วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2549

เรื่องของแสง...


แสงสีต่างๆ กันก็ให้อารมณ์ต่าง ๆ กันไปนะคะ...บางทีจ้องมองดวงอาทิตย์ลดต่ำลงไปเรื่อยๆ จนฟ้าเริ่มเป็นสีฟ้าเข้ม...น้ำเงินแก่..ม่วง จนถึงมืดค่ำ ก็ให้ความเพลิดเพลินมากเหมือนกัน

ปล่อยใจให้สงบ อยู่ในห้วงความคิดของตัวเองเงียบๆ แค่มองแสงที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปเฉย ๆ ก็บ่งบอกถึงสัจธรรมได้หลายๆ ประการ



Beneath the last gleams of daylight,

I wish I had someone to hold me tight,

Sadly there is no one here but me,

That is what it’s really meant to be

ปกติยามเย็น...จะถูกโยงไว้กับอารมณ์เศร้า...แต่ยิ้มว่าบางทีมันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบเงียบๆได้เหมือนกันนะ ส่วนความรู้สึกที่สัมผัสได้บ่อยที่สุดเวลามองดวงอาทิตย์ยามสนธยา...ก็คงเป็นความเหงานั่นเอง ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกเสียดาย ที่ดวงตาแห่งยามกลางวัน กำลังจะลับหายไป



Beneath the burning afternoon light,

The only eye of the day melts down my might,

So lonesome, like getting lost in the crowd.

Would you help me? Or would you let me drown?



ท่ามกลางแสงแดดร้อนแรงของยามบ่าย น้อยคนคงจะรู้สึกเดียวดาย เนื่องเพราะความสว่างและไอร้อน แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ...คนทุกคนย่อมมีช่วงที่จิตใจอ่อนแอ และในยามที่จิตใจตกต่ำที่สุดนี่เอง ต่อให้อยู่กลางฝูงชนและแสงแดดจ้า ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคล้ายกับหลงทาง...รู้สึกเหมือนถูกดึงดูดลงไปในสายน้ำวนแห่งความเหงา เวลาที่เห็นใครสักคนคนเดินเข้ามาอยู่ใกล้ๆก็อาจจะเกิดความรู้สึกอยากจะถามไปว่า "จะช่วยดึงเราออกไปจากที่นี่ได้ไหม..."  ความหวังอาจจะไม่มีหรือมีน้อยนิด แต่ถ้าไม่ถาม...เราก็คงจะจมหายไปกับกระแสแห่งความอ้างว้างจนหาทางออกไม่ได้





Beneath the dimming light of the night,

I wish there was a flame glowing inside,

To warm me up and give me cheers,

But all that I have is drops of tears….



เมื่อแสงอาทิตย์ลับหายไปแล้ว...ความเย็นของอากาศก็เข้ามาแทนที่ ลมอุ่นๆของยามบ่ายก็อาจกลายเป็นลมที่เย็นบาดผิว แสงสีสุดท้ายของวันค่อยๆจางลง ความเหงา โดดเดี่ยว ที่ต้องเผชิญมาทั้งวัน อาจจะทำให้รู้สึกฮึกเหิม...อยากลุกขึ้นต่อสู้กับมันบ้าง

เมื่อนั้น...ความเข้มแข็งที่ยังเหลืออยู่ ก็เป็นเหมือนเปลวไฟดวงเล็กๆ แต่ให้ความอบอุ่นกับหัวใจ (ที่อ้างว้าง..ดังเดิม)

เหมือนจะหลอกตัวเองได้สักพักใหญ่...ว่าเราก็เป็น Independent woman อยู่ได้ด้วยตัวเองและมีความสุขกับปัจจุบัน แต่เมื่อลุกขึ้นจากจุดที่นั่งมองดวงอาทิตย์เพื่อเตรียมที่จะเดินกลับที่พักก็จะเริ่มระลึกได้....

ยังไงๆ ก็ต้องอยู่คนเดียวเหมือนเดิม...
ความเหงาก็ถูกพับเก็บไว้ที่เดิม
ชีวิต...ต้องก้าวต่อไป
แล้ววันหน้า...ค่อยกลับมาเหงาใหม่


4 ความคิดเห็น:

Apilas Nukulkarn กล่าวว่า...

ตอนแรกนึกว่าจะพูดถึงแสงกับการถ่ายรูปซะอีก ^^

Ae P กล่าวว่า...

อ่านแล้วโดนใจค่ะ เพราะอารมณ์เศร้าๆตอนเย็นๆทำให้เราไม่ค่อยชอบมองพระอาทิตย์ตก
และการเป็น Independent woman บางเวลามันก็เหงาเนอะ
แล้วเวลาที่ความเหงามันก็เข้ามา ก็ขึ้นกับเราว่า เราจะอยู่กับมันหรือว่าจะวางมันไว้อ่ะนะ

Yim S. กล่าวว่า...

^__^ แสงกะการถ่ายรูปนี่ ไม่ถนัดค่ะ พี่เอ้ ถนัดเขียนกลอนมากกว่า อิอิ

^__^ ปกติอารมณ์มักจะเกิดตอนมองแสงน่ะค่ะ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว โคมไฟสีเหลืองข้างทางมืดๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ความเหงาก็แค่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป ชีวิตยังต้องสู้ มีอะไรต้องทำอีกเยอะเนอะ

atithep chaiyasit กล่าวว่า...

ในบางเวลาที่ได้ซึมซับกับธรรมชาติ มันก่อให้เกิดความรู้สึกได้หลายอย่าง...
ทั้งความเศร้า ความเหงา ความหวัง ฯลฯ
ด้วยจินตนาการของมนุษย์เป็นสิ่งที่ยากจะหวงห้าม..ธรรมชาติจึงเป็นแรงบันดาลใจให้มนุษย์เสมอมา...
และสุดท้าย...บทกวีบทนี้จะงดงามเสมอ...เพราะภาพพจน์ที่สื่อออกมาจะเป็นเช่นนี้นิรันดร์.....:)