
Rating: | ★★★★★ |
Category: | Other |
จุดเริ่มต้น
นัยน์ตาฉันจวนจะปิดอยู่ริบหรี่ ขณะที่นั่งรอเพื่อนอยู่ ณ สถานีรถไฟวิกตอเรีย ประเทศอังกฤษ ทั้งๆ ที่ในกำหนดการบอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่ารถไฟขบวนที่พวกเราควรจะนั่งไปคือขบวนที่ออกจากลอนดอนเมื่อเวลา 16.30 ซึ่งถ้ารถขบวนนั้นไม่เสียเวลาขณะเดินทาง ก็ควรจะถึงสถานี Cooksbridge เมื่อเวลา 18.00 ซึ่งทางไซต์ชุดจะส่งรถตู้มารับอีกที
ฉันตั้งใจเอาไว้ว่าจะออกจากบ้านเมื่อ 15.00 นาฬิกา หากสาวญี่ปุ่น เนลลี่ ผู้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉันจะไม่รีบนัดหมายทางอินเตอร์เนตเมื่อเช้านี้ว่า “เจอกันที่วิกตอเรียบ่ายโมงนะยิ้ม ” แล้วรีบตัดบทการสนทนา ฉันไม่อยากเดินทางคนเดียวก็จำต้องยอมออกจากหอพักตั้งแต่เที่ยงครึ่งเพื่อให้มาถึงสถานีรถไฟตามเวลานัดหมาย
ไม่น่าเชื่อ นับจากวันแรกที่ฉันได้ลงภาคสนามที่ค่าย Primtech จนถึงวันนี้ เป็นเวลานานกว่าครึ่งปีแล้ว ความรู้สึกในยามนี้ก็แตกต่างจากตอนนั้นลิบลับ ความมั่นใจในตัวเอง และ ความกล้าที่จะเผชิญปัญหาเพิ่มมากขึ้น จะหวาดหวั่นอยู่บ้างก็คือกลัวว่าจะทำความเสียหายให้หลุมขุดค้นบ้างไม่มากก็น้อย เพราะการลงภาคสนามครั้งนี้ ฉันต้องสำรวจ ขุดค้น และจัดการเกี่ยวกับโบราณวัตถุที่หามาได้จริงๆ
ฉันไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้มาก่อน สิ่งเดียวที่มีอยู่คือความรู้จากตัวหนังสือบนหน้ากระดาษ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เทียบไม่ได้เลยกับการได้ลงมือปฏิบัติ เพราะทฤษฎีก็เป็นได้เพียง “แนวทาง” เวลาอยู่ในหลุมขุดค้นจริง ๆ ยังมีปัจจัยอีกมากมายที่ทำให้โบราณสถาน และ โบราณวัตถุมีสภาพแตกต่างไปจากที่ควรจะเป็น เรียกได้ว่า ความชำนาญเป็นเรื่องของประสบการณ์เลยทีเดียว
“ยิ้ม มาเร็วเชียวนะ” เสียงเนลลี่ร้องทัก ฉันตื่นจากภวังค์หันไปมองพบว่า เนลลี่ยืนอยู่กับคานาโกะ สาวญี่ปุ่นร่างเล็กอีกคน และ มิเกล ลูกครึ่งไทย-สวีเดน คนนั้น จะไม่ให้มาเร็วได้อย่างไรในเมื่อเธอเป็นคนนัดให้มาเจอกันเอง ฉันตอบในใจ แล้วส่งยิ้มให้เธอและทุก ๆ คน
รถไฟแล่นเทียบชานชาลาที่ Cooksbridge ทางมหาวิทยาลัยแจ้งมาแล้วว่าจะมีเรือนโรงนาให้พวกเราได้ซุกหัวนอน ฉันไม่ได้คาดหวังจะให้ที่พักดีเยี่ยมเหมือนหอพัก หรือโรงแรม แค่มีชายคาป้องกันฝนและลมหนาวก็เพียงพอแล้ว
เส้นทางจากสถานีรถไฟและที่พัก คดเคี้ยว ลัดเลาะไปมาผ่านทุ่งข้าวสาลี และทุ่งหญ้าสีเขียวอมเหลือง มองไม่เห็นหมู่บ้าน หรือร้านค้าที่พอจะซื้อหาสิ่งของที่ต้องการได้เลย “ เพียง 8 วัน 8 คืนเท่านั้น” ฉันปลอบใจตัวเองอยู่เนือง ๆ มองไปนานเท่าไรก็ยิ่งมองเห็นความงดงามของธรรมชาติ และ กลิ่นไอชนบท ที่ห่างไกลความเจริญเสียเหลือเกิน
เมื่อถึงที่พัก นักศึกษาก็ทยอยขนสัมภาระลงมาจากหลังรถตู้ที่ผู้จัดการไซต์ขับมารับ ถ้าเขาไม่มาพวกเราก็คงไม่มีทางอื่นที่จะเดินทางมายังที่พักซึ่งเป็นโรงนาเก่าก่อสร้างอย่างหยาบๆ อยู่กลางฟาร์มที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทุ่งกลางไร่อย่างนี้ได้
ที่พักไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ถึงแม้ตัวเรือนจะเป็นไม้แผ่นตีประกบ ๆ แต่ก็มิดชิดและกันลมได้ดี ถึงแม้จะไม่มีระบบปรับอุณหภูมิ แต่ถุงนอนที่นำมาก็คงให้ความอบอุ่นได้พอสมควร ห้องที่พักแบ่งย่อยออกเป็น หลายห้องเพื่อรองรับสมาชิก 21 คน แต่ละห้องมีเตียงสองชั้นห้องละ 2 เตียง ฉันเลือกนอนห้องเดียวกับ เนลลี่ และ คานาโกะ ส่วนเตียงที่เหลือ มิเกลยึดครอง ออกภาคสนามอย่างนี้ความสนิทสนมกลมเกลียวมักจะมาก่อนเหตุผลอื่น ๆ จะออกมาโวยวายว่า “ไม่ให้นอน ผู้ชายห้ามเข้า” ก็ไม่ได้
ติดกับอาคารที่พักมีห้องครัวซึ่งเป็นเรือนไม้ก่อสร้างอย่างหยาบ ๆ ไม่มีฝาผนัง จะว่าไปแล้วห้องที่ฉันพัก อยู่ติดกับบริเวณโต๊ะอาหารพอดี อาจจะมีเสียงรบกวนเวลากลางคืนได้ เพราะมองไม่เห็นที่อื่นที่เพื่อน ๆ จะจับกลุ่มสนทนากันได้นอกจากในครัว และ ในห้องนอน แต่นั่นทำให้ห้องนอนห้องนี้มีเพียงผนังด้านเดียวที่เปิดรับลม เพราะอีกสองด้านก็อยู่ติดกับห้องพักอื่น ๆ จึงน่าจะเป็นห้องที่อุ่นกว่าห้องอื่น ๆ
นักศึกษารุ่นพี่ 2 คนเป็นอาสาสมัครมาจัดการเรื่องอาหาร และ ความเป็นอยู่ทั่วไป เมื่อพวกเราจัดการจัดของเสร็จเรียบร้อย อาหารก็วางตั้งรออยู่บนโต๊ะยาวในห้องอาหารแล้ว
“กรี๊ด........” เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังออกมาจากห้องข้าง ๆ ฉันและเพื่อนร่วมห้องวิ่งไปดูด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขี้น”
“แมงมุม ดูสิ แมงมุมตั้งหลายตัว เต็มห้องไปหมดเลย” ฉันเหลือบตามองดูแมงมุมตัวเล็ก ๆ 3 ตัวที่อยู่ตรงขอบผนังด้วยความไม่เข้าใจ แมงมุมมันตัวเล็กกว่าเราตั้งหลายเท่า แต่สาวๆก็ร้องโหยหวนราวกับว่าเจอมังกรอยู่ใต้เตียง เอาเถิด...ฉันยังกลัวจิ้งจกได้เลย คนเราก็มีความกลัวในสิ่งต่างๆกัน คิดได้ดังนั้นก็เลยถอยออกมาจากห้องพักของพวกสาวๆอังกฤษ
จะว่าไปแล้ว สภาพที่พักที่นี่ออกจะดีเกินกว่าที่ฉันคาดคิดอยู่มากเสียด้วยซ้ำ มีไฟฟ้า มีเตาแก๊สไว้ใช้ มีตู้เย็นที่ใช้บรรจุเนื้อสัตว์มาประกอบอาหารได้ ในห้องพักก็มีอ่างล้างหน้าให้ใช้ ห้องน้ำถึงแม้จะเป็นแค่ฝาไม้อัดกั้น ๆ เอาไว้ และมีห้องอาบน้ำเพียง 4 ห้อง แต่ก็ใช้การได้ดี ดังนั้นแมลงตัวเล็กตัวน้อยที่หลุดรอดเข้ามาในห้องได้จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของฉัน เราอยู่ส่วนเรา เขาอยู่ส่วนเขา แต่เสียงกรีดกราดในห้องนั้นก็ยังไม่เงียบลงเสียทีเดียว จนเพื่อนผู้ชายต้องเข้าไปเก็บแมงมุมโชคร้ายพวกนั้นออกมาจากห้อง เสียงโหวกเหวกจึงเงียบลงไป
ยิ่งตกดึกอากาศยิ่งเย็น จนเสื้อแขนยาวบาง ๆ ที่ใส่อยู่ไม่อาจต้านทานความหนาวได้ เสื้อกันหนาวแบบมีหมวกก็ยังไม่ทำให้อุ่นขึ้นมากนัก จนฉันต้องเอาเสื้อแจ๊กเกตชั้นนอกตัวหนามาใส่ถึงจะนั่งอยู่ในสภาพอากาศอย่างนั้นได้ เมื่อถึงเวลาเข้านอน พื้นห้องเย็นเฉียบเมื่อเท้าเปล่าได้สัมผัสจนแทบเป็นตะคริว ฉันเตรียมจะปีนขึ้นไปนอนบนเตียงชั้นสองที่ได้จับจองไว้ตั้งแต่แรกมาถึงเพราะเตียงนี้ไม่มีบันไดให้ไต่ขึ้น แต่ดูเหมือนแขนขาจะหมดแรงจนต้องร่วงลงมาเหมือนเดิม
ปกติแล้ว ฉันชอบนอนบนเตียงชั้นสองเพราะได้รับอากาศปลอดโปร่งกว่านอนชั้นล่าง และฉันก็ไม่เคยประสบปัญหาในการปีนขึ้นเตียงมาก่อนเลย ฉันตั้งสติยืนมองเตียงชั้นสองอีกครั้งแล้วจึ่งมองเห็นว่าเตียงชั้นล่างนั้นจัดได้ว่าต่ำกว่าเตียงมาตรฐานทั่วไปและเตียงชั้นสองก็สูงเกินกว่าปลายคางของฉันเสียอีกถึงแม้จะเหยียบเตียงชั้นล่างเพื่อเป็นการดันตัวเองขึ้นไปฉันก็ยังต้องยกขาอีกสูงพอดูเพื่อให้ถึงขอบเตียงชั้นบน ซึ่งไม่มีอะไรให้ยึดเกาะเพื่อดึงตัวเองขึ้นไปเลยแม้แต่น้อย ใครหนอช่างออกแบบดีแท้
ฉันลากเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้อ่างล้างหน้ามาวางไว้ปลายเตียงเพื่อใช้เป็นพื้นแข็ง ๆ ในการถีบส่งตัวเองขึ้นไป ด้วยความง่วงงุนฉันจึงเผลอหลับไปก่อนเพื่อนคนอื่น ๆ จะกลับเข้าห้อง ในภวังค์ครึ่งฝันครึ่งจริง ฉันได้ยินเสียงเนลลี่บ่นพึมพำ
“อะไรกันนี่ ใครออกแบบเตียงนี้น่ะ สูงจะตาย ใครจะปีนขี้นไปได้ อ้าว แล้วยิ้มขึ้นไปได้ด้วยเหรอนี่ แหม...หลับไปแล้ว ถ้าไม่หลับจะถามสักหน่อยว่าขี้นไปได้ยังไง” เปลือกตาฉันหนักเกินกว่าจะลุกขึ้นชี้บอกให้เธอใช้เก้าอี้ เธอก็เป็นผู้หญิงแกร่งคนหนึ่ง คงช่วยตัวเองได้ในที่สุด
To be continued
ป.ล. ไปครั้งนี้ก็ไม่กล้าเอากล้องถ่ายรูปไปอยู่ดีค่ะ เพราะกลัวจะหาย กลางวันไม่มีคนเฝ้า Chicken shed หรือบ้านเล้าไก่ของพวกเรา เลยได้แต่ขโมยภาพของคนอื่นมาลงนะเนี่ย
ในภาพนะคะ คนหัวใส ๆ ที่ยืนอยู่คืออาหารย์ ชื่อ Clive ที่มักจะโดนกล่าวถึงบ่อยๆ ทั้งในบทความนี้และในนิยายเรื่อง "เก็บรักไว้ใต้ผืนดิน" แหะๆ อาจารย์แกเป็นคนน่ารักค่ะ
อ้างอิง: http://www.msfat.com/Projects/Barcombe_Roman_Villa/BV05_July_Diary.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น