
Rating: | ★★★★★ |
Category: | Other |
20-06-2004
“หนูมากับพวกนักขุดหลุมศพรึเปล่าจ๊ะ”
เสียงร้องทักทายจากผู้ดูแลพื้นที่พักแรมที่ฉันต้องฝากชีวิตเอาไว้เกือบหนึ่งเดือนเต็มตลอดการขุดค้นครั้งหนึ่งในประเทศอังกฤษทำให้ฉันเกือบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เพราะแกใช้คำว่า Grave digger ซึ่งแปลได้ตรงตัวว่า “นักขุดหลุมศพ” ที่ฟังดูน่ารักน่าชัง
ในสายตาของคนทั่วไป ภาพพจน์ของพวกเราคงไม่ต่างอะไรจากนักล่าสมบัติสุดขอบฟ้า ตามแบบตัวเอกภาพยนตร์ดังหลายเรื่องหลากรส ที่วันหนึ่งๆก็ไม่ทำงานทำการอะไร นอกจากเดินตามลายแทง ผ่านป่าดงดิบต่อสู้ฝ่าฟันกับสัตว์ดุร้ายและชนเผ่าพื้นเมืองเพื่อหวังจะค้นพบโบราณวัตถุล้ำค่าและมาไว้ในครอบครอง
ไม่อยากจะบอกเลยว่าเป็นความคิดที่ผิดถนัด
ชีวิตนักโบราณคดีที่แท้จริงไม่คล้ายชีวิตของตัวเอกภาพยนต์เหล่านั้นแม้แต่นิดเดียว
ทุกๆครั้งที่ฉันเอ่ยว่าฉันเรียนโบราณคดี คนรู้จักคุ้นเคยแทบทุกคนก็มักจะถามกลับว่า
“อยากไปขุดสมบัติหรอ”
“จะไปคุ้ยหาอะไรล่ะ กรุสมบัติถูกขโมยไปไม่เหลือแล้ว”
และทุกครั้งที่ฉันบอกว่าฉันพึ่งลงสนามภาคปฏิบัติมา ทุก ๆ คนจะต้องถามกลับว่า
“แล้วขุดเจอของอะไรบ้างล่ะ”
จริงอยู่ที่ว่าการค้นพบโบราณวัตถุที่สำคัญ ๆ เป็นความต้องการอันสูงสุดของนักโบราณคดี แต่คำว่าโบราณคดีนั้นมิได้หมายถึงการขุดค้นเพื่อให้ได้มาเพื่อวัตถุเพียงอย่างเดียว งานของพวกเรารวมถึงภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติและ วิธีการพิเศษต่าง ๆ มากมาย ก่อนที่หน้าดินแต่ละชั้นจะถูกเปิดออกมานั้น นักวิชาการต้องค้นคว้า วิจัยจนมีหลักฐานยืนยันแน่นอนแล้วว่าบริเวณนั้นๆ มีแนวโน้มที่จะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ซึ่งผลจากการวิจัยก็จะนำมาซึ่งการสำรวจจากระยะไกล เช่นภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถ่ายจากดาวเทียม การสำรวจด้วยเรดาร์และการสำรวจสภาพทางภูมิศาสตร์และทางธรณีวิทยา แม้จะได้ผลสำรวจที่ทำให้แน่ใจแล้วว่ามี “อะไร” ซ่อนอยู่ใต้ผืนแผ่นดินนี้ แต่นักโบราณคดีก็ยังไม่สามารถ “ขุด” เพื่อค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ทันที เรื่องของตัวบทกฎหมาย และ กรรมสิทธิ์ของที่ผืนนั้นๆ ก็ยังเป็นปัญหาให้เหล่านักขุดต้องเก็บมาขบคิด และถึงแม้ว่าจะได้รับอนุมัติให้ขุดค้นได้แล้วก็ยังไม่สามารถเปิดหน้าดินออกมาได้ทั้งหมด เพราะกระบวนการขุดค้นเป็นกระบวนการที่ย้อนกลับไม่ได้ หลักฐานทางโบราณคดีสามารถถูกทำลายได้เพียงพริบตา และนั่นหมายถึงอดีตที่สั่งสมยาวนานนับพันปีอาจถูกเก็บเป็นความลับชั่วนิรันดร์ การขุดหลุมทดสอบขนาดเล็กเพื่อตรวจหาลักษณะทางโบราณคดีจึงเป็นการสร้างความมั่นใจครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเริ่มการขุดจริง
ทุกครั้งที่ปลายเกรียง (อุปกรณ์ในการขุดขนาดเล็กเหมือนช้อนพรวนแต่ปลายแหลม) เจาะลงไปในดิน เหล่านักโบราณคดีมิได้หวังจะให้เจอซากมนุษย์ดึกดำบรรพ์ เครื่องปั้นดินเผา หรือ อาวุธหินใดๆ ทั้งสิ้น พวกเราต่างหวังที่จะได้เรียนรู้เรื่องราวแห่งอดีต จากการทับถมของดินและซากปรักหักพังพร้อมทั้งการเปลี่ยนแปลงในดินทุกอย่างที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ และ ธรรมชาติ การละทิ้งพื้นที่บริเวณใด บริเวณหนึ่ง การทิ้งขยะ การสร้างอาคารบ้านเรือน ล้วนทำให้เกิดชั้นแห่งการสะสมของวัสดุทางธรรมชาติ วัสดุที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งจัดว่าเป็นหลักฐานทางโบราณคดีทั้งนั้น
แม้การขุดค้นจะเสร็จสิ้น แต่งานของเราก็ยังไม่เสร็จสิ้น เมื่อพบโบราณสถาน นั่นก็หมายถึงงานขุดแต่งที่จะตามมา โบราณวัตถุกองโตก็หมายถึงงานในการแยกหมวดหมู่ ขัดล้าง อนุรักษ์ และส่งมอบให้พิพิธภัณฑ์ มิใช่เรื่องสนุก และเรียบง่าย เหมือนนักผจญภัยตามล่าลายแทงอย่างที่ภาพภายนอกบ่งบอกเอาไว้แม้แต่น้อย
ฉันโชคดีที่ได้มีโอกาสข้ามน้ำข้ามทะเลมาศึกษาวิชาโบราณคดี ณ ประเทศอังกฤษ เพราะอย่างน้อยก็มีโอกาสได้ร่วมงานขุดค้น และ งานโบราณคดีในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่เพียงการขุดที่ล้วนน่าสนใจอยู่หลายครั้ง ฉันยังจำคำปาฐกถาก่อนที่จะได้ลงภาคสนามอย่างจริง ๆ จัง ๆ ได้ดี
“เมื่อพวกเธอมีอาวุธประจำกายแล้ว ก็เริ่มเป็นมืออาชีพแล้วนะ เป็นนักโบราณคดีก็หมั่นค้นคว้าหาความรู้เอารอบตัว ใช่ว่าเราจะเรียนได้ทุกสิ่งทุกอย่างเสียเมื่อไหร่ วิชาชีพใด ๆ ก็ตามต้องการการเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น โบราณคดียิ่งเป็นศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอดังนั้นเราจะนิ่งนอนใจถือว่าตัวเองรู้ดีที่สุดไม่ได้ ประสบการณ์น่ะ ดูกันที่ขนาดของเกรียงนะจ๊ะ ยิ่งเล็กยิ่งถือว่ามากด้วยประสบการณ์ ก็ปกติพวกนักโบราณคดีจะพกเกรียงแค่อันเดียวจนกว่ามันจะกร่อนสลายไป หรือว่าจนกว่ามันจะหักกลาง ถ้าซื้อของดี ๆ ก็อยู่ได้เป็นสิบปี อาจารย์ก็ใช้ตั้งแต่อันขนาดเท่าของเธอ จนเล็กขนาดนี้ไงล่ะ”
แล้วอาจารย์ผู้สอนภาคปฏิบัติคนแรกของฉันก็งัดอุปกรณ์ของตัวเองมาเทียบขนาด ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อว่าขนาดมันต่างกันแบบครึ่งต่อครึ่ง ฉันก็คงได้แต่เฝ้ารอเวลาว่าเมื่อมื่อไหร่ฉันจะได้ผันตัวเองจากหนอนคลานเชื่องช้า เป็นผีเสื้อตัวงามในวงการโบราณคดีนี้บ้าง
พวกอาจารย์สอนผู้วิชาโบราณคดีมักจะเป็นกันเอง ไม่ถือเนื้อถือตัวว่าตัวเองเป็นอาจารย์ ไม่ว่าตำแหน่งจะสูงเป็นถึงดอกเตอร์หรือโปรเฟสเซอร์ก็ไม่เคยติดทำเนียบเจ้ายศเจ้าอย่าง ถึงเวลาต้องลงปฏิบัติก็คลุกดินคลุกทรายด้วยกัน ฉลองยามค่ำคืนด้วยกัน เจ็บปวดจากอาการเมาค้างด้วยกันด้วยกันเสมอ ๆ
“จำเอาไว้นะ พวกเรานักโบราณคดี ต้องอยู่ง่ายกินง่าย ไม่มีน้ำอาบก็อย่าบ่น อาจารย์เคยแม้กระทั่งพกแปรงสีฟัน ยาสีฟันติดกระเป๋ามาแล้ว เข้าผับ หรือร้านอาหารที่ไหนก็แอบไปล้างหน้าแปรงฟันเข้าห้องน้ำที่นั่น พวกเราสบายแค่ไหน เดี๋ยวนี้น้ำไฟ ห้องน้ำเข้าถึงเกือบหมดแล้ว จะรู้รสชาตินักขุดที่แท้จริงได้ยังไง”
อยากจะบอกอาจารย์เหลือเกินว่าเราเกิดคนละยุคคนละสมัยกัน ก็สมัยที่อาจารย์ไปขุดฉันอาจจะยังไม่ตั้งไข่เสียด้วยซ้ำ นักขุดยุค 70 หรือ 80 จะเทียบเทียมกับยุคสหัสวรรษใหม่ได้หรือ พวกเราเกิดมาพร้อมกับวิทยาการและสาธารณูปการที่นับวันก็จะยิ่งพัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไป อาจารย์กล่าวปิดท้ายได้น่าฟัง
“ไม่ว่าจะเลวร้ายยังไง ต้องจำไว้นะ ว่าชีวิตนักโบราณคดีจริง ๆนี่มันต่างจากในหนังอย่าง Indiana Jones หรือ Lara Croft มาก พวกนั้นน่าจะเรียกว่านักล่าสมบัติมากกว่า พวกเรามีหน้าที่ขุดเพื่อศึกษา ทุกๆ ครั้งที่พวกเธอแซะหน้าดินออกพวกเธอต้องเข้าใจว่ามันอาจจะกระทบกระเทือนและส่งผลต่อหลักฐานทางโบราณคดีได้ เราจะรบกวนสิ่งเหล่านั้นให้น้อยที่สุด เราขุดดินเพียงเพื่อต้องการศึกษาว่าที่ตรงนั้น ๆ เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาบ้างเกิดขึ้นซ้อนทับกันหรือเปล่า หรือที่เรียกกันว่า ศึกษา Stratigraphyของดิน วัตถุที่ได้ก็เป็นเพียงผลพลอยได้ เราศึกษาแล้วเราอาจจะฝังคืนที่เดิม หรือส่งให้พิพิธภัณฑ์ ถ้าพวกเธอเก็บของเหล่านั้นไว้เองอย่างพวกนักล่าสมบัติ เธอก็ไม่ต่างอะไรจากโจรปล้นวัตถุที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีอย่างไม่มีวันให้อภัยได้”
คำเทศนายาวเหยียดเปี่ยมไปด้วยความจริงจัง ต่างจากอาจารย์คนเดิมที่มักจะแฝงแววอารมณ์ดีอยู่เสมอในทุกคำพูด โสตประสาทของฉันก็ซึมซับเอาหลักการนี้ในทุกอณู ฉันยอมรับว่าครั้งหนึ่งฉันก็อยากมีชีวิตผจญภัย ออกตามล่าหาสิ่งมีค่ามาเติมความหมายให้ชีวิตอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนบุคคลในนิยายพวกนั้นเช่นกัน แต่ตอนนี้ฉันอยู่ในโลกแห่งความจริง ฉันต้องมีจรรยาบรรณ มีความรับผิดชอบในหน้าที่ที่ฉันต้องทำ
เพื่อนที่เรียนโบราณคดีคนหนึ่งเคยกล่าวว่า “โบราณคดีคืออากาศ ขาดไม่ได้” เมื่อฉันได้ยินก็หัวเราะด้วยความชอบใจ เข้าใจคิดเหลือเกิน ทั้งสัมผัส และ โวหาร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประโยคนี้ก็กลับมาตอกย้ำในความรู้สึกอยู่เสมอ ๆ แม้ว่าตอนอยู่ที่ไซต์ขุด สภาพความเป็นอยู่จะเลวร้ายเพียงไหน ไม่ว่าตอนนั้นฉันจะอยากกลับบ้านมากเท่าไร แต่ไม่เคยเลยที่ฉันจะไม่ใจหายเวลาหันหลังเดินออกมาจากที่เหล่านั้น ใจหายหรือ คำนี้ยังใช้บรรยายได้ไม่ลึกซึ้งพอด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเหมือนชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งมันหลุดออกไปจากภาพที่ประกอบจนสมบูรณ์แล้ว
ยิ่งลองมองย้อนไปถึงภาคปฏิบัติทั้งหลายที่ผ่านมา....
จริง ๆ ด้วย... ถ้าฉันไม่ได้เรียนโบราณคดี ชีวิตนี้คงไม่มีความหมายอีกแล้ว
(tbc)
2 ความคิดเห็น:
น่าสนุกดียิ้ม เอามาลงต่อเร็ว อย่าขี้เกียจเเละอย่าลงไหดองเดี๋ยวพี่จะไปทุบให้มันเเตกเอง ฮ่าๆๆๆ
คงไม่ดองแหละ...
อันนี้ยังพอมีสต๊อก อิอิ
แสดงความคิดเห็น