วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549

My Life in York...


I'm not living there. I'm in block A, a bit furtehr from the lake. Isn't it nice? the lake and everything

Hi all!

If I'm not misunderstanding, this is the first multiply column I wrote in English. The main purpose is to create a universal message, which any one I know can read and understand and see how I'm living my life now as a student living on campus (yeah I know..My first time on campus. UCL doesn't have one -_-, quite excited though). I know that I haven't been in touch with some of you in ages (my apologies!!). Yesss I'm going to send the link of this page to my long-lost friends, teachers, etc. I know I cannot attach all of these photos to my e-mail for sure. That's why I decided to write up this section.

As some of you might have known (sorry if I haven't informed the rest of you), I am now doing my second degree in York, a historic town in Yorkshire, England. My lifestyle has changed a great deal since I got here.

I was in London, a metropolitan city where I can find tourists from many countries all around the world and I have to say that I enjoyed my life there a lot, loads of things to do, to see and to learn. Since I got here I have been living in a (much) smaller, unique and colourful city, which yields a great number of heritages (tangible and possibly intangible). I have to say that I'm having a good time here as well, although in a different way, yeahhh soooo different.

Generally people are friendly. Thai soc is a closely-knit society. (If I have time, I'll come back and expand more on each pictures.) My life is getting sooooo busy now. My programme this year is rather demanding and now I need to read loadssss of articles related to Thornborough henge, which is claimed to be 'Stonehenge of the North' for my upcoming presentation. (sooo many seminars and presentation T_T)

Hope you all are doing well. I know that not everyone can reply to my message here, but please don't forget to e-mail me back.

Last year, at times I felt lonely even when I was in the crowd.
This year, I don't think I feel lonely. Maybe I kept myself busy most of the time. But I can't helpm feeling stressed T_T. Your e-mail(s) will cheer me up a lot ^ ^

miss you all,

Yim:)

วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2549

Goodbye London/ Hi York!

Rating:★★★★★
Category:Other
หายหน้าหายตาจากการอัพบลอคไปนานเลยนะคะ ก็แหม..ระหกระเหิน ไปเรื่อย ๆ ทั้งทางกายและทางใจน่ะค่ะช่วงก่อนกลับนี่...ปัญหาเอกสารรุมเร้าสมกับที่ป้าอ๊อด หมอดูย่านท่าพระจันทร์บอกเอาไว้เลย "มันไม่หนักหนาหรอกหนูแต่ว่าต้องทนๆ หน่อยนะ มันจะสร้างความหงุดหงิดใจ ต้องทนให้ได้" เออ จริงของเค้าแฮะ ในที่สุดมันก็ผ่านพ้นไปแล้ว..


ฟ้าใส...


หลังจากพาพ่อแม่ไปเที่ยวตะลอนอังกฤษและสก็อตแลนด์แล้ว (ดูรูปและคำบรรยายคร่าวๆ คลิกที่นี่) เราก็ไปเช่าห้องกี อยู่ที่บ้านของธง ค่อนข้างจะจำพรรษาอยู่แต่ในบ้าน ไม่ค่อยได้ไปไหน ไม่ค่อยได้ทำอะไรทางด้านกายภาพมากนักมันเหนื่อย...อยากพักอยู่เฉยๆ อย่างเดียว พักได้ 2-3 วันก็...อา....ตูยังมีเรื่องสั้นที่รับปากเค้ามาแล้วค้างๆ อยู่นี่นา -__-" ทำให้เสร็จก่อน หลังจากนั้น ก็มีเวลาออกไปเดินอำลาลอนดอน


ลอนดอน...มหานครที่หลอมรวมเอาคนหลายชาติหลายภาษา วัฒนธรรมหลากหลาย (และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางอาหาร:P)มารวมไว้ในสถานที่เดียว สถานที่ที่รวบรวมเอาความเจริญด้านเศรษฐกิจ ศิลปะ และ บลา บลา บลา บลา เอาไว้...


เป็นเวลา 3 ปีที่มีความสุขจริงๆ ชีวิตในลอนดอน ถึงแม้ว่าเราจะไม่มี Campus life เท่าไหร่ แต่มหาวิทยาลัยในเมืองหลวงนี้ก็ให้ประสบการณ์เยอะแยะมากมาย ทั้งทางด้านวิชาการ ที่ไม่ได้เป็นรองใคร (แม้ว่าในตารางมันจะบอกว่า Cambridge อยู่อันดับหนึ่งก็เหอะ) ทางด้านบันเทิงที่ University Hall สรรหากิจกรรมมาให้ ทั้งละครต่างๆ คอนเสิร์ต Clubbing party อีกร้อยแปด


ถึงแม้ว่าความเป็นเด็กดีจะโดนแปดเปื้อนไปด้วยอบายมุขนิดหน่อย แต่ก็ได้สัมผัสชีวิตดี อาทิตย์สุดท้ายเราก็...งึม ๆ ขอเดินผ่านสถานที่ที่เคยเดิน แอบเศร้าไม่ได้ ยิ่งเป็นคนติดสถานที่อยู่ด้วย เดินไปก็เศร้าไป วันนี้เรายังเดินอยู่ริมแม่น้ำ กินไอติมอยู่หน้า ลอนดอน อาย อยู่เลย...อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อไปเราจะอยู่ที่ไหนหนอ


อาหารญี่ปุ่น ติ่มซำ เป็ดโฟร์...ไม่มีอีกแล้ว แง...




โอ้...ลอนดอนอายในยามสนธยา จะได้มาเห็นอีกไหม



แม่น้ำยามสนธยาด้วย ลาก่อน แม่น้ำเทมส์ ต่อไปนี้จะมี River Ouse เท่านั้น




ยามกลางวัน แดดจ้า




ไชน่า ทาวน์ ที่แวะประจำทุกวันๆ อยากกินอาหารอะไรก็มีหมด จะซื้อเครื่องปรุงอะไรก็ง่ายดาย




ถึงจะก่อสร้างอะไรก็ชักช้า สะพานเวสมินสเตอร์นี่ก็ 3 ปีแล้ว ยังไม่เสร็จซะที แต่ก็รักลอนดอนนะจ๊า

คุณมีเสน่ห์ในตัวเหลือเกิน...แม้ว่าจะไม่สวยเท่าปารีส ไม่ชวนฝันเท่าลูเซิน
แต่ก็รักลอนดอนน้า....



เวลาผ่านไป เราก็มาถึง York จนได้ วันแรกที่มาถึง เหอ ๆ ๆ ทำไมมันเงียบอย่างงี้อ้ะ กับข้าวกับปลาก็แพง หาซื้อยาก งือๆ ตกเย็นมาร้านรวงก็ปิดหมด ซอสทำอาหารแบบเอเชียๆ ก็หาไม่ได้ วูบแรกเลย...คิดถึงลอนดอนจัง


แต่การมี iceland อยู่ไม่ไกลหอนี่...ทำให้รู้สึกต่างไปเลยค่ะ แหะๆ เพราะเป็นร้านที่ขายของไม่แพง (ถึงแม้ Aldi ถูกกว่าอีก ลดราคาผัก ผลไม้อยู่ด้วย โอ้)แต่ว่าติด iceland ค่ะ.. ติดชีสเค้กรสทอฟฟี่ ถึงที่ร้านไม่มีน้ำมันหอย แต่มีชีสเค้กก็ช่วยปลอบใจไปได้นะ


ปีนี้เป็นแม่บ้านมาก ใส่ใจกับความเป็นอยู่มากเป็นพิเศษ อยากทำอาหาร อยากหาเครื่องอำนวยความสะดวกให้ครบ
อย่างน้อยตอนนี้ก็มีที่ช้อปที่ไม่แพงง่ะ งึมๆ แล้วพวกร้าน pound shop ร้านขอยของถูกๆ ก็มีไม่ได้น้อย สั่งของ online ก็ไม่ได้เลวร้ายนิ...สั่งมาตุนไว้เลย...ทีละเยอะ ๆ หุหุ ทำใจให้เปนสุขแล้วจ้า


ส่วนตัวมหาลัยก็...สวยดี เหมือน ม.ช. เลย เราไม่ได้เรียน ม.ช. ก็มาเรียน York แทน ผู้คนก็น่ารัก ยิ้มแย้ม อัธยาศัยดี
ตะกี้เพิ่งลงไป Jazz night มาค่ะ คนที่นี่ Friendly กว่าที่ลอนดอนแฮะ เข้ามาทักเพียบเลย รู้สึกไม่ต้องใช้ความพยายามในการทำความรู้จักเท่าที่โน่น


เอาเป็นว่า...เริ่มชอบ York แล้วค่า

เป็นเมืองที่น่ารักดี น่ารักมากๆ คงหลงรักในเวลาอีกไม่นาน


วันนี้เพิ่งฟัง welcome talk มา ขำมากเลย ตอนที่เค้าบอกว่า มหาลัยYork แข่งกีฬากะมหาลัย Lancasterทุก ๆ ปี

เป็นกีฬาประเพณี (เหมือน Oxford แข่งเรือกะ Cambridge นั่นแล)
แต่ชื่อกีฬาที่นี่ชื่อ "Roses" ค่ะ เหอๆ ชวนให้นึกถึง Wars of the Roses ในสมัยโบร่ำ โบราณมาแล้วเลย สมัยที่ราชวงศ์ Lancaster (กุหลาบแดง) ยังห้ำหั่นกับ ราชวงศ์ York (กุหลาบขาว) อยู่


คงเคยได้ยินชื่อ "สงครามดอกกุหลาบ" กันมามั่งแล้วใช่ไหมเคอะ หุหุ ศึกชิงบัลลังก์เลือดระหว่าง 2 ราชวงศ์อังกฤษ ไม่คิดเลย ว่าจะยังมีการต่อสู้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าจะมาในรูปขำๆ เช่นกีฬามหาลัยก็เหอะ



เงียบๆ เหงาๆ นักเรียนยังไม่มานิ


Wentworth College ที่นี่หอราคาถูก แต่หรูหรามาก อ๊ะ ๆ แต่ยิ้มไม่ได้อยู่ตึกโค้งริมทะเลสาบนี้นะ


อยู่ตึกนี้ตะหาก Block A แต่ก็ห่างจากทะเลสาบนิดเดียว


มีทะเลสาบใหญ่ๆ อยู่ในมหาลัย ตึกเรียนอยู่ริมๆ น้ำ ทั้งน้าน


หญ้างี้แทบไม่ต้องตัดเลย ห่านดินกินหญ้าหมด

ที่นี่มีสัตว์เยอะมากค่า เป็ด ห่าน หงส์ แถมมหาลัยหวงด้วยนะ รุ่นน้องบอกว่า ถ้าฆ่าเป็ดโดนไล่ออกสถานเดียว


สวนหลวง ร9 อ้าว ไม่ใช่ Central Hall จ้า อยู่กลางน้ำและกลาง campus เลย

ยังไม่ได้ถ่ายรูปตึกเรียนคณะโบราณคดีมาเลย...แต่สวยมาก ขอบอก

เก่าแก่ยังกะตึกในม.เคมบริดจ์ สมใจเลย หุหุ (กลับบ้านดึกคงขนลุกวาบๆ) เพราะหน้าตึกมีโลงศพตั้งไว้ตกแต่งอยู่

ไว้มาเล่าใหม่น้า...ไปนอนละ ง่วง




วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2549

ก้าว...



แม้หวั่น...คงต้องก้าวไปข้างหน้า
สู่เส้นสายปลายขอบฟ้าอันกว้างใหญ่
ไร้ทิศทางไร้หางเสือนำทางไป
คลื่นลมแห่งทะเลใจซัดสาดพลัน

วันนั้น...เหน็ดเหนื่อยเจ็บปวดนัก
เพิ่งประจักษ์แจ้งในดวงใจมั่น
ชีวิตเรา..ยากขึ้นทุกๆวัน
เจ็บวันนั้น..ไม่อาจเปรียบเทียบวันนี้

จ้องมองแสงทอทาบอาบฟ้ากว้าง
แสนอ้างว้าง..แสงแห่งใจไยริบหรี่
อีกไม่นาน..วารผกผันพลันราตรี
ดาริการิบหรี่...ใจรอนรอน

แม้หวั่น...ยังคงก้าวไปข้างหน้า
ให้เวลา..เป็นบทเรียนเพียรเฝ้าสอน
ท้อเมื่อไร...มาเรียงถ้อยร้อยบทกลอน
แล้วดึงใจที่จากจร...หวนย้อนคืน



................................................................................................

ชีวิตเราไม่เคยมีง่ายขึ้นๆ เลยนะคะ
สิ่งที่เคยคิดว่ายากเย็น ลำบากเหลือเกินในวันก่อน
เมื่อมองย้อนไป...มันก็แค่นั้น

สิ่งที่รออยู่นี่น่ะสิ ที่ยิ่งใหญ่กว่า
ท้าทายกว่า...เหมือนกับจะเป็นสิ่งวัดความเข้มแข็ง
ถ้าแกร่ง ก็เดินต่อไปได้
ถ้ายอมแพ้ก็จบ...

แต่ชีวิตคนมันไม่ใช่คำถามปลายปิด
ที่คำตอบของมันจะมีแค่ yes หรือ no
บางครั้ง...ใจเราสู้ เราจะเดินต่อไปแน่ๆ
แต่เราก็แค่หวั่นไหวนิดหน่อย
ใจคนไม่ได้ทำด้วยหิน อิฐ ปูน
มีอะไรมากระทบมันก็อดที่จะเก็บมาคิดมาก
อดที่จะเก็บมาเครียดไม่ได้

ถ้าไม่คิดเลย...
เราก็เป็นคนที่ไม่แคร์คน ไม่แคร์ใคร
จะดีไหม...
จะได้ไม่ต้องเจ็บแบบนี้
จะทำให้เราใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องปวดใจ
ไม่ต้องสนใจว่าใครจะคิดยังไง
สนใจแต่ตัวเอง


วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2549

........

Rating:
Category:Other
ปกติ เอาไว้เขียนบทความ...
วันนี้เอามาเขียนบ่น...บ่นทั้งทีก็ขอบ่นยาว ๆ สักนิด บ่นแล้วจะได้หนีไปลงมือทำงานเสียที



'msn'
เคยมั้ยคะ กวาดเม้าส์ขึ้นๆ ลงๆ อยากจะคุย แต่ก็ไม่รู้จะคุยอะไร
จะคลิกคุยกับใครก็ไม่อยากคลิก ทั้ง ๆ ที่มีอะไรอัดอั้นแทบจะอกระเบิด

หรือว่าเราจะรอใครบางคนอยู่....
หรือว่าเราต้องการความสนใจจากใคร...ใครก็ได้
หรือว่าเราแค่ต้องการหาคนฟัง

'อุปสรรค'
มันจะมีช่วงชีวิตบางช่วง ที่ทำอะไรๆ ก็ไม่ค่อยจะ goes right
ทั้งๆ ที่บางครั้งเราทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ...แล้วก็ยอมรับ
ครั้ง สองครั้ง สามครั้ง ก็ยังพอไหว...แต่พอมี สี่ ห้า หก ตามมาติดๆ ก็เริ่มสงสัย
มันคือบททดสอบ...หรืออะไรกันแน่


'ความมั่นใจ'
ความมั่นใจ...มีมากเกินไปก็ไม่ดี
เพราะจะทำให้ทะนงตน ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น...
แต่บางครั้ง...
ความมั่นใจก็ถูกทำร้ายอย่างง่ายดาย...
แล้วพอความมั่นใจมันหายไป

ชีวิตนี้มันก็แสนจะเลื่อนลอย
จะหยิบจับ ทำอะไร ก็ไม่กล้า



'ความเปลี่ยนแปลง'
ยอบรับมันสิ
พูดง่าย...แต่ทำยาก
เจ็บ...ปวด


'การมองโลกในเชิงบวก'
ตายไปแล้ว
พร้อมๆ กับยิ้มคนเก่าที่มองโลกสดใสนั่นแหละ

'การรอคอย'
เกลียดที่สุด
เมื่อไหร่จะจบสิ้น


'น้ำตา'
ออกมาแล้วมีอะไรดีขึ้นเหรอ
กลืนมันลงไป


'คำพูด'
.......
.......
บางอย่างมันก็พูดไม่ได้
ต้องรู้สึกเอา

'รู้สึกยังไง'
ดีขึ้นมั้ง ได้บ่น...

'ภาระ'
ทำไมเรารู้สึกเหมือนมีอะไรวางอยู่บนบ่า
ถ่วงในใจตลอดเวลา
แต่อธิบายไม่ได้ว่ามันคืออะไร
ขอเรียกมันว่า ภาระ..ก็แล้วกัน

บ่นมาก ๆ เหมือนคนแก่เลย -__-"
ไม่ไหว เดี๋ยวใบหน้าจะเกิดริ้วรอย
พอดีกว่า...

วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2549

Friends



หลังจากถูกปลุกตอนเวลา 9.00 น หรือ 3.00 BST (british Summer Time - ขี้เซาจริงๆ เรา)
และได้รับฟังพร้อมร่วมถ่ายทอดความรู้สึกกับ 'เพื่อน' คนหนึ่ง
เพื่อนที่ห่างหายกันไปนาน...

วันนี้เพื่อนร้องไห้...
ผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่งร้องไห้ พร้อมทั้งคำพูดประโยคซ้ำๆ
ถึงกับพูดไม่ออกไปพักใหญ่
เสียใจนะ
เสียใจ...ที่วันนี้ไม่ได้อยู่ตรงนั้น อยู่ข้างๆ นาย คอยให้กำลังใจในยามที่นายไม่รู้จะก้าวต่อไปยังไง
เสียใจ...ที่ช่วงเวลาที่ผ่านมา 1 ปี แม้จะอยู่ใกล้แสนใกล้ แต่ก็ไม่ได้ให้เวลากับนายมากเท่าที่ควร
เสียใจ...ที่ตลอดเวลาที่เราคบกันมา เราละเลยนายไปเสียหลายครั้ง
ขอโทษ...ที่วันนี้ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่าป็นผู้ฟัง และให้ความคิดเห็นที่ไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหน
ขอโทษ...ที่พอกลับเมืองไทยมาก็หายหน้าหายตาไป ไม่ได้ติดต่อ ทั้งที่ก็ยังนึกถึงอยู่เสมอ
นายบอกว่ามีเพื่อนก็เหมือนมี saving account
ยังไงก็ยังรออยู่ที่นั่น
ไม่ได้ฝากมานาน กลับมาฝากต่อก็ได้ไม่เป็นไร ไม่ต้องฝากประจำสม่ำเสมอ
เออ...ใช่
ยังไงเราก็ยังอยู่ที่นี่ตลอดเวลา...
รู้ตัวว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดแบบในอุดมคติไม่ได้ เพราะก็ทำให้นายร้องไห้มาแล้วเหมือนกัน
รู้ตัวว่าบางทีก็เอาเรื่องอื่นเป็น priority จนเผลอตัวลืมเพื่อนไปบ้างเหมือนกัน
แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนก็คือ...
ยังไงก็รักเพื่อนอยู่เสมอ

จะเขียนจดหมายหากันน้อยลง หรือไม่ได้เขียนเลย
จะเลิกเขียนอีเมลไปแล้วเพราะไม่มีเวลา
จะคุยกันทางโทรศัพท์น้อยลงเหลือแค่ปีละไม่กี่ครั้ง

ความเป็นเพื่อนมันก็ยังวางอยู่ตรงนั้น
อยู่ตรงนั้นตลอดเวลา
รอให้ใครคนหนึ่งกลับมาพบมัน แล้วหยิบมันขึ้นมาใหม่
จากนี้...จะเดินไปไหนก็ไปเถิด
แต่อย่าลืมว่าถ้าเหนื่อย...ท้อแท้ เราก็ยังรอ...รอเป็นกำลังใจให้
จะเข้ามาอ่านหรือไม่ก็ตามแต่...
ขอบอกตรงนี้ "ฮารักคิงว่ะ"
อย่าทำให้อีก 'เกินครึ่ง' ของชีวิต ต้องพังลงไป เพราะเรื่องนี้เลย...
จะไม่บอกว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ๆ เพราะรู้ว่าในความรู้สึกของคนที่อยู่ตรงนั้นมันไม่เล็กหรอก
แต่ไม่ใช่ความเจ็บปวดอันยิ่งใหญ่นี้หรอกหรือ...ที่คนเราต้องก้าวข้ามไปให้ได้...และแสดงให้เห็นว่าจิตของคนนั้นแข็งแกร่งได้แค่ไหน...
คุณค่าของคนไม่ได้ถูกกำหนดโดยคนที่เห็นค่า
แต่คุณค่าของคน...อยู่ที่ตัวคนนั้น...รู้ว่าตัวเองมีค่าแก่ใครบ้าง....นะจ๊ะ
ไม่รู้จะพูดอะไรนะ
Some friends come and go
but only do true friends stay
Friends are those to look upon...
For guidance
For laughter
For a shoulder to lean on
I promise to you, my friend
that I will be here till the end
through thick and thin...
you can count on me
My forever friend.*
p.s. กลับบ้านเราเถอะ...อยู่คนเดียวให้เหงาตายไปทำไม

* จาก เพราะเธอคือเพื่อนรัก หนังสือของ สนพ. ไพลินสีน้ำเงิน

วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2549

สุดสาย...ปลายทางฝัน


เส้นทางทอดยาวอยู่ข้างหน้า

มองไปจนสุดตาไร้จุดหมาย

หากรู้...ยังไม่สิ้นแรงกาย

ดีหรือร้าย...ร้อนหรือหนาว จะก้าวไป



ทุกข์หรือสุข ง่ายหรือยากลำยากนัก

เกลียดหรือรัก...ไม่บ่นหากทนไหว

หวังวันหนึ่ง...จะไปถึงซึ่งเส้นชัย

ด้วยแรงกายและแรงใจที่พอมี



หากตรงนี้...ที่สุดสายปลายทางฝัน

ไร้เดือน ไร้ตะวันส่องวิถี

ความเดียวดาย..คือเพื่อนที่แสนดี

สุดปลายทางฝันนี้ไม่มีใคร...



ไม่ได้อารมณ์เปลี่ยว
ไม่ได้เหงา
ไม่ได้เศร้าหรอกค่ะ แต่มันคือ ๆ ๆ ๆ

โฆษณาแอบแฝง...นั่นเองนะคะ
หนังสือเล่ม 3 ค่ะ ^ ^ วางแผง 29 ก.ค. นี้

คนเรามุ่งเดินทางไปข้างหน้าเพื่อตามหาความฝัน
บางครั้ง...ก็ถึงกับยอมทำทุกสิ่งทุกอย่าง และละทิ้งบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ถึงจุดหมาย...
ทุกย่างก้าวต้องถูกต้อง ต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่วางไว้ ต้องไร้ตำหนิ

จะมีประโยชน์อะไร...ถ้าความสำเร็จอันงดงามหลังเส้นชัยนั้น
ไม่มีใครมาร่วมแบ่งปันความสุขด้วย

เช่นกันกับ ธนิต...

เขาตามหาคนที่จะเดินไปด้วยกันจนสุดปลายทางแห่งรัก หากแต่ไม่รู้เลยว่าเธอคนนั้นติดตามเขามาตั้งแต่ต้นทาง รอเพียงเขาจะหันหลังกลับไปรับเธอมาเดินข้างๆ เท่านั้น

รายละเอียดดังเวบนี้นะคะ แหะ ๆ

http://www.jamsai.com/bookstore/basket.asp?proid=974-9984-25-0&submit=Detail&pg=1&select1=1

ชิ่งแล้วดีกว่า


วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2549

Devon-Cornwall (4-8 June 2006)




ไป Road Trip ทางตอนใต้ของอังกฤษมาค่ะ เป็นทริปที่สบายที่สุดเท่าที่เคยไปมาตั้งแต่เหยียบแผ่นดินสหราชอาณาจักรนี้ เพราะว่ามีคนขับรถให้พร้อม ขอขอบคุณพี่พลับมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

เป็นทัวร์สั้น ๆ 4-5 วันค่ะ
ผ่านหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ ปราสาท อุทยานแห่งชาติ ทะเลแบบหน้าผา และทะเลแบบชายหาด คลายเครียดไปได้เยอะเลยค่ะ

Devon-Cornwall เป็นเขตที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์พอสมควรเลยนะคะ ทั้งภูเขา ทุ่งหญ้า ที่ราบ ชายหาด ทะเล
วันที่ 4: ตื่นแต่เช้าออกจากบ้าน(พี่พลับ) มีสมาชิก 4 คน พี่พลับ หนูวาว น้องยิ้ม แจ๋มมี่ แวะ Exeter ชมมหาวิหาร (Cathedral) ที่เลื่องลือ (แต่จริง ๆ แล้วมีที่ที่สวยกว่าอีกเยอะ) รูปสลักหินโดนเกลือกัดกร่อนหมดแล้ว... หลังจากนั้นก็ไป Powderham Castle เพื่อชมปราสาท สวนกุหลาบ แวะเล่นกะน้องแพะ น้องแกะ แล้วก็ไปพักที่ torquay โดนปราสาทเก็บค่าเข้าในราคาแบบ กันเอ๊งงงง กันเองไป 8 ปอนด์ โลหิตหยดติ๋ง ๆ ๆ ๆ

วันที่ 5: ออกจาก Torquay ผ่านอุทยานแห่งชาติ Dartmoor ซึ่งเป็นภูมิประเทศแบบทุ่งหินแกรนิต หญ้าเตี้ย ๆ โล้น ๆ มีแต่หินเต็มไปหมด สนุกดี...เพิ่งรู้ว่าทักษะการปีนป่ายของตัวเองก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด เพราะว่าปีนขึ้นไปบนกองหินหลาย ๆ กอง (เพื่อที่จะพบว่า แม้ด้านหน้าจะปีนยาก แต่ด้านหลังกองหินมีทางลาดให้ขึ้นไปง่าย ๆ เสมอ แล้วเราก็มักจะลืมเสมอๆ ต้องทำอะไรยาก ๆ อยู่เรื่อย)

วันที่ 6: ไฮไลต์ของวันนี้คือ Eden Project เรือนกระจกขนาดยักษ์ที่เอาไว้ปลูกต้นไม้เมืองร้อน (เลยไม่ตื่นเต้น) เคยมีกองถ่าย เจมส์ บอนด์ ภาค Die another day มายึดสถานที่ถ่ายเป็นโรงแรมน้ำแข็ง (ตัดต่อ)

จากนั้นก็ไป Lizard Point เปนจุดที่อยู่ใต้สุดของเกาะอังกฤษ ตอนแรกหลงทางแต่ไปพบจุดที่เป็นธรรมชาติและสวยกว่าเสียอีก ฟ้าใส เป็นใจมาก ๆ นาน ๆ จะเป็นอย่างงี้นะคะ อิอิ เลยอารมณ์ดีตลอดทริปเลย

วันที่ 7: วันนี้กถึงที่ที่ตั้งใจจะไปเสียที ก็คือ Land's End จุดปลายติ่งของอังกฤษ เริ่มชินชากะหน้าผาและทะเล แต่ก็นั่งอาบแดดชมวิวอบยู่นานเหมือนกัน กรี๊ดดดด ดำ

จาก Land's End ก็ไป St. Ives ที่ที่มีหาดทรายสีขาวลาด ๆ ให้พอเล่นได้ สาว ๆ ใส่บิกินีกันเต็ม... ไม่กล้าใส่ด้วย อิอิ ไขมันเกิดพิกัดไปหน่อย

วันที่ 8: หมดแรง กลับบ้าน

Yessss !!! Nice trip ค่า....

ป.ล. บางรูปจิ๊กมาจากวาวกะพี่พลับ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ

วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2549

ไฟฝัน




ไฟฝัน...

ไม่นานพลันคงถึงวันหมดสิ้นเชื้อ

เปลวเพลิงแห่งความสุข...มีทุกข์เจือ

สักวันคงไม่เหลือ...แม้ร่องรอย



ทุกคราที่ฟ้าร้องไห้

เปลวไฟ...ไอฝันพลันถดถอย

หยาดฝนแทนน้ำตาแห่งการรอคอย

ทีละน้อย..ค่อยซึมซาบอาบดวงใจ



ชะล้างความรู้สึกให้เลือนหาย

ดีหรือร้ายไม่พรั่นไม่หวั่นไหว

รู้เพียงแต่สองขาต้องก้าวไป

ไกลแสนไกล...ใกล้แสนใกล้...ไม่รับรู้



เปรียบประดุจตุ๊กตามีชีวิต

ที่ไร้จิต...เหลือเพียงร่างวางตั้งอยู่

แม้จะคิดฝืนทุกข์ลุกขึ้นสู้

ให้อดีตเป็นครู...คอยสอนใจ



แต่เปลวไฟที่มีนั้นมันสิ้นเชื้อ

จะไม่เหลือ...แม้ภาพเก่าเงาสดใส

จึงก้าวย่างบนทางฝันยาวไกล

อย่างสิ้นไฟ ไร้พลัง...เช่นวันวาน



..............................................................



หมดไฟแล้ว....  T_T

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2549

Ophelia






And will he not come again?

And will he not come again?

No no, he is dead,

Go to thy death bed

He never will come again

His beard is as white as snow

All flaxen was his poll:

He is gone, he is gone,

and we cast away moan;

Gramercy, on his soul!

And of all Christian souls, I pray God

God be wi' you.



บทเพลงข้างบนนี้ เป็นเพลงที่ขับร้องโดย Ophelia (โอฟีเลีย) ซึ่งเป็นตัวละครหนึ่งในเรื่องแฮมเล็ท ซึ่งเป็นบทละครของเชคสเปียร์ เป็นตัวละครที่...น่าสงสารและป็นที่วิพากษ์กันกว้างขวางพอสมควรเลยในวงการวรรณกรรม

(คราวนี้ไม่ได้แต่งเอง ^ ^)

ก่อนอื่นขอเล่าเรื่องย่อๆ ก่อนนะคะ
แฮมเล็ทนี่เป็นองค์ชายของเดนมาร์ค กลับบ้านกลับเมืองมาเพราะพ่อโดนฆ่าตาย แล้วอาขึ้นครองราชย์แทนแถมยังแต่งงานกับแม่ตัวเองอีก แกก็เลยแสร้งทำเป็นบ้าๆ บวมๆ ส่วนโอฟีเลียก็คือคน(เคย)รัก เป็นลูกสาวของที่ปรึกษาด้านการปกครองของท่านอา เรื่องมันเลยเศร้าเพราะเธอต้องตกเป้นเหยื่อของทุกๆ ทาง

พ่อ กับกษัตริย์ก็พยายามจะให้เป็นเครื่องมือในการสืบหาข้อมูลจากแฮมเล็ท...
ส่วนอีตาแฮมเล็ทก็อาละวาดเอากับสาวเจ้า ประมาณว่าสิ้นรักแล้ว เพราะพ่อเธอมีส่วนร่วมในการฆ่าพ่อฉัน...

แต่โอฟีเลียก็ยังรักแฮมเล็ทเหมือนเดิมและต้องทนกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของฝ่ายชายด้วย ความรักก็เลยลุ่มๆ ดอนๆ เพราะนายแฮมเล็ทเอง (จริงๆ ก็น่าสงสาร จู่ๆ พ่อก็ถูกฆ่าตาย แต่โอฟีเลียน่าสงสารกว่าเพราะไม่รู้อะไรด้วยแต่โดนจิกกัดด้วยวาจาประชดประชันตลอด ตามประสานางเอกละครสมัยก่อน)

วันหนึ่ง แฮมเล็ทคุยกับแม่เรื่องคนฆ่าพ่อ และพบว่ามีคนมาแอบฟังอยู่หลังม่านเลยฆ่าทิ้งเสียเพราะคิดว่าเป็นอา แต่ปรากฏว่าจริงๆ แล้วเป็นพ่อของโอฟีเลีย ซึ่งเมื่อเธอรู้ความจริงเข้าก็ถึงกับเสียสติไปเลย เพราะคนที่รัก...นอกจากจะไม่รักตอบแล้วยังกลับกลายเป็นคนฆ่าพ่อตัวเอง ในที่สุดเธอก็จบชีวิตลงในแม่น้ำ ก็คงจะฆ่าตัวตายแหละค่ะ ไม่เคยอ่านที่เป้นบทละครจริงๆ เสียที มันยาวแล้วก็ภาษาซับซ้อนเหลือเกิน -__-"

เรื่องราวยังดำเนินต่อไป แล้วในที่สุดก็ตายกันหมด เพราะวางยากันไปมา หรือไม่ก็ประลองกำลังกัน
เศร้าไหมล่ะนั่น

จิตรกรหลายๆ ท่านได้รับแรงบันดาลใจจากเธอผู้นี้ เพราะว่าดูเป็นตัวละครที่มีมิติ คล้ายๆ กับว่า หัวใจ vs ภาระ vs ความแค้น ของลูกผู้หญิงที่ไม่มีสิทธิเลือกทางชีวิตตัวเองได้ ภาพประกอบนี้เป็นภาพของ Sir John Everett Millais วาดในปี 1851-1852 ใช้เวลานานมากๆ กับภาพแบคกราวน์ที่เป็นดอกไม้

ภาพนี้ปัจจุบันแสดงอยู่ที่ Tate Britain Gallery ที่ลอนดอนค่ะ พอดีตอนไปเดินดูแอบสะดุดตา ก็เลยมาหาต่อในเนตว่าเธอผู้นี้เป็นใคร ภาพวาดยังมีของอีกหลายๆ ท่านเลย สามารถดูได้ที่ http://www.mythicalrealm.com/legends/ophelia.html

เห็นรูปเศร้าๆ แล้วรู้สึกเหมือนถูกบีบที่หัวใจ แล้วก็สะกิดใจดีจริงๆ
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ชอบแต่รูปเศร้าๆ ^__^ เดี๋ยวครั้งต่อไปเอารูปอื่นที่ชอบมาลงมั่งแล้วกันนะคะ


วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2549

ชีวิต (ไม่) ธรรมดาของนักขุด: Barcombe Roman Villa ตอนที่ 1


Rating:★★★★★
Category:Other
ภาค 2 : Barcombe Roman Villa, Sussex

จุดเริ่มต้น

นัยน์ตาฉันจวนจะปิดอยู่ริบหรี่ ขณะที่นั่งรอเพื่อนอยู่ ณ สถานีรถไฟวิกตอเรีย ประเทศอังกฤษ ทั้งๆ ที่ในกำหนดการบอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่ารถไฟขบวนที่พวกเราควรจะนั่งไปคือขบวนที่ออกจากลอนดอนเมื่อเวลา 16.30 ซึ่งถ้ารถขบวนนั้นไม่เสียเวลาขณะเดินทาง ก็ควรจะถึงสถานี Cooksbridge เมื่อเวลา 18.00 ซึ่งทางไซต์ชุดจะส่งรถตู้มารับอีกที

ฉันตั้งใจเอาไว้ว่าจะออกจากบ้านเมื่อ 15.00 นาฬิกา หากสาวญี่ปุ่น เนลลี่ ผู้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉันจะไม่รีบนัดหมายทางอินเตอร์เนตเมื่อเช้านี้ว่า “เจอกันที่วิกตอเรียบ่ายโมงนะยิ้ม ” แล้วรีบตัดบทการสนทนา ฉันไม่อยากเดินทางคนเดียวก็จำต้องยอมออกจากหอพักตั้งแต่เที่ยงครึ่งเพื่อให้มาถึงสถานีรถไฟตามเวลานัดหมาย
ไม่น่าเชื่อ นับจากวันแรกที่ฉันได้ลงภาคสนามที่ค่าย Primtech จนถึงวันนี้ เป็นเวลานานกว่าครึ่งปีแล้ว ความรู้สึกในยามนี้ก็แตกต่างจากตอนนั้นลิบลับ ความมั่นใจในตัวเอง และ ความกล้าที่จะเผชิญปัญหาเพิ่มมากขึ้น จะหวาดหวั่นอยู่บ้างก็คือกลัวว่าจะทำความเสียหายให้หลุมขุดค้นบ้างไม่มากก็น้อย เพราะการลงภาคสนามครั้งนี้ ฉันต้องสำรวจ ขุดค้น และจัดการเกี่ยวกับโบราณวัตถุที่หามาได้จริงๆ

ฉันไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้มาก่อน สิ่งเดียวที่มีอยู่คือความรู้จากตัวหนังสือบนหน้ากระดาษ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เทียบไม่ได้เลยกับการได้ลงมือปฏิบัติ เพราะทฤษฎีก็เป็นได้เพียง “แนวทาง” เวลาอยู่ในหลุมขุดค้นจริง ๆ ยังมีปัจจัยอีกมากมายที่ทำให้โบราณสถาน และ โบราณวัตถุมีสภาพแตกต่างไปจากที่ควรจะเป็น เรียกได้ว่า ความชำนาญเป็นเรื่องของประสบการณ์เลยทีเดียว

“ยิ้ม มาเร็วเชียวนะ” เสียงเนลลี่ร้องทัก ฉันตื่นจากภวังค์หันไปมองพบว่า เนลลี่ยืนอยู่กับคานาโกะ สาวญี่ปุ่นร่างเล็กอีกคน และ มิเกล ลูกครึ่งไทย-สวีเดน คนนั้น จะไม่ให้มาเร็วได้อย่างไรในเมื่อเธอเป็นคนนัดให้มาเจอกันเอง ฉันตอบในใจ แล้วส่งยิ้มให้เธอและทุก ๆ คน
รถไฟแล่นเทียบชานชาลาที่ Cooksbridge ทางมหาวิทยาลัยแจ้งมาแล้วว่าจะมีเรือนโรงนาให้พวกเราได้ซุกหัวนอน ฉันไม่ได้คาดหวังจะให้ที่พักดีเยี่ยมเหมือนหอพัก หรือโรงแรม แค่มีชายคาป้องกันฝนและลมหนาวก็เพียงพอแล้ว

เส้นทางจากสถานีรถไฟและที่พัก คดเคี้ยว ลัดเลาะไปมาผ่านทุ่งข้าวสาลี และทุ่งหญ้าสีเขียวอมเหลือง มองไม่เห็นหมู่บ้าน หรือร้านค้าที่พอจะซื้อหาสิ่งของที่ต้องการได้เลย “ เพียง 8 วัน 8 คืนเท่านั้น” ฉันปลอบใจตัวเองอยู่เนือง ๆ มองไปนานเท่าไรก็ยิ่งมองเห็นความงดงามของธรรมชาติ และ กลิ่นไอชนบท ที่ห่างไกลความเจริญเสียเหลือเกิน
เมื่อถึงที่พัก นักศึกษาก็ทยอยขนสัมภาระลงมาจากหลังรถตู้ที่ผู้จัดการไซต์ขับมารับ ถ้าเขาไม่มาพวกเราก็คงไม่มีทางอื่นที่จะเดินทางมายังที่พักซึ่งเป็นโรงนาเก่าก่อสร้างอย่างหยาบๆ อยู่กลางฟาร์มที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทุ่งกลางไร่อย่างนี้ได้

ที่พักไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ถึงแม้ตัวเรือนจะเป็นไม้แผ่นตีประกบ ๆ แต่ก็มิดชิดและกันลมได้ดี ถึงแม้จะไม่มีระบบปรับอุณหภูมิ แต่ถุงนอนที่นำมาก็คงให้ความอบอุ่นได้พอสมควร ห้องที่พักแบ่งย่อยออกเป็น หลายห้องเพื่อรองรับสมาชิก 21 คน แต่ละห้องมีเตียงสองชั้นห้องละ 2 เตียง ฉันเลือกนอนห้องเดียวกับ เนลลี่ และ คานาโกะ ส่วนเตียงที่เหลือ มิเกลยึดครอง ออกภาคสนามอย่างนี้ความสนิทสนมกลมเกลียวมักจะมาก่อนเหตุผลอื่น ๆ จะออกมาโวยวายว่า “ไม่ให้นอน ผู้ชายห้ามเข้า” ก็ไม่ได้

ติดกับอาคารที่พักมีห้องครัวซึ่งเป็นเรือนไม้ก่อสร้างอย่างหยาบ ๆ ไม่มีฝาผนัง จะว่าไปแล้วห้องที่ฉันพัก อยู่ติดกับบริเวณโต๊ะอาหารพอดี อาจจะมีเสียงรบกวนเวลากลางคืนได้ เพราะมองไม่เห็นที่อื่นที่เพื่อน ๆ จะจับกลุ่มสนทนากันได้นอกจากในครัว และ ในห้องนอน แต่นั่นทำให้ห้องนอนห้องนี้มีเพียงผนังด้านเดียวที่เปิดรับลม เพราะอีกสองด้านก็อยู่ติดกับห้องพักอื่น ๆ จึงน่าจะเป็นห้องที่อุ่นกว่าห้องอื่น ๆ

นักศึกษารุ่นพี่ 2 คนเป็นอาสาสมัครมาจัดการเรื่องอาหาร และ ความเป็นอยู่ทั่วไป เมื่อพวกเราจัดการจัดของเสร็จเรียบร้อย อาหารก็วางตั้งรออยู่บนโต๊ะยาวในห้องอาหารแล้ว
“กรี๊ด........” เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังออกมาจากห้องข้าง ๆ ฉันและเพื่อนร่วมห้องวิ่งไปดูด้วยความตกใจ

“เกิดอะไรขี้น”
“แมงมุม ดูสิ แมงมุมตั้งหลายตัว เต็มห้องไปหมดเลย” ฉันเหลือบตามองดูแมงมุมตัวเล็ก ๆ 3 ตัวที่อยู่ตรงขอบผนังด้วยความไม่เข้าใจ แมงมุมมันตัวเล็กกว่าเราตั้งหลายเท่า แต่สาวๆก็ร้องโหยหวนราวกับว่าเจอมังกรอยู่ใต้เตียง เอาเถิด...ฉันยังกลัวจิ้งจกได้เลย คนเราก็มีความกลัวในสิ่งต่างๆกัน คิดได้ดังนั้นก็เลยถอยออกมาจากห้องพักของพวกสาวๆอังกฤษ

จะว่าไปแล้ว สภาพที่พักที่นี่ออกจะดีเกินกว่าที่ฉันคาดคิดอยู่มากเสียด้วยซ้ำ มีไฟฟ้า มีเตาแก๊สไว้ใช้ มีตู้เย็นที่ใช้บรรจุเนื้อสัตว์มาประกอบอาหารได้ ในห้องพักก็มีอ่างล้างหน้าให้ใช้ ห้องน้ำถึงแม้จะเป็นแค่ฝาไม้อัดกั้น ๆ เอาไว้ และมีห้องอาบน้ำเพียง 4 ห้อง แต่ก็ใช้การได้ดี ดังนั้นแมลงตัวเล็กตัวน้อยที่หลุดรอดเข้ามาในห้องได้จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของฉัน เราอยู่ส่วนเรา เขาอยู่ส่วนเขา แต่เสียงกรีดกราดในห้องนั้นก็ยังไม่เงียบลงเสียทีเดียว จนเพื่อนผู้ชายต้องเข้าไปเก็บแมงมุมโชคร้ายพวกนั้นออกมาจากห้อง เสียงโหวกเหวกจึงเงียบลงไป

ยิ่งตกดึกอากาศยิ่งเย็น จนเสื้อแขนยาวบาง ๆ ที่ใส่อยู่ไม่อาจต้านทานความหนาวได้ เสื้อกันหนาวแบบมีหมวกก็ยังไม่ทำให้อุ่นขึ้นมากนัก จนฉันต้องเอาเสื้อแจ๊กเกตชั้นนอกตัวหนามาใส่ถึงจะนั่งอยู่ในสภาพอากาศอย่างนั้นได้ เมื่อถึงเวลาเข้านอน พื้นห้องเย็นเฉียบเมื่อเท้าเปล่าได้สัมผัสจนแทบเป็นตะคริว ฉันเตรียมจะปีนขึ้นไปนอนบนเตียงชั้นสองที่ได้จับจองไว้ตั้งแต่แรกมาถึงเพราะเตียงนี้ไม่มีบันไดให้ไต่ขึ้น แต่ดูเหมือนแขนขาจะหมดแรงจนต้องร่วงลงมาเหมือนเดิม

ปกติแล้ว ฉันชอบนอนบนเตียงชั้นสองเพราะได้รับอากาศปลอดโปร่งกว่านอนชั้นล่าง และฉันก็ไม่เคยประสบปัญหาในการปีนขึ้นเตียงมาก่อนเลย ฉันตั้งสติยืนมองเตียงชั้นสองอีกครั้งแล้วจึ่งมองเห็นว่าเตียงชั้นล่างนั้นจัดได้ว่าต่ำกว่าเตียงมาตรฐานทั่วไปและเตียงชั้นสองก็สูงเกินกว่าปลายคางของฉันเสียอีกถึงแม้จะเหยียบเตียงชั้นล่างเพื่อเป็นการดันตัวเองขึ้นไปฉันก็ยังต้องยกขาอีกสูงพอดูเพื่อให้ถึงขอบเตียงชั้นบน ซึ่งไม่มีอะไรให้ยึดเกาะเพื่อดึงตัวเองขึ้นไปเลยแม้แต่น้อย ใครหนอช่างออกแบบดีแท้

ฉันลากเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้อ่างล้างหน้ามาวางไว้ปลายเตียงเพื่อใช้เป็นพื้นแข็ง ๆ ในการถีบส่งตัวเองขึ้นไป ด้วยความง่วงงุนฉันจึงเผลอหลับไปก่อนเพื่อนคนอื่น ๆ จะกลับเข้าห้อง ในภวังค์ครึ่งฝันครึ่งจริง ฉันได้ยินเสียงเนลลี่บ่นพึมพำ

“อะไรกันนี่ ใครออกแบบเตียงนี้น่ะ สูงจะตาย ใครจะปีนขี้นไปได้ อ้าว แล้วยิ้มขึ้นไปได้ด้วยเหรอนี่ แหม...หลับไปแล้ว ถ้าไม่หลับจะถามสักหน่อยว่าขี้นไปได้ยังไง” เปลือกตาฉันหนักเกินกว่าจะลุกขึ้นชี้บอกให้เธอใช้เก้าอี้ เธอก็เป็นผู้หญิงแกร่งคนหนึ่ง คงช่วยตัวเองได้ในที่สุด

To be continued

ป.ล. ไปครั้งนี้ก็ไม่กล้าเอากล้องถ่ายรูปไปอยู่ดีค่ะ เพราะกลัวจะหาย กลางวันไม่มีคนเฝ้า Chicken shed หรือบ้านเล้าไก่ของพวกเรา เลยได้แต่ขโมยภาพของคนอื่นมาลงนะเนี่ย
ในภาพนะคะ คนหัวใส ๆ ที่ยืนอยู่คืออาหารย์ ชื่อ Clive ที่มักจะโดนกล่าวถึงบ่อยๆ ทั้งในบทความนี้และในนิยายเรื่อง "เก็บรักไว้ใต้ผืนดิน" แหะๆ อาจารย์แกเป็นคนน่ารักค่ะ

อ้างอิง: http://www.msfat.com/Projects/Barcombe_Roman_Villa/BV05_July_Diary.htm


ซ่อน...




ชอบเอางานเก่ามา รีไซเคิลลงตามที่ต่างๆ จริงๆ เลย แหะๆ



แต่เข้าใจว่าไม่เคยลงบทนี้ที่ไหนนอกจาก Webboard ของ tsuk ซึ่งล่มไปแล้ว และไม่มีใครกู้คืนกลับมาสานต่อ (เป็นผลให้กลอนที่แต่งไว้หลายสิบบทอันตรธานไปกับเวบที่ล่มด้วย คนแต่งน้ำตาแทบไหลพรากๆแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เลยคิดว่าหาเวบที่รวบรวมงานได้เป็นระบบระเบียบก็จะเอามารวมๆ กันให้หมด ในที่สุดก็เจอแล้ว...อา เสร็จฉันล่ะ Multiply)



จั่วหัวเอาไว้ว่า "ซ่อน"

เพราะอยู่ดีๆ วันหนึ่งก็ฉุกใจขึ้นมา ว่าคนเรา "ซ่อน" อะไรไว้บ้าง

ซ่อนไว้...โดยตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจ

สิ่งที่ซ่อนไว้โดยตั้งใจ เพราะเราไม่ต้องการให้คนอื่นรู้

แล้วสิ่งที่ซ่อนไว้โดยไม่ได้ตั้งใจล่ะ....

เป็นเพราะสัญชาตญาณของคนเราต้องการหนีความจริงหรือไม่อยากจะรับรู้สิ่งนั้นๆ เมื่อรู้ว่ามันจะย้อนมาทำร้ายจิตใจตัวเองหรือเปล่า



ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน...ว่าตัวเองซ่อนอะไรเอาไว้โดยไม่ตั้งใจบ้าง

เพราะถ้ารู้ก็คงไม่เรียกว่าซ่อน...

บางครั้งภาวะวิกฤต กลับเป็นตัวกระตุ้นให้สิ่งที่ซ่อนเอาไว้เผยออกมา

อาจจะเป็นสิ่งที่ซ่อนเอาไว้ในรูปของศักยภาพ

อาจจะเป็นความเห็นแก่ตัวหรือด้านมืดที่แฝงอยู่ในใจ

อาจจะเป็นความเสียสละแบบที่ไม่คาดว่าตัวเองจะทำได้



นับจากวันนี้...จะลองมองย้อนดูตัว แล้วค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่



Upon speaking,

Words can be distorted by minds.

In silence lies my true self.



ระหว่างที่เราพูด...

คำพูดอาจจะถูกบิดเบือนให้เป็นไปตามความต้องการของคนพูดและคนฟัง

ด้วยจิตที่ยังมีโลภะ โทสะ โมหะของปุถุชน



หากไม่พูด...

ให้จิตซึมซับความจริงจากต้นขั้ว

อาจจะได้รับสิ่งที่บิดเบือนน้อยกว่าการซึมซับเอาคำพูดซึ่งมักจะถูกบิดเบือนถึงสองครั้ง

จากคนพูด และคนฟัง

ตัวตนของเรา...ซ่อนอยู่ในความเงียบ



Upon seeing,

Illusions are provoked by the light.

In darkness lies the very truth.



มนุษย์...รับรู้ และเรียนรู้ด้วยการมองเช่นกัน

การมองเห็นเกิดจากแสงตกกระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าดวงตา

หากแสง...ก็อาจก่อให้เกิดการบิดเบือนของภาพที่ปรากฎ หรือที่เราเรียกว่าภาพลวงตา

ในความมืด...

เรามองไม่เห็นอะไร

แต่เราก็จะไม่ถูกหลอกลวงโดยกลของแสง

ฤๅความจริง...จะซ่อนอยู่ในความมืด



Upon loving,

All reasons are outdone by passions

In loneliness lies true self-awareness



เมื่ออยู่ในความรัก

ความมีเหตุผล...โดนกลืนกินโดยแรงปรารถนาอันยากจะต้านทาน

การอยู่ในความเหงา...ความเดียวดาย

อาจจะทำให้เรารู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง

หากในความทรมานนั้น เราก็ยังมีความเป็นตัวของตัวเองซ่อนอยู่

ความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่ถูกชี้นำ...โดยคำว่า 'รัก'



Upon smiling,

A deep pain is hidden inside

In tears lie the true feelings of mine.



เวลายิ้ม...

ความเจ็บปวดอาจซุกซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าที่ฉาบไว้ด้วยความสดใส

ความเหงา ความสับสนไม่แน่ใจ ความขุ่นข้องโกรธเคือง

และสิ่งที่คอยบั่นทอนจิตใจ

ถูกพับลงไปในหีบของความทรงจำ



เวลาร้องไห้...

นั่นแหละ

ความรู้สึกที่แท้จริงที่ถูกซ่อนไว้มานานแสนนานก็จะถูกเปิดเผยออกมา

เจ็บปวด...

แต่มันเป็นความรู้สึกที่แท้จริง

ที่ไม่ได้ซ่อนไว้ใต้รอยยิ้ม...อีกต่อไป



พล่ามมานานพอสมควรแก่เวลา ไปละล่ะค่ะ



ป.ล. ภาพประกอบไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย -__-" มันคือดอก 'ซ่อน'กลิ่น น่ะค่ะ เอามาจาก www.panmai.com/ Food/List_07.htm 






วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2549

ชีวิต (ไม่) ธรรมดาของนักขุด: Primtech ตอนที่ 2


Rating:★★★★★
Category:Other
26-09-03

วันนี้ตื่นขี้นด้วยอารมณ์ที่ไม่ปลอดโปร่งนัก เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนยังฝังใจ ริธูแสดงตนอย่างชัดแจ้งว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม...แต่ฉันไม่ใช่ ฉันไม่เคยคิดว่าจะเล่นบทเป็นนางเอกที่ต้องมีนางอิจฉาคอยรังควาน ทำตัวเป็นนางสาวแสนดีที่น่าสงสารยอมทนโดนโขกสับเพื่อให้ชนะใจเธอ แต่ครั้นจะให้ทำตัวเป็นนางเอกที่แข็งแกร่ง สู้ยิบตาในทุกรูปแบบ ก็เห็นว่าเสียเวลาเปล่าๆ

ถ้าไม่ต้องการจะเป็นเพื่อนกันก็พร้อมจะฉากหนีและไปสร้างมิตรกับคนที่ต้องการมิตรภาพจากฉันดีกว่า

“ยิ้ม เช้านี้จะลงกิจกรรมอะไรหรอ” ลอรี่ถามอย่างมีอัธยาศัย เลอมานกำลังก้ม ๆ เงย ๆลงชื่อบนแผ่นกระดาษจึงไม่ได้ทักทาย หากแต่ริธูพูดแทนทุกคนว่า “เราสามคนคิดว่าจะลงกิจกรรมตีเหล็กน่ะ เธอล่ะ จะลงอะไร”

ถ้าฉันบอกไปอีกว่าลงตีเหล็ก เธอก็คงจะอุทาน “ต๊ายเลียนแบบ” หรือไม่ก็ “คิดอะไรไม่ออกแล้วหรือเธอ มาตามพวกฉันน่ะ” สายตาเธอมันฟ้องอย่างนั้น เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนไว้ว่า “long walk ” ก็เลยตอบส่ง ๆไป “กะว่าจะไป Long walk น่ะ ” สาวจากเมืองพุทธศาสนาในชมพูทวีป ผู้ที่ฉันยังมองไม่เห็นว่าจะมีธรรมะในใจที่ตรงไหนตอบกลับมา

“ต๊าย เลือกอะไรง่าย ๆ นะ” น้ำเสียงดูถูกสุดพิกัด อดทนเอาไว้..... เข้มแข็ง....ให้อภัย ...แผ่เมตตาให้สัตว์โลก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม พุท-โธ ฉันพยายามข่มใจเอาไว้สุดความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถตอบอะไรที่ดีไปกว่ายิ้มให้อย่างฝืน ๆ แค่น ๆ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าอยากจะกรีดร้องใส่หน้าเธอแล้วตะโกนดัง ๆ ว่า “ก็เพราะเธอนั่นแหละ ฉันถึงได้อยากไปให้พ้นไงล่ะ ”

ขณะที่เริ่มเตรียมอาหารไปทานยามเที่ยง ซึ่งก็ได้แก่แซนด์วิชทาแยมราคาถูก และน้ำต้มกรอกใส่ขวดใจฉันก็เริ่มเย็นลง ถ้าทนไม่ได้กับเรื่องจุกจิกกวนใจเพียงเท่านี้ ฉันจะผ่านหนทางอีกยาวไกลจนกว่าจะจบปริญญาโทได้อย่างไร คิดแล้วก็เดินไปร่วมกลุ่มกับคนที่จะเดินทางไกลด้วยกัน ด้วยความซุ่มซ่ามส่วนตัวทำให้เดินชนกับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินอยู่ข้างหน้า

“โอ๊ะขอโทษค่ะ” ชายคนนั้นหน้าตาดูเหมือนชาวเอเชียยังไงบอกไม่ถูก แต่สำเนียงของเขาฟังดูราวกับเจ้าถิ่น
“ไม่เป็นไรฮะ ผมเข้าใจ ผมขวางทางคุณด้วยล่ะ คุณไม่ผิดหรอก” ไม่ต้องตอบมายาวอย่างนั้นก็ได้ รู้แล้วว่าไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร
“เออ คุณมาจากประเทศไหนในเอเชียรึเปล่า” ฉันรีบถามไปอย่างใคร่รู้
“เปล่าฮะ ผมน่ะลูกครึ่งไทย – สวีเดน แต่มาอยู่ที่นี่นานแล้ว”
“เฮ้ ฉันก็มาจากเมืองไทยเหมือนกันนะ” ยังไม่ทันพูดมากกว่านี้อาจารย์ก็เรียกรวมกลุ่ม

“เอ้า ๆ มารวมกันที่นี่ก่อน เห็นภูเขาข้างหน้าโน่นไหม” สุดปลายนิ้วที่ชี้คือภูเขาที่เห็นมีขนาดเล็กแค่ปลายก้อย “เราจะเดินไปที่นั่นกัน ไปแล้วกลับนะ ก็ราว ๆ 20 ไมล์เห็นจะได้ ใครจะถอนตัวก็ยังทันนะ”

สายไปเสียแล้ว เดินออกมาถึงปากทางจะให้เดินกลับก็ขายหน้าแย่ จะยอมได้อย่างไร ก็เลยจำต้องเลยตามเลย “เราไปกันทั้งวันนะ ไม่ใช่แค่ครึ่งวัน” อ้าว มิน่าล่ะถึงให้ห่ออาหารกลางวันมาด้วย คิดว่าจะเป็นงานง่าย ๆ สบาย ๆ สงสัยจะไม่ใช่เรื่องเบา ๆ เสียแล้ว

ผู้นำเดินทางคือ Dr. Peter Drewett และ Dr. Sue Hamilton รายแรกมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการโบราณคดีในฐานะผู้เชี่ยวชาญวิธีการในการขุดค้น เขียนหนังสือมาแล้วหลายเล่ม รายหลังไม่เคยได้ยินชื่อเป็นพิเศษแต่ดูท่าทางเป็นหญิงเหล็กที่หายใจเข้าและออกเป็นPhenomenology ซึ่งเป็นวิชาที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของภูมิศาสตร์และมนุษย์ รวมถึงทัศนคติของมนุษย์ที่มีต่อภูมิศาสตร์ ฉันเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้ซาบซึ้งถึงความหมายจริง ๆ จัง ๆ เท่าไรนัก หรือฉันจะเป็นนักโบราณคดีที่ดีไม่ได้

“พวกเธอต้องระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะด้วยปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือด้วยน้ำมือมนุษย์ สิ่งที่เธอเห็นทุกวันนี้อาจจะไม่ใช่สภาพสิ่งแวดล้อมในอดีตเลยก็ได้” อาจารย์ซูกล่าวด้วยแววตาฝัน ๆ เพ้อ ๆ มองดูเหมือนพวกศาสตราจารย์สติเฟื่องทั่วไป

เราหยุดที่โบสถ์เล็ก ๆ ริมทาง ในหมู่บ้านห่างไกลผู้คน “ดูโบสถ์หลังนี้ซิ เราจะบรรยายได้ว่าอย่างไร” ทุกคนนิ่งเงียบ ฉันยิ่งสับสนในจิตใจมากขึ้น
“นี่ฉันทำอะไรอยู่นี่”
ฉันไม่รู้สักนิดว่าจะเริ่มต้นบรรยายอย่างไร ไม่ใช่ว่าดูไม่ออกว่าโบสถ์มีลักษณะอย่างใด เพียงแต่ว่าคำถามมันกว้างเสียจนฉันไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เพื่อน ๆ ก็คงตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันเพราะไม่มีใครเปิดปากพูด

“เริ่มจากขนาด รูปร่าง และวัตถุดิบก่อน” อาจารย์ซู แนะแนวทางให้
“ก่ออิฐถือปูน เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า”
“ใช้ฟลินต์เป็นวัตถุดิบหลัก”
“มีไม้ที่วงกบประตูด้วย” เริ่มมีเสียงตอบดังออกมา

วัตถุดิบที่ใช้ในการสร้างโบสถ์ในอังกฤษ มักจะเป็นหินที่ภายนอกมีสีเทาขุ่น แต่ถ้ากระเทาะออกมาแล้วจะพบว่า ข้างในเป็นสีดำมันวาวที่เรียกว่า ฟลินต์ ฉันดูออกอยู่บ้างว่าหินแบบไหนจัดเป็นฟลินต์ แต่คำถามต่อมาทำให้ฉันพบว่าแค่นั้น ยังไม่เพียงพอสำหรับการเป็นนักโบราณคดี

“แล้วฟลินต์ที่ใช้ทำอาคารหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยเดียวกันหรือเปล่า” ฉันขอยอมรับว่าดูไม่ออกจริง ๆ “ดูตรงนั่นสิ เห็นไหมรอบ ๆ ฟลินต์แต่ละก้อนจะมีรอยขีดอยู่รอบ ๆ ดูคล้าย ๆ ตาราง ดูสิว่าตรงส่วนนั้น กับส่วนนั้น ความถี่ของการฝังฟลินต์เอาไว้ในผนังไม่เท่ากัน ส่วนนั้นจะคล้ายกันส่วนบนโน้น เดาได้ว่าโบสถ์นี้ต้องมีการบูรณะอยู่หลายครั้ง”

เราเดินชมรอบ ๆ โบสถ์ และเดินเข้าไปชมภายใน อาจารย์ทั้งสองได้เปิดมุมมองและวิธีคิดในแบบที่ฉันไม่เคยนึกมาก่อน ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะยังไม่ชำนาญวิธีคิดแบบนี้เท่าไรนัก แต่ฉันคิดว่าการฝึกฝน และ ตั้งใจศึกษาอยู่เสมอคงพอจะช่วยฉันได้บ้าง แม้จะท้อใจนิด ๆ แต่ก็พยายามปลุกปลอบตัวเองสุดกำลัง

เส้นทาง 20 ไมล์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบโดยตลอด เราเดินผ่านถนนลาดยาง ทางเดินเล็ก ๆ ที่ตัดผ่านทุ่งหญ้า ทุ่งหญ้าที่ไม่มีใครบุกมาก่อน และ ทางเดินขึ้นเนินเขา ด้วยความที่ฉันเดินมากับเพื่อนผู้หญิงที่มาจากสาธารณรัฐเชคมาตลอด เมื่อต้องป่ายปีนขี้นที่สูงแล้วเธอเดินรั้งท้าย ฉันก็ต้องหยุดรอเป็นเพื่อนเธอ

“ไหวไหม มาเรียน่า”
“ไม่ไหวแล้ว จะตายแล้ว”
“พักสักครู่ก็ได้” ฉันพูดพลางมองไกลลงไปข้างล่าง มองเห็นร่างสองร่างเดินอยู่ลิบ ๆ พอมองออกว่าเป็น เจสัน เพื่อนชาวอังกฤษคนหนึ่ง และ มิเกล เพื่อนลูกครึ่งไทย สวีเดนที่เจอกันตอนเช้า ยังโชคดีที่ไม่ได้เป็นคู่สุดท้ายในกลุ่ม

ที่จุดสูงสุดของเนินเขาเป็นหลุมฝังศพของชุมชนโบราณสมัยหินใหม่ และ สมัยสำริด ถ้าอาจารย์ทั้งสองไม่บอก ฉันก็คงก็ดูไม่ออก มองเห็นเป็นแค่เนินดินเล็ก ๆ กระจาย ๆ กันออกไป ทะเลสีเงินที่สะท้อนแดดทองยามบ่ายออกไปไกลลิบ ๆ สิ่งนั้นต่างหากที่ดึงดูดความสนใจของฉันไปเสียเป็นส่วนมาก ถ้าไม่ติดที่ว่าฉันทั้งเหนื่อย ทั้งร้อน ทั้งคันยิบ ๆ ตามลำตัวเพราะอาจจะแพ้ดอกหญ้าหรือเกสรดอกไม้ ฉันก็คงร่ายบทกลอนออกมาสักบทแล้ว เพราะการเป็นกวี ก็คือความฝันอันสูงสุดของฉันอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน แต่จนบัดนี้ ฉันก็ยังไม่ได้เข้าใกล้ความฝันเลยแม้แต่น้อย ยังห่างไกลจากคำว่ากวีมากนัก ฉันคงเป็นได้แต่เพียง “คนเขียนกลอน” อยู่เรื่อยไป แต่ฉันก็พอใจแล้ว ที่สิ่งที่อัดอยู่ลึก ๆ ข้างในมีหนทางระบายออก และระบายออกในทางที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อใคร

“Sussex ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษเป็นแนวหินปูน หน้าดินที่อยู่ในบริเวณนั้นจะบางกว่าหน้าดินปกติ ทำให้ต้นไม้ขนาดใหญ่ไม่สามารถเจริญงอกงามได้ พืชพันธุ์ในเขตเนินเขาหินปูนนี้จึงเป็นประเภทหญ้าสั้น ๆ หรือดอกเฮเตอร์สีม่วงที่ขึ้นได้ดีในสภาพดินเป็นกรด และ กอร์ซ ดอกไม้สีเหลืองที่งอกได้ดีในบริเวณที่ดินบางเช่นกัน”

แว่วนึกไปถึงคำบรรยายในห้องเรียนวิชาภูมิศาสตร์เมื่อสมัยเรียน A-level ที่เทียบเท่ากับชั้นมัธยมปลายของไทยก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย คงได้ใช้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย มิเสียแรงที่สู้ทนกัดฟันเรียนมาจนจบ ต้องท่องหนังสือ ต้องรวบรวมความคิด ความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์มากมายรวมทั้งความสามารถทางภาษาด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเด็กสายวิทย์เก่าอย่างฉัน

มองทิวทัศน์จากที่สูงนี่ช่างสวยงามดีเหลือเกิน เห็นฝูงแกะอยู่เป็นจุดขาว ๆ อยู่ข้างล่าง ที่อังกฤษมักจะมีการล้อมรั้วหินเพื่อป้องกันไม่ให้ฝูงสัตว์หลบหนีจากบริเวณทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของเจ้าของ ได้ยินเสียงอาจารย์ดังมาแว่ว ๆ ว่าการล้อมเขตกำแพงแบบยุคโลหะ และ แบบยุโรปยุคกลางก็แตกต่างกัน และร่อยรอยเก่า ๆ ยังสามารถมองเห็นได้จากภาพถ่ายทางอากาศ นั่งคิดอะไรเล่นอยู่เพลิน ๆ มิเกลก็เดินมาทักทาย

“บ้านยิ้มอยู่ที่ไหนนะ แม่ผมบ้านอยู่ลพบุรี” แล้วก็หย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ หลังจากนั้นเรื่องราวของเมืองไทยทั้งหลายทั้งแหล่ก็หลั่งไหลออกจากปากฉัน จนกระทั่งถึงเวลาเดินกลับ

“รีบ ๆ หน่อยนะนักเรียน เดี๋ยวจะไม่ทันอาหารเย็น” โธ่เอ๋ย ยังได้นั่งพักเหนื่อยไม่ทันไร เหงื่อยังไม่ทันแห้งก็ต้องเดินทางต่ออีกแล้วหรือ ทั้งวันนี้จะได้หยุดนั่งพักจริง ๆ ก็แค่ตอนทานอาหารเที่ยงเป็นเวลาไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้นเอง

ตลอดเวลาที่เดินกลับเราเดินคุยกับมาเรียน่า มิเกล และเจสันไปตลอดทาง ไม่เสียหายหรอก ที่อุตส่าห์หนีสังคมมาเดินทางไกลกับคณะนี้ อย่างน้อยฉันก็ได้เพื่อนมาเพิ่มอีกหลายคน แต่เพราะคุยเพลินทำให้กลุ่มขอพวกเรารั้งท้าย และห่างออกจากกลุ่มใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเดินเลี้ยวโค้งกลุ่มนักเรียนด้านหน้าทั้งกลุ่มก็อันตรธานหายไป พวกเราสุดจะเดาได้ว่าหมู่คณะเดินไปทางไหนเพราะกว่าจะเดินมาถึงทางแยกนั้น เพื่อน ๆ และอาจารย์ก็เดินหายลับไปแล้ว ทิ้งให้พวกเรายืนงง ๆ กับทางสามแยกบริเวณวงเวียนที่ว่างเหล่าไร้ผู้คน เดินไร้ทิศทางกันอยู่หลายนาทีจนในที่สุดต้องยินยอมกดกริ่งบ้านคนข้างทางเพื่อถามทางกลับค่ายพักแรม อีกไม่เกิน 100 เมตรก็จะเดินถึงที่หมายอยู่แล้ว ดอกเตอร์ ปีเตอร์ ดริววิด ก็ขับรถกลับมา

“ตามหาพวกเธอแทบแย่” สีหน้าอาจารย์แสดงอาการโล่งใจ “คิดว่าหายตัวไปเสียแล้ว นี่หลงทางกันได้อย่างไร ไม่เคยมีคนหลงมาก่อนเลยนะ” แน่นอน พวกเราไม่ชอบทำอะไรซ้ำแบบใคร เราจะได้เป็นประวัติศาสตร์ของคณะนี้กันอย่างไรเล่า

เย็นวันนั้นจบลงด้วยความเหนื่อย ทานอาหารเย็นแล้วฉันก็หมดแรงจะทำอะไรต่อ แต่อย่างน้อยเวลาหน้ากองไฟที่ ริธู ยึดตัวลอรี่ และเลอมานไว้คุยด้วยนั้น ฉันก็เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างมิตรภาพกับเพื่อนใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนฝูงเพิ่มขึ้นกว่าเดิมไม่ว่าจะเป็น

แอนโทนี่ หนุ่มแสกนดิเนเวียผู้เคยผ่านการเกณฑ์ทหารมาแล้ว
พอล หนุ่มอังกฤษผมทองผู้ตั้งใจเรียนและพลาดการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง oxford เพราะทำเกรดไม่ถึงที่เขากำหนดไว้ (ไม่เหมือนยิ้ม -_-" โดน Cambridge reject มาแต่สัมภาษณ์เลย)

คาร่า สาวผมทองผู้พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม
เนลลี่ สาวญี่ปุ่นที่โตมาในอเมริกา และคนอื่นอีกมากมาย

“พวกเราต้องเป็นกลุ่มที่ปฏิเสธสังคมมากที่สุดแน่ ๆ เลยล่ะ เรามัวแต่คุยกันเองอยู่อย่างนี้น่ะ” ริธูเอ่ยขี้นมาลอย ๆ แต่หันไปมองสบตากับลอรี่และ เลอมาน ฉันก็เป็นเพียงส่วนเกินอีกตามเคย“เราไม่ค่อยรู้จักเพื่อน ๆ คนอื่นเลยนะ” ฉันซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ แอบได้ยินก็เลยยิ้มออกมานิดหนึ่งอย่างไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกแบบใดดี เพราะฉันค่อนข้างมั่นใจว่าฉันรู้จักกับเพื่อนๆ ในคณะนี้มากกว่าที่กลุ่มสาว สาว สาวรู้จักแน่นอน

ขอบคุณนะริธู ที่เปิดโอกาสให้ฉันมีเพื่อนมากขึ้น แต่ลึก ๆ ลงไปแล้วก็รู้สึกเสียใจกับพวกเธอเหล่านั้นด้วย



27-28 .09.03

“วันนี้จะไม่ทำอะไรที่เหนื่อยยากลำบากเหมือนเมื่อวานอีกแล้ว” ฉันบอกกับตัวเองไว้อย่างนั้น และเพื่อทำตามปณิธานที่ตั้งไว้ จึงลงทะเบียนทำกิจกรรมที่ดูผู้หญิง ผู้หญิง ซึ่งก็คืองานเบาๆ แต่อาศัยความประณีตแทน เช่น งานทอผ้าและ เครื่องปั้นดินเผา

เนลลี่สาวญี่ปุ่นเธอก็ลงกลุ่มทอผ้าในตอนเช้าเช่นกัน “นี่แหละที่ฉันชอบทำ” เธอแอบกระซิบบอก “ไม่ใช่ว่าอยากทำอะไรเบา ๆนะ แต่ดูสิ เดี๋ยวตอนท้ายชั่วโมงเขาต้องให้เราลองทอผ้าผืนเล็ก ๆ แล้วเราก็จะได้ของที่ระลึกกลับบ้านไงล่ะ ไหน ๆ เราก็จ่ายเงินค่าเข้าค่ายมา 30 กว่าปอนด์ แถมยังเงินก้อนส่วนที่เราสมควรจะเบิกไปใช้ในภาคปฏิบัติปลายปีตั้งอีก 72 ปอนด์ เราก็ต้องเอาคืนให้ได้มากที่สุดสิ”

เออ จริงของเธอแฮะ

“เดี๋ยวบ่ายนี้ฉันจะลงกิจกรรมนี้อีก ตอนเช้าทำเข็มขัด ตอนเย็นทำผ้าโพกหัว ดีจังเลย ” ตามใจก็แล้วกัน บ่ายนี้ฉันขอทำอะไรอย่างอื่นดีกว่า

การทอผ้าของคนในสมัยก่อนใช้อุปกรณ์ง่าย ๆ มีทั้งเครื่องทอผ้าใหญ่ ๆ สำหรับทอผ้าผืนใหญ่ ลักษณะดูเป็นเหมือนกรอบสี่เหลี่ยม มีเส้นเชือกแบ่งออกเป็น 2 ชุดแขวนอยู่ และมีตุ้มถ่วงน้ำหนัก หรือที่ชาวไทยเรียกว่า แว มัดอยู่ด้านล่างเชือกแต่ละกลุ่มที่ทำเป็นเส้นแนวตั้ง โดยมีอุปกรณ์ไม้อีกชิ้นหนึ่งแยกกลุ่มเชือกทั้งสองชุดนี้ออกจากกัน ดูคล้าย ๆ กับกี่ทอผ้าของไทยอยู่มาก แต่เป็นกี่แบบที่ยังไม่พัฒนาเต็มขั้น ฉันไม่ได้ลองทอผ้าด้วยเครื่องทอแบบนี้ เพราะฉันเคยลองทอด้วยกี่ของยายมาก่อน คิดว่าน่าจะใช้หลักเดียวกัน ถึงแม้วิธีจะแตกต่างกันบ้างก็ตาม

แล้วเวลาที่เนลลี่รอคอยก็มาถึง อาจารย์ส่งอุปกรณ์ทอผ้าเล็ก ๆ มาให้คนละอัน แล้วให้เราเลือกกลุ่มด้ายสีที่ต้องการแล้วเอามาทอเป็นแถบผ้าโพกหัว หรือ คาดเอวก็ได้แล้วแต่ชอบใจ ฉันเลือกสีขาว เขียว ชมพู เพราะ สีชมพูอมส้มดูหวานน่ารัก ใจจริงแล้วฉันอยากได้สีฟ้าแบบไล่โทนสีมากกว่า แต่หาสีที่ต้องการได้ไม่ครบก็เลยเปลี่ยนใจ

“ทำอะไรน่ะ” เด็กหญิงอังกฤษผมทองน่ารักก้มลงมาทักทาย
“อ๋อ พี่ว่าจะถักผ้าคาดผมจ้ะ ถ้าทำได้นะ ไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อยน่ะสิ” หนูน้อยเอียงคอมองอย่างสนใจ
“ได้สิคะ พี่ทอเร็วออก ดูสิได้ยาวคืบหนึ่งแล้ว คนอื่นยังได้ 2 นิ้วอยู่เลย” จริงด้วยสินะ เราก็สังเกตเห็นว่าเราไม่ได้ดึงเชือกให้แน่นเท่าที่ควรแถบผ้าที่เราได้จึงมีขนาดใหญ่ และยาวกว่าของคนอื่น แต่มันก็เป็นการย้ำให้เห็นถึงลวดลายผ้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดูเก๋ไปอีกแบบ เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ อีกคนเข้ามาชวนสนทนาต่ออย่างไม่ยอมปล่อยให้ฉันได้เงียบเสียง ไม่เกิน 20 นาทีฉันก็ได้ผ้าโพกผมมาหนึ่งผืนลวดลายตาข่ายเรียบ ๆ แต่สวยคลาสสิค (ชมตัวเองก็ได้วุ้ย....) เวลายังเหลือเฟือก็เลยจึงตัดเชือกมาอีกชุด พร้อมถักผ้าคาดผมอีกผืนโดยใช้เทคนิคเดียวกับที่สาวไทยใช้ถัก Friendship bracelet ให้หนุ่มๆ แต่เป็นขนาดยักษ์ ลวดลายเหมือนเป็นรูปตัววีดูแปลกตาสำหรับคนที่นี่ จนอาจารย์มาหยุดดูด้วยความสนใจ

“สวยดีนี่จ๊ะ นี่เธอไม่ได้ใช้อุปกรณ์ทอผ้าเลยใช่ไหม”
“อ๋อไม่ใช้หรอกค่ะ พอดีใช้วิธีถักเอา”
“ดูเก๋ดีมากจ้ะ เอ๊ะ พึ่งเห็นว่าลวดลายเป็นรูปตัววีด้วย เรียนมาจากที่ไหนนี่” การถักสายสร้อยข้อมือแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดามากในประเทศไทย หรือในแถบภูมิภาคเอเชีย แต่ว่าเรื่องละเอียดอ่อนแบบตะวันออกนี้ไม่ใช่สิ่งธรรมดาสำหรับชาวตะวันตก ฉันจึงตกเป็นเป้าสายตาไปโดยปริยาย
“เรียนมาจากเพื่อนที่เมืองไทยค่ะ สอนต่อ ๆ กันมา” ฉันแอบคิดในใจว่า เอาไว้วันหลังจะแสดงฝีมือสลักผักให้ดูสักรอบ ถึงแม้ว่าฉันจะทำลวดลายวิจิตรพิสดาร หรือแกะเป็นอัตถชีวประวัติแบบในเรื่องสังข์ทองไม่ได้ แต่ตอนแกะสลักส่งครูตอนประถม ก็ไม่เคยได้ต่ำกว่า 9 ส่วน 10 ซักทีสิน่า

อะฮ้า...จับจุดได้แล้วว่าจะเอาอะไรมาสร้างมิตรภาพและความประทับใจ ความเป็นแม่ศรีเรือนนั่นเอง...แย่หน่อย ที่เป็นสิ่งที่ฉันไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ รู้อย่างนี้ฝึกเอาไว้บ้างก็คงจะดี นอกจากจะได้เอาไว้ปรนนิบัติใครสักคนในอนาคตแล้วยังสามารถเอามาเป็นความสามารถพิเศษในต่างแดนได้อีก

เด็กน้อยผมทองยังเดินวน ๆ เวียน ๆ อยู่ใกล้ตัว แม้กระทั่งตอนเราเดินมานั่งใกล้ ๆ กับลอรี่ เลอมาน และ ริธูแล้ว “พี่ไม่เอาเชือกมาโพกหัวหรอ อุตส่าห์ถักตั้งนาน เอามาสิ เดี๋ยวผูกให้” แล้วหนูน้อยก็จัดการเอาเชือกมาคาดหน้าผากให้ฉันตามแบบอินเดียนแดง เลอมานมองมาด้วยสายตาเอ็นดู ริธูเหลือบตามองแล้วเมินหน้าหนีไปอย่างไม่สนใจ

เมื่อเราไม่ยึดติดกับสิ่งใด เราก็จะพบแต่สิ่งดี ๆ คำกล่าวนี้เป็นจริงเสียด้วย ถ้าฉันยังยึดมั่นจะเอาชนะเอาตัวเข้าไปแข่งขันกับริธูก็คงจะรุ่มร้อนใจและเฝ้าหาวิธีดึงเพื่อนมาอยู่ข้างตัวเองให้ได้จนหลงลืมสร้างมิตรภาพกับคนอื่น ๆ และคงไม่มีโอกาสได้รับความอบอุ่นจากเพื่อนร่วมค่ายตัวเล็ก ตัวน้อยอย่างนี้

คืนวันสุดท้ายของค่ายมักจะเป็นคืนที่มีการฉลอง ในที่สุดความจริงก็เปิดเผยว่าถุงขยะพลาสติกสีดำที่ถูกสั่งให้เอามานั้น ความจริงแล้ว...รุ่นพี่ต้องการให้นำมาแต่งเป็นเครื่องแต่งกายแบบโรมันต่างหาก ซึ่งก็คือผ้าพาดบ่าพันตัว แล้วรัดตรงเอวเหมือนเข็มขัด วันนี้เรามีงานปาร์ตี้บาบีคิวแบบโรมันกัน นักศีกษาปี 1 ได้รับเกียรติให้นั่งโต๊ะ ส่วนพี่ๆ ปี2 ที่เป็นสมาชิก SAS จะบริการเอง และสิ่งที่ทุกคนเฝ้ารอก็มาถึง อาหารมื้อนี้พวกสวัสดิการลงทุนนั่งรถเข้าไปซื้อเบอร์เกอร์แผ่นและไส้กรอกหมูจากในเมืองเพื่อให้มื้อสุดท้ายมีเนื้อเป็นส่วนประกอบของอาหาร

“เข้าไปดูที่โต๊ะได้เลยนะคะ ว่าใครนั่งที่ไหน พี่เอารูปน้อง ๆ วางไว้บนโต๊ะอาหารแต่ละที่แล้ว” ฉันเดินวนหาที่นั่งของตัวเองอยู่พักใหญ่แต่ก็หาไม่เจอ จึงต้องติดต่อสอบถามพวกคณะกรรมการ SAS จึงทราบว่า ที่นั่งของฉันตกหล่นไป

เอาอีกแล้วเรอะ...ทำไมต้องเป็นฉันด้วย แอบท้อใจนิด ๆ ตั้งแต่มาถึงค่ายนี้ฉันยังไม่เคยได้อย่างใจเลยสักครั้ง ต้องมีอะไรมาให้ทดสอบความมั่นคงของจิตใจได้ทุกทีสิน่า

“นั่งตรงหัวโต๊ะนี่ก็แล้วกันนะคะ ขอโทษจริง ๆ ค่ะ พอดีนักเรียนมีหลายคน พี่เลยสับสน”

ฉันก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร เพราะอยากให้คืนสุดท้ายของที่นี่เป็นคืนที่มีความสุข เพื่อนๆ ที่นั่งล้อมรอบฉันในครั้งนี้เป็นเพื่อนใหม่เสียส่วนมาก จึงได้มีโอกาสสร้างมิตรเพิ่มขึ้นอีก ใกล้ๆ ตัวมีเศษเชือกหล่นอยู่ ฉันเก็บขึ้นมาแล้วย้อนคิดไปถึงมายากลเชือก ที่พ่อเคยสอนเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว

“แอนโทนี่ ดูนี่สิ ทำได้ไหม” กลง่าย ๆ แต่สร้างความทึ่งให้พ่อหนุ่มจาก แสกนดิเนเวียมากมายเลยทีเดียว คนหลายๆคนเริ่มเข้ามาดู “กลเส้นเชือก” ของฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะดึงดูดคนด้วยวิธีนี้ ฉันเพียงแต่อยากชวนแอนโทนี่หาอะไรเล่นเพื่อฆ่าเวลา ผลพลอยได้เกินคุ้มจริง ๆ

ตกดึกสมาชิกในเต๊นท์รวมหายไปมากกว่าครึ่ง ตอนนั้นฉันนั่งคุยอยู่กับ คลาร่า สาวผู้มั่นใจอยู่เสมอ
“คนหายไปไหนหมดน่ะ คลาร่า เงียบจัง” คลาร่ามองหน้าฉันด้วยสายตาที่อ่านได้ว่า “เธอนี่ ช่างไร้เดียงสาเสยจริง” แต่เธอก็โน้มตัวลงมากระซิบว่า “ในเต็นท์นี่มันมืดใช่ไหม” “ใช่” ฉันตอบอย่าง งง ๆ “ในความมืดน่ะ จะทำอะไรก็ได้ไม่มีใครเห็นหรอก เข้าใจหรือยัง” นัยน์ตาคลาร่าฉายแววเจ้าเล่ห์ ฉันทำได้เพียงผงกหัว เพราะปากยังอ้าค้างอยู่ ในใจก็คิด “จริงหรือ ในเต๊นท์เลยหรือ” คลาร่าเลยเสริมต่อ “เมื่อวาน ทอม ประธาน SAS ก็ควงสาวเข้าเต๊นท์ไปตั้ง 4 คน อ้าวไม่รู้อะไรเลยหรือ” ฉันลืมคิดไปว่าฉันกำลังอยู่ในสังคมที่เปิดกว้างสำหรับเรื่องเหล่านี้ ความอิสระ และ สิ่งมึนเมา ทั้งคู่ล้วนเป็นสิ่งล่อใจที่มีประสิทธิภาพสูง คงจะต้องคอยบอกตัวเอง คอยเตือนตัวเองให้มีสติอยู่เสมอ ไม่ด่วนตัดสินใจทำอะไรด้วยฤทธิ์เครื่องดื่มอัลกอฮอล์ หรือ ฤทธิ์แรงอารมณ์ก่อนที่จะต้องเสียใจในภายหลัง

12.00 นาฬิกา 28/10/03

เต๊นท์หลากสีที่เรียงรายอยู่บนสนามหญ้าเขียวก็เป็นเพียงอดีต อีกไม่นานนักรถโดยสารก็จะมารับเหล่านักศึกษากลับมหาวิทยาลัย ซึ่งหลังจากนั้นแต่ละคนก็คงจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปในที่สุด

ฉันนั่งพิงกองสัมภาระของตัวเองบนสนามหญ้าด้วยความอ่อนเพลีย 3-4 วันที่ต้องตากแดด และ ขาดอาหารโปรตีนทำให้ฉันหมดความกระตือรือร้นไปอักโข คันตัวยิบๆ เพราะไม่ได้อาบน้ำเลยตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ในเมื่อไม่มีห้องน้ำให้ จะลงอาบในสระบัวก็กระไรอยู่

นับแต่วันนี้ไปฉันจะฝึกฝนตัวเองให้มองโลกในมุมของนักโบราณคดีอยู่เสมอ ๆ เป็นการสร้างทักษะโดยการปฏิบัติจริง ฉันอาจจะเริ่มต้นได้ไม่สวยงามเท่าไรนัก แต่มันก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เส้นทางสายนี้ยังอีกยาวไกล แม้ฉันจะเริ่มก้าวแรกได้อย่างไม่มั่นคงและสง่างามนัก แต่ฉันก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังใจที่จะก้าวต่อไปบนทางสายนี้ ทางที่ฉันเลือกเดิน

ป.ล. ภาพประกอบเอามาจาก http://mikopi.image.pbase.com/u23/richday/small นะคะ พอดีตอนไปไม่ได้เอากล้องไป ต้องนอนเต๊นท์ กลัวจะหายง่ะ บริเวณกางเต็นท์อยู่ถัดไปทางซ้ายมือของในรูป เป็นสนามหญ้าเขียวๆ สวยงามน่าอยู่ (แต่ตอนนั้นแอบคิดถึงบ้าน)


วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2549

เรื่องของแสง...


แสงสีต่างๆ กันก็ให้อารมณ์ต่าง ๆ กันไปนะคะ...บางทีจ้องมองดวงอาทิตย์ลดต่ำลงไปเรื่อยๆ จนฟ้าเริ่มเป็นสีฟ้าเข้ม...น้ำเงินแก่..ม่วง จนถึงมืดค่ำ ก็ให้ความเพลิดเพลินมากเหมือนกัน

ปล่อยใจให้สงบ อยู่ในห้วงความคิดของตัวเองเงียบๆ แค่มองแสงที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปเฉย ๆ ก็บ่งบอกถึงสัจธรรมได้หลายๆ ประการ



Beneath the last gleams of daylight,

I wish I had someone to hold me tight,

Sadly there is no one here but me,

That is what it’s really meant to be

ปกติยามเย็น...จะถูกโยงไว้กับอารมณ์เศร้า...แต่ยิ้มว่าบางทีมันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบเงียบๆได้เหมือนกันนะ ส่วนความรู้สึกที่สัมผัสได้บ่อยที่สุดเวลามองดวงอาทิตย์ยามสนธยา...ก็คงเป็นความเหงานั่นเอง ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกเสียดาย ที่ดวงตาแห่งยามกลางวัน กำลังจะลับหายไป



Beneath the burning afternoon light,

The only eye of the day melts down my might,

So lonesome, like getting lost in the crowd.

Would you help me? Or would you let me drown?



ท่ามกลางแสงแดดร้อนแรงของยามบ่าย น้อยคนคงจะรู้สึกเดียวดาย เนื่องเพราะความสว่างและไอร้อน แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ...คนทุกคนย่อมมีช่วงที่จิตใจอ่อนแอ และในยามที่จิตใจตกต่ำที่สุดนี่เอง ต่อให้อยู่กลางฝูงชนและแสงแดดจ้า ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคล้ายกับหลงทาง...รู้สึกเหมือนถูกดึงดูดลงไปในสายน้ำวนแห่งความเหงา เวลาที่เห็นใครสักคนคนเดินเข้ามาอยู่ใกล้ๆก็อาจจะเกิดความรู้สึกอยากจะถามไปว่า "จะช่วยดึงเราออกไปจากที่นี่ได้ไหม..."  ความหวังอาจจะไม่มีหรือมีน้อยนิด แต่ถ้าไม่ถาม...เราก็คงจะจมหายไปกับกระแสแห่งความอ้างว้างจนหาทางออกไม่ได้





Beneath the dimming light of the night,

I wish there was a flame glowing inside,

To warm me up and give me cheers,

But all that I have is drops of tears….



เมื่อแสงอาทิตย์ลับหายไปแล้ว...ความเย็นของอากาศก็เข้ามาแทนที่ ลมอุ่นๆของยามบ่ายก็อาจกลายเป็นลมที่เย็นบาดผิว แสงสีสุดท้ายของวันค่อยๆจางลง ความเหงา โดดเดี่ยว ที่ต้องเผชิญมาทั้งวัน อาจจะทำให้รู้สึกฮึกเหิม...อยากลุกขึ้นต่อสู้กับมันบ้าง

เมื่อนั้น...ความเข้มแข็งที่ยังเหลืออยู่ ก็เป็นเหมือนเปลวไฟดวงเล็กๆ แต่ให้ความอบอุ่นกับหัวใจ (ที่อ้างว้าง..ดังเดิม)

เหมือนจะหลอกตัวเองได้สักพักใหญ่...ว่าเราก็เป็น Independent woman อยู่ได้ด้วยตัวเองและมีความสุขกับปัจจุบัน แต่เมื่อลุกขึ้นจากจุดที่นั่งมองดวงอาทิตย์เพื่อเตรียมที่จะเดินกลับที่พักก็จะเริ่มระลึกได้....

ยังไงๆ ก็ต้องอยู่คนเดียวเหมือนเดิม...
ความเหงาก็ถูกพับเก็บไว้ที่เดิม
ชีวิต...ต้องก้าวต่อไป
แล้ววันหน้า...ค่อยกลับมาเหงาใหม่


วันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2549

นิราศลอนดอน 2001


ตอนแรกตั้งใจจะใช้ส่วนนี้เล่าถึงสถานที่ที่เคยเที่ยวมาน่ะค่ะ ^ ^ ก็มีทั้งในและนอกประเทศ แต่ว่าก็คงจะเริ่มต้นจากประเทศอังกฤษก่อน เพราะทุกอย่างเริ่มต้นที่นี่...เรียกว่าออกมาจากอ้อมอกพ่อแม่ก็เริ่มเดินที่นี่ก่อนเลย พอดีเคยแต่งกลอนเอาไว้แล้วเป็น นิราศ uk แต่ว่า ท่าทางคงจะไม่ได้เขียนถึงเมืองอื่นๆ แน่ๆ เลย ช่วงนี้หมดไฟเขียนกลอนแล้วล่ะ ขอลงไปก่อนนะคะ

ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว ตั้งใจว่าจะเอาไว้เขียนกลอนแทน ที่เที่ยวเขียนด้านบนดีกว่า มีรูปด้วย

หมายเหตุ: บังเอิญว่า นิราศลอนดอน เคยมีแล้วเสียด้วยสิ...คงต้องเติมปีที่เขียนเอาไว้ แล้วตอนต่อ ๆ ไปจะเริ่มขยับขยายไปเมืองอื่น ๆ ออกแนวหนังสือท่องเที่ยวค่ะ

ส่วนรูปที่ลง ไม่ได้พูดถึงในนี้เลย -_-   แปะไปก่อน ง่วงๆอยู่ตอนนี้ ไว้ค่อยไปค้นหารูปที่เกี่ยวทีหลังนะค้า....

เมื่อนกเหล็กทะยานลู่สู่เวหาบนฟากฟ้าสุกสกาววาวดาราพสุธาก็พร่างพราวดาวบนดิน

 มองไม่เห็นดวงดาวในดวงตา

ความเหนื่อยล้าคงกลบลบเสียสิ้น

เพลานี้ต้องพลัดไปถึงไกลถิ่น

สู่แดนดินนามเลื่องเมืองผู้ดี



นั่งสับสนข้างในให้ไหวหวั่น

จะทำอย่างไรกันใจฉันนี้

อยากลิ้มรสอิสรภาพความเสรี

เป็นสิ่งที่ไม่เคยมี ตลอดมา



อีกใจหนึ่งให้เศร้าเฝ้าพะวง

ด้วยพ่อแม่ท่านคงถวิลหา

เมื่อลุกนกบินไกลจนสุดหล้า

บินไปจนลับตาขอบฟ้าคราม



ไม่อาจข่มตาลงให้หลับได้

ด้วยข้างในระดมไปด้วยคำถาม

ด้วยอยากมีอนาคตที่งดงาม

ด้วยครั่นคร้ามต่อเส้นทางข้างหน้าเรา



Heathrow ช่างคลาคล่ำด้วยผู้คน

ช่างวุ่นวาย สับสน ในยามเช้า

แต่ไม่อาจลบเลือนเกลื่อนความเหงา

และไม่อาจลบเงาเศร้าทรวงใน



เพียงไม่นานก็พบกับเจ้าหน้าที่

ผู้แสนดีจัดการเรื่องกระเป๋าให้

สำนักงาน ก.พ. อยู่เสียไกล

นั่งเหม่อมองออกไปตามรายทาง



จะมัวนั่งทุกข์ระทมก็ใช่ที่

ยิ่งเผาไหม้ฤดีให้อ้างว้าง

นั่งสังเกตพุ่มพฤกษ์ตามทุ่งกว้าง

แล้วปล่อยวางความหมองหม่นบนทางจร



อีกไม่นานก็ถึง สำนักงาน

เปรียบเหมือนบ้านนักเรียนไทยในวันก่อน

ณ วันนี้ก็ยังเป็นเช่นรังนอน

เหล่านักเรียนได้พักผ่อนหย่อนอารมณ์

  

ปล่อยความคิดล่องลอยไปใน Hyde Park

มวลดอกไม้หลายหลากช่างงามสม

เดินเลียบฝั่ง Serpentine กลางสายลม

มองกระรอกตา-กลมวิ่งลับไป





มองหงส์ห่านในลำธารว่ายเป็นคู่

คนที่ฝันไม่รู้อยู่หนไหน

มองผิวน้ำเรื่อแดดแผดเผาใจ

เดินต่อไปบนทางเปลี่ยวทนเดียวดาย





Albert memorial ตั้งตระหง่าน

สูงตระการคู่สวนกว้างไม่ห่างหาย

อยากมีคนคอยอยู่คู่เคียงกาย

ยังไม่วายย้อนมาเหงาเศร้าในทรวง



China town แออัดด้วยฝูงชน

ยังมากล้นแม้เวลาจะเลยล่วง

ยามราตรีสว่างไสวไฟทุกดวง

แสนเป็นห่วงแมลงหลงแสงไฟ



เดินท่องไปถึง Covent Garden

ดูโดดเด่นน่าเดินเล่นเป็นไฉน

แด่ผู้มีศิลปะในหัวใจ

สาขาใดแสดงได้ไม่ว่ากัน



เมื่อตกดึกได้เวลาสนทนา

เรื่องมากมายสรรหามาสร้างสรรค์

บ้างค้นหา topic ประจำวัน

บ้างก็ดูเพ้อฝันจำนรรจา





อยู่ไกลบ้านมีเพื่อนกันเพียงเท่านี้

คุณภาพดี ๆ สำคัญกว่า

ปริมาณมากเท่าไหร่ไม่นำพา

อีกไม่นานต้องจากลาสู่ทางตน



ยิ่งคิด มากเท่าไรให้ใจสั่น

ยิ่งใกล้วันต้องจากไกลให้สับสน

มิตรภาพหยั่งรากไว้ในใจคน

อีกไม่นานคงงอกต้นบนผืนดิน