วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ในรอยบรรพ์ - บทนำ

บทนำ

ในความว่างเปล่าของรัตติกาล สายลมเยือกเย็นโบกพัดกิ่งไม้ให้เกิดเสียงซู่ฟังดูคล้ายบทสนทนาจากสรรพสิ่งที่อาศัยอยู่ในความมืดซึ่งเริ่มปรากฏกายออกมาปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง หากชั่วขณะหนึ่ง เสียงลมพัด และเสียงแมลงกลางคืนที่บรรเลงเพลงนิทรากลับพลันสงบนิ่ง...นิ่งราวกับอยู่ในห้วงไร้กาลเวลา อากาศที่เยียบเย็นด้วยลมยามดึกยิ่งเย็นเฉียบดุจอากาศแห่งฤดูหนาว เส้นหญ้าทุกเส้นยืดตรงราวกับทหารรอคอยการมาเยือนแห่ง ‘นาย’

“จวนถึงเวลาแล้วสินะ เวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างจักเวียนมาบรรจบกันอย่างพอเหมาะอีกครั้ง” เสียงหวานใสเยียบเย็นแกมยินดีดังขึ้นในความมืด “แล้ววันที่เราจักเป็นอิสระก็จักมาถึง” เสียงหัวเราะประสานอย่างพึงพอใจดังกระหึ่มออกมาจากความว่างเปล่าราวกับมี ‘สรรพสิ่ง’ อีกมากมายที่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น

“เจ้าคิดว่าเรื่องจักง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ...ศศลักษณา” เสียงห้าวก้องกังวานอย่างบุรุษผู้ทรงอำนาจดังขึ้นเคียงกัน “ใช่ว่าทุกดวงจิตจักต้องการให้ผืนแผ่นดินแห่งนี้ถูกพลิกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง หากพวกมันทำสำเร็จ...และธรณีแห่งนี้ยังคงถูกปิดเอาไว้เพื่อรักษาทรัพย์แผ่นดินอย่างทุกครั้งที่เคยเป็นมา นั่นก็แปลว่าเราต้องทำหน้าที่ต่อไปอย่างไม่มีกำหนด ด้วยสัจจะอธิษฐานของพวกเราและขององค์มหาราชผู้ที่เคยเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้”

“ข้าเชื่อมั่นว่าครั้งนี้พระองค์จักทำได้สำเร็จ เพราะครั้งนี้จักมีผู้ช่วยเหลือ...ผู้ช่วยที่ทรงรอคอยมานานหนักหนาหากคลาดแคล้วกันไปทุกภพทุกชาติด้วยผลกรรมขององค์มหาราช หากครานี้การณ์ประจวบเหมาะ ข้ามั่นใจว่าการปฏิบัติภารกิจจักสำเร็จด้วยดี” เสียงใสยังโต้เถียงอย่างดื้อรั้น

“ไม่ว่าการณ์จักเป็นเช่นไร ทั้ง ‘เจ้า’ และ ‘ข้า’ ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ ดังที่ได้ลั่นสัจจะวาจาเอาไว้”

“ข้ามีสิทธิ์เลือกด้วยหรือ” เสียงใสกลายเป็นหวานเศร้าแกมขมขื่น “หน้าที่...ที่ข้าไม่ได้เต็มใจทำ หาก ‘ต้อง’ ทำ เพราะผืนแผ่นดินต้องการผู้พิทักษ์รักษา”

“ทุกๆ ดวงจิตที่ยังไม่หลุดพ้น จักหนีจากบ่วงกรรมได้อย่างไรกัน เจ้าทำสิ่งใดเอาไว้ เจ้าเองก็รู้ดี การชดใช้ด้วยความทุกข์ทรมานเพียงเท่านี้ เจ้าทนไม่ได้เลยหรือ” ครานี้เสียงห้าวเครือลงราวกับจะสะเทือนใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต...เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนที่จะกลับกลายเป็นน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกเช่นเดิม “เลิกพร่ำเพ้อถึงจุดจบแห่งหน้าที่ในวันหน้า จงทำหน้าที่ในวันนี้ให้ดีที่สุด” สายลมพัดมาวูบหนึ่ง กลิ่นธูปหอมกรุ่นกำจายก่อนจางหาย เหลือไว้แต่ความว่างเปล่าและน้ำเสียงหวานแผ่วเบา

“ข้ารู้ว่าหน้าที่นี้จักต้องมีผู้สืบทอด...และข้าก็รู้ว่าสิ่งที่ข้าทำต่อนางผู้ที่เป็นดั่งดวงพระทัยของพระองค์นั้น เป็นกรรมอันใหญ่หลวง ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ จิตพยาบาทของข้าที่มีต่อนางได้สิ้นสุดลงนับแต่วันที่ข้าหลั่งเลือดปฏิญาณเข้ารับภาระหน้าที่ เหลือเพียงความหวัง...หวังว่าสักวันดวงจิตของข้าจะหลุดจากพันธนาการ และได้ชดใช้ในสิ่งที่ข้าเคยทำไว้ในอดีต”

เสียงทอดถอนใจดังออกมาจากความมืดพร้อมๆกับเสียงก้องกัมปนาทของสายอสุนีบาต ที่เพิ่มแสงสว่างให้กับความมืดมนอนธกาล ลำแสงตกกระทบร่างของสตรีแน่งน้อยในพัสตราภรณ์โบราณประหลาดตา ดวงหน้างามงดหากขาวซีดอมเหลืองเหมือนงาช้างเก่าๆ เรียบสนิท หากแววตาไหววูบไปด้วยรอยสะเทือนใจ

“เวลา...ใกล้จะมาถึงแล้ว”

ไม่มีความคิดเห็น: