วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2550

กิ่วแม่ปานเกือบจะเหมือนเดิม ที่มีเพิ่มคือ....




ครั้งสุดท้ายที่ได้ไปเดินเล่นที่กิ่วแม่ปาน เส้นทางศึกษาธรรมชาติบนดอยอินทนนท์ก็ 10 ปีก่อนแล้วค่ะ (ไม่ถึงก็เกือบๆ ล่ะนะ T-T) ภาพความสวยงามและความเป็นธรรมชาติยังติดตา ก็เลยอยากจะไปอีก อยากจะไปอยู่เรื่อยๆ ปรารถนาอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที เพราะ นาน น้านนนนนน จะมีโอกาสกลับบ้านตอนฤดูหนาว ปีนี้เลยเป็นฤกษ์งามยามดี ได้แวะเวียนไปเยี่ยมเส้นทางที่เคยชอบมากๆ ในอดีต

เพื่อนๆ ติดธุระกันเสียเยอะ บ้างก็ขี้เกียจเดิน ผลสุดท้ายเหลือสมาชิกร่วมทริปเพียง 3 คนคือ เจษ (หนุ่ม consulting ไฟแรง) โอ๋ (คุณหมอสาวแสนสวย) และ ยิ้ม (เอ่อ...ไม่มีคุณสมบัติอะไรให้เชิดหน้าชูตาเท่าไหร่ เอาเป็นว่า มันคือเจ้าของบล็อกก็แล้วกัน)


ยิ้มและหมอโอ๋



เจษ


เรื่องของเรื่องคือ หมอโอ๋กับยิ้มอยากไปรำลึกอดีตอันแสนหวานบนยอดดอย แต่ไม่มีคนขับรถให้ ขับรถขึ้นดอยไม่เป็นกันซะด้วยแฮะ บังเอิญได้รู้ว่าคุณเจษกลับมาเยี่ยมบ้าน และว่างพอดี...จึงต้องรับกรรม เอ๊ย...รับเกียรตินี้ไว้

ตกลงกันว่าจะออกเดินทางตอน 7 โมง ให้คุณเจษมารับอิฉันที่บ้าน และแวะไปรับหมอโอ๋ที่ รพ. (เมื่อคืนชีเข้าเวรดึกน่ะค่ะ) เสร็จแล้วก็ออกเดินทางได้ คุณเจษคงรู้สึกมึนงงในจำนวนเสบียงที่อิฉันถือมาเล็กน้อย แต่พอคุณหมอโอ๋เห็นก็ยิ้มแป้น เพราะว่า...เคยไปเที่ยวด้วยกันมาแล้วหลายๆ ที่ ไปทีไรก็หอบเสบียงที่ล้นหลามกว่าจำนวนคนไปประมาณ 2.5 เท่าเยี่ยงนี้แหละ

ตอนเช้าแวะเติมพลังข้าวมันไก่ที่จอมทอง อันที่จริงก็มีร้านอื่นที่ดูดีกว่านั้นมาก แต่ด้วยความช่างเลือก โน่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่เอา ผลสุดท้ายเลยหมดทางเลือก ต้องกินร้านสุดท้ายก่อนขึ้นดอยนั่นแหละ กินอาหารเช้าเสร็จก็หาเสบียงเพิ่ม (- -' ) อันได้แก่ ไก่ทอด 3 ชิ้น ข้าวเหนียว ขนมขบเคี้ยว น้ำ คุณเจษมองมาด้วยสายตาประหลาดๆ แต่ก็ไม่กล้าหือ เอ๊ย ไม่ได้พูดอะไรตามมารยาท แล้วก็เป็นคนจ่ายค่าไก่ไป มาถึงเชิงดอยอินทนนท์ ยิ้มก็แวะซื้อมะม่วงอีก 2 ลูก หมอโอ๋ยิ้มร่า แต่คนขับคงเริ่มคิดในใจ ว่าตกลงมันจะมาเดินป่าหรือมาปิคนิคกันแน่นะ

มาถึงทางเข้ากิ่วแม่ปาน..โอ้โห นี่เรามาถูกที่จริงเหรอเนี่ย...จากเดิมที่ไม่มีอะไรเลย มีแค่ลานลูกรังกว้างๆ ให้จอดรถ ตอนนี้เป็นลานจอดรถลาดยางกว้างขวาง มีร้านค้ามากมาย ห้องน้ำอีก 2 หลัง และที่สำคัญ...เส้นทางเดินป่านี้ ไม่ฟรีอีกต่อไปแล้วค่ะ จากเดิมที่เคยเดินได้ตามอัธยาศัย เดี๋ยวนี้ต้องจ้างไกด์นำทางสนนราคา 200 บาทต่อกลุ่ม จริงๆ มันก็ไม่แพงหรอกนะ แต่ด้วยความแปลกใจ...ก็เลยอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้

ยิ้ม:"เอ๊ะ เมื่อก่อนเคยมาแล้ว ตอนนั้นเดินเองก็ได้นี่คะ"

แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความอึ้ง...

เจ้าหน้าที่: "ทำไมไม่ศึกษามาก่อนล่ะครับ จริงๆ ก็เคยมีหลายๆ คนมาอ้างว่าเคยมาเดินเองเหมือนกัน บางคนก็บอกว่า 4 รอบ 5 รอบ แต่เราก็ไม่เชื่อ เส้นทางนี้มันเดินเองไม่ได้"

เอ...พูดอย่างนี้ก็แปลว่า

ยิ้ม: (ปรี๊ดดดดดด ปรอทจะแตก นี่หาว่าพวกฉันมาแอบอ้างอย่างนั้นเรอะ เคยมาจริงๆ โว้ย เอ๊ย จริงๆ นะ รูปภาพเก่าๆ เป็นพยาน แหม น่าเสียดาย ถ้าพกมา ก็จะโชว์ให้เห็นกันจะจะไปเลย) "ก็เมื่อก่อนเคยมา ไม่เห็นจะต้องใช้ไกด์เลยนี่ จะรู้ได้ยังไงล่ะคะ ก็คิดว่าทุกๆ อย่างมันจะยังเหมือนเดิม ตอนที่มาครั้งแรกยังไม่มีร้านค้า ไม่มีลานจอดแบบนี้ด้วยซ้ำ สำนักงานนี่ก็ไม่มี"

เจ้าหน้าที่: "งั้นก็แปลว่า เมื่อก่อนก็เข้ามาเพื่อถ่ายรูปอย่างเดียวเลยสิครับ"

ยิ้ม: (ปรี๊ดดดดด รอบสอง นี่คิดว่าคนมาเดินจะไม่สนใจศึกษาความเป็นไปรอบๆ ตัวเลยหรือไง มาถึงก็ถ่ายรูปกับสถานที่แชะๆ ๆ ๆ ๆ แล้วก็ไปเหรอ ไม่อยากจะบอก ตอนนั้นท่านพ่อใช้เส้นทางนีเป็นห้องเรียนสอนวิชาชีววิทยา และภูมิปัญหาชาวบ้านให้เด็กหญิงยิ้มเลยด้วยซ้ำ อยากจะเถียง แต่ก็พูดออกไปแค่) "ตอนนั้นมันก็มีป้ายข้อมูลแทบจะทุกที่เลยนี่คะ เดินผ่านก็อ่าน ไม่ได้ผ่านเฉยๆ"

ไม่ได้โกหก มันเคยมีป้ายจริงๆ ถึงตาน้ำก็มีป้ายบรรยาย ถึงป่าดิบเขาก็มีป้ายบรรยาย อ่านไปได้ความรู้ เชิดชูปัญญาดีออก

เจ้าหน้าที่: "เราเปลี่ยนระบบแล้วครับ"

แอบจี๊ด...ความจริงที่เขาก็พูดไม่ผิด ทำไมเราถึงไม่ศึกษาก่อน แต่เราจะรู้ได้ยังไงล่ะ ก็คนมันเคยเดินได้ตามอัธยาศัย เราไม่รู้เขาก็น่าจะพูดด้วยดีๆ นะ ไม่น่าจะใช้วาจาแบบนี้ แล้วมองด้วยสายตาเหมือนเรามาหลอกเพื่อให้ได้เข้าไปเดินฟรี ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเหมือนนักท่องเที่ยวฉาบฉวยคนหนึ่ง

"เราเปลี่ยนระบบแล้วครับ ถ้าไม่มีคนเข้าไปด้วย นักท่องเที่ยวบางคนก็ทิ้งขยะ ก็เด็ดดอกกุหลาบ เส้นทางมันจะเสื่อมโทรม"

เออ...ก็พูดอย่างนี้เสียตั้งแต่ทีแรกสิคะ ค่อยฟังดูมีเหตุผลหน่อย ไม่ใช่ว่าโผล่มาก็หาว่าเราแอบอ้างบ้าง หาว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวที่สักแต่ว่าถ่ายรูป ไม่รู้จักเรียนรู้บ้าง เฮ้อ...

เจ้าหน้าที่: "ถ้าจะไม่จ้างไกด์ ก็ไปเดินที่อ่างกาสิครับ ง่ายๆ ดี เดินเองได้"

เอ่อ...คุณขา อ่างกา...อิฉันเดินมาแล้วประมาณเกือบ 10 รอบ เดินมาตั้งแต่ยังไม่มีสะพานไม้ให้คนเดินด้วยซ้ำ ครั้งแรกๆ ต้องไต่รากไม้ที่สานเกี่ยวพันเป็นตาข่ายคลุมดินเอา รองเท้าเปื้อนโคลนเพราะมันเปียกชื้น มาครั้งหลังๆ นี้กลายเป็นสะพานไม้หมดแล้ว แต่ก็ยังสวยอยู่

จึงออกมายืนสงบสติอารมณ์ข้างออฟฟิศ หลังจากเจอถ้อยคำแฝงนัยยะว่า

"แกไม่ศึกษามาก่อน"
"แกมาแอบอ้างว่าเคยเดินฟรีเรอะ หนอย โกหกหน้าตาย ไม่เชื่อหรอก"
"ถ้างกก็ไปเดินของฟรีเลยไอ้น้อง ง่ายกว่าด้วย"
"เพราะเข้าไปก็คงจะแค่ถ่ายรูปเฉยๆ ไม่ได้เรียนรู้อะไรหรอก"


(นี่สรุปบทสนทนามาคร่าวๆ นะ จริงๆ มีปรี๊ดกว่านี้อีก ส่วนโทนในการพูด...อิฉันพยายามพูดให้เรียบที่สุด เหมือนกำลังชี้แจงอยู่ทั้งที่กำลังเดือดปุดๆ เกรงใจคนอื่นง่ะ)

กรี๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ
ถ้าเป็นนางเอก (ที่ติดร้าย) ในนิยายก็อาจจะโวยวายให้ตายไปข้างหนึ่ง แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ขืนทำอย่างงั้นอาจจะโดนเหวี่ยง และคงไม่ได้เข้าไปเดินเอ้อระเหยชมธรรมชาติเป็นแน่แท้...

"พี่ครับ"

หนุ่มน้อยหน้าใสเรียกขึ้นจากทางเบื้องหลัง พร้อมกับรอยยิ้มกระจ่าง
คำพูดไม่กี่คำของเขา...ทำให้อารมณ์ที่ร้อนรุ่มของเราสงบลงไปได้


ไม่ใช่ค่ะ มันไม่ใช่นิยาย อิฉันไม่ได้สงบเมื่อหันไปยังต้นเสียงและตะลึงงันเมื่อเห็นว่าใครเป็นผู้พูด แต่ที่สงบลงได้เพราะสิ่งที่ตามมาก็คือการประสานประโยชน์ในชีวิตจริง...

หลังจากนั้น พวกเราก็เลยจัดแจงรวมกลุ่มกับนักท่องเที่ยวขาจรอีก 2 คนที่มาจากกรุงเทพฯ เพื่อจ้างไกด์เข้าไป (หารกันนั่นเอง) ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาถึงก็ควรเดินเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นก็จะมาเสียเที่ยว จริงๆ เขาบอกว่ามีทางเดินอีกหลายเส้นทาง แต่ว่าเวลาไม่พอ เพื่อนๆ ก็โตๆ มีงานรับผิดชอบกันหมดแล้ว จะหาวันว่างทีนี่ก็ยากแสนยาก วันนี้กะจะเลือกเดินเส้นทางนี้เพราะรวบรวมความเป็นป่าดอยอินทนนท์ไว้ได้มากในระยะทางสั้นที่สุด ก็หมอโอ๋เล่นว่างแค่วันเดียวนี่คะ

หลังจากเข้าไปข้างในแล้ว พบว่าสภาพหลายๆ อย่างเกือบจะเหมือนเดิมเลย (ความชื้นลดลงไปนิดหน่อย แต่สภาพยังดูดีอยู่มาก) ทั้งป่าดิบเขา ทุ่งหญ้า ดอกกุหลาบพันปี สภาพยังดูค่อนข้างสมบูรณ์ อาจจะเพราะมาตรการส่งไกด์มาควบคุมนี่ด้วยก็ได้

แต่ว่า...

มีไกด์หรือไม่มีนี่ก็แทบไม่ต่างกันเลย คุณไกด์พูดน้อยมาก ไม่ถามก็ไม่ตอบ ตอนมาเดินกับพ่อจ๋า พ่อจ๋ายังบรรยายมากกว่าเสียอีกนะ แต่ก็เอาเหอะ...ถ้าไม่มีไกด์เราก็เข้าไม่ได้ อย่างน้อยคุณไกด็ก็แนะนำให้เรารู้จักชื่อต้นไม้ต่างๆ ระหว่างทางเดินเข้าไป เช่น ขนุนดิน ต้นก่อ อะไรเทือกนั้น

ทุ่งหญ้าและทางเดินไต่ยอดเขาเป็นส่วนที่เราชอบกันที่สุด หลายปีก่อนทุ่งหญ้าฟูฟ่องแทบจะนอนกลิ้งได้เลย ตอนนี้มันแฟบๆ ลงไปบ้าง แต่ก็ยังดูดี สดชื่น เย็นสบาย แต่ก็ใกล้ชิดกับ รังสี UV อย่างสุดแสน สีผิวตอนนี้เลยดำลงไป 10% โดยไม่ต้องใช้ tanning lotion แบบที่เพื่อนฝูงที่อังกฤษใช้กัน

ต้นกุหลาบพันปีเดียวดายไร้ดอกก็ยังโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่งหญ้า มองไปลิบๆ ตรงสันเขาเห็นคนเดินเรียงแถวมาเหมือนขบวนลูกเป็ด แหม...น่ารักดี อีกสักพักเราก็ต้องไปเดินตรงนั้นด้วยแล้ว



ต้นกุหลาบพันปีไร้ดอก โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย ก็แหม...คนมาดูเยอะขนาดนั้น




ระหว่างทางคุณเจษแอบบ่นเล็กน้อย เพราะว่ามีนัดสัมภาษณ์ intern ทางโทรศัพท์ตอน 11 โมง แต่ว่า...สัญญาณโทรศัพท์กลับหายเกลี้ยง สองสาวก็เห็นใจ...แต่ว่ายังทำท่าลั้ลลากันเหลือเกิน

ยิ่งเดินไปบนสันเขา ก็ยิ่งชอบ อากาศมันดี มองเห็นข้างล่างลิบๆ ลึกลงไป ถ้ากลัวความสูงคงขาสั่น แต่ว่าทางแถวๆ นี้ยังดีนะคะ มีหญ้าต้นสูงๆ ขึ้นริมทาง เลยรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ระหว่างเรากับเหว ที่ Arthur's seat ที่ Edinburgh ไม่มีอะไรกั้นเลย ทางก็แคบมาก ตอนนั้นจะเป็นลม (ทั้งๆ ที่เหวที่กิ่วแม่ปานลึกกว่าหลายเท่า)

ขาออก เราทำสมาชิกหายไป 2 คน
เนื่องด้วยขาจรเป็นช่างภาพ จึงดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติมากเป็นพิเศษ ดังนั้น...ทั้งคู่จึงปล่อยให้พวกเราเดินออกมาก่อน พวกเราก็พยายามเดินช้าๆ แล้วนะ โอ้เอ้ๆ ถ่ายรูปบ้าง กระโดดโลดเต้น ลดอายุลงไป 8 ปีบ้าง เส้นทางแค่ประมาณ 3 กม. ล่อไปเสียเกือบๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ท่านทั้งสองก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเดินตามมาทัน

สรุปว่า...กิ่วแม่ปานนั้นเกือบจะเหมือนเดิม
ที่มีเพิ่มคือ

1. อายุคนไปเที่ยว = =' ขาลงเดินสบาย ขาเดินกลับขึ้นนี่หอบแฮ่กๆ หายใจไม่ทัน อากาศยิ่งบางๆ อยู่ แลบลิ้นเพื่อระบายความร้อนแล้วก็ยังไม่ช่วย สงสัยหมากับคนมันคนละระบบกันนิ

2. การจัดการ อันนี้เป็นสิ่งดี เข้าใจแล้วล่ะ...ว่าถ้าไม่มีคนควบคุมเวลาผ่านมา 10 ปี อาจจะไม่เหลืออะไรไว้ให้เราดูแล้วก็ได้ และชาวบ้านก็จะไม่มีรายได้ ไม่มีความรู้สึกร่วมว่าป่าเป็นของทุกคน ไม่ใช่เป็นของกรมป่าไม้และนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่ควรเรียนจิตวิทยาการบริการมาบ้าง

3. Facility สำหรับนักท่องเที่ยว อันนี้คงจะดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาอีกเยอะ เพราะมันสะดวกสบายขึ้น จะสวยไปอีกนานเท่าไหร่หนอ...กิ่วแม่ปาน

ท่านใดสนใจก็ลองแวะเวียนไปดูได้นะคะ อยู่ตรงข้ามลานจอด เฮลิคอปเตอร์ค่ะ เดินไม่ยาก หากออกกำลังเป็นนิจก็เดินได้สบายมาก (แต่ครั้งนี้เหนื่อยหน่อยค่ะ อายุอานามไม่น้อยแล้ว ^ ^')

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2550

พรสวรรค์แห่งการฟัง

Rating:★★★
Category:Other
หายไปจากการอัพ multiply เสียนานเลย (แต่ก็ยังแวะมาตอบอยู่บ้างนะ ^ ^')
หลังจากญาติผู้ใหญ่สลับกันป่วยแล้ว ช่วงนี้...สุขภาพตัวเองก็เริ่มทรุดโทรมลงบ้างเหมือนกัน
พอย้ายออกจากลอนดอนไปยอร์ค ก็นานๆ จะป่วยหนักเสียที ด้วยความที่อากาศมันดีกว่ามาก เลยไม่ค่อยจะแพ้เท่าไหร่ กลับมาบ้านเรา แหง็ก...(บางทีอาจจะใช้สังขารทรหดไปหน่อยก็ได้มั้งคะ)

ที่ผ่านมาก็...สงสัยจะไข้หวัด นอนจับไข้อยู่แป๊บนึง เลยทำให้เกิดช่วงดาวน์ อะไรที่เขียนค้างๆ ไว้ก็พลอยจะไม่ได้เขียนต่อซะงั้น...

วันนี้อยู่ดีๆ ก็คิดถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาน่ะค่ะ ดังที่จั่วหัวไว้
คือเรื่อง 'พรสวรรค์แห่งการฟัง'

ขอเข้าโหมดจริงจังหน่อยนะคะ ถ้าไม่อยากเครียด ข้ามไปได้...

สุ จิ ปุ ลิ คือหัวใจนักปราชญ์

หนึ่งในนั้นคือ สุตตะ ก็คือการฟัง

มั่นใจว่าเคยเรียนมาในวิชาภาษาไทย หรือไม่ก็พระพุทธศาสนาตอนเด็กๆ แน่ๆ ฟังอย่างไรให้ได้ความรู้ ฟังอย่างไรให้แตกฉาน ฟังแล้วคิด แล้วถาม แล้วจด พร้อมทั้งจำ (จิตตะ ปุจฉา ลิขิต) เพื่อจะนำไปปฏิบัติ

สิ่งเหล่านี้เรียนมามากมาย มีคนอบรมพร่ำสอนมาไม่น้อย บางคนพูดไปในเชิง strategic เลยด้วยซ้ำ ว่าการฟังทำให้รู้เขา รู้เรา รู้ใจคน ก็ชนะใจคนได้ รบร้อยคร้ง ชนะร้อยครั้ง

แต่จะมีใครสักคน..สอนอะไรง่ายๆ อย่างเช่น "การฟัง...ก็เป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างหนึ่ง" บ้างไหมคะ...

ตอนนั้นชีวิตดำเนินมา 15 ปี ขอยอมรับว่าไม่เคยได้ยินอะไรแบบนั้นเลย ตอนที่ซิสเตอร์ซึ่งเป็นที่ปรึกษาชมรม 'เพื่อนทางจิต' ที่จัดขึ้นเป็นวิชาเลือกให้คนมาลงเริ่มต้นชั่วโมงด้วยคำพูดง่ายๆ อย่างนั้น ก็รู้สึกประหลาดใจ กึ่งสงสัยขึ้นมาทันที

จริงเหรอ...
แค่การฟังธรรมดาๆ จะทำให้คนเรารู้สึกดีขึ้นมาจริงๆ เหรอ

ซิสเตอร์บรรยายต่อว่า 'การฟัง เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ใครจะทำก็ได้ แต่เป็นเรื่องยาก...ที่จะหาคนที่ตั้งใจฟังเราอย่างจริงๆ จัง '

ตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจ เพราะชีวิตยังเต็มไปด้วยสีขาว เป็นคนมองโลกในแง่ดีเต็มพิกัด...ปัญหาอะไรก็มีคนช่วยแก้ไข แต่ตอนนี้ หลังจากผ่านอะไรมามากขึ้น ก็เริ่มเข้าใจคำพูดของซิสเตอร์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และไม่นึกเสียใจเลย ที่ตอนนั้นเลือกลงกิจกรรมกับซิสเตอร์ แทนที่จะไปเลือกอะไรที่ดูหวือหวาอย่างการละคร เล่นดนตรี หรืออะไรที่ดูเข้ากับวัยและยุคสมัยมากกว่า

มันเป็นอาหารทางจิตอย่างแท้จริง

คนที่มีพรสวรรค์ในการฟังนั้นหาได้ยาก เพราะในสังคมปัจจุบันนี้...มีแต่คนอยากพูดเสียทั้งสิ้น เพราะทุกๆ คนก็ล้วนมีเรื่องหนักอกหนักใจมามากบ้าง น้อยบ้าง แตกต่างกันไป และแต่ละคนก็มีความต้องการสิ่งที่จะมาบำบัดและแบ่งเบาทุกข์นั้นในรูปแบบต่างๆ แต่ส่วนมาก มนุษย์ต้องการใครสักคนเพื่อรับฟังและแบ่งเบาความทุกข์นั้น

'ไม่ใช่เรื่องยากจนทำไม่ได้ แต่ต้องการพรสวรรค์พอสมควร ที่ซิสเตอร์เรียกว่าพรสวรรค์ ก็เพราะผู้ฟังที่ดีต้องรู้จังหวะจะโคน รู้ว่าตรงไหนควรพูดอะไร รู้ว่าตอนไหนไม่ควรพูดอะไร ตรงไหนควรเงียบ ตรงไหนควรให้กำลังใจ'

ถูกของซิสเตอร์
บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าควรจะหยุดตรงไหน ให้กำลังใจตอนไหน มีท่าทางยังไง

'เป็นตัวของตัวเอง แต่เก็บคำพูดที่จะทำร้ายจิตใจผู้พูดไว้ก่อน หากเขายังไม่พร้อมที่จะรับคำพูดนั้นๆ ถ้าเขามีปัญหา...ก็นิ่ง ฟัง ปล่อยให้เขาระบายออกมาให้หมด แต่อย่าทำให้เขารู้สึกว่าโดดเดี่ยว ด้วยการพูดคนเดียว อย่าเพิ่งแทรกด้วยเรื่องของตัวเองจนเรื่องของตัวเองดูเด่นกว่าเรื่องของเขา แต่แบ่งปันประสบการณ์ของเราให้เขารับฟังได้บ้าง เพื่อให้รู้สึกดีขึ้น' ซิสเตอร์ย้ำคำว่า 'บ้าง'

'และอย่าลืม...สุดท้ายแล้วควรกลับมาสนใจเรื่องราวของเขา ในเวลานั้น...เขาต้องการที่พึ่งพิงทางใจจริงๆ'

ก็ถูกของซิสเตอร์อีกนั่นแหละค่ะ

มนุษย์เรา...อย่างไรเสียก็ยังเป็นสัตว์โลกที่ต้องการความสนใจจากสิ่งรอบข้าง
เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกว่าถูก ทอดทิ้ง ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ก็อาจจะเกิดฏิกิริยาในแบบต่างๆ กัน ลองคิดดูว่าถ้าสภาพทางจิตใจก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ แต่พอมาพูดกับใครคนหนึ่งก็พบว่าคนนั้นเปลี่ยนเรื่องพูดไปเสียทันที ทำเหมือนเรื่องราวของเราไม่สำคัญ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

A: 'กูตกงานว่ะ ทะเลาะกับบอส แม่ง โคตรกลุ้ม'
B: 'เฮ้ย...กลุ้มไปก็ปวดหัว กินเหล้าดีกว่า'

C: เบื่อจัง เค้าไม่สนใจเราเลย
D: หาหนุ่มใหม่ดิ เออ เราจะเลือกของขวัญให้พี่ ก. น่ะ C ช่วยคิดหน่อยสิ ว่าจะเอาอะไรดี'

ทั้ง B และ D ล้วนไม่ได้ตั้งใจจะทำร้าย A กับ C
แต่สิ่งที่พูดออกไป อาจจะทำให้สองคนนั้นรู้สึกแย่ลง

อาจจะยิ่งหดหู่ลงกว่าเดิม
อาจจะหงุดหงิด กลายเป็นความโกรธ
อาจจะถอยหนีผู้ฟังคนนั้นไปเลย

คาดเดาไม่ได้...แต่ผู้ฟังคนไหนก็คงไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นหรอก

จากวันที่นั่งสนทนากันในวันนั้น มาจนถึงวันนี้...เกือบสิบปีแล้ว
ชมรมของซิสเตอร์มีประโยชน์มากมาย
ไม่ใช่แค่เรื่องนี้...
แต่อะไรอีกหลายๆ อย่างที่ซิสเตอร์หยิบยกมาสนทนา
สิทธิสตรี การทอดผ้าป่าข้าวที่หมู่บ้านกะเหรี่ยง การทำแท้ง ฯลฯ วันนี้มันเป็นเหมือนเกราะทางใจ เหมือนอาหารทางจิตวิญญาณ

ขอบคุณค่ะ ^ ^

ที่ผ่านมาอาจจะทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง
อะไรที่ว่าไม่ดีก็อาจจะทำลงไปบ้าง ด้วยความไม่รู้ตัว

แต่ต่อไปนี้จะพยายามเป็นผู้ฟังที่ดีให้กับคนรอบข้างนะคะ ทั้งที่ตัวเองอาจจะไม่มีพรสวรรค์นั้นเลยก็ได้

ไม่ได้เพราะอยากเป็นในสิ่งที่สังคมขาด
ไม่ได้เพราะอยากทำตัวเป็นวีรสตรี

แต่เพราะรู้...ว่าการมีคนคอยรับฟังเราทุกเรื่อง มันทำให้รู้สึกดีมากมายจริงๆ

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ในรอยบรรพ์ - ตอนที่ 2

บทที่ 2

บนระเบียงของเรือนแบบล้านนาหลังกลางเก่ากลางใหม่มีเถาเล็บมือนางเลื้อยพันจนแทบไม่เห็นราวไม้ดั้งเดิม ดอกที่เพิ่งแย้มผลิสีชมพูและดอกแก่สีแดงแซมใบเขียวแต่งแต้มสีสันให้เรือนหลังย่อมดูสดใส กระถางต้นไม้เลื้อยจำพวกเดฟและเดฟกระเป๋าที่แขวนตามชายคาสร้างความสดชื่นให้แก่ผู้อาศัยและผู้พบเห็น หญิงสาวร่างสูงเพรียวในชุดกางเกงยีนและเสื้อเชิ้ตสีเข้มดูทะมัดทะแมงทอดสายตาไปทางทุ่งนาที่อยู่ห่างออกไป ดวงตาคมเลื่อนลอยราวกับกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องที่ยากเกินความเข้าใจ

เหตุใดหนอ...เธอจึงรู้สึกเคยคุ้นกับที่แห่งนี้อย่างประหลาด รู้สึกตั้งแต่เลี้ยวรถวกเข้ามาถึงหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว ความคุ้นเคยกับสถานที่กับความเจ็บปวดรวดร้าวปะปนกันอยู่ในอกอย่างบอกไม่ถูก

บ้านหลังนี้เป็นเรือนขนาด 5 ห้องนอนและมีพื้นที่ใต้ถุนซึ่งถูกกั้นเป็นห้องครัวและห้องอาหาร และเป็นหนึ่งในบ้านสองสามหลังที่บริษัทรุ่งอรุณได้จัดการเช่าให้นักโบราณคดีและวิศวกรได้พำนักในระหว่างที่ต้องทำงานในจังหวัดที่ห่างไกลจากบ้านเกิด ไกลออกไปด้านหลังของไซต์ขุดมีบ้านพักคนงานเรียงรายอยู่ในดงกล้วยน้ำว้าที่ทั้งผลและลำต้นกลายมาเป็นอาหารอันโอชะของคนงาน และใบก็ได้กลายมาเป็นวัสดุสารพัดประโยชน์อยู่เรื่อยๆ

“คราวนี้งานใหญ่เลยนะ พี่เม่น คงจะไม่หมูอย่างที่ผ่านมา เปลี่ยนบริษัทรับเหมามาหลายรายแล้ว ไม่รู้มีปัญหาอะไร ต้องขอบายทุกที งานมันถึงได้รอดมาหาเจ้าเล็กๆ อย่างเราได้ไงล่ะพี่”

เสียงทุ้มๆ ดังออกมาก่อนที่เจ้าของร่างจะโผล่ตามมา ธีระวิทย์ หนุ่มผิวเข้มใบหน้าคร้ามคม ผู้ซึ่งเดินทางมาขลุกอยู่กับชาวบ้านแห่งนี้ล่วงหน้าเพื่อสำรวจแหล่งโบราณสถานและเตรียมการ เดินออกมาสมทบที่ระเบียงแล้วมองตามสายตาของมาธวี ‘เจ้านาย’ และ ‘รุ่นพี่’ ที่เขายิ่งกว่าเคารพรักพลางยิ้มนิดๆ กับท่าทางกระตือรือร้นของบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้า แม้ว่ามองจากภายนอกแล้ว เม่น หรือมาธวีจะดูอ้อนแอ้นโปร่งบาง หากไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเธอสามารถปกครองคนงานและพนักงานในบริษัทได้อย่างเฉียบขาดยิ่งนัก ออกจะมากกว่า ษมา รุ่นพี่หนุ่มของเขา เพื่อนรักเพื่อนเกลอของเจ้าหล่อนเสียอีกด้วยซ้ำ ดวงตาคมลึกเปี่ยมอำนาจแบบที่ใครเห็นก็ไม่กล้าแหยม ความเด็ดขาดในการแก้ปัญหาและครองใจคนที่ใครๆต่างก็ต้องยกนิ้วให้หญิงสาววัย 27 ปีคนนี้ ตัวเขาเองเคยเห็นมาธวีควงไม้หน้าสามชี้หน้าเฉ่งคนงานที่ดื้อแพ่งไม่ยอมทำงานมาแล้ว

“เอ็งไม่ทำเอ็งก็ไม่ต้องทำ ยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้มีคนอยากได้งานถมไป ลูกเมียอดตายก็ให้คนเขารู้กันว่าหัวหน้าครอบครัวมันขี้เกียจ”

แปลก...คนงานชายร่างบึกบึนกลับกริ่งเกรงร่างแบบบางอ้อนแอ้นของมาธวีกันทุกคน คงจะเพราะแววตาของเจ้าหล่อนกระมัง แต่หลังจากข้อขัดแย้งผ่านไป เธอก็มานั่งร่วมวงเหล้ากับคนงานคนนั้น พูดจาหยอกล้อหัวเราะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มิหนำซ้ำเมื่อมีโอกาสได้กลับบ้านทีไร เธอก็หอบเอาผลไม้ตากแห้งเช่น มะม่วงกวน หรือมะขามคลุกมาฝากคนงานและพนักงานในไซต์ด้วยเสมอๆ จนเป็นที่รักและเกรงใจของคนงานทั้งหญิงชายไปตาม ๆ กัน

ในช่วงเวลาปกติ มาธวีก็ดูเหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไป หากเมื่อไรที่เธอต้องทำงาน รังสีอำนาจแผ่ออกมาจากผู้หญิงธรรมดาๆคนนี้อย่างเห็นได้ชัด ช่วยไม่ได้ที่ใครเห็นก็จะต้องคร้ามเกรง ทั้งที่เธอยังไม่เคยใช้ความรุนแรงหรืออาวุธกับคนในปกครองเลยถ้าไม่จำเป็น

“อยากจะลงไปเดินดูไซต์ที่พวกผมเริ่มเคลียร์พื้นที่เอาไว้มั้ยพี่ วันจันทร์จะได้เริ่มงานกันเลย” ธีระวิทย์ถามด้วยความกระตือรือร้น “เพิ่งจะ 4 โมง ยังไม่มืดเลย ไม่ต้องรอไอ้สองตัวที่เหลือหรอกพี่ ป่านนี้เข้าไปจีบสาวที่ร้านไก่ปิ้งเจ๊หอมเพลินไปแล้ว”

“ไปก็ได้ เดี๋ยวขอไปหยิบเสื้อกันหนาวก่อน อากาศเริ่มเย็นแล้ว” มาธวีก้าวยาว ๆ กลับเข้าไปในห้อง แล้วเดินกลับมาในชั่วอึดใจ

“ดีพี่ จะได้กลับมาทันกินข้าวเย็น เดี๋ยวป้าแม้นที่นายแม่ของพี่อุตส่าห์ส่งมาเพื่อคุมความประพฤติ...เอ๊ย...ส่งมาช่วยดูแลเรื่องอาหารการกินจะน้อยใจเสียก่อน” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ อย่างไรเสียมาธวีก็เป็นลูกสาว ต่อให้คล่องตัวเพียงไหนหัวอกคนเป็นแม่ก็คงยากที่จะวางใจได้

“ไอ้ที น้อยๆ หน่อย เดี๋ยวแม่ก็บอกให้ป้าแม้นทำอาหารให้แค่พี่กับเจ้าสองตัวนั่น ส่วนนายน่ะ ทำกินเองก็แล้วกัน”

“อย่านะเจ๊เม่น ผมขอร้อง พี่จะตัดเงินเดือนผมก็ตัดไป จะมาตัดอาหารป้าแม้นจากชีวิตผมนี่ ยอมตายดีกว่า รสมือป้าแกนี่ยิ่งกว่าชาววังอีกพี่” ธีระวิทย์โอดครวญดังลั่น

มาธวีหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ไม่ใช่หรอก...ป้าแม้นไม่ได้มาที่นี่เพื่อช่วยเหลือด้านอาหารการกินอย่างเดียว เธอรู้อยู่แก่ใจว่ามารดาส่งป้าแม้นมาเพื่อช่วยสอดส่องดูแลและรายงานเรื่อง ‘ฝันร้าย’ ซ้ำๆ ซากๆ นั่นต่างหาก

“เออ...ให้มันรู้เสียมั่ง ใครเป็นใคร” หญิงสาวยืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ไซต์นี้ใครใหญ่ก็รู้ ๆ กันอยู่”

“คร้าบ...พี่สาวที่เคารพ พวกผมเคารพรักพี่อยู่แล้ว พี่ไม่ต้องลงทุนมาคุมงานที่นี่ด้วยตัวเองก็ได้ อยู่ทำงานออฟฟิศสบายๆ ที่โน่นดีกว่า พวกกระผมจะได้หายใจหายคอโล่งหน่อย” ธีระวิทย์พูดทีเล่นทีจริง เพราะทราบดีว่าลูกพี่สาวขยันขันแข็งและทุ่มเทกับงานขนาดไหน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านับแต่วันจันทร์นี้ไป การขุดค้นที่ไซต์นี้คงจะไม่ดำเนินไปเรื่อยๆด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเหมือนอย่างตอนที่พวกเขามาสำรวจเป็นแน่ ลอง ‘นายหญิง’ ลงสนามด้วยตัวเองอย่างนี้ ถ้าสปีดไม่ถึง 120 ธีระวิทย์ยอมเอาศีรษะเป็นประกัน

“พวกแกทำงานช้าเกินไป ไซต์นี้ใหญ่นะ เท่าที่กะไว้จากภาพถ่ายดาวเทียมกับการสำรวจก็น่าจะเป็นร้อยไร่ รัฐก็ซื้อที่เพิ่มมาได้เรื่อยๆแล้ว พี่อยากให้เราทำงานให้เห็นผลเร็วๆ การรอคอยนับพันปีจักได้สิ้นสุดลงเสียที” ประโยคสุดท้ายเบาหวิวและแผ่วโหย ตามมาด้วยอาการเหม่อลอยของหญิงสาว ชายหนุ่มรุ่นน้องมองหน้ารุ่นพี่สาวด้วยความงุนงง

“พี่เม่น พี่พูดว่าไงนะ”

“เปิดผืนธรณีให้เร็วที่สุด หากพลาดจากครั้งนี้จักต้องรอต่อไปไร้กำหนด อาจต้องรอจวบจนสิ้นพุทธกาล” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสงบนิ่งผิดจากเสียงมาธวีคนเดิม ที่ถึงแม้ว่าจะตะโกนโหวกเหวกไปบ้างในบางครั้งหากน้ำเสียงมักจะเปี่ยมด้วยอารมณ์ขันและแววอ่อนโยนเสมอ

“อะไรนะ” ความขี้เล่นช่างพูดหายไปจากตัวชายหนุ่มเป็นปลิดทิ้ง ธีระวิทย์อ้าปากค้างจ้องมองเจ้าของประโยคเขม็ง ร่างบอบบางนิ่งขึงไปครู่ใหญ่ ดวงหน้าละมุนสะบัดแรงๆ สองสามครั้ง

“อะไร...นายที ตะโกนอะไรโหวกเหวก หนวกหู”

“พี่เม่นนั่นแหละ พูดอะไร”

“พูดว่าอยากให้งานเสร็จเร็วๆ จะได้กลับบ้านเสียที”

“ไม่ใช่...เมื่อกี้พี่ไม่ได้พูดยังงี้นี่ พี่พูดว่าอะไรนะ จำไม่ได้...อะไรเกี่ยวกับเปิดผืนธรณี หรือพุทธกาลอะไรนี่แหละ”

“จะบ้าเรอะ ฉันนี่นะจะพูดอะไร ฝันกลางวันไปแล้วนายที” มาธวี ขมวดคิ้วแล้วมองหน้าธีระวิทย์อย่างไม่เชื่อถือชายหนุ่มมองตามรุ่นพี่สาวไปด้วยความงุนงงสุดขีด

“ใครฝันกันแน่วะ ผีเข้ากลางวันแสกๆหรือเปล่า บรื๋อ...พูดแล้วขนลุก”

.........................................................................................................................

เส้นทางจากตัวหมู่บ้านไปถึงทุ่งนา ซึ่งเป็นบริเวณที่สำรวจพบแหล่งโบราณสถานใต้ดินต้องผ่านทางเดินลูกรังแคบๆ และสวนลำไยหลายต่อหลายสวน ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาต่างรู้จักคณะสำรวจที่มาทำงานที่นี่เป็นอย่างดี สังเกตได้จากถ้อยคำทักทายทั้งหลาย

“อ้าว พ่อที...มากับหนุ่มที่ไหนล่ะนั่น น้องชายหรือนี่ หน้าตาหล่อเหลาเอาการ วันนี้ไม่ไปก๊งที่ร้านเจ๊หอมกับเพื่อนๆ เรอะ

“เอ่อ...วันนี้คงก๊งไม่ได้จ้ะ ต้องพาเจ้านายไปดูงานที่ไซต์ก่อน เอ่อ แล้วท่านผู้นี้ไม่ใช่หนุ่มนะป้า สาวแท้ๆ ชื่อพี่เม่นจ้ะ”

“อ้าว แม่คุณ เป็นผู้หญิงหรอกเรอะ เอ้อใช่...ผิวเนียน ตาคม ขนตางอนเช้งอย่างนี้ก็ต้องผู้หญิงสินะ ป้าเห็นใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ กางเกงตัวใหญ่ๆ ก็คิดว่าเป็นผู้ชาย ก็สาวๆ สมัยนี้นุ่งผ้ากันแค่คืบเดียวกันทั้งนั้นทั้งข้างบนข้างล่าง พอเห็นคนที่ไม่ตามแฟชั่นก็เลยเดาผิดไป โทษที”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ป้าไม่ใช่คนแรกที่ทักผิด แต่ต่อไปนี้ป้าคงเจอเม่นบ่อยๆล่ะค่ะ เพราะเม่นจะมาดูแลงานที่นี่อีกหลายเดือนเลย เดี๋ยวก็จำได้แม่น”

เมื่อเดินมาถึงสุดทางลูกรัง ต้นข่อยคู่ต้นใหญ่ตั้งตระหง่านราวกับบ่งบอกเขตประตูสู่มหานคร แมกไม้ร่มครึ้มสองข้างทางก็สิ้นสุดลงด้วย เหลือเพียงทุ่งนาโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศยามเย็นสงบเงียบ แสงแดดสีทองสาดฉาย ข้าวรวงทองชูช่อรับสายลมแผ่วๆ

“พี่เห็นเนินตรงโน้นไหม มันเป็นสันขึ้นมายาวมาก ชาวบ้านเรียกกันว่าสันนา ดูจากรูปถ่ายดาวเทียมแล้วผมสันนิษฐานว่ามันอาจจะเป็นกำแพงเมืองนะพี่ เพราะมันเป็นรูปวงรี แล้วเนินด้านโน้นอาจจะเป็นวิหารหรือสิ่งก่อสร้างอะไรสักอย่าง ทางการเพิ่งซื้อที่มาได้จากชาวบ้าน กรมศิลป์ฯ ยังไม่ได้สำรวจเลย”

“เขตราชฐานเก่าต่างหาก”

“หืม...พี่รู้ได้ไง” มาธวีกระพริบตาปริบๆ เพื่อไล่ความงุนงง

“ไม่รู้หรอก ใช้ความรู้สึกเฉยๆ เดี๋ยวขุดลงไปก็รู้”

“อื่ม ก็คงจะต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ถัดจากเนินนั่นไปมีสระน้ำด้วยพี่ มี 2 สระ สระแรกเล็กหน่อยอยู่ติดเนินดินนั่น อีกสระขนาดใหญ่กว่ามากอยู่ไกลออกไปทางทุ่งนาของชาวบ้าน เขาเรียกว่าบวกแสนควาย มีตำนานด้วยนะพี่ วันนั้นผมก็มึนๆ เลยจำไม่ค่อยได้ ไว้ค่อยไปถามชาวบ้านแถวนี้เอา”

เสียงเล่าเรื่องของธีระวิทย์หาได้ผ่านประสาทรับรู้ของมาธวีไม่ นักโบราณคดีสาวเดินไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย ภายในใจรู้สึกเหมือนช่องอกที่ว่างเบาโหวงกลับเต็มตื้น...คล้ายได้มาอยู่ในถิ่นที่คุ้นเคยอีกครั้ง ตั้งแต่เล็กจนโตมาทุกวันนี้ บ้านสวนที่นนทบุรีเป็นประดุจนิวาสถานมาตลอด หากลึกๆ ลงไป เธอรู้ดี...เธอกำลังรอคอย บางสิ่งบางอย่าง ใจของเธอร่ำร้องที่จะได้กลับไปยังถิ่นที่เธอจากมา หากเป็นที่ไหน....เธอไม่เคยรู้

“ลองไปดูหน่อยได้ไหม”

“ได้สิพี่ ระวังไมยราพหน่อยนะ มันมีหนาม”

“พี่ใส่รองเท้าผ้าใบ ไม่เป็นไรหรอก นายสิระวัง...ใส่รองเท้าแตะ” ว่าแล้วสาวห้าวก็ก้าวสวบๆ ตัดดงหญ้าไปทันที

พ้นจากเนินดินไปแล้ว ก็มาถึงสระน้ำขนาดย่อมที่มีวัชพืชขึ้นปกคลุมบริเวณริมฝั่งเป็นแห่งๆ ผืนน้ำไหวเป็นระลอกตามแรงลมสะท้อนแสงแดดสุดท้ายของวัน

“สระแห่งอุทยานหลวงกว้างใหญ่เหลือเพียงเท่านี้เองหรือ” ความรู้สึกภายในผลักดันให้มาธวีพูดประโยคที่ฟังหวนละห้อยจนแม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ แต่ธีระวิทย์เลิกใส่ใจไปแล้วด้วยคิดว่ารุ่นพี่สาวเดาสุ่มไปตามเรื่อง

“สระน้ำมันก็ตื้นเขินได้ตามกาลเวลาสิพี่ คนอาจจะถมที่ไปบ้าง หญ้าที่ตายๆไปก็กลายเป็นดินทับถมกันเป็น
นร้อยเป็นพันปีได้นี่นา ดีเลย มาแถวนี้ทั้งที ขอผมถ่ายรูปสถานที่หน่อยก็แล้วกัน วันก่อนลืมไป”

“ตามสบาย...เดี๋ยวพี่เดินไปดูด้านโน้นหน่อยนะ” ร่างสูงเพรียวก้าวยาวๆไปยังอีกฟากของสระโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของรุ่นน้อง หากธีระวิทย์ก็ปล่อยเลยตามเลยด้วยเห็นว่าลูกพี่น่าจะเอาตัวรอดเองได้อยู่แล้ว
ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ มาธวีเดินเลียบสระน้ำด้วยความรู้สึกตีบตันอยู่ในอกเ มื่อยามที่อยู่คนเดียวกระแสความรู้สึกในใจรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่านัก

เจ็บปวด...รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบคั้น...

ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเธอเดินอ้อมไปยังด้านหลังของสระน้ำ ใบหน้าละมุนหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาทางเดินที่หายไปในดงหญ้าสูงแค่เข่า ลมหนาวของจังหวัดในแถบภาคเหนือนั้นเย็นเอาเรื่อง หากไอเย็นที่วูบผ่านร่างเธอในขณะนี้กลับเย็นเยียบในรูปแบบที่ต่างออกไป เย็นจนขนลุกตั้งชันไปทั้งตัว มาธวีหันขวับไปตามทิศทางแห่งสายลมนั้นทันที และอาจจะเพราะอุปาทาน สิ่งที่เธอเห็นด้วยหางตาจึงเป็นเหมือนชายผ้านุ่งสตรีลวดลายวิจิตรไหวพลิ้วที่ลับหายไปในดงไม้ หายลับไปพร้อมเสียงหัวเราะแผ่วๆ

“ใครน่ะ” เจ๊ใหญ่แห่งบริษัทรุ่งอรุณ ตัดสินใจร้องเรียกออกไป หากสิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ...เงียบสนิทถึงขนาดที่เสียงลมก็หยุดหายไปชั่วขณะ

ความหวาดหวั่นแปลกๆ เข้ามาครอบครองจิตใจ หรือว่าสระแห่งนี้...จะเป็นสระน้ำที่เธอเห็นในความฝัน แม้ว่ารูปลักษณ์ของมันจะเปลี่ยนไปมากก็ตาม จริงอย่างที่แม่คาดเดาเอาไว้ ตั้งแต่มาถึงที่นี่...ฝันร้ายไม่เป็นเพียงฝันร้ายอีกต่อไป ความรู้สึกประหลาดและข้อเท็จจริงที่ผุดขึ้นในสมองและอุปาทานอีกมากมายร้อยแปดมันหลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดแม้กระทั่งในยามตื่น หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายจนใจทั้งดวงปวดร้าวไปหมด และเธอจะยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆได้อย่างไร

“โอ๊ย...ปล่อยทิ้งไว้ต้องเป็นบ้าตายแน่ๆ ”

มาธวีสบถและบ่นออกมาเบาๆ กลัวน่ะ...ยอมรับว่ากลัวอยู่ แต่จะให้วิ่งหนีหรือ...ไม่มีทาง สิ่งใดก็ตามที่ทำให้เธอหวาดหวั่น ขอให้รู้ไว้ มาธวีคนนี้ไม่เคยวิ่งหนีความเป็นจริง ดูอย่างความฝันที่ตามหลอกหลอนเธอนั่นสิ เธอยังทนมาได้ถึงยี่สิบกว่าปี แค่การเผชิญหน้ากับสิ่งเหนือธรรมชาติ...เธอไม่กลัวหรอก ดีเสียอีกจะได้รู้กันเสียทีว่าที่นี่คือสถานที่ที่เธอเห็นในความฝันจริงหรือไม่ จะได้ไม่ต้องมาทรมานกับความอยากรู้กึ่งกังวลอย่างนี้

หลังจากยืนวัดใจกันอึดใจใหญ่ ‘สิ่งนั้น’ ก็ไม่โผล่ออกมาให้พบเจอ และเธอก็ไม่อยากจะเดินเข้าไปหาเรื่องถึงในดงไม้ มาธวีจึงตัดสินใจลืมเรื่องที่เกิดขึ้นและทำในสิ่งที่ได้ตั้งใจไว้เช่นเดิม ดวงหน้าหวานละมุนเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ จวนค่ำแล้ว...หากเธอคงจะพอมีเวลาว่างระหว่างที่ธีระวิทย์กำลังตระเวนถ่ายรูปอีกสักครึ่งชั่วโมงสำหรับทำสิ่งที่เธอชื่นชอบเพื่อกำจัดความฟุ้งซ่าน ดวงตาคมลึกจ้องมองแสงสีที่สะท้อนจากแผ่นน้ำพลางแย้มริมฝีปากออกด้วยความพอใจในสิ่งที่เห็น ภาพทิวทัศน์ของทุ่งนาและสระน้ำในเขตชนบทถูกบันทึกด้วยกล้องดิจิตอลเอาไว้เพื่อนำไปประกอบการแต่งกลอนที่เธอมักจะนำเอาไปโพสต์ไว้ตามเวบบอร์ดต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นงานอดิเรกที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว หรือถ้าจะพูดให้ถูก...มันคืองานที่เธอพยายามใช้ดึงตัวเองออกจากความหวั่นไหวทั้งหลายทั้งมวลที่เกิดจากฝันร้ายเรื้อรังนั่นเอง

กล้องถ่ายรูปและกระเป๋าสะพายถูกทิ้งไว้โคนต้นไม้ ไดอารี่เล่มบางถูกเหน็บไว้กับกระเป๋าด้านในเสื้อแจ็คเก็ตสีหม่น สองมือเล็กหากแข็งแรงเหนี่ยวตัวขึ้นไปบนคบไม้และไต่ออกไปบนกิ่งก้านสาขาที่ยื่นออกไปบนพื้นน้ำอย่างคล่องแคล่วทันที

“คงจะไม่หักนะเนี่ย” หญิงสาวจัดการขย่มตัวเบาๆ ทดสอบความแข็งแรงของกิ่งไม้ ความหนาของมันทำให้เธอพอจะใจชื้นได้บ้างว่าคงจะรับน้ำหนักไม่ถึงครึ่งร้อยได้สบายๆ และเมื่อพบทำเลที่ดี เธอก็เริ่มจรดปลายดินสอลงบนหน้ากระดาษ แล้วร่างกลอนลงไปอย่างเพลิดเพลิน แต่ช่วยไม่ได้...บทกวีที่มากลั่นออกมาจากความรู้สึกก็พลอยอยู่ในอารมณ์หม่นเศร้าไปด้วย

ยามสิ้นแสงตะวัน
หัวใจพลันสิ้นแสงทองส่องวิถี
ฟากฟ้าไร้ดวงตาแห่งราตรี
ดาริการิบหรี่ดูอ่อนแรง...

ทิวทัศน์จากด้านบนน่าพิสมัยกว่าจากทางด้านล่าง อาจเป็นเพราะต้องเพิ่มความอุตสาหะในการปีนป่ายด้วยก็เป็นได้ ทุ่งนาผืนสีทองไหวระยับตามแรงลมที่ผัดพลิ้วผ่าน ต้นมะพร้าวและต้นตาลสูงชะลูดบ่งบอกถึงขอบเขตรอยต่อของบ้านสวนและทุ่งนา นกที่บินไปมาและส่งเสียงร้องเพลงกล่อมคนทำงานกลางแจ้งให้เพลิดเพลิน กลอนบทแล้วบทเล่าถูกเขียนลงไปในสมุดเล่มบางนั้น ใจที่จดจ่อสรรหาถ้อยคำมาเรียงร้อยให้คล้องจองเริ่มถอยห่างจากภวังค์และความรู้สึกหวาดหวั่นแบบแปลกๆ ที่ยึดพื้นที่ของจิตใจตั้งแต่ก้าวล่วงเข้ามาในบริเวณแห่งนี้ มาธวีปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปกับงานอดิเรกที่โปรดปราน จนกระทั่งธีระวิทย์ตะโกนโหวกเหวกออกมาจากอีกด้านของสระน้ำ

“เจ๊... ขึ้นไปทำอะไรบนนั้น ลงมาได้แล้ว กลับบ้านเหอะ ผมหิว”

“เออ...กลับก็ได้ แกอย่าตะโกนขึ้นมาทันทีทันใดแบบนี้ได้ไหมวะ พี่ตกใจหมดนะเว้ย ยิ่งกำลังอินๆ อยู่ด้วย ตกน้ำตกท่าไปจะทำยังไง” สาวที่ดูภายนอกห้าวเหลือใจตะโกนตอบเป็นเสียงบ่นยาวเหยียดทันควัน พลางเริ่มขยับตัวหมายไต่กลับเข้ามาที่คาคบไม้เพื่อที่จะกระโดดลงพื้นดินอย่างเช่นขามา

หากเพียงชั่วอึดใจที่เธอหันหลังกลับ เงาทะมึนของร่างสูงใหญ่ในชุดดำที่ยืนจ้องมองเธออยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจากมุมมืดใต้ต้นไม้ทำให้มาธวีสะดุ้งสุดตัว แม้ว่าจะบอกตัวเองว่าไม่กลัวการเผชิญหน้ากับสิ่งเหนือธรรมชาติหากเลือดในกายก็กลับเย็นเยียบดุจน้ำแข็งจนเผลอตัวปล่อยมือจากกิ่งไม้ด้านบน ร่างเพรียวตกลงไปในน้ำใสเย็นดังตูม และก่อนที่สายน้ำจะท่วมศีรษะและทุกอย่างจนมิดเธอยังมองเห็นดวงตาสีดำ...สนิท จนออกประกายม่วงแห่งร่างนั้น ความรู้สึกวูบในอกชัดเจนเสียจนสองขาอ่อนแรงเกินกว่าที่จะหยัดยืนได้
น้ำในสระบริเวณใต้ต้นไม้ลึกเพียงอก หากมาธวีก็ต้องอาศัยแรงในการตะเกียกตะกายเพื่อให้ยืนบนสองขาได้อย่างมั่นคง และคงจะทำได้ไม่สำเร็จถ้าไม่มีมือใหญ่แข็งแรงช่วยดึงร่างที่อ่อนปวกเปียกให้ยืนขึ้นตรงได้อีกครั้ง

“เป็นอะไร ทำไมจู่ๆ ก็กระโดดลงน้ำเล่น อากาศเย็นนะช่วงนี้” นักโบราณคดีสาวหันหน้าไปมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนห่างไปเพียงคืบ แล้วก็ถอนใจยาว ที่แท้เจ้าของร่างในชุดดำสูงใหญ่ที่ยืนตัวตรงแหนวจ้องมาจากใต้ต้นไม้ก็คือผู้ชายคนนี้นี่เอง ผู้ชายคนหนึ่งที่มีเลือดเนื้อ มีชีวิต...หาใช่สิ่งเหนือธรรมชาติอย่างที่เธอหวั่นเกรงไม่

“ฉัน....” มาธวีพูดไม่ออกเพราะฟันเริ่มกระทบกันดังกึกๆ แข้งขาก็หมดเรี่ยวแรงเอาดื้อๆ ท่อนแขนที่แข็งแรงนั้นจึงตวัดเธอไว้ในอ้อมกอดและลากเธอเข้าสู่ฝั่งโดยไม่รอคำตอบ หญิงสาวรู้สึกราวกับกระแสไฟฟ้าอ่อนๆแล่นผ่านร่างกายส่วนที่สัมผัสกับเรือนร่างแข็งแกร่งของคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเสียยิ่งกว่าเดิม

“อยู่บนดินดีๆ ไม่ชอบ ทำเป็นเท่ขึ้นไปนั่งบนต้นไม้ แล้วไง...พลาดตกลงมาเสียเอง” เสียงทุ้มที่บ่นติดๆ กันเป็นชุดนั้นทำให้หญิงสาวไม่สามารถระงับวาจาเผ็ดร้อนไว้ได้อีกต่อไป

“นี่คุณคะ ที่ฉันตกลงไปนั่นเพราะใครล่ะถ้าไม่ใช่เพราะคุณ เล่นใส่ชุดดำแล้วมายืนซุ่มเงียบๆใต้ต้นไม้แบบนั้นใครเห็นใครก็ต้องตกใจ ยิ่งเพิ่งจะเห็นผู้หญิงในชุดโบราณเดินลับหายไปด้านโน้นอยู่ด้วย” และเพราะประโยคสุดท้ายนั้นเอง เจ้าของร่างสูงใหญ่และนัยน์ตาสีดำสนิทจนออกประกายม่วงยกมือขึ้นจับต้นแขนเธอไว้ทันที

“ว่ายังไงนะ เห็นผู้หญิงงั้นเหรอ”

“ปล่อยได้แล้ว...” ไม่พูดเปล่า ร่างเปรียวสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนแข็งแรงนั้นด้วย แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจท่าทีของเธอ หากส่งคำถามออกมาด้วยความแปลกใจ

“ผมถามว่าคุณเห็นผู้หญิงในชุดโบราณงั้นเหรอ”

“ใช่ แล้วคุณจะอยากรู้ไปทำไม” มือเรียวบิดน้ำที่ปลายเสื้อตัวโคร่งจนน้ำไหลหยดเป็นทาง

“ก็ผมก็เดินตามผู้หญิงคนหนึ่งมาที่นี่แหละ พอมาถึงก็เห็นคุณนั่งอยู่บนกิ่งไม้ ผมเลยเดินเข้าไปดูใกล้ๆเผื่อว่าจะใช่ผู้หญิงคนนั้น แต่มองๆ ไปคุณก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าโบราณ ก็เลยคิดจะย่องกลับเงียบๆ ไม่อยากรบกวนเพราะเห็นว่ากำลังจดอะไรยิกๆ อยู่ แต่คุณก็หันกลับมาพอดี แล้วก็...ตูม...ตกน้ำไปแล้ว”

ร่างบางเริ่มห่อตัวด้วยความหนาว ฟังเริ่มกระทบกันดังกึกๆ ชายหนุ่มปริศนาจึงคว้าเอาเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่สีดำที่วางอยู่โคนต้นไม้มาคลุมให้และเรื่องที่สนทนาค้างเอาไว้ก็ถูกพับเก็บชั่วคราว

“เอ้า เอานี่ไปใส่ก่อน”

“จะดีเหรอ แล้วคุณจะใส่อะไรล่ะ” คราวนี้น้ำเสียงอ่อนลงมาก ดวงตาคมหวานกวาดขึ้นลงทั่วร่างกำยำที่บัดนี้อยู่ในเสื้อยืดแขนสั้นสีดำอีกเช่นกันเพียงตัวเดียว

“ที่ที่ผมเคยอยู่หนาวกว่านี้เยอะ แล้วผมก็เปียกน้ำแค่ไม่ถึงอกด้วยซ้ำ คุณน่ะสิ...เปียกทั้งตัวเลย” และเมื่อฝ่ายเสนอ เสนอให้ตรงๆ มาธวีกลับคว้าเสื้อเอาไว้โดยปราศจากท่าทีเกรงใจหรือขวยอายด้วยจริตสาว

“งั้นก็ดีแล้ว ขอบคุณนะคะ ฉันกำลังหนาวพอดี” หญิงสาวถอดเสื้อกันหนาวตัวที่โชกน้ำออกวางไว้บนพื้นหญ้าข้างตัวและสวมเสื้อตัวใหญ่โคร่งทับพลางติดกระดุมให้มิดชิด ก่อนที่จะหันหลังให้ ขยับตัวและถอดเอาเสื้อเชิ้ตตัวบางที่ชุ่มน้ำไม่ผิดกันออกมา ทำเอาคนแอบอมยิ้มกับท่าทีง่ายๆ สบายๆ แบบนั้น

“นี่คุณจะไม่เกรงใจผมหน่อยเหรอ ผู้ชายคนหนึ่งยังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้นะ”

“ฉันมั่นใจว่าถอดได้โดยที่ไม่น่าเกลียดแน่นอน แต่ถ้าจะกรุณาช่วยหันหลังให้หน่อยก็ดี” คนพูดพูดด้วยท่าทีไม่รู้สึกรู้สาอะไร จนอีกฝ่ายต้องถอนหายใจก่อนที่จะหันหลังให้ตามคำขอเป็นเชิงยอมแพ้ เสียงสวบสาบดังออกมาจากดงหญ้าข้างทาง แล้วร่างของธีระวิทย์ก็โผล่พรวดออกมาเมื่อมาธวีจัดการกับตัวเองจนเกือบจะเรียบร้อยดีแล้ว

“พี่เม่น...เป็นอะไรมากหรือเปล่า ผมอยู่ตรงโน้นเห็นพี่ตกน้ำพอดี” ชายหนุ่มรุ่นน้องกระหืดกระหอบวิ่งมาจากอีกด้านของสระน้ำขัดจังหวะบทสนทนาของทั้งคู่

“ไม่เป็นไร พลาดตกน้ำเฉยๆ คุณคนนี้เขามาช่วยเอาไว้” นิ้วบอบบางที่ไม่น่าจะเป็นมือของนักโบราณคดีกลัดกระดุมเม็ดสุดท้าย

“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยพี่ผมไว้... อ้าว คุณธนานี่เอง คิดว่าหนุ่มที่ไหน” ท้ายประโยคกลายเป็นคำอุทานอย่างแปลกใจ

“สวัสดีครับ คุณที นี่พาพี่สาวมาเดินเล่นหรือ” ดูน้ำเสียงช่างเป็นกันเองกับนักโบราณคดีหนุ่มอย่างเห็นได้ชัด

“เปล่าครับ นี่พี่เม่น มาธวี หัวหน้าผมเองน่ะครับ เขาจะมาเริ่มงานแล้ว ผมเลยพาเขามาเดินดูรอบๆสถานที่”

“อ๋อ...หัวหน้างานนี่เอง ผมชื่อธนาจากเอ็นพีเอชดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณมาธวี แต่ว่าตอนนี้กลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว เดี๋ยวเป็นปอดบวมไปล่ะแย่เลย จะค่ำแล้วนะเนี่ย เอ้า...อย่าลืมกระเป๋ากับกล้อง” ธนาส่งของของเธอมาให้ พลางออกคำสั่งเป็นชุดด้วยท่าทีของคนคุ้นเคยกับการจัดการและออกคำสั่ง แม้จะนึกหมั่นไส้เล็กน้อยแต่มาธวก็อดที่จะรู้สึกถึงความเป็นห่วงเป็นใยในน้ำเสียงนั้นไม่ได้ ดูทีหรือ...ขนาดของของเธอเขายังเป็นห่วง เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ดวงตาดำคมก็เบิกกว้าง เสียงอุทานด้วยความตกใจลอดออกมาจากริมฝีปากรูปสวยที่เริ่มสีจางลงด้วยความหนาวเย็นที่ร่างกายได้รับ

“ตายแล้ว ไดอารี่ของฉัน” ร่างบางวิ่งกลับไปยังริมสระน้ำ มองเห็นสมุดของเธอลอยอยู่ไม่ห่างจากฝั่งนัก

“โหย...ลูกรักของแม่ นายที...ช่วยลงไปเอาให้เจ๊หน่อยสิ”

“พี่เม่นครับ หนาวจะตาย น้ำก็เย็น พี่เปียกไปแล้ว ลงไปอีกรอบไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก กระผมยังตัวแห้งอยู่ยังไม่อยากจะเปียกครับ”

“อะไรกัน ซีเนียริตี้คืออะไรน่ะ รู้จักมั้ย...พี่เชื้อสั่ง เมินเฉยได้ยังไง”

“รู้พี่...แต่เราเลยวัยรับน้องมานานโขแล้วนะ อยู่ในโลกของความเป็นจริงหน่อย มันตกน้ำไปแล้ว ค่อยซื้อใหม่ก็ได้น่า เดี๋ยวผมซื้อให้สามเล่มเลยเอ้า”

“ที่เสียดายน่ะ ไม่ใช่สมุด...กลอนกับบทความของฉันทั้งนั้นนะที่สูญเสียไปนั่นนะ”

“ก็บอกแล้วว่าให้เขียนในคอมพิวเตอร์ เจ๊ก็ไม่ยอม บอกว่าไม่ได้อารมณ์ แล้วเป็นยังไงล่ะ...”

“นี่คุณธนา คุณช่วยฉันอีกรอบได้ไหมคะ ในฐานะที่คุณทำให้ฉันตกใจจนตกลงไปในน้ำ” เมื่อบังคับรุ่นน้องไม่ได้ หยิงสาวคนเดียวในที่แห่งนั้นจึงหันมาหาที่พึ่งอีกคนหนึ่ง ชายหนุ่มในชุดดำมองตอบดวงตาคมกล้าของสาวห้าวด้วยดวงตาที่แฝงเอารอยยิ้มเอาไว้เต็มเปี่ยม ผู้หญิงคนนี้กล้าขอร้องตรงๆ ให้เขาซึ่งเป็นเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับเธอช่วยเหลือโดยไม่มีชั้นเชิง

เขานิยมคนแบบนี้ และอยากให้ความช่วยเหลืออยู่หรอก เพียงแต่ว่า...

“เอ่อ...คือผมไม่ค่อยชอบน้ำเท่าไหร่ ยิ่งสระน้ำที่มีโคลนเลนอย่างนี้อีก เมื่อครู่นี้ผมตกใจมากไปหน่อยกลัวว่าคุณจะจมน้ำเลยถลารวดเดียวถึงตัวเลย”

เมื่อไม่มีใครช่วยเหลือและตัวเองก็ไม่อยากลงไปเปียกให้ต้องหนาวอีกรอบ มาธวีจึงได้แต่มองตามไดอารี่ที่ลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำห่างจากตลิ่งพอประมาณด้วยความเสียดาย

“ไปเถอะพี่ เดี๋ยวป้าแม้นรายงานพฤติกรรมให้นายแม่ฟังนะ ว่ามาถึงวันแรกก็กลับบ้านผิดเวลาแล้ว แถมยังซนจนตกน้ำตกท่าอีก ไปก่อนนะครับคุณธนา”

ชายหนุ่มยิ้มให้กับร่างสองร่างที่เดินลับตาไป หรือจะพูดให้ถูกก็คือชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่ากึ่งลากกึ่งจูงแม่สาวหน้าใสคนนั้นให้เดินตัดพงหญ้ากลับไปยังตัวหมู่บ้าน ฝ่ายหญิงยังแสดงอาการอิดออดไม่อยากกลับเพราะยังไม่ได้ของรักคืน หากต้านทานแรงของคนลากที่ถูกครอบงำด้วยความหิวไม่ได้

ธนาเหลือบมอง ‘ของรัก’ ของแม่สาวหน้าใสที่ลอยอยู่ในน้ำ ครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะหยิบเอากิ่งไม้ที่วางทิ้งอยู่ในพงหญ้าออกมาเขี่ยสมุดเล่มนั้นให้เข้ามาใกล้ฝั่ง หลังจากเขี่ยไปเขี่ยมาสักพักวัตถุนั้นก็ลอยเข้ามาในระยะที่แขนยาวๆ จะเอื้อมถึง นิ้วเรียวหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมาเปิดดู กระดาษด้านในเปียกชุ่มหากยังพออ่านออกว่าเจ้าของเขียนอะไรลงไปบ้าง ไม่เป็นไร...เขาจะเอาไปตากแห้งให้เจ้าหล่อนเอง และถ้ามีเวลาว่าง อาจจะแถมบริการคัดลอกใหม่ให้ด้วย

ในขณะที่กำลังจะหมุนตัวกลับ ชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นเสื้อเชิ้ตตัวบางชุ่มน้ำวางอยู่บนพื้นหญ้า นี่แม่ตัวดีคงจะหยิบกลับไปแค่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่โดยเผลอวางเสื้อตัวนี้ทิ้งไว้กระมัง ท่าทางจะต้องเอาไปซักให้แล้วตากให้แห้งพร้อมๆ กับสมุดไดอารี่เล่มนั้นเลยก็ได้ ริมฝีปากหยักได้รูปแย้มออกด้วยความขัน นี่ถ้าเป็นคนหลงตัวเองเสียหน่อยก็คงจะคิดว่าแม่สาวคนนั้นให้ท่าเขาเป็นแน่แท้ ไหนจะเปลี่ยนเสื้อต่อหน้าต่อตา ไหนจะทิ้งของเอาไว้ดูต่างหน้ามากมายขนาดนี้

‘เราได้เจอกันอีกแน่ มาธวี’ ธนาคิดอย่างครึ้มอกครึ้มใจ แม้ว่าเธอจะไม่ได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่แสดงออกถึงความเป็นหญิงอย่างชัดเจน หากร่างบางในอ้อมกอดยามที่เขาและเธออยู่ในน้ำนั้นช่างสร้างความรู้สึกวูบวาบแบบแปลกๆได้ดีเหลือเกิน

รอยยิ้มเจ้าเสน่ห์จุดประกายให้ใบหน้าได้รูปนั่นอีกครั้ง เมื่ออยู่ที่อังกฤษ ผู้หญิงส่วนมากที่รู้จักเขาได้มอบตำแหน่งพ่อมดเจ้าเสน่ห์ให้เขา ค่าที่เขาสามารถใช้คำพูดและท่าทีทำให้สาวๆ โอนอ่อนผ่อนตามได้อย่างง่ายดาย...นี่ก็คงจะถึงเวลานำเอาคุณสมบัตินั้นออกมาใช้อีกกระมัง ผู้หญิงคนนี้ท่าทางไม่เหมือนคนอื่นเสียด้วย ดูใส บริสุทธิ์ เป็นธรรมชาติแบบไม่ต้องปรุงสีเจือรส ห้าวหาญ และมีเอกลักษณ์ในตัวอย่างประหลาด เห็นทีจะต้องทำความรู้จักให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว

น่าสนใจ....แม่กวางน้อย หวังว่าเจ้าคงจะไม่ตื่นตระหนกหนีไปเสียก่อน บางที...เขาอาจจะไม่ได้ต้องการเพียงแค่เพื่อนแก้เหงาธรรมดาก็ได้ ใครจะรู้

ห่างออกไปในดงไม้...เสียงทอดถอนใจดังแว่วมา พร้อมเสียงรำพึงแผ่วเบา
‘คงช่วยได้เพียงแค่เร่งการณ์ให้พบกัน...หากมากกว่านั้น คงต้องแล้วแต่พรหมลิขิตและบุญทำกรรมแต่ง’

เสียงร้องระงมด้วยความทุกข์ทรมานดังขึ้นราวกับจะตอบรับคำพูดนั้น เพียงแต่ว่า...มันเป็นได้เพียงแค่เสียงเพรียก ที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้ยลยินมานานแสนนาน

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ในรอยบรรพ์ - ตอนที่ 1

บทที่ 1
ม่านสีขาวบางเบาพลิ้วไหวเป็นระลอกก่อนที่จะปลิวตามแรงลมที่กรรโชกแรงจนบานหน้าต่างของบ้านเรือนไทยกลางสวนชานเมืองแทบจะหลุดจากตะขอที่เกี่ยวเอาไว้ ท้องฟ้าคืนขึ้นสิบห้าค่ำที่สมควรจะกระจ่างด้วยแสงจันทร์กลับมืดมิดด้วยกลุ่มเมฆหนาทึบ เสียงหรีดหริ่งเรไรที่เคยร้องระงมทั่วบ้านสวนเงียบสนิทราวกับจะหยุดรอ ‘บางสิ่งบางอย่าง’หากร่างที่นอนอยู่บนเตียงยังตกอยู่ในห้วงนิทราอย่างยากที่จะถอนตัวออกมาได้

“ไม่...เราไม่ไป ไม่ไปที่นั่นอีกแล้ว”

ริมฝีปากบางขยับเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะเปล่งเสียงออกมาแผ่วเบา คิ้วเรียวโก่งราวคันศรขมวดมุ่น เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดพราวบนหน้าผาก ดวงหน้างามละมุนเริ่มกระสับกระส่ายราวกับตกอยู่ในความทุกข์ทรมานใจอย่างแสนสาหัส

“ไม่...ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากเห็นอะไรทั้งนั้น” หยาดน้ำตาไหลซึมออกมาจากดวงตาคู่ที่ปิดสนิท จนหมอนที่รองรับศีรษะได้รูปเปียกน้ำเป็นดวงๆ มือเรียวบางและท่อนแขนเนียนยกขึ้นมาเพื่อไขว่คว้า หากสิ่งที่จับต้องได้คือความว่างเปล่า

“อย่า...อย่าทำนะ ศศลักษณา ไม่...ไม่” ร่างบางผลุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกรีดร้องออกมาดังลั่น ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นหอบหายใจถี่อย่างเหนื่อยอ่อน อีกครั้งแล้วหรือ...ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเธอมาตั้งแต่จำความได้
ลมฝนที่ตั้งเค้าเมื่อครู่หยุดไปทันควัน เมฆที่บดบังดวงจันทร์เริ่มจางหาย ดวงตาแห่งยามราตรีเริ่มสาดฉายแสงทองอีกครั้ง เสียงกุกกักดังขึ้นจากห้องข้างๆ และมาหยุดที่หน้าประตูห้อง เสียงเคาะประตูรัวถี่ดังขึ้น

“เม่น...เป็นอะไรหรือเปล่าลูก เปิดให้แม่เข้าไปหน่อยได้ไหม” น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน

“เม่นไม่เป็นอะไรหรอกค่ะแม่ แค่ฝันร้ายนิดหน่อยเหมือนเดิม แม่ไปนอนเถอะค่ะ” ‘มาธวี พิทักษ์ธรรม’ หญิงสาวเจ้าของห้องร้องบอกมารดาเชิงตัดบท หากอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ยอมง่ายๆ

“ขอแม่เข้าไปเถอะ แม่เป็นห่วง ช่วงนี้ฝันบ่อยเหลือเกินนี่เรา”

ร่างที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆลุกขึ้นจากเตียง ผ้าห่มแพรเนื้อบางเบาเลื่อนหลุด เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งที่อยู่ในชุดนอนแบบผู้ชาย องค์ประกอบอื่นเช่นผมซอยสั้นระต้นคอ ท่าทางคล่องแคล่วและผิวสีงาช้างเนียนละมุนยิ่งทำให้มองเผินๆ ราวกับเจ้าของร่างเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่ง ขัดกับคำพูดคำจาอ่อนหวานคะขาที่ส่งโต้ตอบกับมารดาอยู่เมื่อครู่เสียเหลือเกิน มาธวีเปิดสวิตซ์โคมไฟที่ทำมาจากหวายสานบนตั่งตัวเตี้ยๆที่วางอยู่ติดหัวเตียงพลางเดินไปยังประตูบานใหญ่ที่ลั่นดาลอยู่ ประตูหนาหนักถูกเปิดออกกว้าง ณ ที่นั้น ‘มัทนา’ หญิงวัยกลางคนในชุดนอนตัวยาวยืนอยู่ด้วยสีหน้ากังวล

“อาทิตย์นี้ฝันร้ายทุกวันเลยนะลูก แล้วอย่างนี้จะรับงานไกลบ้านได้หรือ แม่กลัวว่าเราจะไปทำให้ลูกน้องตื่นตกใจเสียเปล่าๆนะสิ” ผู้เป็นมารดาเป็นฝ่ายเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาด้วยความเป็นห่วง แล้วเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเตียงไม้ที่ปูด้วยฟูกและผ้าคลุมฝ้ายทอมือ พลางเพ่งพิศดวงหน้างามละมุนที่ปรากฏริ้วรอยอิดโรยของลูกสาวภายใต้ไฟสีเหลืองอำพัน

“ได้สิคะ...งานก็ส่วนงาน ความฝันก็ส่วนความฝัน เม่นไม่เอามาปะปนกันหรอก ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าเม่นจะไม่เคยไปไกลจากบ้าน”

เมื่อตั้งตัวติดหญิงสาวที่ดูอ่อนแอและหวั่นไหวไปกับความฝันก็กลายมาเป็นผู้มีบุคลิกแห่งความเป็นผู้นำที่ฉายชัดออกมาอีกครั้ง มัทนาถอนใจยาวก่อนที่จะลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน ใช่..ในฐานะนักโบราณคดี มาธวีต้องออกไปทำงานไกลบ้านไกลเมืองอยู่บ่อยครั้ง และเธอก็ควรจะคุ้นเคยกับหน้าที่การงานของบุตรีเสียที หากเธอไม่เคยลบล้างความกังวลใจออกไปได้ ยิ่งครั้งนี้...ความกังวลใจของเธอยิ่งทบทวี เนื่องเพราะอาการฝันร้ายของลูกสาวนั้น ยิ่งถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นตามวัย

ตั้งแต่สามีของเธอเสียชีวิตไป มาธวีก็ต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อดูแลทั้งตัวเองและมารดาตั้งแต่ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น มาบัดนี้เธอเติบโตเป็นหญิงที่ดูแกร่ง ฉลาด ทันคน และสามารถคุมคนงานในไซต์ขุดค้นทางโบราณคดีและบริหารงานด้านการจัดการของบริษัทที่เธอเป็นหุ้นส่วนอยู่ได้อย่างมั่นคงสง่างาม หากคนเป็นแม่เท่านั้นถึงจะรู้...รู้โดยที่เจ้าตัวไม่เคยปริปากบอก แม้ภายนอกมาธวีจะแกร่ง หากภายในใจนั้นลูกสาวของเธอเปราะบาง และต้องการคนที่จะเป็นที่พึ่งพิงได้เป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เมื่อเธอมีปัญหาที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ปัญหาที่ไม่มีใครแก้ไขได้แม้แต่จิตแพทย์....ความฝันที่ซ้ำๆกันทุกคืน

“ผมตรวจเช็คอาการลูกสาวคุณดูแล้วนะครับ แกก็ปกติดีทุกอย่าง ขอยอมรับว่าจนปัญญาจริงๆ” จิตแพทย์ชั้นนำของประเทศที่เธอตัดสินใจพาลูกสาวเข้าพบให้ข้อสรุป และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอพึ่งพิงการรักษาทางด้านวิทยาศาสตร์

“แต่ดิฉันว่าไม่ธรรมดาแน่ๆ ค่ะ ใครที่ไหน จะฝันซ้ำ ๆ ถึงสถานที่เดียว หรือคนกลุ่มเดียวได้แทบทุกคืน” มัทนาแย้งเสียงอ่อนด้วยความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ การที่ต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ในคราเดียว และยังต้องดูแลบ้านสวนและกิจการค้าต้นไม้อีกนั้น ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย

“คุณมัทเคยพาหนูเม่นไปเที่ยวตามสถานที่ที่ทำให้แกเก็บภาพมาฝังจำในอนุสติส่วนลึกหรือเปล่า อย่างเช่นโบราณสถาน หรือว่าภาพยนตร์เรื่องที่ใช้รุนแรง”

“ไม่เคยแน่ค่ะ” ผู้เป็นแม่ยืนยันมั่นเหมาะ นายแพทย์วัยกลางคนถอนใจยาว

“ผมรู้ว่าในฐานะที่ผมเป็นบุคคลที่ทำงานในสาขาที่เชื่อในเหตุและผลที่พิสูจน์ได้ ผมไม่ควรจะแนะนำในสิ่งที่ผมกำลังจะแนะนำต่อไปนี้ แต่ในฐานะที่ผมรักษาหนูเม่นมาแต่เล็กแต่น้อยจนเห็นแกเป็นเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง ก็คงจะขอพูดในฐานะคนรู้จักก็แล้วกัน ผมว่า...คุณมัทน่าจะพาหนูเม่นเข้าวัดปฏิบัติธรรมดูนะครับ บางทีอาจจะช่วยได้ อย่างน้อยก็ทำให้จิตใจสงบ และมีสติถึงพร้อม สามารถบังคับจิตใจของตัวเองได้”
ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า...มัทนาพาลูกสาวเข้าวัดปฏิบัติธรรมตั้งแต่มาธวียังไม่ใช้คำนำหน้าว่านางสาว หากฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนยังไม่ลางเลือนไป สิ่งที่มาธวีเคยเห็นเป็นห้วงๆ เริ่มปรากฏเป็นเรื่องราวที่ชัดเจนยิ่งขึ้น จากเดิมที่มีแต่ความมืด ภาพอันลางเลือน และเสียงปริศนา ก็กลับกลายมาเป็นภาพที่ต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลา การเข้าหาธรรมะไม่ได้ทำให้ฝันเหล่านั้นหายไป แต่สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาจากการปฏิบัติธรรมก็เห็นจะเป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความฝันที่กดดันจิตใจโดยไม่ทรมานมากจนเกินไป

“วันนี้เม่นเห็นอะไรจ๊ะลูก” มัทนาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เพราะที่ผ่านมามาธวีมักจะฝันถึงเหตุการณ์เดิมซ้ำซากไปมา

บางครั้งเธอฝันถึงกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบที่เชือดคอตัวเองจนเลือดกระฉูดเกิดเป็นกลิ่นคาวคละคลุ้งและเสียงเรียกร้องขอความช่วยเหลือระงม เลือดแดงฉายสาดกระเซ็นบนเส้นหญ้ารอบ ๆ ตัวเธอ ดวงตาของซากศพที่ศีรษะเกือบขาดเหล่านั้นเหลือกถลนเป็นภาพอันติดตา

บางครั้งเธอฝันเห็นผู้คนป่วยล้มตายในสภาพที่ทรมานแสนสาหัสที่คนเป็นก็ดูไม่ต่างอะไรไปจากซากศพ ผู้คนผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูก ใบหน้าซีดจนเขียว ดวงตาฉายแววเจ็บปวดแสนสาหัส

และบางครั้งเธอก็ฝันว่าเห็นสายน้ำหลากวนทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าและดึงเธอให้จมลงสู่ความว่างเปล่าเบื้องล่าง อึดอัด ทรมาน หาที่เปรียบไม่ได้

หากวันนี้ความฝันผิดแผกออกไป หรือนี่จะเป็นต้นเหตุแห่งเรื่องทั้งปวง...

“เม่นเห็นผู้หญิงค่ะ ผู้หญิงคนที่เม่นเคยเล่าให้แม่ฟังว่าเคยพาเม่นเข้าไปในเมืองแห่งหนึ่ง เป็นเมืองที่สร้างด้วยอิฐดินเผา แต่ตัวเสา คาน และฝาผนังของสิ่งก่อสร้างบางที่เป็นไม้ สวยแปลกตา ไม่เหมือนศิลปะแบบที่เม่นเคยเรียนมาเลยสักที่ แต่ดูลักษณะสิ่งก่อสร้างแล้วน่าจะเป็นเมืองอยู่ทางเหนือนะคะ เม่นเดินตามผู้หญิงคนนั้นเข้าไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เม่นฝัน เม่นก็เดินลึกเข้าไปทุกทีๆ จนกระทั่ง...เมื่อครู่นี้เอง ผู้หญิงคนนั้นเขาพาเม่นเดินลึกเข้าไปในสวนด้านหลัง กว้างขวางสวยงามมาก เต็มไปด้วยดอกไม้หอมสีขาว ที่ศาลาไม้ที่มีเสาโคมแกะสลักเป็นรูปนกหรือหงส์นี่แหละ มีที่นั่งยาวเหยียด มีกลองวางตั้งเป็นแถวเป็นแนว แล้วก็มีเสียงกระซิบบอกเม่นว่าที่เห็นอยู่นั้นคืออุทยานหลวง”

“แล้วเม่นเคยคุยกับผู้หญิงคนนั้นบ้างไหมลูก” มัทนาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง กึ่งใคร่ครวญ

“ไม่เคยค่ะ เม่นพยายามลองคุยด้วยหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่ยอมพูดด้วย”

ผู้เป็นมารดาทอดถอนใจ เธอเคยคิดจะพาลูกสาวเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเข้ารับการรักษาโดยใช้การสะกดจิตระลึกชาติหรือที่เรียกว่า ‘Reincarnation Therapy’ เพื่อหาสาเหตุที่มาที่ไปของความฝันอันแปลกประหลาดนั้น แต่ก็เป็นฝ่ายลูกสาวเองนั่นแหละที่ปฏิเสธอย่างแข็งขัน

‘ไม่เอานะ เม่นไม่ลองหรอก รู้ไปก็เท่านั้น ที่เราเป็นอย่างทุกวันนี้ก็เพราะมีสาเหตุ รู้ไปเม่นก็แก้เรื่องราวที่ผ่านมานานแล้วไม่ได้หรอกค่ะ’

จะทำอย่างไรได้นอกจากปล่อยให้เลยตามเลย สิ่งที่เธอทำได้ก็คือคอยให้กำลังใจในยามที่ลูกสาวตื่นกลัว และคอยทำทุกอย่างเพื่อให้มาธวีรู้สึกสบายใจในยามตื่น อย่างน้อยลูกสาวของเธอก็จะได้มีความสุขในขณะหนึ่ง เธอตัดสินใจที่จะ ‘ปล่อยวาง’ กับอาการที่ไม่ปกตินี้

เสียงเล่าถึงความฝันของลูกสาวเรียกให้มัทนาหันมาตั้งใจฟังอีกครั้ง

“เม่นเดินไปที่ริมสระแล้วเม่นก็เห็นเขากำลังนั่งเรือออกไปกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แต่งตัวคล้ายกัน เม่นมองไม่เห็นหน้าเพราะเขาหันหลังให้เม่น แต่เขาเรียกผู้หญิงคนแรกที่เดินนำเม่นเข้าไปในเมืองลึกลับว่า...ศศลักษณา ”

มัทนา นิ่งอึ้งไปกับเรื่องราวที่ได้ยิน ส่วนมาธวีก็เล่าเรื่องราวต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“แล้วศศลักษณา ก็เรียกผู้หญิงอีกคนว่าพิมลพักตรา” ตัวคนเล่าเองก็รู้สึกสะดุดหูกับชื่อนั้นอีกครั้ง ‘พิมลพักตรา’ เหตุใดหนอ...เธอจึงรู้สึกเหมือนเคยคุ้นกับชื่อนี้อย่างบอกไม่ถูก หากหญิงสาวก็ตัดใจ และเล่าความฝันให้มารดาฟังต่อไป

“เม่นเป็นเหมือนผู้สังเกตการณ์คนหนึ่ง สองคนนั้นทำท่าเหมือนเม่นเป็นอากาศธาตุ ศศลักษณาเขา...เริ่ม ก่นด่าพิมลพักตราอยู่ฝ่ายเดียว แล้วเป็นไงมาไงไม่ทราบ จู่ๆ เขาก็คว่ำเรือไปเสียอย่างนั้น ตัวเขาเองคงจะว่ายน้ำเป็นหรอกค่ะ ส่วนพิมลพักตรากลับจมน้ำลงไป แล้ว....” ท้ายประโยคเสียงขาดหายไปด้วยความรู้สึกแปลกๆที่เอ่อท้นขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ “แล้ว...ก็ไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย”

เสียงแหบแห้งของมารดาขัดจังหวะการเล่าเรื่องของมาธวี

“เม่น...เม่นคิดว่าที่เม่นเคยฝันว่าเม่นโดนสายน้ำดึงลงไปเรื่อยๆ ทรมาน หายใจไม่ออกนี่...มันมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้หรือเปล่าลูก”

“เม่นไม่รู้ค่ะแม่ เม่นไม่รู้จริงๆ” มาธวีรู้สึกราวกับน้ำตาจะรินไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้

“ยิ่งเม่นบอกว่าเมืองที่เห็นมีลักษณะศิลปะค่อนไปทางเหนือ แม่ก็ยิ่งไม่อยากให้เม่นขึ้นไปทำงานที่นั่นเลย...แม่สังหรณ์ใจว่าถ้าเม่นไป อาการฝันร้ายของเม่นอาจจะแย่ยิ่งกว่าเดิม หรือไม่มันก็จะไม่เป็นแค่ฝันอีกต่อไปน่ะสิลูก”

“ก็ดีสิคะแม่...เม่นรอมานานแล้ว รอเวลาที่เรื่องราวทุกอย่างจะเปิดเผยเสียที” ดวงตาของมาธวีเปล่งประกายประหลาด “เม่นรู้สึกว่า เวลาที่เม่นรอคอย กำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้แล้วค่ะ”
.
.
.

ห่างออกไปอีกซีกโลกหนึ่ง ชายหนุ่มร่างสูงผมดำหากใบหน้างดงามไร้ที่ติยิ่งกว่าสตรี ในชุดเสื้อไหมพรมตัวหนาและกางเกงยีนสีเข้มนอนเอนอยู่บนโซฟาตัวยาว และกำลังตกอยู่ในห้วงนิทรารมณ์ไม่ต่างอะไรกับคนในแดนมาตุภูมินักแม้ว่าดวงตะวันภายนอกหน้าต่างจะยังขึ้นสูงตรงศีรษะให้ความสว่างแก่มหานครแห่งสหราชอาณาจักร ใบหน้าขาวจัดขยับส่ายไปมาเล็กน้อย เหงื่อไหลซึมตามไรผมทั้งที่อากาศภายในห้องยังต่ำกว่ากว่ายี่สิบองศาเซลเซียสเสียด้วยซ้ำ เปลือกตาทั้งคู่ไหวระริกราวกับเจ้าตัวตกอยู่ในห้วงฝันอย่างล้ำลึกยากจะถอนอนจิตออกมาได้ หากเสียงดนตรีที่แผดขึ้นดังลั่นจากเครื่องเสียงที่อยู่ห่างออกไปอีกมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่นกลับทำให้ดวงตาสีดำสนิทจนดูเหมือนมีประกายสีม่วงแวววาวอยู่ในนั้นปรือขึ้น ก่อนที่ร่างสูงแข็งแกร่งจะผลุดลุกขึ้นและคว้าเอาหมอนใบใหญ่โยนลงไปบน ‘ตัวการ’ ที่สร้างเสียงรบกวนอย่างแม่นยำ

“นี่ แอนดรูว์ ฉันบอกให้แกเงียบๆ หาของกินเล่นไปก่อน ขอนอนพักสักงีบ เมื่อคืนนั่งอ่านรายงานที่เขาส่งมา กว่าจะได้หลับก็เกือบเช้าแล้ว รอให้ฉันตื่นค่อยคุยเรื่องงานกัน ไม่ได้บอกให้จู่ๆ ก็มาเปิดเพลงปลุกอย่างนี้ เกรงใจเจ้าของแฟลตบ้างสิวะ”

น้ำเสียงห้าวมีร่องรอยฉุนจัด มือแข็งแรงข้างหนึ่งยังถือหมอนอิงอีกใบเอาไว้เป็นอาวุธ เหงื่อเม็ดเล็กๆ เกาะเต็มหน้าผากได้รูป คิ้วหนาหากโก่งได้รูปโดยไม่ต้องอาศัยมีดโกนขมวดมุ่นราวกับคนที่ ‘อารมณ์ค้าง’ กับบางสิ่งบางอย่าง ทำให้แอนดรูว์หนุ่มเมืองผู้ดีผู้ก่อเสียงรบกวนในครั้งนี้ยิ้มเก้อๆ ก่อนที่จะรีบเอ่ยคำขอโทษออกไปด้วยกลัวว่า คนที่กำลังหัวเสียอยู่ตรงหน้าจะอาละวาดยกใหญ่ให้ต้องเสียเวลาทำงานทำการ จะเสี่ยงได้อย่างไรล่ะ...เพื่อนเขาคนนี้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเคียงบ่าเคียงไหล่ในการทำงานมาตั้งแต่พวกเขายังเปิดบริษัทเล็กๆ ไม่เป็นที่รู้จักเสียด้วยซ้ำ เกิดหงุดหงิดพาลพาโลไม่ยอมทำงานขึ้นมา ภาระหนักก็คงจะตกที่เขาคนเดียว

และเพราะเขารู้ดีอีกเช่นกัน....ในยามเล่น โทนี่ หรือ ธนา จิตราพิสุทธิ์ อาจจะช่างหยอกล้อ และเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันไม่ต่างอะไรจากหนุ่มอารมณ์ดีคนหนึ่ง หากยามเอาจริงเอาจัง โทนี่ ก็ไม่เคยอ่อนข้อให้ใคร และก็ไม่มีใครในบริษัทกล้าทำให้เขาอารมณ์เสีย เห็นหน้าสวยราวกับรูปสลักของเทวดาแห่งตะวันออกอย่างนั้นก็เถิด เวลาโมโหขึ้นมานั้นไม่มีใครบังอาจต้านแรงพายุและรังสีอารมณ์ของชายหนุ่มวัยเพิ่งจะขึ้นเลขสามตรงหน้าได้เลยสักครั้ง

“ขอโทษ ๆ ๆ ก็แหม...ไม่ได้ตั้งใจ เห็นแกส่ายหน้าไปมาบ่นอะไรพึมพำ ฉันก็คิดว่าตื่นแล้ว ตกลงแกฝันร้ายอีกแล้วเหรอ” ร่างสูงชะงักไปก่อนที่จะตอบออกมาช้าๆ ชัดๆ

“อื่ม...ใช่ ฝันเหมือนเดิมนั่นแหละ แปลกมาก ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย เพิ่งจะเป็นตอนมาเปิดบริษัทกับแก” คนที่ถูกปลุกกลางคันบ่นออกมาเบาๆ

“ไม่ถูกโรคกับโบราณคดีล่ะสิ” แอนดรูว์เริ่มแหย่เมื่อรู้สึกว่าคนที่พูดด้วยไม่ได้โมโหโกรธาอย่างที่คิด “นายทำงานบริษัททัวร์มาตั้งนานไม่เห็นเป็นไร พอย้ายมาร่วมทำงานกับฉันก็เกิดอาการเลย ถ้าคิดจะถอนหุ้นออกจากเอ็นพีเอชดี ก็รีบบอกนะ มีคนรอเสียบอีกเพียบ บริษัทเรากำลังขาขึ้นพอดี”

หนุ่มผมสีน้ำตาลตาสีเขียวเพื่อนรักของธนาเอ่ยถึงบริษัท National Pride Heritage Development Co. Ltd ซึ่งเป็นบริษัทที่รับอนุรักษ์และจัดการพัฒนาแหล่งโบราณสถานให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง โดยใช้หลักทางการท่องเที่ยวและการบริหารจัดการมาช่วยดำเนินงาน ถ้าหากใช้บริการของ เอ็นพีเอชดีแล้ว ผู้ว่าจ้างไม่ต้องกระดิกตัวทำอะไรมากมาย นอกจากส่งคนมารับช่วงทำงานที่พวกเขาวางรากฐานเอาไว้ให้อย่างมั่นคงเพียงเท่านั้นเอง

“จะบ้าหรือไง ก็บอกแล้วว่าฉันรักงานนี้จะตาย” ธนารำพึงออกมาเบาๆ “ที่ไม่ดีก็คือ ตั้งแต่มายุ่งกับเรื่องของเก่าๆ นี่ ฉันเริ่มฝันถึงผู้หญิงคนเดิมแทบทุกวันเลยมากกว่า”

“ใคร สวยไหม...สาวยุคสำริดหรือเปล่า เขาตามแกมาจากที่ไซต์มั้ง” แอนดรูว์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว

“ไม่ใช่ว่ะ ฉันว่าเขาดูเหมือนผู้หญิงตะวันออกนะ เครื่องแต่งกายแปลกมาก ไม่เหมือนที่เคยเห็นมาก่อน”
อาการคนพูดเริ่มเลื่อนลอย “ดูคุ้นๆ หน้าอย่างบอกไม่ถูกด้วย ในฝัน...เขาชอบมาพาฉันไปเที่ยวในเมืองอะไรก็ไม่รู้ สวยมาก ศิลปะแบบแปลกตา ฐานเป็นอิฐแต่ผนังเป็นไม้ เสาแต่ละเสานี่แขนคนโอบไม่รอบ สวยจริงๆ เห็นแล้วอยากขุดขึ้นมาพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชะมัด เสียดาย...ถ้าทำจากไม้จริงป่านนี้ก็คงจะไม่เหลือซากเสียแล้ว”

“ฝันซ้ำๆ กันทุกวันเลยเหรอ”

“เกือบทุกวัน เมื่อครู่นี้ก็ยังฝันอยู่เลย แต่ความฝันค่อยๆ มีเนื้อหาและรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทุกครั้ง” ธนากดนิ้วแรงๆ ตรงหว่างคิ้วเพื่อลดอาการตึงเขม็งลง “วันนี้ฝันว่าผู้หญิงคนนั้นพาไปที่สวนดอกไม้กว้างใหญ่ ตกแต่งสวยงาม เดินอยู่ดีๆ เขาก็เดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็กระซิบบอกว่าใกล้ถึงเวลาเต็มทีแล้ว ฉันต้องไปปฏิบัติภารกิจกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วเขาก็หายตัวไป ทิ้งให้ฉันยืนเคว้งอยู่คนเดียว สักพักก็เห็นผู้หญิงสองคนออกมาเก็บดอกไม้ในสวน ดูท่าทางจะเป็นเพื่อนรักกัน และหนึ่งในนั้นก็คือคนที่มาพาฉันเข้าไปในเมืองนั้นแหละ เพียงแต่ว่าดูอ่อนวัยกว่าที่เคยเห็นมาทุกครั้ง เธอเป็นผู้หญิงสวย สวยมาก...สวยจนใครๆ ที่ได้มองต้องหยุดสายตาไว้ที่เธอ”

“เหมือนในหนังไม่มีผิด แล้วแกทำยังไงต่อไป” แอนดรูว์ซักถามอย่างสนใจ

“.........”

ธนาตอบคำถามด้วยแววตาเลื่อนลอย และถึงแม้จะไม่มีคำตอบเปล่งออกมา เจ้าตัวกลับย้อนไปครุ่นคิดถึงสิ่งที่เห็นในห้วงฝัน เขาจ้องมองภาพนางทั้งสองอยู่สักพักสิ่งที่เห็นตรงหน้าก็จางหายไป โลกทั้งโลกดุจหมุนคว้างก่อนที่เขาจะกลับไปยืนเคว้งอยู่ในห้องกว้างขวางตกแต่งด้วยลายปูนปั้นและไม้สลักงามวิจิตร หญิงงามที่เขาเห็นจนเจนตาผู้นั้นหมอบอยู่ปลายห้องอีกด้านแต่ก็ยังไม่ไกลพอที่จะพรางสายตาอิจฉา ริษยา อาฆาตที่เปล่งออกมาจากแววตาเอาไว้ได้ สตรีเจ้าของร่างบอบบางอีกคนที่เขาเคยเห็นว่ายืนเก็บดอกไม้ในสวนกำลังหมอบกราบอยู่แทบเท้าบุรุษผู้หนึ่ง บุรุษร่างกำยำแบบนักรบในเครื่องทรงและผ้านุ่งปักดิ้นเงินและทองเป็นลวดลายอ่อนช้อยงามวิจิตรเกินกว่าที่จะเป็นเครื่องแต่งกายของสามัญชน บุรุษผู้ซึ่งน่าจะเป็นกษัตริย์หรือผู้ปกครองนครดังกล่าวเอื้อมท่อนพระกรเพื่อตระกองหญิงนางนั้นแนบอกแล้วเชยคางมนขึ้นเพื่อพิศใบหน้างามให้ชัดเจน

ธนาทอดถอนใจกับภาพที่ปรากฏในห้วงคำนึงอีกครั้งโดยไม่ได้ใส่ใจกับดวงตาเบิกโพลงของเพื่อนตาน้ำข้าวข้างกายเพราะยังจำได้สนิทใจว่าความรู้สึกในขณะที่ท่อนแขนกำยำของ ‘พ่อเมือง’ โอบรอบร่างบางนุ่มนิ่มของสตรีผู้นั้นในวงแขนมันเป็นเช่นไร ความรู้สึกของเขาในยามนั้นเปรียบประดุจหัวใจเต้นโลดอยู่ในอก รู้สึกอิ่มเอม ตื้นตัน ปลาบปลื้ม ตกอยู่ในห้วงรัก ราวกับเป็นบุคคลในภาพอดีตนั้นเสียเอง
หรือจะมีสายใยบางอย่างเชื่อมต่อระหว่างเขาและบุคคลในฝันเหล่านั้น....

“แม่นมาก...แกฝันแม่นมาก โทนี่เอ๋ย” เสียงอุทานของเพื่อนรักทำให้ภาพที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้งเลือนไป

“แม่นอะไรของแก” ชายหนุ่มเจ้าของแฟลตเกาหัวเบาๆด้วยไม่เข้าใจในกิริยาอาการของเพื่อนรักและหุ้นส่วนคนนี้

“อ้าว...ก็แกกำลังจะได้ไปบริหารจัดการการพลิกโบราณสถานให้เป็นแผ่นดินทองที่ตอนเหนือของประเทศสยามเมืองยิ้มสมดังคำบอกเล่าในความฝันน่ะสิ”

ตาคมเบิกกว้างด้วยรู้สึกเหมือนไม่คาดฝัน

“ไม่ต้องมาทำตกใจ...เลขาฉันเพิ่งจะโทรมาบอกนี่เอง ว่าสาขาในเมืองไทยลองเอาความสำเร็จของบริษัทเราไปนำเสนอเรื่องกับทางการ เขาเลยชักสนใจการพัฒนาแหล่งโบราณสถานโดยใช้บริการบริษัทเฉพาะทางมืออาชีพอย่างเอ็นพีเอชดีของเรา ได้ข่าวมาว่าการท่องเที่ยวของประเทศบ้านเกิดแกเขาจะบุกตลาดทางด้าน Cultural Tourism เพื่อทดแทนการท่องเที่ยวทางทะเลที่ซบเซาลงไปแล้วก็คงอยากลองยกให้เอกชนช่วยพัฒนาดูบ้างว่าจะได้ผลดีแค่ไหน ทีนี้คนของเราจมูกไวก็เลยยื่นซองประมูลมาได้ สบายแฮ”
หนุ่มเมืองผู้ดีพูดราวกับว่าบริษัทของพวกเขาเป็นบริษัทนานาชาติ แต่ความจริงแล้ว เอ็นพีเอชดีก็มีสาขาเพียงในสองประเทศซึ่งเป็นเมืองแม่ของหุ้นส่วนใหญ่ทั้งคู่นั่นเอง และสาขาในประเทศไทยก็เป็นเพียงสาขาเล็กๆ ที่เพิ่งทดลองเปิดเพื่อรอวันที่จะเติบโตเท่านั้น

“ประเทศฉันแท้ๆ ทำไมไม่รู้เรื่องก่อน” ธนาชักเริ่มหงุดหงิด

“ก็แกเอาแต่ไปดูแลจัดการสำนักสงฆ์ร้างในสก็อตแลนด์อยู่น่ะสิ เรื่องของบ้านเมืองตัวเองเลยไม่รู้”

“เอาเถอะๆ ขอเอารายละเอียดมาอ่านหน่อยสิ” เมื่อรู้เรื่องแล้วก็เริ่มสั่งเพื่อนทันทีตามความเคยชินที่มักจะมีเลขาหรือลูกมืออยู่ใกล้ตัวจนลืมไปว่าคนที่เขาสั่งอยู่ก็ถือหุ้นมากพอๆ กับตัวเขาเอง แอนดรูว์ส่งแฟ้มเอกสารในอ้อมแขนให้แต่ยังมิวายบ่นพึม

“นี่แหละน้า จะให้อ่านตั้งแต่แรกแล้วก็ดันบ่นว่าอยากนอน ถ้ายอมอ่านก็คงจะรู้เรื่องด้วยตัวเองแล้ว ไม่ต้องให้คุณคนสวยมาบอกให้ในฝัน” หากธนาจะสนใจคำแขวะแม้แต่นิดก็หาไม่ ชายหนุ่มคว้าแว่นสายตามาใส่และกวาดตาอ่านรายละเอียดของงานอย่างรวดเร็ว

“เราไม่ต้องขุดเองนี่ เราแค่ดูแลเรื่องการพัฒนา ตกแต่ง วางรากฐานองค์กร สร้างความร่วมมือกับชาวบ้าน แค่นั้นเอง แล้วเขาก็ขุดค้นกันไปเยอะแล้ว กำลังจะเริ่มขุดแต่งเร็วๆ นี้”

“แน่นอน เพราะอย่างไรเสียวิธีขุดค้นของที่นี่กับที่เมืองไทยก็ไม่เหมือนกัน ทางการเขาคงกลัวว่าถ้าให้เราไปขุดด้วยวิธีแบบเราจะใช้เวลานาน แถมงบประมาณจะบานปลายล่ะมั้ง” คิ้วหนาหากได้รูปขมวดมุ่นทันที

“ก็เลยมีบริษัทขุดเล็กๆ ในเมืองไทยประมูลงานไปได้ ชื่อบริษัทอรุณรุ่ง งั้นเหรอ”

“ใช่...ความจริงแล้วมีบริษัทที่ใหญ่กว่าประมูลได้ไป แต่เหมือนจะมีปัญหา เอาไปเอามาบริษัทเล็กๆ เลยคว้าไปได้ คนดูแลงานชื่อมาธวี นามสกุลอะไรไม่รู้ จำไม่ได้ ถ้าแกไม่พอใจอะไร แกก็ไปเถียงกับเขาเอาเองก็แล้วกัน เอ้อ...ใช่ อีกเรื่องหนึ่งที่ควรรู้ ในฐานะผู้ที่จะมีส่วนพัฒนาพื้นที่ แกสามารถเข้าไปคลุกคลีกับพวกที่ขุดได้นะ เขาอนุญาตไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเอาเป็นว่าแกก็ไปเช่าบ้านเอาใกล้ๆ ไซต์ขุด แล้วก็วางแผนงานล่วงหน้าพร้อมๆ กันกับที่ทางโน้นเขาขุดเลยก็แล้วกัน จะรอให้เขาขุดเสร็จกันก่อนแล้วค่อยไปดูมันก็ไม่ดี การก่อสร้างกับการพัฒนามันต้องทำไปพร้อมๆ กันนั่นแหละ เสียแต่ว่าครั้งนี้แกคงลำบากหน่อย เพราะทางโน้นเขาจะคิดยังไง ให้ความร่วมมือแค่ไหนก็ไม่รู้”

“เฮ้ย ทำไมเหมาเอาเองว่าฉันจะยอมทำงานที่นายรับมาโดยไม่บอกกล่าวกันก่อนล่ะล่ะ” ธนาโวยวายออกมาไม่เบานัก แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีงานไหนอีกแล้วที่เขาจะเต็มใจทำมากไปกว่างานนี้

“อ้าว ทางโน้นเขามีคนทำงานด้านโบราณคดีอยู่แล้ว ฉันจะไปเถียงกับเขาทำไมให้เมื่อยปาก เรียนมาคนละที่ วิธีไม่เหมือนกันเดี๋ยวก็ทะเลาะกันตาย ปล่อยให้แกไปเป็นทัพหน้าดีกว่า อยากจะพัฒนาอะไร ตรงไหน ต้องขุดยังไง วางท่อ วางระบบอะไรยังไง ต้องดีลกับชาวบ้าน องค์กรท้องถิ่นแค่ไหน ลุยเลยนะเพื่อน ตามสบาย แกเป็นคนไทยย่อมรู้จักประเทศไทยดีกว่าฉัน แล้วฉันจะแวะไปหาเป็นพักๆ ก็แล้วกันนะ ระหว่างนี้จะวางแผนบุกตลาดยุโรปไปพลางๆ” แล้วพ่อหนุ่มก็จัดการเปิดโทรทัศน์ยกเท้าขึ้นพาดบนโต๊ะรับแขกและร้องเพลงงึมงำอย่างมีความสุข ทิ้งให้เจ้าของสถานที่นั่งงุนงงและคิดถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างไม่แน่ใจ

“เอ้อ...ลืมถามไป แล้วเคยถามชื่อแม่สาวคนสวยที่แวะมาหาแกในความฝันทุกวันๆ บ้างไหม ท่าทางจะเห็นหน้ากันทุกวันจนคุ้นเคยแล้วนี่”

“ศศลักษณา”

“หืม รู้ได้ยังไง” คนถามออกจะตกใจ เมื่อได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิด “ซา-ซา-ลัก-ซา-นางั้นหรือ” แม้สำเนียงภาษาไทยจะคล้ายคลึงกับเจ้าของภาษา หากก็ยังฟังแตกต่างอยู่ดี “ชื่อเพราะดีนี่ นี่นายถามชื่อคนในความฝันได้ด้วยเหรอ”

“อยู่ดีๆ ชื่อของพวกเธอก็วาบขึ้นมาในความคิด แปลกไหม”

“นายมั่วเองหรือเปล่า...ประมาณว่าอยากให้สาวในฝันชื่อนั้นๆ”

“ไม่ได้มั่ว…ไม่รู้ด้วยว่าไปจำชื่อพวกนั้นมาจากไหน อยู่อังกฤษมานานจะตาย ไม่ค่อยได้ยินชื่อคนไทยเท่าไหร่หรอก”

“ก็จริงนะ แปลก...”

“ก็แปลกน่ะสิ รู้ชื่อของผู้หญิงอีกคนด้วยนะ เธอชื่อพิมลพักตรา”

“พิ-มน-พัก-ทรา...อา...” เข้าของนัยน์ตาสีเขียวอมเทาครุ่นคิด “ บางทีนะ...โทนี่ กลับเมืองไทยครั้งนี้นายอาจจะพบคำตอบของความฝันประหลาดก็เป็นได้”

“คงจะอย่างนั้นกระมัง...เวลามันใกล้เข้ามาแล้ว แอนดรูว์” ริมฝีบางหยักได้รูปกระซิบแผ่วเบา ราวกับจะย้ำให้แน่นสนิทลงไปในหัวใจของคนพูดด้วยเช่นกัน

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ในรอยบรรพ์ - บทนำ

บทนำ

ในความว่างเปล่าของรัตติกาล สายลมเยือกเย็นโบกพัดกิ่งไม้ให้เกิดเสียงซู่ฟังดูคล้ายบทสนทนาจากสรรพสิ่งที่อาศัยอยู่ในความมืดซึ่งเริ่มปรากฏกายออกมาปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง หากชั่วขณะหนึ่ง เสียงลมพัด และเสียงแมลงกลางคืนที่บรรเลงเพลงนิทรากลับพลันสงบนิ่ง...นิ่งราวกับอยู่ในห้วงไร้กาลเวลา อากาศที่เยียบเย็นด้วยลมยามดึกยิ่งเย็นเฉียบดุจอากาศแห่งฤดูหนาว เส้นหญ้าทุกเส้นยืดตรงราวกับทหารรอคอยการมาเยือนแห่ง ‘นาย’

“จวนถึงเวลาแล้วสินะ เวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างจักเวียนมาบรรจบกันอย่างพอเหมาะอีกครั้ง” เสียงหวานใสเยียบเย็นแกมยินดีดังขึ้นในความมืด “แล้ววันที่เราจักเป็นอิสระก็จักมาถึง” เสียงหัวเราะประสานอย่างพึงพอใจดังกระหึ่มออกมาจากความว่างเปล่าราวกับมี ‘สรรพสิ่ง’ อีกมากมายที่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น

“เจ้าคิดว่าเรื่องจักง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ...ศศลักษณา” เสียงห้าวก้องกังวานอย่างบุรุษผู้ทรงอำนาจดังขึ้นเคียงกัน “ใช่ว่าทุกดวงจิตจักต้องการให้ผืนแผ่นดินแห่งนี้ถูกพลิกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง หากพวกมันทำสำเร็จ...และธรณีแห่งนี้ยังคงถูกปิดเอาไว้เพื่อรักษาทรัพย์แผ่นดินอย่างทุกครั้งที่เคยเป็นมา นั่นก็แปลว่าเราต้องทำหน้าที่ต่อไปอย่างไม่มีกำหนด ด้วยสัจจะอธิษฐานของพวกเราและขององค์มหาราชผู้ที่เคยเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้”

“ข้าเชื่อมั่นว่าครั้งนี้พระองค์จักทำได้สำเร็จ เพราะครั้งนี้จักมีผู้ช่วยเหลือ...ผู้ช่วยที่ทรงรอคอยมานานหนักหนาหากคลาดแคล้วกันไปทุกภพทุกชาติด้วยผลกรรมขององค์มหาราช หากครานี้การณ์ประจวบเหมาะ ข้ามั่นใจว่าการปฏิบัติภารกิจจักสำเร็จด้วยดี” เสียงใสยังโต้เถียงอย่างดื้อรั้น

“ไม่ว่าการณ์จักเป็นเช่นไร ทั้ง ‘เจ้า’ และ ‘ข้า’ ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ ดังที่ได้ลั่นสัจจะวาจาเอาไว้”

“ข้ามีสิทธิ์เลือกด้วยหรือ” เสียงใสกลายเป็นหวานเศร้าแกมขมขื่น “หน้าที่...ที่ข้าไม่ได้เต็มใจทำ หาก ‘ต้อง’ ทำ เพราะผืนแผ่นดินต้องการผู้พิทักษ์รักษา”

“ทุกๆ ดวงจิตที่ยังไม่หลุดพ้น จักหนีจากบ่วงกรรมได้อย่างไรกัน เจ้าทำสิ่งใดเอาไว้ เจ้าเองก็รู้ดี การชดใช้ด้วยความทุกข์ทรมานเพียงเท่านี้ เจ้าทนไม่ได้เลยหรือ” ครานี้เสียงห้าวเครือลงราวกับจะสะเทือนใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต...เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนที่จะกลับกลายเป็นน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกเช่นเดิม “เลิกพร่ำเพ้อถึงจุดจบแห่งหน้าที่ในวันหน้า จงทำหน้าที่ในวันนี้ให้ดีที่สุด” สายลมพัดมาวูบหนึ่ง กลิ่นธูปหอมกรุ่นกำจายก่อนจางหาย เหลือไว้แต่ความว่างเปล่าและน้ำเสียงหวานแผ่วเบา

“ข้ารู้ว่าหน้าที่นี้จักต้องมีผู้สืบทอด...และข้าก็รู้ว่าสิ่งที่ข้าทำต่อนางผู้ที่เป็นดั่งดวงพระทัยของพระองค์นั้น เป็นกรรมอันใหญ่หลวง ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ จิตพยาบาทของข้าที่มีต่อนางได้สิ้นสุดลงนับแต่วันที่ข้าหลั่งเลือดปฏิญาณเข้ารับภาระหน้าที่ เหลือเพียงความหวัง...หวังว่าสักวันดวงจิตของข้าจะหลุดจากพันธนาการ และได้ชดใช้ในสิ่งที่ข้าเคยทำไว้ในอดีต”

เสียงทอดถอนใจดังออกมาจากความมืดพร้อมๆกับเสียงก้องกัมปนาทของสายอสุนีบาต ที่เพิ่มแสงสว่างให้กับความมืดมนอนธกาล ลำแสงตกกระทบร่างของสตรีแน่งน้อยในพัสตราภรณ์โบราณประหลาดตา ดวงหน้างามงดหากขาวซีดอมเหลืองเหมือนงาช้างเก่าๆ เรียบสนิท หากแววตาไหววูบไปด้วยรอยสะเทือนใจ

“เวลา...ใกล้จะมาถึงแล้ว”

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

วัน Bonfire, แมวลายเสือ, คอมบูตไม่ขึ้น, สติแตก

Start:     Nov 5, '07
วันนี้ได้กลับมาค้างบ้านคืนหนึ่ง เพราะมีเหตุ
คงจะได้มาโกยเสื้อผ้า ไปเฝ้ายายที่ดงลำไยต่อ

ตอนเช้าออกมาซื้อหมอนที่ BigC
ยายลุกไม่ขึ้น ใช้หมอนรองตัว รองขา มันค่อนข้างเปื้อนโน่น เปื้อนนี่เยอะ รวดมาเอาเสื้อผ้าด้วย ก็ขับรถเข้ามา 40 โล ขับกลับป่าซาง 40 โล

พอถึงป่าซาง แม่จ๋าให้ไปแวะดูที่ตลาดชาวบ้านแถวๆ นั้น เผื่อมีผัก มีเห็ดมาขาย
ยังบ่ายๆ อยู่ ตลาดเป็น 'กาดแลง' เลยยังไม่มีของใดๆ เลยกลับมาบ้านยาย พอถึงโค้งหนึ่ง แมวน้อยลายเสือกระโดดมากลางถนน ห่างจากรถไปทางด้านหน้าประมาณ 1 เมตร จริงๆ ตอนนั้นก็เหยียบแค่ 60 แต่ก็เบรคไม่ทัน แมวน้อยกลิ้งหลุนๆ อยู่ใต้ท้องรถ ท่ามกลางอาการตกตะลึง อ้าปากค้างของคนขับ

แง
Rest in peace นะน้องแมว
พี่ยิ้มจะทำบุญไปให้ T-T

ตกบ่าย...
ต่อเนต dial up เลนอยู่ดีๆ
โปรแกรมรวน อยู่ดีๆ window อะไรก้ไม่รู้เด้งขึ้นมา 20-30 หน้า เลยต้อง shut down

หลังจากนั้น boot ไม่ขึ้น แว้กกกก
ลองครั้งที่ 2 3 4 5 6 7 8 9 10

ก็ยังไม่ขึ้น...
จิตตก
หอบข้าวของแล่นมาเชียงใหม่ทันควัน

เพิ่งโดนเอียน โกลเวอร์ทวงงานไปแหมบๆ
กลัวมาก กลัวว่าจะต้องเริ่มแปลจากหน้าแรกใหม่ ทำเกือบเสร็จแล้ว ดันไม่มีแบ็คอัพด้วย บึ่งกลับบ้านอีก 40 โล เผื่อมันเจ๊งจะได้รีบเอาส่งร้าน สกัดข้อมูลออกมาโดยด่วน เดี๋ยวปั่นไม่ทัน ปรากฏว่าพอมาถึง คอมดันใช้งานได้ = ='

เออ นอนบ้านเลยละกัน ไม่กลับแล้ว
ไม่งั้นวิ่ง 160 โล แต่การกระจัดเป็น 0 จะรู้สึกแย่มาก

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เยือนถิ่นอีสาน(เพื่อน)บ้านเฮา

Rating:★★★★
Category:Other
เติบโตมาย่างๆ เบญจเพสแล้ว ยังไม่เคยไปเหยียบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเลยค่ะ เพิ่งจะได้โอกาสก็คราวนี้แหละ...ต้องขอขอบคุณท่านน้าที่อุทิศที่พัก และ Internet ให้ใช้ได้ประหนึ่งอยู่บ้านตัวเอง (แบบว่าพกสายแลนติดตัวค่ะ ไปถึงก็เสียบเข้า router ได้ ^ ^')

ไม่ได้ไปเที่ยวค่ะ ครั้งนี้แม่ไปทำงาน เราก๊อติดตามไป...โดยตั้งฐานทัพที่ขอนแก่น ตอนแรกท่านน้าตั้งใจจะพาไปอุบลฯ หนองคาย แต่มีงานด่วนเข้ามา ก็เลยไม่ได้ไปกัน แต่ก็มีโอกาสได้ไปที่ใกล้ๆ ได้เห็นวิถีชีวิตชาวบ้านพอสมควรอยู่

สีประจำทริปนี้:
เขียว...อีสานเขียวจริงๆ ด้วยค่ะ สงสัยจะเป็นเพราะไปช่วงหน้าฝนพอดี นาก็เขียว ไร่อ้อยก็เขียว งามตาดีแท้ (เพื่อสนองความต้องการของโรงงานน้ำตาลหลายๆ แห่งใน จ. ขอนแก่น) ห้วยหนองคลองบึงก็เยอะ (ถ้าไปหน้าแล้ง อาจจะเป็นสีน้ำตาลหมดก็ได้แฮะ)

อาหารหลัก:
ไก่ย่าง ส้มตำ ปลาเผา ก๋วยเตี๋ยว

ไก่ย่างเขาสวนกวางที่อุดร อร่อยมากกกกกค่ะ เนื้อมันนุ่ม เหนียว แน่น แห้งๆ กรอบนอก นุ่มใน อร่อย ^ ^' ส้มตำลาวใส่ปลาร้าก็อร่อยนะ แต่มันเค็มไปนิดอ้ะ ก็เลยกินตำไทยเป็นหลัก ส่วนปลาเผานี่ก็ โอ้โห...ทำไมปลาแถวๆ นั้นตัวใหญ่กว่าปลาที่เชียงใหม่คะ ปลานิลยาวศอกนึง เอามาทำปลาลุยสวนกินกับผักสด อร่อยอย่าบอกใคร

ส่วนก๋วยเตี๋ยว...อาหารที่ดูเหมือนจะธรรรมดาแต่ก็ไม่ธรรมดา เพราะก๋วยเตี๋ยวแถบนั้นออกแนวเฝอหมดทั้งนั้นเลยค่ะ อาจจะเพราะอยู่ใกล้เวียดนามมั้ง แต่ละร้านก็จะมีการแถมผักสดตะกร้าใหญ่ บวกกับใบโหระพามาให้ด้วย ชอบมากกกก



ศาสนสถาน: วัดพระธาตุขามแก่น นี่เป็นสิ่งศักสิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองขอนแกนค่ะ ไปถึงก็ต้องไปสักการะบูชา เพื่อขวัญและกำลังใจ ไหนๆ ก็ผ่านแล้วก็แวะไหว้เสียหน่อย




ทริปแรกที่ไปก็...บ้านเชียงน่ะค่ะ

เมื่อก่อนแม่จ๋าก็เคยไปแล้ว และก็บอกว่าเชื่อมโยงบ้านเชียงกับหม้อ ไห เครื่องถ้วยชาม อะไรทำนองนั้น ก็แหม...เล่นมีร้านขายของที่ระลึกตั้งขายหม้อเขียนสีแดงๆ เต็มข้างทาง

ก็ถูกอยู่...

แต่น่าเสียดายที่แง่มุมที่ว่าบ้านเชียงเป็นแหล่งวัฒนธรรมเก่าแก่ตั้งแต่ 5000 กว่าปีมาแล้ว ไม่ค่อยได้รับการเผยแผ่เท่าไหร่ ส่วนมากพอพูดถึงบ้านเชียงปุ๊บ จะนึกถึงหม้อใบลายๆ มากกว่า



บ้านเชียงเป็นหนึ่งในมรดกโลก ที่ได้รับการรับรองสถานะจาก UNESCO มีแท่งศิลามาตั้งเด่นเป็นสง่า บ้านเชียงมีความสำคัญค่ะ เพราะเป็นอะไรที่ 'Unique' มีแหล่งชุมชน มีการผลิตเครื่องปั่นดินเผาไว้ใช้ มีการถลุงโลหะ ตัวไซต์เป็นสุสานเก่าค่ะ ถ้าจำไม่ผิด เหมือนจะหาร่องรอยของสถานที่อยู่ยังไม่เจอ แต่แค่นี้ก็...เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของนักโบราณคดีมากมายแล้ว เพราะสิ่งสำคัญก็คือ

1. กระดูก: สามารถบ่งบอกลักษณะของมนุษย์ในสมัยนั้นได้คร่าวๆ บ่งบอกพิธีกรรมความเชื่อก็ได้ ดูจากท่าทางการวางในหลุมฝังศพ บ่งบอกว่าคนสมัยนั้นกินอะไรก็ได้ ดูจากฟันและการสึกกร่อนของกระดูก เอาไปวิเคราะห์หาข้อมูลเชิงลึกถึงความเจ็บป่วย หรืองานประจำของคนนั้นๆ ก็ได้ เช่นคนนี้ข้อมือแข็งแรง...ช่างปั้นหม้อชัวร์

2. หม้อไห: จริงๆ แล้วมันก็ค่อนข้างศึกษาได้จำกัด เพาะว่าสวนมากเจอในหลุมศพ ไม่ได้เจอตามบ้านเรือนจริงๆ แบบที่เรียกว่า in situ แต่ที่นี่มันเคลื่อนย้ายมาอยู่ในหลุมแล้ว แต่ก็บ่งบอกเทคโนโลยีการทำหม้อ ถลุงเหล็กได้บ้าง บ่งบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับอาหารได้บ้าง (กรณีที่มีเศษอาหารในหม้อ)

แต่ว่า...บ้านเชียงไม่ใช่ที่แรกและที่เดียวนะคะ จริงๆ แล้วไซต์อื่นๆ อย่างบ้านดอนตาเพชร โคกพนมดี ที่อยู่ทางภาคกลาง บ้านหลุมเก่า บ้านปราสาท ที่ในภาคอีสานนี่แหละ ก็มีสุสานโบราณแบบนี้เหมือนกัน เก่าแก่ และดูมีเอกลักาณ์เหมือนๆ กัน เพียงแต่ยังไม่ได้รบการสนับสนุนเท่านี้เท่านั้นเอง

ประเทศไทยเราขาดการประชาสัมพันธ์อย่างร้ายแรงค่ะ




จากบ้านเชียงเราก็ไปภูเวียง (อีกวันหนึ่งแล้ว) ชื่อเสียงภูเวียง อำเภอเล็กๆ ที่มีภูล้อมรอบ มีทางเข้าทางเดียวมันโด่งดังขึ้นมาก็เพราะเจ้าไดโน่ ที่นอนสนิทอยู่ใต้ผืนดิน รอให้คนมาค้นพบที่แหละค่ะ



พิพิธภัณฑ์เขาก็ทำได้ดีพอใช้ เข้าฟรีด้วย (ของฟรีเนี่ย...ชอบ) มีการทำไดโน่จำลองให้เด็กๆ ตื่นตาตื่นใจ (สงสัยเราจะโตเกินไปแล้วแฮะ) ดังนั้น...ก่อนออกจากพิพิธภัณฑ์ก็เลยบริจาคเงินสมทบทุน กองทุนงานวันเด็กให้เขาหน่อย ไหนๆ ก็ไม่คิดเงินค่าเข้าเราแล้ว



หลังจากชมพิพิธภัณฑ์แล้ว ยิ้มก็อยากเดินดูหลุมขุดค้น ตามประสาคนชอบของเก่าๆ ถึงจะไม่ได้เรียนมาทาง Paleonthology หรือ โบราณชีววิทยา ก็ตาม แต่ดูระยะทางสิคะ แต่ละหลุมห่างกันพอดู ถ้าจะเดินให้ครบ 9 หลุมก็ 5-6 กิโลเมตรเห็นจะได้

ผู้(เกือบ)สูงอายุ (พระมารดา) ก็เลยรออยู่ด้านล่าง ให้ยิ้มกะน้องเดินไปดู เราก็แว้บบไปดูหลุม 3 กันนิดนึง เดินลุยๆ ไปในป่า ก่อนที่จะพบว่า อ้าววว มันมีทางรถให้ขึ้นไปจอดที่หลุม 2 ได้ ที่นั่นจะใกล้กับหลุมอื่นๆ มากกว่า แทนที่จะเดิน 4-5 โล ก็เดินแค่ 1 โลกว่าๆ เอง ก็เลยกลับลงมา เพื่อที่จะขึ้นรถไปกัน



แต่ถึงเราจะไปจอดจ่อปากหลุมเลยก็ตาม ก็ยังต้องขึ้นบันไดสูงๆ ไปอีก - -' นัยว่าหลุมมันอยู่บนเนินเขา ท่านแม่เริ่มหอบแฮ่กๆ



แถมพอขึ้นไปถึงก็บ่นพึมว่า 'มาดูแค่เนี๊ยะ' โห...นี่มันกระดูกสันหลังของ Phuwiangosaurus Sirindhornne' เชียวนะ ไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่อ้ะ น่าภาคภูมิใจแค่ไหน ถ้าอยากเห็นมากกว่านี้...ก็เดินไปหลุมอื่นอีกสิคะ หลุมนี้มันเจอแค่กระดูกสันหลังอ้ะ



ก็เลยหลงกลเดินกันต่อไป ท่ามกลางอาการดี๊ด๊าของนักโบราณคดี ที่ทำตัวเสมือนเป็นนักโบราณชีววิทยาไปชั่วขณะ บอกท่านแม่ว่าสุสานหอย 130 ล้านปีอยู่ห่างไป 50 เมตร ท่านแม่หลงเชื่อ เดินนำไปดุ่ยๆ ปรากฏว่าทางลาดชันเล็กน้อย 50 เมตรแม้วอ่ะดิ...เดินไปไม่ถึงซักที ^ ^' แหะๆ



ในที่สุดก็มาถึง เนี่ยค่ะ ก้อนหินพวกนี้ก็มีเปลือกหอยติดหมดเลยนะ บรรยากาศก็ดี๊...ดี เห็นแล้วอยากเดินไปหลุมอื่นๆ อีก ศึกษาดูธรรมชาติไปด้วย ประวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยาไปด้วย ชอบใจดีนักแล

แต่ทว่า T-T ไม่มีโอกาสไปต่อแล้ว...

ก็เลยตั้งปณิธานเอาไว้ว่า มาอีกรอบ อิฉันต้องไปให้ครบ 9 หลุมให้ได้
ขนาดไปน้ำตกยังปีนขึ้นไปถึงชั้นบนสุดได้
ตีกอล์ฟก็ัยังตีครบทุกหลุมได้ (หมายถึงคนอื่นนะ ^ ^' ข้าพเจ้าตีไม่เป็นนน)

ไปเที่ยวหลุมขุดค้นน้องไดโน่ทั้งที ก็น่าจะเดินได้ครบหลุมสิ

ไปครั้งหน้าจะทำแซนด์วิช พกน้ำดื่มมา เตรียมไปปิกนิกบนภูทีเดียวเชียวค่ะ

ป.ล. อิจฉาคนค้นพบกระดูกจังค่ะ ได้ใช้ชื่อตัวเองเป็นชื่อไดโนเสาร์ด้วย เท่ดี...
อยากมี Yimmosaurus มั่งอ้ะ ท่าทางจะดุหน่อย แล้วก็ชอบกินเด็กหนุ่มกระดูกอ่อนขบเผาะเป็นอาหาร

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ไม่รู้จักฉัน...ไม่รู้จักเธอ

^ ^'  เพิ่งมาอินกับเพลงนี้อะไรเอาตอนนี้ไม่รู้ค่ะ แบบว่าหนูบ้านไกล
ไม่ได้ดูหนังด้วย งือ... แหะๆ
ว่าแต่ว่ากลอนหนูบทนี้มันติดเรตไปรึเปล่าค่ะ งื้ด
หมายเหตุ * * ถ้าท่านอายุเกิน 18 ลากลงไปอ่าน section ล่าง ฉบับเพิ่มความร้อนแรงได้เลยค่ะ
......................................................................................................
อ้อมกอดอันแข็งแกร่งแฝงไออุ่น
สัมผัสแสนละมุนกรุ่นความหวาน
รอยจุมพิตแนบสนิทชิดวิญญาณ
ความสุขไม่จำกัดกาลปานนิรันดร์
แสงจันทร์ส่องสว่างกระจ่างหล้า
รอยยิ้มเธอกระจ่างตากว่าภาพฝัน
รอยสัมผัสอบอุ่นกว่าแสงตะวัน
รอยรักเธอกับฉันมั่นคงนาน
เธอกอดฉันไว้ในอ้อมแขน
มาตรแม้นคืนวันหยุดผันผ่าน
ร่วมล่องเพลิงอารมณ์โหมระราน
จนถึงห้วงสายธารหวานฉ่ำทรวง
.
.
แสงอาทิตย์สาดส่องช่องหน้าต่าง
แต่แนบข้างยังแรมร้าง...แม้วันล่วง
ตื่นขึ้นมาตระหนักว่าเป็นภาพลวง
น้ำตาร่วงลุกขึ้นนั่งยังร้าวใจ
เมื่อทุกสิ่งที่ได้เห็น...เป็นเพียงฝัน
หยุดความสุขเพียงแค่นั้นเมื่อวันใหม่
ไม่อาจก้าวสู่โลกกว้างเดินทางไกล
เพื่อเคียงคู่กันไปจนสุดทาง
พบกันเพียงในโลกฝันอันแสนหวาน
เวลาผ่าน..เจ็บหนักด้วยรักร้าง
หรือภูติพรายแห่งคืนเหงาเงาอำพราง
มาสรรค์สร้างภาพเธอบำเรอกัน
แท้จริงยังคงเหงา...เศร้าอย่างเดิม
ที่มีเพิ่มคือความคิดติดห้วงฝัน
ต้องมานั่งอกสะท้อนวอนขอจันทร์
ขอพบเธอคนนั้น...ในโลกจริง


""""""""""""""""""""""""""""""" ฉบับ edited เพิ่มดีกรีความร้อน """""""""""""""""""""""""""""""""""""
อ้อมกอดอันแข็งแกร่งแฝงไออุ่น
สัมผัสแสนละมุนกรุ่นความหวาน
รอยจุมพิตแนบสนิทชิดวิญญาณ
ความสุขไม่จำกัดกาลปานนิรันดร์

แสงจันทร์ส่องสว่างกระจ่างหล้า
รอยยิ้มเธอกระจ่างตากว่าภาพฝัน
รอยสัมผัสอบอุ่นกว่าแสงตะวัน
รอยรักเธอกับฉันมั่นคงนาน

นวลเนื้อแนบเนื้อระเรื่อรัก
นิ้วแนบนิ้วทอสมัครถักสมาน
ละลิ่วลอยในห้วงฝันอันตระการ
ยังวิมานสราญรมย์สมอุรา

จนกรีดร้องให้กึกก้องคลองอารมณ์
ละลิ่วแล่นดุจล้อลมสมปรารถนา
หนึ่งสัมผัสอันเจนจัดรัดกายา
พสุธาให้ร้อนเร่าด้วยเราสอง

รัตติกาลอันเร้นรักจักผ่านพ้น
สายน้ำวนจนนาวาพาลอยล่อง
บนฟากฟ้าดารกาทอแสงส่อง
อ้อมแขนเธอยังตระกองครองวิญญาณ

เธอกอดฉันไว้ในอ้อมแขน
มาตรแม้นคืนวันหยุดผันผ่าน
ร่วมล่องเพลิงอารมณ์โหมระราน
จนถึงห้วงสายธารหวานฉ่ำทรวง

.

.

แสงอาทิตย์สาดส่องช่องหน้าต่าง
แต่แนบข้างยังแรมร้าง...แม้วันล่วง
ตื่นขึ้นมาตระหนักว่าเป็นภาพลวง
น้ำตาร่วงลุกขึ้นนั่งยังร้าวใจ

เมื่อทุกสิ่งที่ได้เห็น...เป็นเพียงฝัน
หยุดความสุขเพียงแค่นั้นเมื่อวันใหม่
ไม่อาจก้าวสู่โลกกว้างเดินทางไกล
เพื่อเคียงคู่กันไปจนสุดทาง

พบกันเพียงในโลกฝันอันแสนหวาน
เวลาผ่าน..เจ็บหนักด้วยรักร้าง
หรือภูติพรายแห่งคืนเหงาเงาอำพราง
มาสรรค์สร้างภาพเธอบำเรอกัน

แท้จริงยังคงเหงา...เศร้าอย่างเดิม
ที่มีเพิ่มคือความคิดติดห้วงฝัน
ต้องมานั่งอกสะท้อนวอนขอจันทร์
ขอพบเธอคนนั้น...ในโลกจริง

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เรื่องเก่าๆ เล่าเรื่อยๆ: ละครจักรๆ วงศ์ๆ

Rating:★★★★
Category:Other
วันนี้ท่องโลกไซเบอร์ไปเรื่อยๆ ค่ะ ผีขี้เกียจยังเข้าสิงจนไม่สามารถปลีกกายออกมาแปล excavation report ดังที่ควรจะทำได้ โถ่...เศร้าใจเล็กน้อย แต่เรามีจุดยืนค่ะ ^ ^' กลับบ้านทีไร ยิ้มจะตัดขาดจากโลกภายนอกและภารกิจทุกอย่างไปเลยประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อให้ตัวเองปรับเวลาได้เต็มที่ ไม่รู้เป็นไง บินทีไร jetlag ทุกทีเลย แล้วก็มักจะเป็นหนักเสียด้วย เรียกได้ว่ากลับเมืองไทยมานี่ ตื่นบ่ายทุกวัน ส่วนขากลับไปอังกฤษทีไรก็ตื่นมันเสียตี 4 ตี 5 เสียทุกที

จากการท่องโลกไซเบอร์ ทำให้ไปเจอกระทู้ใน pantip.com ที่พูดถึงละครจักรๆ วงศ์ๆ ทางช่อง 7 สี ที่อยู่ยงคงคู่ประชนมานานแสนนาน เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ บางท่านอาจจะไม่ดู หรือไม่รู้จักนะคะ เพราะท่านๆ มีแนวโน้มว่าจะดูช่องเก้าการ์ตูนมากว่า แต่ยิ้มน่ะ...แฟนตัวยงเลยค่ะ สมัยเด็กๆ น่ะ ส่งไปเล่นแฟนพันธุ์แท้ได้เลย ตอนนี้แก่แล้ว...ความทรงจำค่อนข้างจะเลอะเลือนไปมาก ก็พอจำได้ลางๆ เลือนๆ น่ะค่ะ

ช่วงแรกๆ พ่อจ๋า แม่จ๋าก็แสดงความเป็นห่วงเหมือนกันค่ะ เพราะว่ายิ้มออกอาการติดหนึบ ต้องดูทุกเสาร์-อาทิตย์ ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการ์ตูน จนเช้าวันเสาร์อาทิตย์ไม่ต้องไปไหนกันแล้ว ถ้าไม่ไปบ้านยายเย็นวันศุกร์ ค้างสองคืน แล้วกลับเชียงใหม่มาบ่่ายวันอาทิตย์...ก็ต้องรอให้รายการภาคเช้าวันเสาร์จบแล้วค่อยออกเดินทาง

แหะๆ แต่ไม่อยากบอกเลย...ว่าราชาศัพท์ข้าพเจ้าค่อนข้างแม่นเพราะดูละครพวกนี้นะเนี่ย...

ชีวิตวันเสาร์ - อาทิตย์ ของยิ้มเริ่มต้นจากตื่นมาก่อน 7 โมงเช้า เพื่อดูการ์ตูนทางช่อง 7 เรื่อง
ที่ฮ็อต ฮิต จำได้ติดใจคือเรื่องเจ้าหนูสามตา ที่ตัวเอกเป็นเด็กเล็กๆ อ่อนแอ แต่ถ้ามีใครเปิดผ้าพันแผลที่ปิดตาที่ 3 ของเขาเอาไว้ พลังจะทวีขึ้นมากมาย (คล้ายๆ กับฮิเอในเรื่อง Yu Yu Hakusho - คนเก่งฟ้าประทาน เลยค่ะ) หลังจากนั้นก็จะกินปาท่องโก๋ จิบน้ำเต้าหู้ร้อนๆ ระหว่างดูรายการเจ้าขุนทอง ตามมาติดๆ ด้วยรายการดิสนีย์คลับ และก็ถึงเวลาละครที่รอคอยแล้ว แหะๆ ๆ เขินจริงๆ ^ ^'

เท่าที่จำความได้...นางเอกและพระเอกละครรุ่นแรกๆ ที่ดูคือ สินี หงส์มานพ กับ ชาตรี พิณโณ ค่ะ ยุคแรกๆ ก็มี สิงหไกรภพ แก้วหน้าม้า อุทัยเทวี นางสิบสอง มโนราห์ โกมินทร์ ดิน น้ำ ลม ไฟ อะไรทำนองนั้น

ต่อมาพระเอกนางเอกก็เด็กลง เข้าสู่ยุคโสนน้อยเรือนงาม ไกรทอง จันทโครพ บัวแก้ว บัวทอง มาลัยทอง ยอพระกลิ่น

แล้วก็มายุคหลังๆ ออกแนวประยุกต์มากขึ้นอย่าง มโหสถชาดก ปลาบู่ทอง แล้วก็มาถึง มิติมหัศจรรย์ แล้วก็เรื่องนี้ล่ะค่ะ ที่ทำให้หักใจ...ตัดสินใจหักดิบ เลิกดูละครจักรๆ วงศ์ๆ ไป จริงๆ แล้วก็ชอบนิยายเรื่องมิติมหัศจรรย์นะคะ เป็นนิยายสมัยใหม่ที่เขียนอิงเรื่องราวปะรำปะราได้ดี แต่พอทำออกมาเป็นละครแล้วดูแปลกๆ เลยถือโอกาสชิ่ง ไม่ได้เบื่อ ไม่ได้เลิกชอบหรอกค่ะ เพียงแต่อยากหลุดออกมาสู่โลกแห่งความจริงบ้าง แหะๆ

จนถึงทุกวันนี้...ถ้าตื่นทัน...ก็ยังอาจจะดูอยู่นะคะ แต่ว่า...เอิ๊ก ส่วนมากจะตื่นหลัง 9 โมงน่ะค่ะ 10 โมงนี่ก็ถือว่าเข้ามากแล้วสำหรับวันเสาร์ (ทำเป็นพูดดีไป วันธรรมดาก็ไม่ได้ตื่นเช้ากว่านี้เท่าไหร่หรอก) หลายๆ ท่านอาจจะคิดว่า

"ดูอะไรเนี่ย เชยจัง"

"เหยยย ไม่สมจริงเลยอ้ะ มีแต่สู้กันๆ ฟันดาบๆ แล้วก็ปล่อยแสง" (เอ่อ...ไม่ใช่หนังมนุษย์ 5 สีนะคะ)

"น่าเบื่อออก ดูอะไรแปลกๆ ไม่อินเตอร์เลย"

ข้าพเจ้าขอปกป้องการดูละครจักรๆ วงศ์ๆ สุดตัวเลยค่ะ เพราะถ้าเราไม่ดูละครพวกนั้นในสมัยเด็ก ก็คงจะไม่รู้จักวรรณกรรมพื้นบ้านหลายๆ เรื่องๆ อย่าง สโนน้อยเรือนงาม ไกรทอง ปลาบู่ทอง อะไรพวกนี้น่ะ และการดูละครพวนี้ก็ได้ซึมซับเอาความละเอียดอ่อนของวัฒนธรรมเก่าๆ ไปได้พอสมควร (แต่ต้องคัดสรรค์ กลั่นกรองก่อนนะคะ บางเรื่องทำออกมามั่วๆ ออกแนวในจินตนาการก็มี) และที่สำคัญ...ดูไปเรื่อยๆ ราชาศัพท์แน่นปึ้กค่ะ สอบตอนป. 6 ได้สบายมาก แหะๆ แล้วการดูละครพวกนี้ก็ทำให้ข้าพเจ้าฟังพวกกาพย์เห่ เสภา หรือเพลงไทยบรรเลงได้โดยไม่เบื่อด้วยนะ ตอนเรื่องไกรทองน่ะ...จำเสภาเริ่มเรื่องได้เลย

"จากตำนานเล่าเรื่องเมืองพิจิตร
มาประดิษฐ์เรียงร้อยถ้อยอักษร
เป็นเค้าความต่อเนื่องเรื่องละคร <---------- data-blogger-escaped-br="br">องค์ภูธรเลิศหล้านภาลัย
มาผสานเคล้าผสมกลมกลืนแต่ง
ทั้งดัดแปลงเข้านิยมสมสมัย
ให้ลูกหลานได้ดูรู้เข้าใจ
เพื่อสืบสานตำนานไทย ไว้ชั่วกาล..."

ไม่รู้ว่าช่องเจ็ดสีจะทำละครแนวนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน และไม่รู้ว่าจะทำออกมาเป็นแนวไหนนะคะ แต่อยากให้มีต่อไปเรื่อยๆ จัง อย่างน้อยมันก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เยาวชนรุ่นหลังจะได้เห็นวิถีชีวิตที่คล้ายๆ กับสิ่งที่เราเคยเป็นมาในอดีต และได้เรียนรู้วรรณกรรมพื้นบ้านแบบง่ายๆ ยอมรับเลยว่าที่เราไปอ่านอิเหนา และขุนช้างขุนแผนนอกเวลาเนี่ย ก็เพราะมีพื้นฐานความชอบจากการดูพวกนี้ด้วยส่วนหนึ่งแหละ

ความชอบเด็กสมัยนี้อาจจะเปลี่ยนไป ตื่นเช้ามาน้องหนูอาจจะดูการ์ตูนก่อน แล้วก็ไปเล่นเกมส์ เด็กๆ อาจจะเล่นเกมส์ต่อสู้ก่อน แล้วค่อยเพิ่มความยากขึ้นเป็นเกมส์ภาษา เกมส์ strategic อะไรทำนองนั้น...นอกจากพัฒนาการด้านการวางแผนและความต่อเนื่องทางความคิดแล้ว เด็กๆ อาจจะซึมซับวัฒนธรรม เอ้อ..การต่อสู้ ความรุนแรงเป็นของแถม หากไม่ระมัดระวังให้ดี

'ต้น' เจริญไปไกลแล้ว อย่าลืมหันกลับมามอง 'ราก' สักหน่อยนะคะ...

ตอนนี้สัญญากับตัวเองไว้ค่ะ ว่าถ้าเล่านิทานเรื่อง สโนไวท์ให้ลูกฟัง และเล่าเรื่องโสนน้อยเรือนงามไปด้วย หรือ...ถ้าเล่าเรื่องเงือกน้อย ก็จะเล่าเรื่องนางอุทัยเทวีให้ฟังควบคู่

คิดไปคิดมา...อ้าว ข้ามช็อตนี่ตู ^ ^' หาคนมาแต่งงานด้วยก่อนดิ แหะๆ ค่อยคิดเรื่องเลี้ยงดู

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2550

อยากรู้..แต่ไม่อยากถาม

พี่ๆ ที่ York กำลังอินกับเพลง 'อยากรู้ แต่ไม่อยากถาม' มากค่ะ
ขออินด้วยคน เดี๋ยวไม่อินเทรนด์
.............................................................................

พลันรู้สึกนึกอะไรไม่ค่อยออก
มีเรื่องอยากจะบอกแต่รวบรวมคำพูดไม่ได้
แม้อยากเผยความรู้สึกลึกลึกข้างใน
แต่กลัวว่าหากพูดไปอะไรจะไม่เหมือนเดิม

ใครหนอ...ลิขิตให้เรามาเจอกัน
ใครหนอ...ผลักดันให้เรื่องของเรามีจุดเริ่ม
เหมือนวาดรูปแล้วแกล้งมาแต่งเติม
และสิ่งที่เพิ่มอาจย้อนมาทำร้ายจิตใจ

อยากรู้...แต่ไม่อยากถามเธอ
รู้เสมอว่าหากพลาดอาจย้อนกลับไม่ได้
คำว่า 'เพื่อน' มีค่ากว่าสิ่งใด
ความรู้สึกต้องเก็บไว้ กลัวเธอจะเปลี่ยนไปเมื่อได้ยิน

เธอจะมีใจหรือเปล่า...
ระหว่างเรามีจุดเริ่มแต่คงไม่มีจุดจบสิ้น
เจ็บ...จนน้ำตามันหลั่งริน
แต่ก็เริ่มชาชิน เพราะดีกว่าต้องเสียเธอไป

เธอจะมีใจหรือเปล่า..
คนขี้เหงาอยากรู้..แต่คงรับความจริงไม่ไหว
เพราะผิดเองที่ไม่รู้จักห้ามใจ
จึงขอเก็บเอาไว้...ไม่อยากพูดอะไรให้ทำร้ายเธอ

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2550

ฟ้าไร้แสง

กลอนนี้ขอสงวนลิขสิทธิ์ห้ามคัดลอกนะคะ
จะเอาไว้ประกอบนิยายเรื่อง 'ในรอยบรรพ์' (ชื่อเก่าคือ รอยรักฤๅร้าง...แต่ปางบรรพ์ ยาวมาก - -' ขี้เกียจเขียน มันยาวไป) ที่ดองมานานแสนนานน่ะค่ะ ตอนนี้เริ่มๆ เปิดฝาไหแล้ว...ย้ายหอเสร็จจะเริ่มทุบ

ตัวเอกของเรื่องเกิดมาพร้อมภาระ และพันธะแห่งอดีต
เขาและเธอ...รู้สึกอยู่ลึกๆ เสมอว่ามี 'หน้าที่' บางอย่างรออยู่ และต้องทำให้สำเร็จ เพื่อลบล้างบางสิ่งที่ตามหลอกหลอน ดังนั้น...จึงไม่มีครั้งไหนเลย ที่เขาและเธอจะมีความสุขได้อย่างแท้จริง จนกว่าวันนั้นจะมาถึง
................................................................................................................................................................

ยามสิ้นแสงตะวัน
หัวใจพลันสิ้นแสงทองส่องวิถี
บนฟากฟ้าไร้ดวงตาแห่งราตรี
ดาริกา...ริบหรี่ดูอ่อนแรง

ฟ้ายังเหงาไร้เงาโสมส่องหล้า
ฤๅเมฆาหมายคิดร้ายด้วยหน่ายแหนง
ฤๅเวทมนตร์แห่งราตรีที่สำแดง
เข้าจัดแจงแฝงจันทร์อันเรืองรอง

ลมยามดึกก่อเสียงสำเนียงประสาน
บทเพลงแห่งรัตติกาลขับขานก้อง
หรีดหริ่งเรไรให้ทำนอง
เสียงแซ่ซร้องฤๅสาปสรรค์แต่บรรพ์มา

เหตุไฉนดวงใจไหวสะท้อน
ความเจ็บย้อนตกตะกอนในใจข้า
ฤๅเป็นเพราะความผิดติดกายมา
กาลเวลาไม่อาจลบกลบโทษทัณฑ์

รู้ในจิตเรื่องผิดพลาดไม่อาจแก้
และรู้แน่...ภาพในใจไม่ใช่ฝัน
แต่วันนี้ไร้อำนาจมาฟาดฟัน
เพียงสู้ได้ด้วยใจมั่นไม่ผันแปร

เรื่องวันนั้นจบลง ณ วันนั้น
ในรอยบรรพ์...ไม่อาจหวนทวนกระแส
วันนี้มีเพียงกายที่อ่อนแอ
แต่จะไม่ยอมแพ้แก่ผู้ใด

แม้จะต้องยอมตายถวายชีวิต
ก็ไม่คิดจะหลีกหนีสู่ที่ไหน
ให้จากถิ่นสู่ดินแดนแสนห่างไกล
สักวันหนึ่งต้องกลับไปชดใช้กรรม
.................................................................................................................................................................

ไม่เข้าใจใช่ไหมล่ะคะ
นั่นแหละค่ะ คนเขียน เขียนไปก็ยังไม่เข้าใจเลย

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2550

หัวใจเจ้ากรรม

ไม่ได้อกหัก ไม่ได้รักคุด
กำลังอินกะโหมด girly talk ที่ค้างมาแต่หัวค่ำค่ะ
...............................................................................................
หัวใจเจ้ากรรม...
ไยต้องช้ำซ้ำรอยแผลเก่า
รอยจางรักร้างพรางเงา
กลับร้อนเร่าไฟรุมสุมทรวง

หัวใจเจ้าเอย..
ไยมิเคยละความหวงห่วง
ฤๅผ่านมาเป็นเพียงแค่ภาพลวง
กาลล่วง...ยังหนาวเหน็บเจ็บหทัย

หัวใจเจ้าขา...
ชีวิตข้าขอคืนมาเริ่มใหม่
แม้เนิ่นนาน..หากรอยรักปักทรวงใน
รอยเจ็บย้ำช้ำชอกใจยังไม่เลือน

หัวใจเจ้าปัญหา...
เจ็บปวดราวกายาถูกเชือดเฉือน
คนเคยใกล้มาห่างไกลไยแชเชือน
รอยยิ้มเยื้อนยังตราตรึงหนึ่งในใจ

หัวใจเจ้าจี้เจ้าการ...
นำความรักแสนหวานมาส่งให้
แล้วก็พรากพิศวาสบำราศไป
ทิ้งเอาไว้เพียงรอยเก่าเงาวันวาน

หัวใจเจ้ากรรม...
เมื่อเจ้าย้ำว่ารักเป็นเช่นวันผ่าน
ข้าจักขอเก็บใจไว้ชั่วกาล
ไม้ให้รักได้แผ้วพาน..นานนิรันดร์

ยิ้ม:)
19/09/2007

สนทนาประสาผู้หญิง

Start:     Sep 18, '07
พอเจอพื้นที่ใหม่ที่ใช้เขียนได้ก็เขียนยันเลย...อิอิ ดีค่ะ ชอบๆ
จากที่เคยบ่นคนเดียวในไดอารี่ ก็มาบ่นให้ชาวบ้านฟังด้วย (กรรมของคนอ่าน) บรรยากาศของ msn space ที่เอาไว้ใช้บ่นทุกอย่างเริ่มกลับมาแล้ว เย้ ๆ ๆ

วันนี้ไปกินข้าวกับเพื่อนๆ ในแฟลตมา แฟลต 5 บล็อค A1 นี้เป็นอะไรที่ลงตัวที่สุดเท่าที่เคยอยู่มา เราเริ่มต้นด้วยสาว 6 คน 6 เชื้อชาติอันได้แก่ ไทย จีน ญี่ปุ่น เคนยา อินเดีย และ ลูกครึ่งเปรู - สวีเดน

ที่สำคัญก็คือทั้ง 6 นางชอบทำอาหารและรักษาความสะอาดครัวอย่างยิ่งยวด (เผลอชมตัวเองเข้าไปด้วยซะงั้น แต่มันเป็นความจริงนี่นา) ดังนั้นแฟลตนี้จะมีอะไรกุ๊กกิ๊กๆ น่ารักๆ เช่นนัดกินข้าวกัน ทำอาหารนานาชาติมากินรวมกัน จัดงานวันเกิดให้ทุกคน น่าร้ากกกก (อวยได้อีกค่ะพี่น้อง อวยกันเข้าไป) แต่บรรยากาศมันอบอุ่นจริงๆ นะคะ ทุกคนถ้อยทีถ้อยอาศัยดีมาก

แล้วความน่ารักทั้งหลายก็ทลายลงเมื่อ 2 ใน 6 ต้องไปฝึกงานนอกมหาวิทยาลัย มีสมาชิกใหม่มาอยู่ จริงๆ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้เลวร้ายหรอกค่ะ แต่ความน่ารักและเป็นเอกลักษณ์แบบต้นปีมันหายไปเยอะเลย ยิ่งเทอมสามที่ต่างคนต่างยุ่งอยู่กับการทำวิทยานิพนธ์ แฟลตก็ยิ่งเงียบเหงา สมาชิกขาจรที่มาอยู่แทนสองสาวที่จากไปก็นิสัยไม่เหมือนเดิม

วันนี้...เรานัดกินข้าว รวมตัวกันอีกครั้ง แม่เจ้า หัวข้อสนทนาในวันนี้คือ

1. ความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศ
2. การแต่งงาน
3.แผนชีวิต
4. การมีลูก
5. การหย่าร้าง

ทำไมมันเครียดแบบนี้้คะ อิชั้นอยู่มา 24 ฝน 24 หนาว ยังไม่คิดถึงเรื่องแต่งงานเลยสักกระติ๊ดเดียวมองเป็นเรื่องไกลตัวมากๆ แต่เพื่อนๆ ของเจ๊แคโรลินา สาวลูกครึ่งเปรูแต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว ลูกอายุ 3 ขวบแล้ว กำลังน่ารักน่าหยิก กรี๊ดดดดด

แล้วถ้าอิชั้นเรียน PhD อีก อิชั้นก็จะจบมาตอนอายุ 27 - 28 เป็นด๊อกเตอร์ยังสาว แต่มีความเสี่ยงของการเป็นของสูงที่เอื้อมไม่ถึงมากๆ (อยู่บนคาน)

แอ้ก ๆ ๆ
แววอยู่ตัวคนเดียวมารำไรๆ แล้วค่ะ

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2550

Fountains Abbey - ซากหินสีน้ำตาลบนพรมสีเขียว




ในที่สุดก็ปลดแอกด้านการเรียนออกไปได้อีกอย่างหนึ่งนะคะ....

จัดการกับวิทยานิพนธ์เสร็จไปแล้วค่ะ วันจันทร์ที่ 3 กันยา 2550 จึงเป็นวันที่ยิ้มหนีออกจากห้องไปเปิดหูเปิดตาพร้อมกับพี่ๆ คนไทยที่ Fountains Abbey ซึ่งเป็นโบราณสถานที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในบัญชีของ UNESCO และเป็นสถานที่ที่ใครๆ ก็แนะนำให้ต้องไป ใช่ค่ะ...คนแนะนำส่วนมากคืออาจารย์และคนในวงการโบราณคดี ^ ^’

วันนี้เรื่องราวที่จะมาเล่าอาจจะมีกลิ่นไอวิชาการติดมาเล็กน้อย เพราะตอนเราไป เราพลาดคณะทัวร์ค่ะ เลยไม่ค่อยรู้ประวัติความเป็นมาของสถานที่เท่าไหร่ รู้คร่าวๆ แค่ว่าสร้างขึ้นเมื่อไหร่ มีไว้ทำไมเฉยๆ ผิดวิสัยการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ก็เลยต้องมาค้นคว้าต่อดังนี้แล คงไม่เล่ายาวมากค่ะ ตัวหนังสือ พรืดดด พรืดดดด คนไม่อ่านกันพอดี เอาเป็นว่าขอแบบสั้นๆ ได้ใจความละกันนะคะ

Fountains Abbey เนี่ย เป็นซากปรักหักพังของสำนักสงฆ์โบราณที่สร้างขึ้นในสมัย ค.ศ. 1132 ก็ประมาณ 800 กว่าปีมาแล้ว ประมาณก่อนการก่อตั้งกรุงสุโขทัยนิดหน่อย สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่อยู่ของนักบวชนิกายย่อย นิกายหนึ่งของโรมันคาธอลิก จัดได้ว่าเป็นสำนักสงฆ์ที่ใหญ่มากกก และยังเป็นซากที่ใหญ่ที่สุดของประเทศด้วย (ก็คงจริง เพราะไปมาหลายที่แล้ว ยังไม่มีที่ไหนอลังการเท่าที่นี่เลย) แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นซากปรักหักพังแบบนั้น ทั้งที่ไม่มีพม่ามาเผาเมืองเหมือนอยุธยา...คำตอบก็คือ ในสมัยของกษัตริย์ Henry VIII นั้น มีการเปลี่ยนศาสนาจากนิกายโรมันคาธอลิกมาเป็นแองกลิกัน ก็ต้องมีการทำลายล้างสัญลักษณ์ของนิกายเก่ากันหน่อย ซึ่งที่นี่ก็กวาดล้างกันเป็นจริงเป็นจัง สำนักสงฆ์หลายๆ แห่งก็ถูกรื้อ ถูกยึดทรัพย์ กลายเป็นซากร้างๆ แบบนี้แหละ (ยุคนั้นเขาเรียก Dissolution of monasteries ค่ะ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1539)


เด่น เป็นสง่า



สถาปัตยกรรมหลายๆ สมัยรวมกันตั้งแต่ โรมาเนสก์มาถึงกอธิก


โถงใหญ่รู้สึกเขาจะเรียกว่า The cloister


การซ้อนทับของโบราณคดี แสดงถึงอดีตอันยาวนาน (ดูที่ฝา) มีการสร้างๆ รื้อๆ หลายครั้ง ขนาดวัสดุที่ใช้ยังไม่เหมือนกันเลย (ดูที่ขนาดและสีของหิน)


สถาปัตยกรรมรูปแบบนี้เรียกว่า vaulted คงเป็นสมัยแรกๆ เพราะยังไม่มีพวกดอกไม้ลายสลัก ห้อยระย้อยระย้า วิลิศมาหรา


Arch เป็นรูปโค้ง บ่งบอกอิทธิพลของ Roman (Romanesque ก็มาจากคำนั้นแหละค่ะ)


สะท้อนใจเหมือนกันนะคะ บางครั้ง...สงครามในประเทศ ก่อให้เกิดผลรุนแรงยิ่งกว่าสงครามระหว่างชนชาติอีก แต่อย่างไรก็ดี...ซากสำนักสงฆ์ต่างๆ ที่ถูกทุบทิ้ง ก็กลายมาเป็นเสน่ห์คู่ประเทศอังกฤษไปแล้วแฮะ คล้ายๆ กับว่าอังกฤษ ประเทศเก่าๆ ก็ต้องคู่กับซากเก่าๆ หญ้าเขียวๆ ตัดเรียบเนียน

ใครจะรู้เนี่ย...ว่าอดีตของสถานที่พวกนี้มันน่าเศร้าแค่ไหน

แวะพักที่ Ripon

พวกเราออกจากมหาวิทยาลัยกันตอน 8 โมง บางคนก็จัดการอาหารเช้ามาแล้ว บางคนก็ยังไม่ พอรถบัสแบบฉิ่งฉับทัวร์เอาพวกเรามาปล่อยไว้ที่เมือง Ripon เพื่อต่อรถอีกคันไปยัง Fountains Abbey แต่ละคนก็เลยจัดการตัวเองตามอัธยาศัย บ้างก็ไปเข้าห้องน้ำ บ้างก็ไปหาอะไรกิน (ส่วนยิ้มก็...อย่างหลังค่ะ ^ ^ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง) เมือง Ripon นี่ เป็นเมืองที่เล็กเป็นอันดับ 4 ของอังกฤษ ขนาดกำลังเล็กๆ มีจัตุรัสอยู่กลางเมือง เขาว่าประชากรมีไม่ถึง 20,000 ไม่เห็นคนเอเชียเลยสักกะนิด ยิ่งขึ้นมาทางเหนือของอังกฤษยิ่งหาคนผมดำยากค่ะถ้าเป็นเมืองที่ไม่มีมหาวิทยาลัย เคยไปขุดอยู่ที่ชายแดนอังกฤษ – สก็อตแลนด์ เด็กๆ ถึงกับวิ่งมาดูยังกะเป็นตัวประหลาดเลยทีเดียว เหอๆๆ ไม่รู้จะดีใจดีหรือเปล่าหนอ

เมืองเล็กน่ารักอย่างนี้...แวะพัก แวะกินข้าวก็ดีหรอก เล็กๆ น่ารัก แต่มีพร้อมทุกอย่าง แต่ถ้าให้อยู่ หุหุหุ คงลำบากหน่อยล่ะนะคะ เพราะ York (ที่ดูว่าเล็กแล้ว) ยังใหญ่กว่า Ripon มากมาย


เมือง Ripon ที่พักริมทาง



Fountains Abbey และ Studeley Royal Park

ในอังกฤษก็มีระบบที่คล้ายๆ กับระบบศักดินาเหมือนกัน อย่างเมืองไทยเราก็มีเจ้าขุนมูลนายยศต่างๆ ดูแลไพร่ทาสในสังกัดใช่ไหมล่ะ ที่ประเทศอังกฤษนี่เขาก็มีระบบเจ้าของที่ ดูแลประชากรที่เช่าที่ของเขาอยู่ ระบบคล้ายๆ กัน ดังนั้น...ซาก Fountains Abbey ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Studeley Royal Park ไป เจ้าของคงจะคิดว่าเท่ไม่หยอกนะ มีซากโบราณสถานอยู่ในสวนของตัวเองด้วย

ที่ดินผืนนั้นก็มีการพัฒนาเรื่อยๆ ตามยุคสมัย เป็นมรดกตกทอดของลูกหลานต้นตระกูลมา สมัยประมาณ ศตวรรษที่ 18 เจ้าของที่ก็ได้สร้างสวนน้ำ หรือ Water Garden ขึ้นมา เป็นสวนที่มีชื่อมาก คนในคณะชอบเก็บมาเป็นกรณีศึกษา แต่บังเอิญยิ้มไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์ศิลปะ เลยไม่ได้เก็บรายละเอียดมาก รู้แค่ว่ามันเป็น Neo-gothic style เป็นยุคที่...ผู้มีอันจะกินเริ่มสร้างสิ่งก่อสร้างด้วยรูปแบบเก่าๆ ด้วยความ 'กระหายวัฒนธรรม'

ถามว่าสวยมั้ย...ยิ้มก็ว่ามันสวยแบบอังกฤษๆ นะ คือดูรกๆ หน่อยน่ะค่ะ จะเน้นให้เห็นถึงความคิดอันลึกซึ้งและปรัชญาที่แฝงมาจากการจัดสวน ให้เห็นถึงความงามแบบไม่ปรุงแต่ง (อันนี้มั่วเอง ไม่มีทฤษฎีรองรับ) สวนของทางยุโรปภาคพื้นทวีปจะสวยแบบจัดตั้ง ดอกไม้ปลูกตามแปลง มีหินโรย หญ้าไม่มีสักเส้น แต่สวน Water Garden นี้จะออกแนวสวนป่า สวยตามธรรมชาติ เน้นที่สีเขียวของพื้นหญ้า สีน้ำตาลของซากปรักหักพังและตัววิหาร สร้างความอลังการด้วยเนินเล็กๆ และการจัดตำแหน่งของสิ่งก่อสร้างให้ดูมีมิติ คือ...ถ้าเราไปอยู่ตรงนั้น...จะมีความรู้สึกเกรงๆ และเคารพในสถานที่ เหมือนกับว่าพลังงานจะส่งผ่านจากซากโบราณสถานออกมาถึงสวนแห่งนี้ (หรืออิชั้นจะคิดไปเอง)


แต่มันขลังจริงๆ นะคะ ไม่ได้พูดเล่น ดูดิ


นอกจากสวนน้ำแล้วก็ยังมีโบสถ์ประจำตระกูล มีโรงสี (mill) มีบ้านประจำตระกูล เรียกได้ว่าแค่ที่ดินของตระกูลนี้ก็กินพื้นที่เนินเขาไปแล้วหลายลูกล่ะค่ะ ความยิ่งใหญ่มีจริงค่ะพี่น้อง ถ้าเป็นที่เมืองไทย เศรษฐีคนไหนมีที่ดินที่มีโบราณสถานอยู่ จะไม่ค่อยกล้าพัฒนาที่ดินต่อ ภาษาเหนือเรียกว่า ‘ขึด’ แปลว่าผิดจารีตประเพณี (หรือบางคนก็อาจจะขุดเอาไปขายเลย อันนี้ไม่เรียกว่าขึด แต่เรียกว่า ‘ชั่ว’ )

คิดไปคิดมา...ยิ้มว่าดีออก ของเก่า กะของใหม่ อยู่ด้วยกันอย่างสันติ โบราณสถานควรมีส่วนร่วมกับปัจจุบันมากว่านี้ ตั้งอยู่สวยๆ ก็เหมือนโมเดล ดูได้ ชมได้ ใช้งานไม่ได้ มันต้องมีวิธีสิคะพี่น้อง มันต้องมีวิธีเชื่อมอดีตกับปัจจุบันมากกว่านี้ (เริ่มเข้าโหมดเพ้อพล่าม)

Marquis of Ripon ที่เป็นต้นตระกูลเจ้าของที่คนแรกๆ เขาก็พัฒนาที่ของเขาไป โดยให้ความเคารพกับโบราณสถาน มีการพัฒนาตามสมควร ที่ดินผืนนี้ ก็จะเป็นที่ดินที่รวบรวมเอาพัฒนาการจากสมัยเกือบพันปีที่แล้ว มาถึงสมัย Elizabethan ที่เลยยุคกลางมานิดๆ มาถึงสวนน้ำในสมัย Georgian ที่อังกฤษเริ่มก้าวไปสู่คำว่า ‘ผู้ดี’ สวนกวางบนทุ่งหญ้าเขียวขจี และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ อีก

โลกเรามันคู่อยู่กับการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว...เราไม่จำเป็นต้องแยก ‘ของเก่า’ ออกจาก ‘ของใหม่’ หรอก แต่ว่าต้องทำให้มันกลมกลืนกันไปได้หมด ยิ้มว่า National Trust องค์กรที่ได้รับที่ผืนนี้มาและบริหารจัดการอยู่ดูแลได้ดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ แต่เขายังไม่ได้เน้นเรื่องการพัฒนาของที่ดินผืนนี้และความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องของสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งในที่ดินกว้างๆ ผืนนี้ได้ นักท่องเที่ยวเลยมองไม่เห็นภาพรวมว่า Fountains Abbey, Fountains Hall, Fountains Mill, โบสถ์ประจำตระกูล, สวนกวาง ทุกๆ อย่างนี้มันมีความสัมพันธ์กันยังไง คือถ้าเราไปทันคณะทัวร์ที่มีไกด์ มันก็โชคดีไป ^ ^’ แต่ถ้ามาไม่ทัน เราก็จะมุ่งตรงเข้าหาซากโบสถ์ที่เด่นชัดที่สุดในสวนนี้อยู่แล้ว โดยลืมส่วนอื่นๆ ที่สำคัญไปได้ง่ายๆ

เสียดายที่มีเวลาน้อยเลยเดินได้ไม่ทั่ว ได้ไปแค่ซากโบสถ์ กับโบสถ์ประจำตระกูลของเจ้าของที่ ยิ้มคิดว่า...คนเราสามารถอยู่ร่วมกับมรดกทางวัฒนธรรมได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปรบกวนอีกสิ่งหนึ่ง

ขอขอบคุณพี่เต่าและพี่ๆ ชาวยอร์คท่านอื่นๆ เป็นอย่างยิ่งที่ชวนพวกเราไปเที่ยวด้วยกันค่ะ ได้ความคิดดีๆ แล้ว เรื่องการบริหารจัดการมรดกทางวัฒนธรรม ที่อาจจะเป็นแนวทางการปฏิบัติให้กับประเทศไทยได้ต่อไปในอนาคต ยิ่งตอนนี้ มีอีกหลายแห่งที่กำลังจะส่งรายชื่อเข้าเสนอ UNESCO ด้วย

เป็นเวลาหนึ่งวันที่คุ้มค่าจริงๆ


ป.ล. ขอขอบคุณ เวบไซต์นำเที่ยวของ Fountains abbey และ วิกิพีเดีย ค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

เรื่องเก่าๆ เล่าเรื่อยๆ: อาหารไดเร็คเซลล์

Rating:★★★★
Category:Other
โอยยยย คิดถึง multiply และการเขียนบล็อกมากมายค่ะ ทรมานมากกับการที่มีงานมากองอยู่ตรงหน้า ออนไลน์อยู่ทุกวันแต่ไม่สามารถเขียนระบายได้ วันนี้ฤกษ์งามยามดี ฝนหยุดตกตอนเย้น แถมเพิ่งส่งงานดราฟต์แรกไป ก็เลยถือโอกาสมาระบายออกทางปลายนิ้วเสียหน่อย...เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าการเขียนระบาย มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจนไม่สามารถละทิ้งได้ซะแล้ว...

ช่วงนี้...ซูเปอร์มาเก็ต costcutter ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยปิดเร็วค่ะ ไม่เหลือนักศึกษาปริญญาตรีแล้ว เหลือแต่คนแก่ๆ อย่างเราเท่านั้น กว่าจะรู้ตัวว่าอยากได้น้ำผลไม้มาดื่มก็เลยหกโมงเย็นไปละ เลยอึ้งเลย...อดต่อไป ก็เลยทำให้นึกย้อนกลับไปถึงเรื่องการซื้ออาหารในสมัยเด็กๆ (นึกไปได้เนอะ) ตามประสาคนเริ่มสูงวัยขึ้นแล้วน่ะค่ะ อดีตผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเลยทีเดียว

ด้วยความหิว...ทำให้นึกถึงสมัยที่พ่อจ๋า กับแม่จ๋าส่งไปปล่อยเกาะอยู่บ้านยายที่เป็นสวนลำไยช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ที่เรียกว่าปล่อยเกาะเพราะว่าไม่มีหนทางเข้าเมืองได้เลยค่ะ หุหุ เข้าแล้วเข้าเลย ออกไปไหนไม่ได้ ไม่งั้นต้องเดินจากบ้านยายเข้าตัวอำเภอ แล้วต่อรถสองแถวสีฟ้าเข้าเชียงใหม่ หลายกิโลนะนั่น หรือไม่ก็ต้องตื่นเช้าแล้วขอติดรถลุงคนที่ขับรถสองแถวระหว่างเชียงใหม่ - ลำพูนเพื่อเข้าเมือง

จริงๆ แล้วมันก็ไม่ลำบากหรอกนะ จะว่าอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ก็ว่าได้เลยล่ะ ปลา ผัก ผลไม้ พืชหัว ของสดน่ะหาง่าย เข้าสวนก็ได้มะม่วงมาฝานๆ ใส่น้ำปลา น้ำตาล กุ้งแห้งแล้ว ฝรั่ง กระท้อน ขนุน ส้มโอ ก็ค่อยๆ ทยอยออกมาตามฤดูของมัน แต่อาหารพวกขนมกรอบแกรบ ของหวาน ของกินเล่น โอ่ยยยย หากินยากเหลือเกิน หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านในตอนนั้นมีร้านของชำ ร้านสะดวกซื้อไม่กี่ที่หรอก เจ้าประจำก็พอมีขนมขายบ้าง แต่ส่วนมากจะเน้นอาหารมากกว่า แม่ค้าจะตื่นแต่เช้า นั่งรถสองแถวไปซื้อของสด ของคาว เนื้อ หมู ไก่ พวกนั้นมาขาย ชาวบ้านก็ไปซื้อหามา ส่วนมากเขาก็กินกันพอดีมื้อไป ไม่ค่อยมีของกินเล่นเท่าไหร่ กินอยู่แบบพอเพียงน่ะ...

แต่ตอนนั้นเด็กหญิงยิ้มก็วัยกำลังกำลังกินกำลังนอนอ่ะนะ กินข้าวเป็นมื้อๆ แล้วก็อยากกินของหวาน อยากกินไอติม อยากกินอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วแถวนั้นน่ะ - -' มีซะที่ไหน ด้านหลังก็สวนลำไย ด้านข้างก็สวนลำไย ด้านหน้าก็สวนลำไย (อ๊ากกก มีแต่ลำไย) อยากกินขนมก็ต้องขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปในตัวอำเภอ (ยังเด็กอยู่ ขี่ไม่เป็น) รถยนต์ก็ไม่มี (ถึงจะมีตอนนั้นก็ขับไม่ได้ - - )

ความหวัง...จึงฝากไว้กับแม่ค้าไดเร็คเซลล์ หุหุ ไม่ใช่ขายของตรงพวกเครื่องสำอางค์ เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างที่คิดหรอกค่ะ ยิ้มหมายถึงอาหารไดเร็คเซลล์นี่แหละ

คงจะรู้ว่ามีคนรอคอยมากมายเพราะขี้เกียจเข้าตัวอำเภอ แม่ค้าเลยแวะเวียนมาทุกวัน เขาจะเอาไม้ไผ่พาดขวางที่นั่งแล้วเอากระบุงใหญ่ๆ (ใหญ่มาก) ห้อยสองข้าง ของสด ของแห้งใส่ในกระบุงและห้อยที่ปากกระบุงเต็มไปหมด แต่ละคนนี่ ทักษะการจัดของเป็นเลิศ เพราะในขณะเดียวกันเบาะหลังก็มีกระติกน้ำแข็งเอาไว้ใส่ของพวกของสด ข้ำแข็งไส อะไรทำนองนั้นด้วย

แม่ค้าเขาไม่แวะทุกบ้านนะคะ เขาจะแวะแค่บ้านหลังที่เป็นที่ชุมนุมของเหล่าชาวบ้านเท่านั้นค่ะ แล้วก็จะบีบแตร แต๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ เรียกให้คนไปซื้อของ บ่ายมา..เด็กหญิงยิ้มก็หูผึ่งเลย พอได้ยินเสียงก็วิ่งไปแล้ว

โดยส่วนตัวแล้ว...ทึ่งในความสามารถของแม่ค้ามากค่ะ ที่สามารถทรงตัวขี่มอเตอร์ไซค์ที่เต็มไปด้วยของมากมายหลายสิบโลอย่างนั้นได้ ของที่เขาจัดก็แบ่งเป็นหมวดหมู่ชัดเจนด้วย มีทั้งผักต่างๆ นาๆ ผักกาด ผักบุ้ง ผักพื้นเมือง บวบ แตงกวา เห็ด มะเขือเทศ เนื้อสดพวกไก่ หมู ปลาช่อน ปลาดุก บางทีมีปูด้วย อาหารสุกจำพวกหมุทอด ไก่ทอด แคบหมู แกงต่างๆ ห่อแอ็บ ไส้อั่ว ของหวาน น้ำแข็ง ขนมกรุบกรอบซองๆ ถ้าเอามาวางเรียงบนโต๊ะ คงจะวางเรียงบนโต๊ะขนาด 1.5* 2.5 เมตรได้เต็ม (หรืออาจจะต้องวางซ้อนเลยด้วยซ้ำ) อาหารประจำที่รอซื้อคือ ตือคาโค ถั่วดำ ลอดช่องสิงคโปร์ ชาเย็น โอเลี้ยง นมเย็นสีชมพู (ที่ว่ามานั่น...ไม่ได้กินหมดทีเดียวนะคะ หมุนเวียนกันไป)

ยิ้มว่ามันเป็นอาชีพที่รายได้ค่อนข้างแน่นอนเลยแหละ ไม่เคยมีวันไหนที่คนไม่ซื้อ แต่คงต้องอาศัยวินัยมากเหมือนกัน แล้วก็เป็นงาน routine ต้องทำแบบเดิมๆ ทุกวัน แวะไปที่เดิมทุกๆ วัน อาจจะเบื่อได้ พึ่งพาแม่ค้าไดเร็คเซลล์ได้ระยะใหญ่ๆ พ่อจ๋า แม่จ๋าก็เริ่มกลัวและห่วง

"อาหารมันจะสะอาดรึเปล่าน่ะ"
"ถ้าอาหารมันสะอาด น้ำแข็งที่เขาใช้ก็น่ากลัวเหมือนกัน แล้วนมสีๆ น่ะ ใส่สีอะไรก็ไม่รู้ ชมพูแจ๊ดเลย ชาเย็นก็สีส้มมมม"

ก็ด้วยความเป็นห่วงล่ะนะ - - เข้าใจอยู่หรอก เพราะตอนนั้นก็ท้องไส้ไม่ค่อยดี เคยท้องเสียนอนหยอดน้ำข้าวต้มสิ้นไร้เรี่ยวแรง ถ่ายจนน้ำออกมาใสๆ หลายทีอยู่ ในที่สุดก็โดนตัดตอน สั่งห้ามไม่ให้ซื้อขนมที่แม่ค้าละ แต่ของสด ของคาวยังซื้อได้อยู่ นัยว่าเอามาทำให้สุกก่อนได้...ก็เลยมองตามตาละห้อย ตอนเด็กๆ ไม่ค่อยมีฤทธิ์อะไร ออกจะเป็นเด็กเรียบร้อย สั่งให้ดื่มนมก็ดื่มนม ห้ามอมลูกอม ก็ไม่อม ในที่สุดก็เลยไม่ได้กินขนม กับน้ำหวานพวกนั้นแล้ว อาหารว่างยามบ่ายเลยกลายมาเป็นน้ำหวาน Hale's blue boy หรือ น้ำส้มผสมน้ำเอาไปแช่แข็งแทน เป็นไอติมหวานเย็นทำเอง (แต่ก็แอบคิดถึงกลิ่นหอมของชาเย็น นมเย็นพวกนั้นอยู่ดี รสชาติมันเป็นเอกลักษณ์มากๆ เลย) ไม่อยากบอกเลย ว่าเพราะน้ำหวานถุงๆ แบบนั้น ทำให้ยิ้มกินโอเลี้ยงเป็น และชอบโอเลี้ยงมาจนถึงทุกวันนี้

วันนี้บ้านสวนเปลี่ยนสภาพไปหมดแล้วค่ะ ร้านสะดวกซื้อผุดขึันมากมาย อยากได้ขนม อยากได้อะไรก็อยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ ร้านที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเหมือน 7/11 ก็มี...แม่ค้าไดเร็คเซลล์เริ่มถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ

ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเล็กก็กินปลาเล็กกว่า (ปรากฏการณ์ที่แม่ค้าอาหารไดเร็คเซลล์ถูกแทนที่ด้วยร้านสะดวกซื้อ และร้านสะดวกซื้อกำลังต้องดิ้นรนต้านกระแสซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่กว่าอย่าง Big C, Tesco หรือ Carrefour)

คงจะไม่มีโอกาสได้ยินเสียงแตรอีกแล้ว...เช่นกันกับที่จะไม่ได้เห็นฝูงวัวเดินผ่านหน้าบ้านสวน หรือไม่ได้ยินเสียงสูบน้ำใส่นาข้าวอีกต่อไป...

กงล้ออดีตและปัจจุบันมันหมุนไปเรื่อยๆ ในขณะที่ความทรงจำมันยังถูกกำหนดไว้ที่เดิม ก็รู้อยู่ว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่เปลี่ยนแปลง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากให้สิ่งที่เคยเป็น ยังเป็นอยู่อย่างนั้น แต่ต้นไม้น้ำต้นเล็กๆ อย่างไรเสียก็ต้านกระแสน้ำไหลไม่ได้อยู่ดี...

ความทรงจำก็คงถูกเก็บไว้เป็นแค่ตัวหนังสือ และเก็บไว้ในใจคนขี้บ่นคนนี้ต่อๆ ไป