วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2549

ชีวิต (ไม่) ธรรมดาของนักขุด: Primtech ตอนที่ 2


Rating:★★★★★
Category:Other
26-09-03

วันนี้ตื่นขี้นด้วยอารมณ์ที่ไม่ปลอดโปร่งนัก เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนยังฝังใจ ริธูแสดงตนอย่างชัดแจ้งว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม...แต่ฉันไม่ใช่ ฉันไม่เคยคิดว่าจะเล่นบทเป็นนางเอกที่ต้องมีนางอิจฉาคอยรังควาน ทำตัวเป็นนางสาวแสนดีที่น่าสงสารยอมทนโดนโขกสับเพื่อให้ชนะใจเธอ แต่ครั้นจะให้ทำตัวเป็นนางเอกที่แข็งแกร่ง สู้ยิบตาในทุกรูปแบบ ก็เห็นว่าเสียเวลาเปล่าๆ

ถ้าไม่ต้องการจะเป็นเพื่อนกันก็พร้อมจะฉากหนีและไปสร้างมิตรกับคนที่ต้องการมิตรภาพจากฉันดีกว่า

“ยิ้ม เช้านี้จะลงกิจกรรมอะไรหรอ” ลอรี่ถามอย่างมีอัธยาศัย เลอมานกำลังก้ม ๆ เงย ๆลงชื่อบนแผ่นกระดาษจึงไม่ได้ทักทาย หากแต่ริธูพูดแทนทุกคนว่า “เราสามคนคิดว่าจะลงกิจกรรมตีเหล็กน่ะ เธอล่ะ จะลงอะไร”

ถ้าฉันบอกไปอีกว่าลงตีเหล็ก เธอก็คงจะอุทาน “ต๊ายเลียนแบบ” หรือไม่ก็ “คิดอะไรไม่ออกแล้วหรือเธอ มาตามพวกฉันน่ะ” สายตาเธอมันฟ้องอย่างนั้น เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนไว้ว่า “long walk ” ก็เลยตอบส่ง ๆไป “กะว่าจะไป Long walk น่ะ ” สาวจากเมืองพุทธศาสนาในชมพูทวีป ผู้ที่ฉันยังมองไม่เห็นว่าจะมีธรรมะในใจที่ตรงไหนตอบกลับมา

“ต๊าย เลือกอะไรง่าย ๆ นะ” น้ำเสียงดูถูกสุดพิกัด อดทนเอาไว้..... เข้มแข็ง....ให้อภัย ...แผ่เมตตาให้สัตว์โลก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม พุท-โธ ฉันพยายามข่มใจเอาไว้สุดความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถตอบอะไรที่ดีไปกว่ายิ้มให้อย่างฝืน ๆ แค่น ๆ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าอยากจะกรีดร้องใส่หน้าเธอแล้วตะโกนดัง ๆ ว่า “ก็เพราะเธอนั่นแหละ ฉันถึงได้อยากไปให้พ้นไงล่ะ ”

ขณะที่เริ่มเตรียมอาหารไปทานยามเที่ยง ซึ่งก็ได้แก่แซนด์วิชทาแยมราคาถูก และน้ำต้มกรอกใส่ขวดใจฉันก็เริ่มเย็นลง ถ้าทนไม่ได้กับเรื่องจุกจิกกวนใจเพียงเท่านี้ ฉันจะผ่านหนทางอีกยาวไกลจนกว่าจะจบปริญญาโทได้อย่างไร คิดแล้วก็เดินไปร่วมกลุ่มกับคนที่จะเดินทางไกลด้วยกัน ด้วยความซุ่มซ่ามส่วนตัวทำให้เดินชนกับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินอยู่ข้างหน้า

“โอ๊ะขอโทษค่ะ” ชายคนนั้นหน้าตาดูเหมือนชาวเอเชียยังไงบอกไม่ถูก แต่สำเนียงของเขาฟังดูราวกับเจ้าถิ่น
“ไม่เป็นไรฮะ ผมเข้าใจ ผมขวางทางคุณด้วยล่ะ คุณไม่ผิดหรอก” ไม่ต้องตอบมายาวอย่างนั้นก็ได้ รู้แล้วว่าไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร
“เออ คุณมาจากประเทศไหนในเอเชียรึเปล่า” ฉันรีบถามไปอย่างใคร่รู้
“เปล่าฮะ ผมน่ะลูกครึ่งไทย – สวีเดน แต่มาอยู่ที่นี่นานแล้ว”
“เฮ้ ฉันก็มาจากเมืองไทยเหมือนกันนะ” ยังไม่ทันพูดมากกว่านี้อาจารย์ก็เรียกรวมกลุ่ม

“เอ้า ๆ มารวมกันที่นี่ก่อน เห็นภูเขาข้างหน้าโน่นไหม” สุดปลายนิ้วที่ชี้คือภูเขาที่เห็นมีขนาดเล็กแค่ปลายก้อย “เราจะเดินไปที่นั่นกัน ไปแล้วกลับนะ ก็ราว ๆ 20 ไมล์เห็นจะได้ ใครจะถอนตัวก็ยังทันนะ”

สายไปเสียแล้ว เดินออกมาถึงปากทางจะให้เดินกลับก็ขายหน้าแย่ จะยอมได้อย่างไร ก็เลยจำต้องเลยตามเลย “เราไปกันทั้งวันนะ ไม่ใช่แค่ครึ่งวัน” อ้าว มิน่าล่ะถึงให้ห่ออาหารกลางวันมาด้วย คิดว่าจะเป็นงานง่าย ๆ สบาย ๆ สงสัยจะไม่ใช่เรื่องเบา ๆ เสียแล้ว

ผู้นำเดินทางคือ Dr. Peter Drewett และ Dr. Sue Hamilton รายแรกมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการโบราณคดีในฐานะผู้เชี่ยวชาญวิธีการในการขุดค้น เขียนหนังสือมาแล้วหลายเล่ม รายหลังไม่เคยได้ยินชื่อเป็นพิเศษแต่ดูท่าทางเป็นหญิงเหล็กที่หายใจเข้าและออกเป็นPhenomenology ซึ่งเป็นวิชาที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของภูมิศาสตร์และมนุษย์ รวมถึงทัศนคติของมนุษย์ที่มีต่อภูมิศาสตร์ ฉันเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้ซาบซึ้งถึงความหมายจริง ๆ จัง ๆ เท่าไรนัก หรือฉันจะเป็นนักโบราณคดีที่ดีไม่ได้

“พวกเธอต้องระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะด้วยปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือด้วยน้ำมือมนุษย์ สิ่งที่เธอเห็นทุกวันนี้อาจจะไม่ใช่สภาพสิ่งแวดล้อมในอดีตเลยก็ได้” อาจารย์ซูกล่าวด้วยแววตาฝัน ๆ เพ้อ ๆ มองดูเหมือนพวกศาสตราจารย์สติเฟื่องทั่วไป

เราหยุดที่โบสถ์เล็ก ๆ ริมทาง ในหมู่บ้านห่างไกลผู้คน “ดูโบสถ์หลังนี้ซิ เราจะบรรยายได้ว่าอย่างไร” ทุกคนนิ่งเงียบ ฉันยิ่งสับสนในจิตใจมากขึ้น
“นี่ฉันทำอะไรอยู่นี่”
ฉันไม่รู้สักนิดว่าจะเริ่มต้นบรรยายอย่างไร ไม่ใช่ว่าดูไม่ออกว่าโบสถ์มีลักษณะอย่างใด เพียงแต่ว่าคำถามมันกว้างเสียจนฉันไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เพื่อน ๆ ก็คงตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันเพราะไม่มีใครเปิดปากพูด

“เริ่มจากขนาด รูปร่าง และวัตถุดิบก่อน” อาจารย์ซู แนะแนวทางให้
“ก่ออิฐถือปูน เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า”
“ใช้ฟลินต์เป็นวัตถุดิบหลัก”
“มีไม้ที่วงกบประตูด้วย” เริ่มมีเสียงตอบดังออกมา

วัตถุดิบที่ใช้ในการสร้างโบสถ์ในอังกฤษ มักจะเป็นหินที่ภายนอกมีสีเทาขุ่น แต่ถ้ากระเทาะออกมาแล้วจะพบว่า ข้างในเป็นสีดำมันวาวที่เรียกว่า ฟลินต์ ฉันดูออกอยู่บ้างว่าหินแบบไหนจัดเป็นฟลินต์ แต่คำถามต่อมาทำให้ฉันพบว่าแค่นั้น ยังไม่เพียงพอสำหรับการเป็นนักโบราณคดี

“แล้วฟลินต์ที่ใช้ทำอาคารหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยเดียวกันหรือเปล่า” ฉันขอยอมรับว่าดูไม่ออกจริง ๆ “ดูตรงนั่นสิ เห็นไหมรอบ ๆ ฟลินต์แต่ละก้อนจะมีรอยขีดอยู่รอบ ๆ ดูคล้าย ๆ ตาราง ดูสิว่าตรงส่วนนั้น กับส่วนนั้น ความถี่ของการฝังฟลินต์เอาไว้ในผนังไม่เท่ากัน ส่วนนั้นจะคล้ายกันส่วนบนโน้น เดาได้ว่าโบสถ์นี้ต้องมีการบูรณะอยู่หลายครั้ง”

เราเดินชมรอบ ๆ โบสถ์ และเดินเข้าไปชมภายใน อาจารย์ทั้งสองได้เปิดมุมมองและวิธีคิดในแบบที่ฉันไม่เคยนึกมาก่อน ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะยังไม่ชำนาญวิธีคิดแบบนี้เท่าไรนัก แต่ฉันคิดว่าการฝึกฝน และ ตั้งใจศึกษาอยู่เสมอคงพอจะช่วยฉันได้บ้าง แม้จะท้อใจนิด ๆ แต่ก็พยายามปลุกปลอบตัวเองสุดกำลัง

เส้นทาง 20 ไมล์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบโดยตลอด เราเดินผ่านถนนลาดยาง ทางเดินเล็ก ๆ ที่ตัดผ่านทุ่งหญ้า ทุ่งหญ้าที่ไม่มีใครบุกมาก่อน และ ทางเดินขึ้นเนินเขา ด้วยความที่ฉันเดินมากับเพื่อนผู้หญิงที่มาจากสาธารณรัฐเชคมาตลอด เมื่อต้องป่ายปีนขี้นที่สูงแล้วเธอเดินรั้งท้าย ฉันก็ต้องหยุดรอเป็นเพื่อนเธอ

“ไหวไหม มาเรียน่า”
“ไม่ไหวแล้ว จะตายแล้ว”
“พักสักครู่ก็ได้” ฉันพูดพลางมองไกลลงไปข้างล่าง มองเห็นร่างสองร่างเดินอยู่ลิบ ๆ พอมองออกว่าเป็น เจสัน เพื่อนชาวอังกฤษคนหนึ่ง และ มิเกล เพื่อนลูกครึ่งไทย สวีเดนที่เจอกันตอนเช้า ยังโชคดีที่ไม่ได้เป็นคู่สุดท้ายในกลุ่ม

ที่จุดสูงสุดของเนินเขาเป็นหลุมฝังศพของชุมชนโบราณสมัยหินใหม่ และ สมัยสำริด ถ้าอาจารย์ทั้งสองไม่บอก ฉันก็คงก็ดูไม่ออก มองเห็นเป็นแค่เนินดินเล็ก ๆ กระจาย ๆ กันออกไป ทะเลสีเงินที่สะท้อนแดดทองยามบ่ายออกไปไกลลิบ ๆ สิ่งนั้นต่างหากที่ดึงดูดความสนใจของฉันไปเสียเป็นส่วนมาก ถ้าไม่ติดที่ว่าฉันทั้งเหนื่อย ทั้งร้อน ทั้งคันยิบ ๆ ตามลำตัวเพราะอาจจะแพ้ดอกหญ้าหรือเกสรดอกไม้ ฉันก็คงร่ายบทกลอนออกมาสักบทแล้ว เพราะการเป็นกวี ก็คือความฝันอันสูงสุดของฉันอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน แต่จนบัดนี้ ฉันก็ยังไม่ได้เข้าใกล้ความฝันเลยแม้แต่น้อย ยังห่างไกลจากคำว่ากวีมากนัก ฉันคงเป็นได้แต่เพียง “คนเขียนกลอน” อยู่เรื่อยไป แต่ฉันก็พอใจแล้ว ที่สิ่งที่อัดอยู่ลึก ๆ ข้างในมีหนทางระบายออก และระบายออกในทางที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อใคร

“Sussex ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษเป็นแนวหินปูน หน้าดินที่อยู่ในบริเวณนั้นจะบางกว่าหน้าดินปกติ ทำให้ต้นไม้ขนาดใหญ่ไม่สามารถเจริญงอกงามได้ พืชพันธุ์ในเขตเนินเขาหินปูนนี้จึงเป็นประเภทหญ้าสั้น ๆ หรือดอกเฮเตอร์สีม่วงที่ขึ้นได้ดีในสภาพดินเป็นกรด และ กอร์ซ ดอกไม้สีเหลืองที่งอกได้ดีในบริเวณที่ดินบางเช่นกัน”

แว่วนึกไปถึงคำบรรยายในห้องเรียนวิชาภูมิศาสตร์เมื่อสมัยเรียน A-level ที่เทียบเท่ากับชั้นมัธยมปลายของไทยก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย คงได้ใช้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย มิเสียแรงที่สู้ทนกัดฟันเรียนมาจนจบ ต้องท่องหนังสือ ต้องรวบรวมความคิด ความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์มากมายรวมทั้งความสามารถทางภาษาด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเด็กสายวิทย์เก่าอย่างฉัน

มองทิวทัศน์จากที่สูงนี่ช่างสวยงามดีเหลือเกิน เห็นฝูงแกะอยู่เป็นจุดขาว ๆ อยู่ข้างล่าง ที่อังกฤษมักจะมีการล้อมรั้วหินเพื่อป้องกันไม่ให้ฝูงสัตว์หลบหนีจากบริเวณทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของเจ้าของ ได้ยินเสียงอาจารย์ดังมาแว่ว ๆ ว่าการล้อมเขตกำแพงแบบยุคโลหะ และ แบบยุโรปยุคกลางก็แตกต่างกัน และร่อยรอยเก่า ๆ ยังสามารถมองเห็นได้จากภาพถ่ายทางอากาศ นั่งคิดอะไรเล่นอยู่เพลิน ๆ มิเกลก็เดินมาทักทาย

“บ้านยิ้มอยู่ที่ไหนนะ แม่ผมบ้านอยู่ลพบุรี” แล้วก็หย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ หลังจากนั้นเรื่องราวของเมืองไทยทั้งหลายทั้งแหล่ก็หลั่งไหลออกจากปากฉัน จนกระทั่งถึงเวลาเดินกลับ

“รีบ ๆ หน่อยนะนักเรียน เดี๋ยวจะไม่ทันอาหารเย็น” โธ่เอ๋ย ยังได้นั่งพักเหนื่อยไม่ทันไร เหงื่อยังไม่ทันแห้งก็ต้องเดินทางต่ออีกแล้วหรือ ทั้งวันนี้จะได้หยุดนั่งพักจริง ๆ ก็แค่ตอนทานอาหารเที่ยงเป็นเวลาไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้นเอง

ตลอดเวลาที่เดินกลับเราเดินคุยกับมาเรียน่า มิเกล และเจสันไปตลอดทาง ไม่เสียหายหรอก ที่อุตส่าห์หนีสังคมมาเดินทางไกลกับคณะนี้ อย่างน้อยฉันก็ได้เพื่อนมาเพิ่มอีกหลายคน แต่เพราะคุยเพลินทำให้กลุ่มขอพวกเรารั้งท้าย และห่างออกจากกลุ่มใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเดินเลี้ยวโค้งกลุ่มนักเรียนด้านหน้าทั้งกลุ่มก็อันตรธานหายไป พวกเราสุดจะเดาได้ว่าหมู่คณะเดินไปทางไหนเพราะกว่าจะเดินมาถึงทางแยกนั้น เพื่อน ๆ และอาจารย์ก็เดินหายลับไปแล้ว ทิ้งให้พวกเรายืนงง ๆ กับทางสามแยกบริเวณวงเวียนที่ว่างเหล่าไร้ผู้คน เดินไร้ทิศทางกันอยู่หลายนาทีจนในที่สุดต้องยินยอมกดกริ่งบ้านคนข้างทางเพื่อถามทางกลับค่ายพักแรม อีกไม่เกิน 100 เมตรก็จะเดินถึงที่หมายอยู่แล้ว ดอกเตอร์ ปีเตอร์ ดริววิด ก็ขับรถกลับมา

“ตามหาพวกเธอแทบแย่” สีหน้าอาจารย์แสดงอาการโล่งใจ “คิดว่าหายตัวไปเสียแล้ว นี่หลงทางกันได้อย่างไร ไม่เคยมีคนหลงมาก่อนเลยนะ” แน่นอน พวกเราไม่ชอบทำอะไรซ้ำแบบใคร เราจะได้เป็นประวัติศาสตร์ของคณะนี้กันอย่างไรเล่า

เย็นวันนั้นจบลงด้วยความเหนื่อย ทานอาหารเย็นแล้วฉันก็หมดแรงจะทำอะไรต่อ แต่อย่างน้อยเวลาหน้ากองไฟที่ ริธู ยึดตัวลอรี่ และเลอมานไว้คุยด้วยนั้น ฉันก็เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างมิตรภาพกับเพื่อนใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนฝูงเพิ่มขึ้นกว่าเดิมไม่ว่าจะเป็น

แอนโทนี่ หนุ่มแสกนดิเนเวียผู้เคยผ่านการเกณฑ์ทหารมาแล้ว
พอล หนุ่มอังกฤษผมทองผู้ตั้งใจเรียนและพลาดการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง oxford เพราะทำเกรดไม่ถึงที่เขากำหนดไว้ (ไม่เหมือนยิ้ม -_-" โดน Cambridge reject มาแต่สัมภาษณ์เลย)

คาร่า สาวผมทองผู้พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม
เนลลี่ สาวญี่ปุ่นที่โตมาในอเมริกา และคนอื่นอีกมากมาย

“พวกเราต้องเป็นกลุ่มที่ปฏิเสธสังคมมากที่สุดแน่ ๆ เลยล่ะ เรามัวแต่คุยกันเองอยู่อย่างนี้น่ะ” ริธูเอ่ยขี้นมาลอย ๆ แต่หันไปมองสบตากับลอรี่และ เลอมาน ฉันก็เป็นเพียงส่วนเกินอีกตามเคย“เราไม่ค่อยรู้จักเพื่อน ๆ คนอื่นเลยนะ” ฉันซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ แอบได้ยินก็เลยยิ้มออกมานิดหนึ่งอย่างไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกแบบใดดี เพราะฉันค่อนข้างมั่นใจว่าฉันรู้จักกับเพื่อนๆ ในคณะนี้มากกว่าที่กลุ่มสาว สาว สาวรู้จักแน่นอน

ขอบคุณนะริธู ที่เปิดโอกาสให้ฉันมีเพื่อนมากขึ้น แต่ลึก ๆ ลงไปแล้วก็รู้สึกเสียใจกับพวกเธอเหล่านั้นด้วย



27-28 .09.03

“วันนี้จะไม่ทำอะไรที่เหนื่อยยากลำบากเหมือนเมื่อวานอีกแล้ว” ฉันบอกกับตัวเองไว้อย่างนั้น และเพื่อทำตามปณิธานที่ตั้งไว้ จึงลงทะเบียนทำกิจกรรมที่ดูผู้หญิง ผู้หญิง ซึ่งก็คืองานเบาๆ แต่อาศัยความประณีตแทน เช่น งานทอผ้าและ เครื่องปั้นดินเผา

เนลลี่สาวญี่ปุ่นเธอก็ลงกลุ่มทอผ้าในตอนเช้าเช่นกัน “นี่แหละที่ฉันชอบทำ” เธอแอบกระซิบบอก “ไม่ใช่ว่าอยากทำอะไรเบา ๆนะ แต่ดูสิ เดี๋ยวตอนท้ายชั่วโมงเขาต้องให้เราลองทอผ้าผืนเล็ก ๆ แล้วเราก็จะได้ของที่ระลึกกลับบ้านไงล่ะ ไหน ๆ เราก็จ่ายเงินค่าเข้าค่ายมา 30 กว่าปอนด์ แถมยังเงินก้อนส่วนที่เราสมควรจะเบิกไปใช้ในภาคปฏิบัติปลายปีตั้งอีก 72 ปอนด์ เราก็ต้องเอาคืนให้ได้มากที่สุดสิ”

เออ จริงของเธอแฮะ

“เดี๋ยวบ่ายนี้ฉันจะลงกิจกรรมนี้อีก ตอนเช้าทำเข็มขัด ตอนเย็นทำผ้าโพกหัว ดีจังเลย ” ตามใจก็แล้วกัน บ่ายนี้ฉันขอทำอะไรอย่างอื่นดีกว่า

การทอผ้าของคนในสมัยก่อนใช้อุปกรณ์ง่าย ๆ มีทั้งเครื่องทอผ้าใหญ่ ๆ สำหรับทอผ้าผืนใหญ่ ลักษณะดูเป็นเหมือนกรอบสี่เหลี่ยม มีเส้นเชือกแบ่งออกเป็น 2 ชุดแขวนอยู่ และมีตุ้มถ่วงน้ำหนัก หรือที่ชาวไทยเรียกว่า แว มัดอยู่ด้านล่างเชือกแต่ละกลุ่มที่ทำเป็นเส้นแนวตั้ง โดยมีอุปกรณ์ไม้อีกชิ้นหนึ่งแยกกลุ่มเชือกทั้งสองชุดนี้ออกจากกัน ดูคล้าย ๆ กับกี่ทอผ้าของไทยอยู่มาก แต่เป็นกี่แบบที่ยังไม่พัฒนาเต็มขั้น ฉันไม่ได้ลองทอผ้าด้วยเครื่องทอแบบนี้ เพราะฉันเคยลองทอด้วยกี่ของยายมาก่อน คิดว่าน่าจะใช้หลักเดียวกัน ถึงแม้วิธีจะแตกต่างกันบ้างก็ตาม

แล้วเวลาที่เนลลี่รอคอยก็มาถึง อาจารย์ส่งอุปกรณ์ทอผ้าเล็ก ๆ มาให้คนละอัน แล้วให้เราเลือกกลุ่มด้ายสีที่ต้องการแล้วเอามาทอเป็นแถบผ้าโพกหัว หรือ คาดเอวก็ได้แล้วแต่ชอบใจ ฉันเลือกสีขาว เขียว ชมพู เพราะ สีชมพูอมส้มดูหวานน่ารัก ใจจริงแล้วฉันอยากได้สีฟ้าแบบไล่โทนสีมากกว่า แต่หาสีที่ต้องการได้ไม่ครบก็เลยเปลี่ยนใจ

“ทำอะไรน่ะ” เด็กหญิงอังกฤษผมทองน่ารักก้มลงมาทักทาย
“อ๋อ พี่ว่าจะถักผ้าคาดผมจ้ะ ถ้าทำได้นะ ไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อยน่ะสิ” หนูน้อยเอียงคอมองอย่างสนใจ
“ได้สิคะ พี่ทอเร็วออก ดูสิได้ยาวคืบหนึ่งแล้ว คนอื่นยังได้ 2 นิ้วอยู่เลย” จริงด้วยสินะ เราก็สังเกตเห็นว่าเราไม่ได้ดึงเชือกให้แน่นเท่าที่ควรแถบผ้าที่เราได้จึงมีขนาดใหญ่ และยาวกว่าของคนอื่น แต่มันก็เป็นการย้ำให้เห็นถึงลวดลายผ้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดูเก๋ไปอีกแบบ เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ อีกคนเข้ามาชวนสนทนาต่ออย่างไม่ยอมปล่อยให้ฉันได้เงียบเสียง ไม่เกิน 20 นาทีฉันก็ได้ผ้าโพกผมมาหนึ่งผืนลวดลายตาข่ายเรียบ ๆ แต่สวยคลาสสิค (ชมตัวเองก็ได้วุ้ย....) เวลายังเหลือเฟือก็เลยจึงตัดเชือกมาอีกชุด พร้อมถักผ้าคาดผมอีกผืนโดยใช้เทคนิคเดียวกับที่สาวไทยใช้ถัก Friendship bracelet ให้หนุ่มๆ แต่เป็นขนาดยักษ์ ลวดลายเหมือนเป็นรูปตัววีดูแปลกตาสำหรับคนที่นี่ จนอาจารย์มาหยุดดูด้วยความสนใจ

“สวยดีนี่จ๊ะ นี่เธอไม่ได้ใช้อุปกรณ์ทอผ้าเลยใช่ไหม”
“อ๋อไม่ใช้หรอกค่ะ พอดีใช้วิธีถักเอา”
“ดูเก๋ดีมากจ้ะ เอ๊ะ พึ่งเห็นว่าลวดลายเป็นรูปตัววีด้วย เรียนมาจากที่ไหนนี่” การถักสายสร้อยข้อมือแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดามากในประเทศไทย หรือในแถบภูมิภาคเอเชีย แต่ว่าเรื่องละเอียดอ่อนแบบตะวันออกนี้ไม่ใช่สิ่งธรรมดาสำหรับชาวตะวันตก ฉันจึงตกเป็นเป้าสายตาไปโดยปริยาย
“เรียนมาจากเพื่อนที่เมืองไทยค่ะ สอนต่อ ๆ กันมา” ฉันแอบคิดในใจว่า เอาไว้วันหลังจะแสดงฝีมือสลักผักให้ดูสักรอบ ถึงแม้ว่าฉันจะทำลวดลายวิจิตรพิสดาร หรือแกะเป็นอัตถชีวประวัติแบบในเรื่องสังข์ทองไม่ได้ แต่ตอนแกะสลักส่งครูตอนประถม ก็ไม่เคยได้ต่ำกว่า 9 ส่วน 10 ซักทีสิน่า

อะฮ้า...จับจุดได้แล้วว่าจะเอาอะไรมาสร้างมิตรภาพและความประทับใจ ความเป็นแม่ศรีเรือนนั่นเอง...แย่หน่อย ที่เป็นสิ่งที่ฉันไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ รู้อย่างนี้ฝึกเอาไว้บ้างก็คงจะดี นอกจากจะได้เอาไว้ปรนนิบัติใครสักคนในอนาคตแล้วยังสามารถเอามาเป็นความสามารถพิเศษในต่างแดนได้อีก

เด็กน้อยผมทองยังเดินวน ๆ เวียน ๆ อยู่ใกล้ตัว แม้กระทั่งตอนเราเดินมานั่งใกล้ ๆ กับลอรี่ เลอมาน และ ริธูแล้ว “พี่ไม่เอาเชือกมาโพกหัวหรอ อุตส่าห์ถักตั้งนาน เอามาสิ เดี๋ยวผูกให้” แล้วหนูน้อยก็จัดการเอาเชือกมาคาดหน้าผากให้ฉันตามแบบอินเดียนแดง เลอมานมองมาด้วยสายตาเอ็นดู ริธูเหลือบตามองแล้วเมินหน้าหนีไปอย่างไม่สนใจ

เมื่อเราไม่ยึดติดกับสิ่งใด เราก็จะพบแต่สิ่งดี ๆ คำกล่าวนี้เป็นจริงเสียด้วย ถ้าฉันยังยึดมั่นจะเอาชนะเอาตัวเข้าไปแข่งขันกับริธูก็คงจะรุ่มร้อนใจและเฝ้าหาวิธีดึงเพื่อนมาอยู่ข้างตัวเองให้ได้จนหลงลืมสร้างมิตรภาพกับคนอื่น ๆ และคงไม่มีโอกาสได้รับความอบอุ่นจากเพื่อนร่วมค่ายตัวเล็ก ตัวน้อยอย่างนี้

คืนวันสุดท้ายของค่ายมักจะเป็นคืนที่มีการฉลอง ในที่สุดความจริงก็เปิดเผยว่าถุงขยะพลาสติกสีดำที่ถูกสั่งให้เอามานั้น ความจริงแล้ว...รุ่นพี่ต้องการให้นำมาแต่งเป็นเครื่องแต่งกายแบบโรมันต่างหาก ซึ่งก็คือผ้าพาดบ่าพันตัว แล้วรัดตรงเอวเหมือนเข็มขัด วันนี้เรามีงานปาร์ตี้บาบีคิวแบบโรมันกัน นักศีกษาปี 1 ได้รับเกียรติให้นั่งโต๊ะ ส่วนพี่ๆ ปี2 ที่เป็นสมาชิก SAS จะบริการเอง และสิ่งที่ทุกคนเฝ้ารอก็มาถึง อาหารมื้อนี้พวกสวัสดิการลงทุนนั่งรถเข้าไปซื้อเบอร์เกอร์แผ่นและไส้กรอกหมูจากในเมืองเพื่อให้มื้อสุดท้ายมีเนื้อเป็นส่วนประกอบของอาหาร

“เข้าไปดูที่โต๊ะได้เลยนะคะ ว่าใครนั่งที่ไหน พี่เอารูปน้อง ๆ วางไว้บนโต๊ะอาหารแต่ละที่แล้ว” ฉันเดินวนหาที่นั่งของตัวเองอยู่พักใหญ่แต่ก็หาไม่เจอ จึงต้องติดต่อสอบถามพวกคณะกรรมการ SAS จึงทราบว่า ที่นั่งของฉันตกหล่นไป

เอาอีกแล้วเรอะ...ทำไมต้องเป็นฉันด้วย แอบท้อใจนิด ๆ ตั้งแต่มาถึงค่ายนี้ฉันยังไม่เคยได้อย่างใจเลยสักครั้ง ต้องมีอะไรมาให้ทดสอบความมั่นคงของจิตใจได้ทุกทีสิน่า

“นั่งตรงหัวโต๊ะนี่ก็แล้วกันนะคะ ขอโทษจริง ๆ ค่ะ พอดีนักเรียนมีหลายคน พี่เลยสับสน”

ฉันก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร เพราะอยากให้คืนสุดท้ายของที่นี่เป็นคืนที่มีความสุข เพื่อนๆ ที่นั่งล้อมรอบฉันในครั้งนี้เป็นเพื่อนใหม่เสียส่วนมาก จึงได้มีโอกาสสร้างมิตรเพิ่มขึ้นอีก ใกล้ๆ ตัวมีเศษเชือกหล่นอยู่ ฉันเก็บขึ้นมาแล้วย้อนคิดไปถึงมายากลเชือก ที่พ่อเคยสอนเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว

“แอนโทนี่ ดูนี่สิ ทำได้ไหม” กลง่าย ๆ แต่สร้างความทึ่งให้พ่อหนุ่มจาก แสกนดิเนเวียมากมายเลยทีเดียว คนหลายๆคนเริ่มเข้ามาดู “กลเส้นเชือก” ของฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะดึงดูดคนด้วยวิธีนี้ ฉันเพียงแต่อยากชวนแอนโทนี่หาอะไรเล่นเพื่อฆ่าเวลา ผลพลอยได้เกินคุ้มจริง ๆ

ตกดึกสมาชิกในเต๊นท์รวมหายไปมากกว่าครึ่ง ตอนนั้นฉันนั่งคุยอยู่กับ คลาร่า สาวผู้มั่นใจอยู่เสมอ
“คนหายไปไหนหมดน่ะ คลาร่า เงียบจัง” คลาร่ามองหน้าฉันด้วยสายตาที่อ่านได้ว่า “เธอนี่ ช่างไร้เดียงสาเสยจริง” แต่เธอก็โน้มตัวลงมากระซิบว่า “ในเต็นท์นี่มันมืดใช่ไหม” “ใช่” ฉันตอบอย่าง งง ๆ “ในความมืดน่ะ จะทำอะไรก็ได้ไม่มีใครเห็นหรอก เข้าใจหรือยัง” นัยน์ตาคลาร่าฉายแววเจ้าเล่ห์ ฉันทำได้เพียงผงกหัว เพราะปากยังอ้าค้างอยู่ ในใจก็คิด “จริงหรือ ในเต๊นท์เลยหรือ” คลาร่าเลยเสริมต่อ “เมื่อวาน ทอม ประธาน SAS ก็ควงสาวเข้าเต๊นท์ไปตั้ง 4 คน อ้าวไม่รู้อะไรเลยหรือ” ฉันลืมคิดไปว่าฉันกำลังอยู่ในสังคมที่เปิดกว้างสำหรับเรื่องเหล่านี้ ความอิสระ และ สิ่งมึนเมา ทั้งคู่ล้วนเป็นสิ่งล่อใจที่มีประสิทธิภาพสูง คงจะต้องคอยบอกตัวเอง คอยเตือนตัวเองให้มีสติอยู่เสมอ ไม่ด่วนตัดสินใจทำอะไรด้วยฤทธิ์เครื่องดื่มอัลกอฮอล์ หรือ ฤทธิ์แรงอารมณ์ก่อนที่จะต้องเสียใจในภายหลัง

12.00 นาฬิกา 28/10/03

เต๊นท์หลากสีที่เรียงรายอยู่บนสนามหญ้าเขียวก็เป็นเพียงอดีต อีกไม่นานนักรถโดยสารก็จะมารับเหล่านักศึกษากลับมหาวิทยาลัย ซึ่งหลังจากนั้นแต่ละคนก็คงจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปในที่สุด

ฉันนั่งพิงกองสัมภาระของตัวเองบนสนามหญ้าด้วยความอ่อนเพลีย 3-4 วันที่ต้องตากแดด และ ขาดอาหารโปรตีนทำให้ฉันหมดความกระตือรือร้นไปอักโข คันตัวยิบๆ เพราะไม่ได้อาบน้ำเลยตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ในเมื่อไม่มีห้องน้ำให้ จะลงอาบในสระบัวก็กระไรอยู่

นับแต่วันนี้ไปฉันจะฝึกฝนตัวเองให้มองโลกในมุมของนักโบราณคดีอยู่เสมอ ๆ เป็นการสร้างทักษะโดยการปฏิบัติจริง ฉันอาจจะเริ่มต้นได้ไม่สวยงามเท่าไรนัก แต่มันก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เส้นทางสายนี้ยังอีกยาวไกล แม้ฉันจะเริ่มก้าวแรกได้อย่างไม่มั่นคงและสง่างามนัก แต่ฉันก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังใจที่จะก้าวต่อไปบนทางสายนี้ ทางที่ฉันเลือกเดิน

ป.ล. ภาพประกอบเอามาจาก http://mikopi.image.pbase.com/u23/richday/small นะคะ พอดีตอนไปไม่ได้เอากล้องไป ต้องนอนเต๊นท์ กลัวจะหายง่ะ บริเวณกางเต็นท์อยู่ถัดไปทางซ้ายมือของในรูป เป็นสนามหญ้าเขียวๆ สวยงามน่าอยู่ (แต่ตอนนั้นแอบคิดถึงบ้าน)


ไม่มีความคิดเห็น: