของตัวเองได้”
ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า...มัทนาพาลูกสาวเข้าวัดปฏิบัติธรรมตั้งแต่มาธวียังไม่ใช้คำนำหน้าว่านางสาว หากฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนยังไม่ลางเลือนไป สิ่งที่มาธวีเคยเห็นเป็นห้วงๆ เริ่มปรากฏเป็นเรื่องราวที่ชัดเจนยิ่งขึ้น จากเดิมที่มีแต่ความมืด ภาพอันลางเลือน และเสียงปริศนา ก็กลับกลายมาเป็นภาพที่ต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลา การเข้าหาธรรมะไม่ได้ทำให้ฝันเหล่านั้นหายไป แต่สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาจากการปฏิบัติธรรมก็เห็นจะเป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความฝันที่กดดันจิตใจโดยไม่ทรมานมากจนเกินไป
“วันนี้เม่นเห็นอะไรจ๊ะลูก” มัทนาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เพราะที่ผ่านมามาธวีมักจะฝันถึงเหตุการณ์เดิมซ้ำซากไปมา
บางครั้งเธอฝันถึงกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบที่เชือดคอตัวเองจนเลือดกระฉูดเกิดเป็นกลิ่นคาวคละคลุ้งและเสียงเรียกร้องขอความช่วยเหลือระงม เลือดแดงฉายสาดกระเซ็นบนเส้นหญ้ารอบ ๆ ตัวเธอ ดวงตาของซากศพที่ศีรษะเกือบขาดเหล่านั้นเหลือกถลนเป็นภาพอันติดตา
บางครั้งเธอฝันเห็นผู้คนป่วยล้มตายในสภาพที่ทรมานแสนสาหัสที่คนเป็นก็ดูไม่ต่างอะไรไปจากซากศพ ผู้คนผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูก ใบหน้าซีดจนเขียว ดวงตาฉายแววเจ็บปวดแสนสาหัส
และบางครั้งเธอก็ฝันว่าเห็นสายน้ำหลากวนทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าและดึงเธอให้จมลงสู่ความว่างเปล่าเบื้องล่าง อึดอัด ทรมาน หาที่เปรียบไม่ได้
หากวันนี้ความฝันผิดแผกออกไป หรือนี่จะเป็นต้นเหตุแห่งเรื่องทั้งปวง...
“เม่นเห็นผู้หญิงค่ะ ผู้หญิงคนที่เม่นเคยเล่าให้แม่ฟังว่าเคยพาเม่นเข้าไปในเมืองแห่งหนึ่ง เป็นเมืองที่สร้างด้วยอิฐดินเผา แต่ตัวเสา คาน และฝาผนังของสิ่งก่อสร้างบางที่เป็นไม้ สวยแปลกตา ไม่เหมือนศิลปะแบบที่เม่นเคยเรียนมาเลยสักที่ แต่ดูลักษณะสิ่งก่อสร้างแล้วน่าจะเป็นเมืองอยู่ทางเหนือนะคะ เม่นเดินตามผู้หญิงคนนั้นเข้าไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เม่นฝัน เม่นก็เดินลึกเข้าไปทุกทีๆ จนกระทั่ง...เมื่อครู่นี้เอง ผู้หญิงคนนั้นเขาพาเม่นเดินลึกเข้าไปในสวนด้านหลัง กว้างขวางสวยงามมาก เต็มไปด้วยดอกไม้หอมสีขาว ที่ศาลาไม้ที่มีเสาโคมแกะสลักเป็นรูปนกหรือหงส์นี่แหละ มีที่นั่งยาวเหยียด มีกลองวางตั้งเป็นแถวเป็นแนว แล้วก็มีเสียงกระซิบบอกเม่นว่าที่เห็นอยู่นั้นคืออุทยานหลวง”
“แล้วเม่นเคยคุยกับผู้หญิงคนนั้นบ้างไหมลูก” มัทนาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง กึ่งใคร่ครวญ
“ไม่เคยค่ะ เม่นพยายามลองคุยด้วยหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่ยอมพูดด้วย”
ผู้เป็นมารดาทอดถอนใจ เธอเคยคิดจะพาลูกสาวเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเข้ารับการรักษาโดยใช้การสะกดจิตระลึกชาติหรือที่เรียกว่า ‘Reincarnation Therapy’ เพื่อหาสาเหตุที่มาที่ไปของความฝันอันแปลกประหลาดนั้น แต่ก็เป็นฝ่ายลูกสาวเองนั่นแหละที่ปฏิเสธอย่างแข็งขัน
‘ไม่เอานะ เม่นไม่ลองหรอก รู้ไปก็เท่านั้น ที่เราเป็นอย่างทุกวันนี้ก็เพราะมีสาเหตุ รู้ไปเม่นก็แก้เรื่องราวที่ผ่านมานานแล้วไม่ได้หรอกค่ะ’
จะทำอย่างไรได้นอกจากปล่อยให้เลยตามเลย สิ่งที่เธอทำได้ก็คือคอยให้กำลังใจในยามที่ลูกสาวตื่นกลัว และคอยทำทุกอย่างเพื่อให้มาธวีรู้สึกสบายใจในยามตื่น อย่างน้อยลูกสาวของเธอก็จะได้มีความสุขในขณะหนึ่ง เธอตัดสินใจที่จะ ‘ปล่อยวาง’ กับอาการที่ไม่ปกตินี้
เสียงเล่าถึงความฝันของลูกสาวเรียกให้มัทนาหันมาตั้งใจฟังอีกครั้ง
“เม่นเดินไปที่ริมสระแล้วเม่นก็เห็นเขากำลังนั่งเรือออกไปกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แต่งตัวคล้ายกัน เม่นมองไม่เห็นหน้าเพราะเขาหันหลังให้เม่น แต่เขาเรียกผู้หญิงคนแรกที่เดินนำเม่นเข้าไปในเมืองลึกลับว่า...ศศลักษณา ”
มัทนา นิ่งอึ้งไปกับเรื่องราวที่ได้ยิน ส่วนมาธวีก็เล่าเรื่องราวต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“แล้วศศลักษณา ก็เรียกผู้หญิงอีกคนว่าพิมลพักตรา” ตัวคนเล่าเองก็รู้สึกสะดุดหูกับชื่อนั้นอีกครั้ง ‘พิมลพักตรา’ เหตุใดหนอ...เธอจึงรู้สึกเหมือนเคยคุ้นกับชื่อนี้อย่างบอกไม่ถูก หากหญิงสาวก็ตัดใจ และเล่าความฝันให้มารดาฟังต่อไป
“เม่นเป็นเหมือนผู้สังเกตการณ์คนหนึ่ง สองคนนั้นทำท่าเหมือนเม่นเป็นอากาศธาตุ ศศลักษณาเขา...เริ่ม ก่นด่าพิมลพักตราอยู่ฝ่ายเดียว แล้วเป็นไงมาไงไม่ทราบ จู่ๆ เขาก็คว่ำเรือไปเสียอย่างนั้น ตัวเขาเองคงจะว่ายน้ำเป็นหรอกค่ะ ส่วนพิมลพักตรากลับจมน้ำลงไป แล้ว....” ท้ายประโยคเสียงขาดหายไปด้วยความรู้สึกแปลกๆที่เอ่อท้นขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ “แล้ว...ก็ไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย”
เสียงแหบแห้งของมารดาขัดจังหวะการเล่าเรื่องของมาธวี
“เม่น...เม่นคิดว่าที่เม่นเคยฝันว่าเม่นโดนสายน้ำดึงลงไปเรื่อยๆ ทรมาน หายใจไม่ออกนี่...มันมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้หรือเปล่าลูก”
“เม่นไม่รู้ค่ะแม่ เม่นไม่รู้จริงๆ” มาธวีรู้สึกราวกับน้ำตาจะรินไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้
“ยิ่งเม่นบอกว่าเมืองที่เห็นมีลักษณะศิลปะค่อนไปทางเหนือ แม่ก็ยิ่งไม่อยากให้เม่นขึ้นไปทำงานที่นั่นเลย...แม่สังหรณ์ใจว่าถ้าเม่นไป อาการฝันร้ายของเม่นอาจจะแย่ยิ่งกว่าเดิม หรือไม่มันก็จะไม่เป็นแค่ฝันอีกต่อไปน่ะสิลูก”
“ก็ดีสิคะแม่...เม่นรอมานานแล้ว รอเวลาที่เรื่องราวทุกอย่างจะเปิดเผยเสียที” ดวงตาของมาธวีเปล่งประกายประหลาด “เม่นรู้สึกว่า เวลาที่เม่นรอคอย กำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้แล้วค่ะ”
.
.
.
ห่างออกไปอีกซีกโลกหนึ่ง ชายหนุ่มร่างสูงผมดำหากใบหน้างดงามไร้ที่ติยิ่งกว่าสตรี ในชุดเสื้อไหมพรมตัวหนาและกางเกงยีนสีเข้มนอนเอนอยู่บนโซฟาตัวยาว และกำลังตกอยู่ในห้วงนิทรารมณ์ไม่ต่างอะไรกับคนในแดนมาตุภูมินักแม้ว่าดวงตะวันภายนอกหน้าต่างจะยังขึ้นสูงตรงศีรษะให้ความสว่างแก่มหานครแห่งสหราชอาณาจักร ใบหน้าขาวจัดขยับส่ายไปมาเล็กน้อย เหงื่อไหลซึมตามไรผมทั้งที่อากาศภายในห้องยังต่ำกว่ากว่ายี่สิบองศาเซลเซียสเสียด้วยซ้ำ เปลือกตาทั้งคู่ไหวระริกราวกับเจ้าตัวตกอยู่ในห้วงฝันอย่างล้ำลึกยากจะถอนอนจิตออกมาได้ หากเสียงดนตรีที่แผดขึ้นดังลั่นจากเครื่องเสียงที่อยู่ห่างออกไปอีกมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่นกลับทำให้ดวงตาสีดำสนิทจนดูเหมือนมีประกายสีม่วงแวววาวอยู่ในนั้นปรือขึ้น ก่อนที่ร่างสูงแข็งแกร่งจะผลุดลุกขึ้นและคว้าเอาหมอนใบใหญ่โยนลงไปบน ‘ตัวการ’ ที่สร้างเสียงรบกวนอย่างแม่นยำ
“นี่ แอนดรูว์ ฉันบอกให้แกเงียบๆ หาของกินเล่นไปก่อน ขอนอนพักสักงีบ เมื่อคืนนั่งอ่านรายงานที่เขาส่งมา กว่าจะได้หลับก็เกือบเช้าแล้ว รอให้ฉันตื่นค่อยคุยเรื่องงานกัน ไม่ได้บอกให้จู่ๆ ก็มาเปิดเพลงปลุกอย่างนี้ เกรงใจเจ้าของแฟลตบ้างสิวะ”
น้ำเสียงห้าวมีร่องรอยฉุนจัด มือแข็งแรงข้างหนึ่งยังถือหมอนอิงอีกใบเอาไว้เป็นอาวุธ เหงื่อเม็ดเล็กๆ เกาะเต็มหน้าผากได้รูป คิ้วหนาหากโก่งได้รูปโดยไม่ต้องอาศัยมีดโกนขมวดมุ่นราวกับคนที่ ‘อารมณ์ค้าง’ กับบางสิ่งบางอย่าง ทำให้แอนดรูว์หนุ่มเมืองผู้ดีผู้ก่อเสียงรบกวนในครั้งนี้ยิ้มเก้อๆ ก่อนที่จะรีบเอ่ยคำขอโทษออกไปด้วยกลัวว่า คนที่กำลังหัวเสียอยู่ตรงหน้าจะอาละวาดยกใหญ่ให้ต้องเสียเวลาทำงานทำการ จะเสี่ยงได้อย่างไรล่ะ...เพื่อนเขาคนนี้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเคียงบ่าเคียงไหล่ในการทำงานมาตั้งแต่พวกเขายังเปิดบริษัทเล็กๆ ไม่เป็นที่รู้จักเสียด้วยซ้ำ เกิดหงุดหงิดพาลพาโลไม่ยอมทำงานขึ้นมา ภาระหนักก็คงจะตกที่เขาคนเดียว
และเพราะเขารู้ดีอีกเช่นกัน....ในยามเล่น โทนี่ หรือ ธนา จิตราพิสุทธิ์ อาจจะช่างหยอกล้อ และเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันไม่ต่างอะไรจากหนุ่มอารมณ์ดีคนหนึ่ง หากยามเอาจริงเอาจัง โทนี่ ก็ไม่เคยอ่อนข้อให้ใคร และก็ไม่มีใครในบริษัทกล้าทำให้เขาอารมณ์เสีย เห็นหน้าสวยราวกับรูปสลักของเทวดาแห่งตะวันออกอย่างนั้นก็เถิด เวลาโมโหขึ้นมานั้นไม่มีใครบังอาจต้านแรงพายุและรังสีอารมณ์ของชายหนุ่มวัยเพิ่งจะขึ้นเลขสามตรงหน้าได้เลยสักครั้ง
“ขอโทษ ๆ ๆ ก็แหม...ไม่ได้ตั้งใจ เห็นแกส่ายหน้าไปมาบ่นอะไรพึมพำ ฉันก็คิดว่าตื่นแล้ว ตกลงแกฝันร้ายอีกแล้วเหรอ” ร่างสูงชะงักไปก่อนที่จะตอบออกมาช้าๆ ชัดๆ
“อื่ม...ใช่ ฝันเหมือนเดิมนั่นแหละ แปลกมาก ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย เพิ่งจะเป็นตอนมาเปิดบริษัทกับแก” คนที่ถูกปลุกกลางคันบ่นออกมาเบาๆ
“ไม่ถูกโรคกับโบราณคดีล่ะสิ” แอนดรูว์เริ่มแหย่เมื่อรู้สึกว่าคนที่พูดด้วยไม่ได้โมโหโกรธาอย่างที่คิด “นายทำงานบริษัททัวร์มาตั้งนานไม่เห็นเป็นไร พอย้ายมาร่วมทำงานกับฉันก็เกิดอาการเลย ถ้าคิดจะถอนหุ้นออกจากเอ็นพีเอชดี ก็รีบบอกนะ มีคนรอเสียบอีกเพียบ บริษัทเรากำลังขาขึ้นพอดี”
หนุ่มผมสีน้ำตาลตาสีเขียวเพื่อนรักของธนาเอ่ยถึงบริษัท National Pride Heritage Development Co. Ltd ซึ่งเป็นบริษัทที่รับอนุรักษ์และจัดการพัฒนาแหล่งโบราณสถานให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง โดยใช้หลักทางการท่องเที่ยวและการบริหารจัดการมาช่วยดำเนินงาน ถ้าหากใช้บริการของ เอ็นพีเอชดีแล้ว ผู้ว่าจ้างไม่ต้องกระดิกตัวทำอะไรมากมาย นอกจากส่งคนมารับช่วงทำงานที่พวกเขาวางรากฐานเอาไว้ให้อย่างมั่นคงเพียงเท่านั้นเอง
“จะบ้าหรือไง ก็บอกแล้วว่าฉันรักงานนี้จะตาย” ธนารำพึงออกมาเบาๆ “ที่ไม่ดีก็คือ ตั้งแต่มายุ่งกับเรื่องของเก่าๆ นี่ ฉันเริ่มฝันถึงผู้หญิงคนเดิมแทบทุกวันเลยมากกว่า”
“ใคร สวยไหม...สาวยุคสำริดหรือเปล่า เขาตามแกมาจากที่ไซต์มั้ง” แอนดรูว์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว
“ไม่ใช่ว่ะ ฉันว่าเขาดูเหมือนผู้หญิงตะวันออกนะ เครื่องแต่งกายแปลกมาก ไม่เหมือนที่เคยเห็นมาก่อน”
อาการคนพูดเริ่มเลื่อนลอย “ดูคุ้นๆ หน้าอย่างบอกไม่ถูกด้วย ในฝัน...เขาชอบมาพาฉันไปเที่ยวในเมืองอะไรก็ไม่รู้ สวยมาก ศิลปะแบบแปลกตา ฐานเป็นอิฐแต่ผนังเป็นไม้ เสาแต่ละเสานี่แขนคนโอบไม่รอบ สวยจริงๆ เห็นแล้วอยากขุดขึ้นมาพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชะมัด เสียดาย...ถ้าทำจากไม้จริงป่านนี้ก็คงจะไม่เหลือซากเสียแล้ว”
“ฝันซ้ำๆ กันทุกวันเลยเหรอ”
“เกือบทุกวัน เมื่อครู่นี้ก็ยังฝันอยู่เลย แต่ความฝันค่อยๆ มีเนื้อหาและรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทุกครั้ง” ธนากดนิ้วแรงๆ ตรงหว่างคิ้วเพื่อลดอาการตึงเขม็งลง “วันนี้ฝันว่าผู้หญิงคนนั้นพาไปที่สวนดอกไม้กว้างใหญ่ ตกแต่งสวยงาม เดินอยู่ดีๆ เขาก็เดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็กระซิบบอกว่าใกล้ถึงเวลาเต็มทีแล้ว ฉันต้องไปปฏิบัติภารกิจกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วเขาก็หายตัวไป ทิ้งให้ฉันยืนเคว้งอยู่คนเดียว สักพักก็เห็นผู้หญิงสองคนออกมาเก็บดอกไม้ในสวน ดูท่าทางจะเป็นเพื่อนรักกัน และหนึ่งในนั้นก็คือคนที่มาพาฉันเข้าไปในเมืองนั้นแหละ เพียงแต่ว่าดูอ่อนวัยกว่าที่เคยเห็นมาทุกครั้ง เธอเป็นผู้หญิงสวย สวยมาก...สวยจนใครๆ ที่ได้มองต้องหยุดสายตาไว้ที่เธอ”
“เหมือนในหนังไม่มีผิด แล้วแกทำยังไงต่อไป” แอนดรูว์ซักถามอย่างสนใจ
“.........”
ธนาตอบคำถามด้วยแววตาเลื่อนลอย และถึงแม้จะไม่มีคำตอบเปล่งออกมา เจ้าตัวกลับย้อนไปครุ่นคิดถึงสิ่งที่เห็นในห้วงฝัน เขาจ้องมองภาพนางทั้งสองอยู่สักพักสิ่งที่เห็นตรงหน้าก็จางหายไป โลกทั้งโลกดุจหมุนคว้างก่อนที่เขาจะกลับไปยืนเคว้งอยู่ในห้องกว้างขวางตกแต่งด้วยลายปูนปั้นและไม้สลักงามวิจิตร หญิงงามที่เขาเห็นจนเจนตาผู้นั้นหมอบอยู่ปลายห้องอีกด้านแต่ก็ยังไม่ไกลพอที่จะพรางสายตาอิจฉา ริษยา อาฆาตที่เปล่งออกมาจากแววตาเอาไว้ได้ สตรีเจ้าของร่างบอบบางอีกคนที่เขาเคยเห็นว่ายืนเก็บดอกไม้ในสวนกำลังหมอบกราบอยู่แทบเท้าบุรุษผู้หนึ่ง บุรุษร่างกำยำแบบนักรบในเครื่องทรงและผ้านุ่งปักดิ้นเงินและทองเป็นลวดลายอ่อนช้อยงามวิจิตรเกินกว่าที่จะเป็นเครื่องแต่งกายของสามัญชน บุรุษผู้ซึ่งน่าจะเป็นกษัตริย์หรือผู้ปกครองนครดังกล่าวเอื้อมท่อนพระกรเพื่อตระกองหญิงนางนั้นแนบอกแล้วเชยคางมนขึ้นเพื่อพิศใบหน้างามให้ชัดเจน
ธนาทอดถอนใจกับภาพที่ปรากฏในห้วงคำนึงอีกครั้งโดยไม่ได้ใส่ใจกับดวงตาเบิกโพลงของเพื่อนตาน้ำข้าวข้างกายเพราะยังจำได้สนิทใจว่าความรู้สึกในขณะที่ท่อนแขนกำยำของ ‘พ่อเมือง’ โอบรอบร่างบางนุ่มนิ่มของสตรีผู้นั้นในวงแขนมันเป็นเช่นไร ความรู้สึกของเขาในยามนั้นเปรียบประดุจหัวใจเต้นโลดอยู่ในอก รู้สึกอิ่มเอม ตื้นตัน ปลาบปลื้ม ตกอยู่ในห้วงรัก ราวกับเป็นบุคคลในภาพอดีตนั้นเสียเอง
หรือจะมีสายใยบางอย่างเชื่อมต่อระหว่างเขาและบุคคลในฝันเหล่านั้น....
“แม่นมาก...แกฝันแม่นมาก โทนี่เอ๋ย” เสียงอุทานของเพื่อนรักทำให้ภาพที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้งเลือนไป
“แม่นอะไรของแก” ชายหนุ่มเจ้าของแฟลตเกาหัวเบาๆด้วยไม่เข้าใจในกิริยาอาการของเพื่อนรักและหุ้นส่วนคนนี้
“อ้าว...ก็แกกำลังจะได้ไปบริหารจัดการการพลิกโบราณสถานให้เป็นแผ่นดินทองที่ตอนเหนือของประเทศสยามเมืองยิ้มสมดังคำบอกเล่าในความฝันน่ะสิ”
ตาคมเบิกกว้างด้วยรู้สึกเหมือนไม่คาดฝัน
“ไม่ต้องมาทำตกใจ...เลขาฉันเพิ่งจะโทรมาบอกนี่เอง ว่าสาขาในเมืองไทยลองเอาความสำเร็จของบริษัทเราไปนำเสนอเรื่องกับทางการ เขาเลยชักสนใจการพัฒนาแหล่งโบราณสถานโดยใช้บริการบริษัทเฉพาะทางมืออาชีพอย่างเอ็นพีเอชดีของเรา ได้ข่าวมาว่าการท่องเที่ยวของประเทศบ้านเกิดแกเขาจะบุกตลาดทางด้าน Cultural Tourism เพื่อทดแทนการท่องเที่ยวทางทะเลที่ซบเซาลงไปแล้วก็คงอยากลองยกให้เอกชนช่วยพัฒนาดูบ้างว่าจะได้ผลดีแค่ไหน ทีนี้คนของเราจมูกไวก็เลยยื่นซองประมูลมาได้ สบายแฮ”
หนุ่มเมืองผู้ดีพูดราวกับว่าบริษัทของพวกเขาเป็นบริษัทนานาชาติ แต่ความจริงแล้ว เอ็นพีเอชดีก็มีสาขาเพียงในสองประเทศซึ่งเป็นเมืองแม่ของหุ้นส่วนใหญ่ทั้งคู่นั่นเอง และสาขาในประเทศไทยก็เป็นเพียงสาขาเล็กๆ ที่เพิ่งทดลองเปิดเพื่อรอวันที่จะเติบโตเท่านั้น
“ประเทศฉันแท้ๆ ทำไมไม่รู้เรื่องก่อน” ธนาชักเริ่มหงุดหงิด
“ก็แกเอาแต่ไปดูแลจัดการสำนักสงฆ์ร้างในสก็อตแลนด์อยู่น่ะสิ เรื่องของบ้านเมืองตัวเองเลยไม่รู้”
“เอาเถอะๆ ขอเอารายละเอียดมาอ่านหน่อยสิ” เมื่อรู้เรื่องแล้วก็เริ่มสั่งเพื่อนทันทีตามความเคยชินที่มักจะมีเลขาหรือลูกมืออยู่ใกล้ตัวจนลืมไปว่าคนที่เขาสั่งอยู่ก็ถือหุ้นมากพอๆ กับตัวเขาเอง แอนดรูว์ส่งแฟ้มเอกสารในอ้อมแขนให้แต่ยังมิวายบ่นพึม
“นี่แหละน้า จะให้อ่านตั้งแต่แรกแล้วก็ดันบ่นว่าอยากนอน ถ้ายอมอ่านก็คงจะรู้เรื่องด้วยตัวเองแล้ว ไม่ต้องให้คุณคนสวยมาบอกให้ในฝัน” หากธนาจะสนใจคำแขวะแม้แต่นิดก็หาไม่ ชายหนุ่มคว้าแว่นสายตามาใส่และกวาดตาอ่านรายละเอียดของงานอย่างรวดเร็ว
“เราไม่ต้องขุดเองนี่ เราแค่ดูแลเรื่องการพัฒนา ตกแต่ง วางรากฐานองค์กร สร้างความร่วมมือกับชาวบ้าน แค่นั้นเอง แล้วเขาก็ขุดค้นกันไปเยอะแล้ว กำลังจะเริ่มขุดแต่งเร็วๆ นี้”
“แน่นอน เพราะอย่างไรเสียวิธีขุดค้นของที่นี่กับที่เมืองไทยก็ไม่เหมือนกัน ทางการเขาคงกลัวว่าถ้าให้เราไปขุดด้วยวิธีแบบเราจะใช้เวลานาน แถมงบประมาณจะบานปลายล่ะมั้ง” คิ้วหนาหากได้รูปขมวดมุ่นทันที
“ก็เลยมีบริษัทขุดเล็กๆ ในเมืองไทยประมูลงานไปได้ ชื่อบริษัทอรุณรุ่ง งั้นเหรอ”
“ใช่...ความจริงแล้วมีบริษัทที่ใหญ่กว่าประมูลได้ไป แต่เหมือนจะมีปัญหา เอาไปเอามาบริษัทเล็กๆ เลยคว้าไปได้ คนดูแลงานชื่อมาธวี นามสกุลอะไรไม่รู้ จำไม่ได้ ถ้าแกไม่พอใจอะไร แกก็ไปเถียงกับเขาเอาเองก็แล้วกัน เอ้อ...ใช่ อีกเรื่องหนึ่งที่ควรรู้ ในฐานะผู้ที่จะมีส่วนพัฒนาพื้นที่ แกสามารถเข้าไปคลุกคลีกับพวกที่ขุดได้นะ เขาอนุญาตไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเอาเป็นว่าแกก็ไปเช่าบ้านเอาใกล้ๆ ไซต์ขุด แล้วก็วางแผนงานล่วงหน้าพร้อมๆ กันกับที่ทางโน้นเขาขุดเลยก็แล้วกัน จะรอให้เขาขุดเสร็จกันก่อนแล้วค่อยไปดูมันก็ไม่ดี การก่อสร้างกับการพัฒนามันต้องทำไปพร้อมๆ กันนั่นแหละ เสียแต่ว่าครั้งนี้แกคงลำบากหน่อย เพราะทางโน้นเขาจะคิดยังไง ให้ความร่วมมือแค่ไหนก็ไม่รู้”
“เฮ้ย ทำไมเหมาเอาเองว่าฉันจะยอมทำงานที่นายรับมาโดยไม่บอกกล่าวกันก่อนล่ะล่ะ” ธนาโวยวายออกมาไม่เบานัก แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีงานไหนอีกแล้วที่เขาจะเต็มใจทำมากไปกว่างานนี้
“อ้าว ทางโน้นเขามีคนทำงานด้านโบราณคดีอยู่แล้ว ฉันจะไปเถียงกับเขาทำไมให้เมื่อยปาก เรียนมาคนละที่ วิธีไม่เหมือนกันเดี๋ยวก็ทะเลาะกันตาย ปล่อยให้แกไปเป็นทัพหน้าดีกว่า อยากจะพัฒนาอะไร ตรงไหน ต้องขุดยังไง วางท่อ วางระบบอะไรยังไง ต้องดีลกับชาวบ้าน องค์กรท้องถิ่นแค่ไหน ลุยเลยนะเพื่อน ตามสบาย แกเป็นคนไทยย่อมรู้จักประเทศไทยดีกว่าฉัน แล้วฉันจะแวะไปหาเป็นพักๆ ก็แล้วกันนะ ระหว่างนี้จะวางแผนบุกตลาดยุโรปไปพลางๆ” แล้วพ่อหนุ่มก็จัดการเปิดโทรทัศน์ยกเท้าขึ้นพาดบนโต๊ะรับแขกและร้องเพลงงึมงำอย่างมีความสุข ทิ้งให้เจ้าของสถานที่นั่งงุนงงและคิดถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างไม่แน่ใจ
“เอ้อ...ลืมถามไป แล้วเคยถามชื่อแม่สาวคนสวยที่แวะมาหาแกในความฝันทุกวันๆ บ้างไหม ท่าทางจะเห็นหน้ากันทุกวันจนคุ้นเคยแล้วนี่”
“ศศลักษณา”
“หืม รู้ได้ยังไง” คนถามออกจะตกใจ เมื่อได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิด “ซา-ซา-ลัก-ซา-นางั้นหรือ” แม้สำเนียงภาษาไทยจะคล้ายคลึงกับเจ้าของภาษา หากก็ยังฟังแตกต่างอยู่ดี “ชื่อเพราะดีนี่ นี่นายถามชื่อคนในความฝันได้ด้วยเหรอ”
“อยู่ดีๆ ชื่อของพวกเธอก็วาบขึ้นมาในความคิด แปลกไหม”
“นายมั่วเองหรือเปล่า...ประมาณว่าอยากให้สาวในฝันชื่อนั้นๆ”
“ไม่ได้มั่ว…ไม่รู้ด้วยว่าไปจำชื่อพวกนั้นมาจากไหน อยู่อังกฤษมานานจะตาย ไม่ค่อยได้ยินชื่อคนไทยเท่าไหร่หรอก”
“ก็จริงนะ แปลก...”
“ก็แปลกน่ะสิ รู้ชื่อของผู้หญิงอีกคนด้วยนะ เธอชื่อพิมลพักตรา”
“พิ-มน-พัก-ทรา...อา...” เข้าของนัยน์ตาสีเขียวอมเทาครุ่นคิด “ บางทีนะ...โทนี่ กลับเมืองไทยครั้งนี้นายอาจจะพบคำตอบของความฝันประหลาดก็เป็นได้”
“คงจะอย่างนั้นกระมัง...เวลามันใกล้เข้ามาแล้ว แอนดรูว์” ริมฝีบางหยักได้รูปกระซิบแผ่วเบา ราวกับจะย้ำให้แน่นสนิทลงไปในหัวใจของคนพูดด้วยเช่นกัน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น