วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Dancing Daffodills (เวอร์ชั่นศศิษยา มิใช่ของ Wordsworth นะคะ ^ ^)


รู้สึกว่าจะข้ามช็อตไปหน่อยนะคะ 555 ใบไม้กำลังร่วง หน้าหนาวยังไม่มาเลย ยิ้มก็คิดถึง Spring และดอกแดฟโฟดิลแสนงามแล้วอ้ะ ก็แดดของ Autumn มันเหลืองๆ เศร้าๆ หมองๆ ยังไงไม่รู้ ไม่ชอบเลย ^ ^' ด้วยความคิดถึงดอกแดฟโฟดิล หนึ่งในบรรดาดอกไม้โปรด จึงเกิดอารมณ์เขียนกลอนกะทันหัน
ก่อนอื่น..ต้องเล่านิทานนำกลอนก่อน - -' เพราะมิฉะนั้นแล้ว อาจจะงง ว่าทำไมดอกแดฟโฟดิลมันถึงมีพฤติกรรมแบบนั้นในกลอนดอกสร้อยนี้ ^ ^' (แต่ถ้าเล่าผิด ผู้รู้ก็แย้งด้วยนะคะ จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน แหะๆ ๆ)
ดอกแดฟโฟดิล เป็นพืชตระกูล Narcissus นะคะ คำว่า Narcissus นี่เป็นชื่อของเทพปกรณัมองค์หนึ่งในตำนานกรีก-โรมัน ซึ่งมีรูปงามมาก  ท่านเลยออกแนวหลงตัวเองมิใช่น้อย (เป็นที่มาของคำว่าNarcissism) จนเทพอีกองค์ที่ชื่อ Echo มาหลงรัก แต่ก็ไม่กล้าจะเข้าหาก่อน ได้แต่ด้อมๆ มองๆ พอท่าน Narcissus ถามไปว่า 'ใครน่ะ' นางก็จะตอบกลับมาว่า 'ใครน่ะ' จนท้ายที่สุดนางก็ตัดสินใจ วิ่งเข้าไปหาหมายสวมกอดด้วยความหลงใหลในรูปกายของ narcissus เต็มที่
แต่หนุ่มหล่อๆ อย่างท่าน Narcissus มีหรือจะตอบตกลง ท่านย่อมคิดว่าท่านดีกว่าใครอยู่แล้ว จึงตัดรอนอย่างไม่มีเยื่อใย ทำให้ท่าน Echo คร่ำครวญ เว้าวอนอยู่นานแสนนานจนกายหายไป เหลือแต่เสียง (เป็นที่มาของคำว่า Echo - เสียงสะท้อน) นางยังคงเว้าวอน พร่ำรำพันจนท่านมหาเทพเทพอ่อนใจ ลงโทษ Narcissus ให้ 
และแล้ว Narcissus ก็โดนสาป...(คิดว่าตัวเอง)หล่อนักใช่มั้ย มหาเทพจัดให้...แค่นี้ขจะดีหรือ...หลงตัวเองให้สุดๆ ไปเลยสิคะ Narcissus ขา
เมื่อเขาก้มลงมองเห็นเงาของตัวเองในน้ำ ก็เกิดหลงรักเงาตัวเองหัวปักหัวปำ (เป็นเอามาก - ผลเน่องจากคำสาปน่ะ) แต่พอเอื้อมมือหมายจะสัมผัส เงานั้นก็กลับแตกกระจายหายไป Narcissus เสียใจยอมรับความจริงไม่ได้ เลยทำร้ายตัวเองจนตาย...ณ จุดที่เขาตาย ก็มีต้นดอกไม้งอกขึ้น เป็นต้น narcissus ซึ่งหนึ่งใน Genus นั้นก๊อคือ ดอกแดฟโฟดิลนี่เอง ส่วนแม่นาง Echo ผู้ไร้ตัวตนก็เพิ่งจะนึกสงสารขึ้นมาในตอนจบ = ='



ดอกเอ๋ย...เจ้าดอกแดฟโฟดิล
เต้นระริ้ว..พริ้วเพริศเลิศสีสัน
หากหลงเงา..เขลาอยู่ไม่รู้วัน
ไม่นานพลันแห้งโหยกลีบโรยรา
เพราะยึดติดกับความลวงจนล่วงเลย
แต่ไม่เคยคิดจะแก้..แย่หนักหนา
โอ้..ดอกไม้ ไยหลงเงาเศร้าวิญญาณ์
นำคุณค่า..มาพร่าผลาญแหลกลาญเอย

เศร้าจังเลยนะคะ แดฟโฟดิลเป็นดอกไม้ที่น่าสงสารจัง T-T ความสวยไม่ช่วยอะไรเลย ตอนที่ยังไม่รู้ว่าดอกแดฟโฟดิลมีประวัติมาอย่างไร ทุกครั้งที่มองก็รู้สึกชื่นชมแกมพิศวง เพราะตัวดอกไม้มีเสน่ห์มากๆ โดยเฉพาะแถวๆ ริมน้ำ ดอกไม้ขึ้นเป็นพุ่มเวลาลมพัดก็พริ้วไหวราวกับจะเต้นระบำ จน William Wordsworth กวีมีชื่อของอังกฤษที่มีบ้านอยู่ Lake District ยังถึงกับนำมาเขียนเป็นบทกวีที่โด่งดังไปทั่วเกาะอังกฤษ
ใครจะรู้...ว่าความเป็นมาของแดฟโฟดิลช่างอาภัพขนาดนี้ ไม่น่าหลงเงาเลย แดฟโฟดิล เอ๊ย Narcissus เอ๋ย...ไม่อย่างนั้น คงไม่จบเศร้าแบบนี้ เฮ้อ.. 

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ก็แค่ใบไม้อีกใบ...ที่ร่วงหล่น

Rating:★★★
Category:Other
เมื่อวาน + วันนี้เป็นวันย้ายเข้าหอค่ะ
ได้แฟลตเมตชุดใหม่อีกแล้ว...

เวลาผ่านไปเร็วมากๆ เลยนะคะ
ที่ผ่านมา เรื่องบางเรื่องก็ได้ดังใจ
แต่อีกหลายๆ เรื่องก็ทำร้ายจิตใจสิ้นดี
จนเหนื่อยที่จะเอาจิตไปตามความรู้สึกใดๆ อีกต่อไป
ทุกวันนี้อยู่ได้เพราะความคิดที่ว่า..วันหน้ามันจะดีขึ้น
แล้ววันหนึ่งจะถึงเวลาที่เราหลุดจากวังวนนี้

แต่

เปลือกหอมบนพื้นในห้องครัว ฝาถังขยะที่เปิดอ้า
คราบแป้งบนโต๊ะส่วนรวม เศษอาหารบนพื้น ที่ปีก่อนไม่เคยมี
ก็ทำให้เราได้คิดอะไรบางอย่างเหมือนกัน

บางครั้ง...ที่เรามีความรู้สึกชอบ ชัง โกรธ พอใจ ไม่พอใจ คงเป็นเพราะเรายึดติดกับมันมากเกินไป
บางทีอาจควรที่จะดึงจิตกลับมา...แล้ว 'รู้' อยู่ที่ตัวเองดีกว่า
เป็นอย่างที่พระอาจารย์กล่าวไว้กระมัง...
อะไรที่มากระทบใจ ให้ถามสั้นๆ ว่า "So?"

ก็จริงนะ...
ทุกอย่างมันเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป
ความรู้สึกใหม่ๆ ก็เกิดขึ้น แล้วก็ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป

แล้วไง...
มันก็เป็นแบบนี้อยู่เรื่อยไป

เราทุกข์สุดๆ ในยามที่เรื่องราวไปเป็นไปอย่างใจ เพราะว่าเราจดจำเอาความรู้สึก
ณ จุดที่ดีที่สุดเอาไว้ แล้วหวนหา...อยากให้ความรู้สึกนั้นคงอยู่ชั่วกาล
แต่มันเป็นไปไม่ได้...
มันเป็นการฝืนกฏธรรมชาติ
กฎของการการแตกดับ

ควรหรือ...จะเอาจิตไปฝังอยู่ตรงความรู้สึกนั้น?

บางคนอาจจะคิดว่า การไม่ยึดติดกับอะไร ก็เหมือนคนสิ้นหวัง
ชีวิตจะมีอะไรเป็นแรงผลักดันให้ก้าวเดินไป

แต่คงไม่หรอก
เพราะคิดว่าแยกแยะได้
ว่าการไม่ยึดติด กับการสิ้นหวังมันต่างกันอย่างไร

บ่นมาซะนาน
บางคนอาจจะว่ามีแต่น้ำ
บางคนอาจจะว่ามีแก่นด้วย..

ก็สุดแต่จะสกัดใจความกันไป

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

กลอน นิยาย บล็อก วิทยานิพนธ์: อะไรเขียนยากที่สุด

Rating:★★★★
Category:Other

บล็อก กลอน กับนิยายเป็นสิ่งที่ชอบเขียน ส่วนวิทยานิพนธ์เป็นสิ่งที่ต้องเขียน

เอาเป็นว่า...เราดึงสิ่งที่เขียนง่ายที่สุดออกมาก่อนนะคะ จะได้ไม่ต้องคิดมาก บล็อกค่ะ เขียนบล็อกง่ายที่สุดแล้ว เพราะเวลาเขียนบล็อกยิ้มใส่แค่อารมณ์กับจินตนาการนิดหน่อย กลอนก็..พอๆ กับบล็อกแหละ อาจจะใช้จินตนาการสูงกว่านิดนึง แต่สิ่งอื่นๆ ยิ้มมีสูตรในการปรุงดังนี้

1. นิยาย = อารมณ์ดีๆ + จินตนาการ + พล็อตที่(ดู)ชาญฉลาด + ความคาดหวังของคนอ่าน + เวลาว่าง

2. วิทยานิพนธ์ = อารมณ์นิ่งๆ + จินตนาการ + ความรู้ + ความคิด และความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ + การระลึกถึง Contribution to the current debates + ความอดทน + เวลาทั้งชีวิต + ความคาดหวังของตัวเอง อาจารย์ และพ่อแม่ + ความกดดันจากการใช้ภาษีประชาชนเรียน + ฯลฯ

เหวย...ทำไมมันซับซ้อนเยี่ยงนี้ แค่เห็นก็รู้ละ ว่าอะไรยากที่สุด...แล้วหล่อนจะมาเขียนรำพันในบล็อกให้เสียเวลาทำไมยะ

ตอบ: ก็มันง่ายนี่..เค้าก็อยากทำอะไรให้สำเร็จบ้างสิ T-T อย่างน้อยเขียนบล้อกสำเร็จก็ยังดีน้อ...

ก่อนหน้านี้นะคะ ยิ้มคิดว่า...วิทยานิพนธ์แสนคำ แหม ง่ายมาก (1 หน้ามีประมาณ 300 คำ) เขียนวิทยานิพนธ์ตอนป. โท สองหมื่นคำแล้ว แค่ห้าเท่าเอ๊ง....มีเวลาตั้ง 4 ปีแถมจินตนาการเราก็ออกจะบรรเจิด เขียนนิยายมาก็พอสมควรละ แค่เขียนงานวิจัยชิ้นนึง คงไม่ยากอะไร

แต่ทว่า...พอมาทำจริงๆ แม่เจ้า...มันยากกว่าที่คิดนะ จำนวนคำไม่เป็นปัญหาหรอก เผลอๆ เขียนเกินด้วยซ้ำ - -' แต่ว่าปัญหามันคือ เขียนยังไงให้สอดคล้องสัมพันธ์ มีเหตุผลรองรับทุกอักขระ (coherence)

ตอนนี้รู้ซึ้ง T-T

ถ้าความคาดหวังของงานป.ตรีคือ 100%
งานป.โท เราต้องทุ่มลงไป 150% เพราะว่างานต้องมีคุณภาพมากขึ้น
งานป.เอก เราต้องทุ่มลงไป 250% เพราะว่างานต้องมีคุณภาพขึ้นไปอีก เราต้องทำให้คนอื่นยอมรับงานของเราได้ ต้องจัดการความรู้สึกเบื่อหน่ายของเราให้ได้ และต้องพอใจกับมัน

ตอนนี้เหนื่อยและเบื่อค่ะ อยากหยุดเรียน แล้วหนีไปทำอะไรสั้นๆ ค่อยกลับมา แต่ก็กลัวเสียเวลา แก่จะตายอยู่แล้วยังเรียนอยู่เลย ใจนึงก็คิดว่า หนีไปเขียนนิยายให้อารมณ์ดีๆ หน่อยดีมั้ย ค่อยกลับมาทำงานต่อ แต่ว่า...

กลับขึ้นไปอ่านข้อ 1 ใหม่ กรี๊ดด สิ่งที่การเขียนนิยายของยิ้มต้องใช้คืออารมณ์ดีๆ เอ่อ...ตั้งแต่เรียนเอกมานี่...ยิ้มไม่ได้รู้สึกถึงคำว่า 'อารมณ์ดี' มานานนักหนาแล้ว อ้าว แล้วกรูจะเขียนนิยายได้ไง - -' นั่นสิเนอะ

ยิ่งนึกถึงความยากของการเขียนงานก็ยิ่ง เฮ้อ...

หรือว่าเราควรเบี่ยงเบนความสนใจไปที่อื่นดีมั้ย ว่าเรียนเอกเราได้อะไรไปบ้าง น่าจะจดสถิติไว้

1. ผมร่วงไปกี่เส้น
2. หมดเหล้าไปกี่ขวด ไวน์ด้วย เบียร์ล่ะ กี่กระป๋อง
3. น้ำตาหยดไปกี่ลิตร
4. บุหรี่ไปกี่มวน ถ้าเป็นชิชาถือว่าเป็น 30 มวน เพราะใช้ปริมาณยาสูบเยอะกว่ากันเยอะ - -' ถึงนิโคตินต่อกรัมจะน้อยกว่าก็เหอะ
5. เล่นเนตแก้เครียดไปกี่ชั่วโมง (อันนี้ท่าทางจะมหาศาล เล่นแก้เครียดประจำ)
6. สูญเสียแฟนคลับไปกี่คน (เอาแต่นั่งจมอยู่กะงาน)
7. นน. ขึ้นกี่โล (เอาแต่นั่งปั่นงาน ไม่ได้ไปออกกำลังกาย)
8. เสียเพื่อนไปกี่คน (ลืมติดต่อเลย - -')
9. เสียค่าปรูฟรีดไปเท่าไหร่
10. บินกลับบ้านกี่รอบ
11. หาข้อแก้ตัวในการอู้งานได้กี่ข้อ
12. กรี๊ดดด นึกไม่ออกแล้วค่า ยิ่งนึกก็ยิ่งหดหู่ผมร่วงอีกหลายเส้น

ดังนั้น...ถ้าเรียนจบปุ๊บ เราควรจะทำอะไร..เพื่อแก้ไขสิ่งที่ผ่านมา

1. ทำแฮร์สปา บำรุงสุขภาพผม แล้วเปลี่ยนทรงใหม่ให้ไฉไลกว่า
2.ทำ detox - -' ว่าแต่ detox มันล้างแอลกอฮอล์ออกจากเซลล์ฉะหมองกับตับได้มั้ยง่ะ สงสัยไม่ได้แน่ๆ เยย...ตอนนี้สมองมันเลยตายๆ (อุตส่าห์หยุดเหล้ามานานเกือบปีแล้วนะ)
3. ซื้ออายครีมมาบำรุงด่วน ไม่เกี่ยวกะต่อมน้ำตาหรอก แต่ว่า..กว่าจะจบตีนกาคงขึ้นมาหลายเส้น ถ้าเรียนจบต้องให้รางวัลตัวเอง ซื้อของดีๆ (กว่าที่ใช้อยู่) มาใช้ซะละ
4. ไปเที่ยวยอดเขาแถบๆ ชนบทสวิตซ์ซะหน่อย สูดโอโซนให้เต็มปอด เซลล์ปอดที่เสียไปจะได้ฟื้น
5......
6.....
7....

ข้อสุดท้าย ท้ายสุด...หาแฟน - -'
นี่เรียนจนจะขึ้นไปอยู่บนคานอยู่แล้ว แม่เจ้า วันๆ ไม่พบไม่เจอคน

เอ๊า...ยิ่งคิดถึงอะไรพวกนี้ มันไม่ยิ่งเครียดไปใหญ่เหรอ

เครียดดิ...เอ หรือเราควรจะรวมทั้งนิยายและวิทยานิพนธ์เข้าด้วยกันดีคะ เผื่ออะไรๆ มันจะดีขึ้น

จิตใต้สำนึก: พล่ามเสร็จแล้วก็ไปเขียนงานต่อได้ละป่ะ

ยิ้ม: เดี๋ยวดิ ก็เบื่อง่ะ..

จิตใต้สำนึก: ตั้งแต่อากลับไปก็นั่งเบื่อมาเกิน 2 อาทิตย์แล้วนะ เริ่มทำงานซะทีได้ป่าว

ยิ้ม: ก็ที่ผ่านมาเราเบื่อเฉยๆ ที่ไหน เบื่อไปก็ทำงานไปทุกวันแหละ

จิตใต้สำนึก: ทำงานไป หรือเล่นเนตไปกันแน่ กรูเห็นนะ ว่าเดี๋ยวก็เขียนบล็อกพี่เคลลี่ เดี๋ยวก็ดูละครย้อนหลัง อ่านกระทู้อุ้ม คุ้กกี้ นาธาน ลาบไก่ จะเป็นแฟนพันธุ์แท้พันทิปดอทคอมได้อยู่แล้ว

ยิ้ม: ง่า ๆ ๆ ๆ ๆ ก็คนมันก็ต้องพักผ่อนบ้างนี่ ฮือ...ทำไมต้องขึ้นเมิง กรู ด้วย หยาบคาย

จิตใต้สำนึก: ไม่ต้องมาแรด...จริงๆ ก็หยาบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แค่โรงเรียนหญิงล้วนกดพฤติกรรมเอาไว้ พอมาเรียนโบราณคดี เจอคนเถื่อนๆ เยอะหน่อยก็ดีแตกเลย

ยิ้ม: อย่ามาแสดงออกในบล็อกได้มั้ย เมิง...จะหยาบก็หยาบในสมองก็พอ กรูอุตส่าห์แอ๊บเรียบร้อยหลอกผู้ชายมาตั้งนาน เดี๋ยวแฟนขับแตกตื่นหมด

จิตใต้สำนึก: เออ ขอโทษๆ มันก็หลุดมั่ง อะไรมั่ง ช่วงนี้เมิง เอ๊ย...หล่อนไม่ค่อยมีสติไม่ใช่เหรอยะ

ยิ้ม: ย่ะ...ก็พยายามจะตั้งอยู่นะ สติน่ะ แต่บางทีมันก็เครียดมั่ง อะไรมั่ง

จิตใต้สำนึก: หายเบื่อยัง บ่นพอแล้วก็ไปทำงานซะป่ะ

ยิ้ม: เดี๋ยวดิ บริหารนิ้วอยู่...วันๆ ไม่ค่อยได้ใช้แรง อย่างน้อยได้บริหารนิ้วก็ยังดี

จิตใต้สำนึก: นี่ เมิงรู้ป่ะ...ทีหาเหตุผลหาข้ออ้างให้ไม่ต้องทำงานนี่ หัวไวเป็นบ้า ทำไมเวลาเขียนงานหัวไม่ไวอย่างงี้มั่งวะ

ยิ้ม: เออ จริงเนอะ มันต่างกันยังไงอ้ะ จิตใต้สำนึก พอจะรู้ป่ะ

จิตใต้สำนึก: ถ้ารู้...กรูจะต้องมาพร่ำบอกอย่างงี้มะ เมิงก็กลับไปทำงานได้ตั้งแต่บรรทัดแรกๆ แล้ว

ยิ้ม: อะไรวะ ถามนิดหน่อยมาทำตวาด เอ็ดอึง ขึ้นมึงกู... T-T ฮือ...ขนาดจิตใต้สำนึกเรายังไม่รักตัวเราเองเลย

จิตใต้สำนึก: นั่นไง ก็ทำใจให้รักสิ บ่นอยู่ได้ บ่นเป็นยายแก่

ยิ้ม: ถ้าทำได้ก็ทำไปแล้ว แต่เวลาเราบ่นเราก็ทำงานไปด้วยนะ ไม่ใช่บ่นเฉยๆ บ่นทิ้งบ่นขว้าง

จิตใต้สำนึก: งั้นแกลองเปรียบวิทยานิพนธ์เป็นผู้ชายมะ...อาจจะทำให้รู้สึกรักง่ายขึ้นนะ

ยิ้ม: แน่ใจเหรอ - -' นี่แกไม่สังเกตุอะไรบ้างเหรอ ว่าตัวชั้นยกสูงขึ้นๆๆๆ จะขึ้นถึงคานรอมร่อ จะกลายเป็นยายแก่แร้งทึ้งอยู่แระ ถ้าชั้นรักคนง่ายๆ ก็ดีสิยะ

จิตใต้สำนึก: บ้า...สวยๆ อย่างงี้ ใครเค้าจะเรียกว่ายายแก่แร้งทึ้งกัน เครียดนักก็ส่องกระจกสิ ดูของสวยๆ งามๆ มั่งอะไรมั่ง จะได้เพลินๆ

ยิ้ม: เออ จริงเนอะ จิตใต้สำนึกมันก็พูดดี (/me หันหน้าไปทางซ้าย มองกระจก เฮ้อ...สวยงาม ชื่นใจ) นอกเรื่องไปนาน..ว่าแต่ควรเปรียบเทียบวิทยานิพนธ์กะผู้ชายยังไง

จิตใต้สำนึก: อ้าว ก็ปกติในนิยาย พระเอกนางเอกก็จะเกลียดกันตอนแรกๆ ใช่มะ แล้วหลังๆ มันก็จะดีกันเอง แกก็สมมติให้วิทยานิพนธ์เป็นพระเอกซี้ แล้วตัวแกก็สวมบทเป็นนางเอก จะได้จบแบบแฮปปี้ ลงเอยกันด้วยดี แม้ว่าตอนกลางๆ เรื่องจะตบตีทะเลาะกันนิดหน่อย

ยิ้ม: เหรอ มันจะดีเหรอ

จิตใต้สำนึก: ก็ไม่มีทางอื่นแล้วมั้งที่จะทำให้รู้สึกดีกับงานได้น่ะ หล่อนก็ลองคิดดู นิยายไทยส่วนมากเนี่ย ตอนแรกพระเอกนางเอกอาจจะเกลียดกันเหลือเกิน ไม่อยากมองหน้ากันเล้ย... พระเอกรังแกนางเอกสารพัด ตบจูบๆ เดี๋ยวก็เข้าใจผิด กลั่นแกล้ง จนตัวหล่อนก็ต้องโต้ตอบไปบ้าง พยายามทุกวิถีทางที่จะเปลี่ยนเค้าให้ได้ แต่ในที่สุดตอนจบเค้าก็จะออกมาเพียบพ้อม นุ่มนวล อ่อนโยน เป็นพระเอกในฝันของหล่อนเอง ก็เหมือนวิทยานิพนธ์ ที่ตอนแรกๆ อาจจะทำให้หล่อนอยากเอาหัวโขกกำแพง ต้องมีการปลุกปล้ำกันเล็กน้อย...สุดท้ายก็ลงเอยด้วยดี

ยิ้ม: เอ่อ.. ถามหน่อยเหอะ ทำไมหล่อนดูเพี้ยนๆ บ้าๆ บอๆ วะ

จิตใต้สำนึก: ก็ชั้นเป็นจิตใต้สำนึกของใครล่ะยะ

ยิ้ม: นั่นดิ - -' ก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกัน
เออ..จิตใต้สำนึก แล้วนิยายเรื่องนี้จะมีนางอิจฉามั้ยยะหล่อน

จิตใต้สำนึก: โอ๊ย มันต้องมีดิ นิยายอะไรไม่มีตัวอิจฉา ต้องมีนางอิจฉาโผล่มาทำให้หล่อนรู้สึกว่าหล่อนไม่คู่ควรกับพระเอก หรือพระเอกไม่คู่ควรกับหล่อนบ้าง แต่หล่อนก็ต้องเคลียร์กะพระเอกเอาเอง ว่าเค้าจะต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง หรือไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย เพราะคำพูดก็เป็นแค่ลมปาก

ยิ้ม: อ่อ..เหมือนเวลามีคนมา criticise งาน ชั้นก็ต้องเลือกใช่มะ ว่าจะเคลียร์กะพระเอกยังไง จะแก้ไขหรือจะปล่อยไปแบบเดิม เออ แล้วแกว่า...แล้วนิยายชีวิตชั้นจะจบแฮปปี้มั้ยอ้ะ

จิตใต้สำนึก: ตกลงจะเรียก มึง แก หรือ หล่อน เอามาซักอย่าง..

ยิ้ม: ^ ^' แหะๆ ก็แหม...ชอบอะไรที่มันหลากหลาย ขอสามเลยได้ป่ะ

จิตใต้สำนึก: ประสาทจริงว่ะ อ่ะ เข้าเรื่อง ชั้นว่ามันก็น่าจะแฮปปี้อยู่นะ เพราะลึกๆ แล้วแกก็มีความมั่นใจในตัวพระเอของแกอยู่นี่ ตอนนี้แกแค่ไม่ไหวจะเคลียร์ อ่อนเพลียที่จะคุย ไม่อยากสนทนาวิสาสะกับคุณพระเอกของแก แกก็ต้องทำใจ...แล้วหันหน้าเข้าหากัน ไม่อย่างงั้นมันจะจบแฮปปี้ได้ไง

ยิ้ม: ก็จริง

จิตใต้สำนึก: แกก็ลองเปรียบเทียบดูสิ...แกชอบอ่านนิยายที่นางเอกฉลาดๆ คุยกะพระเอกรู้เรื่อง โต้ตอบกันเสมอๆ หรือชอบนิยายที่นางเอกขี้งอน อะไรนิด อะไรหน่อยก็หลบลี้หนีหน้าล่ะ

ยิ้ม: ก็จริงอีกเนอะ

จิตใต้สำนึก: แล้วนึกออกยัง ว่าตอนนี้ควรจะทำอะไร

ยิ้ม: กลับไปทำงาน

จิตใต้สำนึก: เออ ดีมาก...อย่าให้ชั้นได้ออกโรงบ่อยๆ นะยะ

ยิ้ม: จ้ะ

จิตใต้สำนึก: ต่อไปนี้เวลาท้อจะคิดว่าไง

ยิ้ม: คิดว่า...ถ้าไม่ยอม face the thesis seriously ก็เหมือนนิยายช่อง 7 ที่ถูกยืด นางเอกหลบพระเอกไปมา ไม่จบซะที เรตติ้งสูง แต่ถูกด่าขรม

จิตใต้สำนึก: ดีมาก

ยิ้ม: งั้น...กด publish แล้วชั้นไปทำงานต่อนะ

จิตใต้สำนึก: ......

ยิ้ม: อ้าว...เงียบไปแระ งั้นเราไปทำงานต่อก็ได้ หงิงๆๆๆ


บ้า.....เราต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เลย

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

แอบหลงรักตัวหนังสือของคนนี้: Arglit Boonyai

Rating:★★★★★
Category:Other

วันนี้ก็เล่นเนตไปเรื่อยๆ ผลัดวันประกันพรุ่งการทำงานไป - -' (คอจะขาดแล้วยังไม่สำเหนียก ยิ้มเอ๋ย) ก็แหม...เรามีข้ออ้างว่าถ้าเครียดมากจะยิ่งทำงานไม่รู้เรื่อง 555 ซ่อกแซ่กไปมา บังเอิญไปเจอบทความของคนคนหนึ่งเข้าจากที่คนนำมาโพสต์ในเวบบอร์ดชื่อดัง เขาคนนั้นคือ...

คุณ Arglit Boonyai (อ่านชื่อไม่ออกค่ะ ขออนุญาตเขียนทับศัพท์ไปเลยละกัน)

เขาคือ บก. ของนิตยสารแจกฟรีในเครือ Bangkok Post ชื่อ GURU ไอ้เจ้าหนังสือเล่มนี้ ตัวยิ้มเองไม่เคยอ่านหรอกค่ะ มันดูเป็นวิถีชีวิตของคนเมืองหลวง คนกรุงเทพฯ ไปหน่อย เด็กบ้านนอกอย่างเราอ่านไปก็รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ใช่ความสนใจเราด้วยอ้ะ ออกมาแต่ละเรื่อง trend, gadgets, lifestyle อ่านเพลินๆ ก็ขำๆ ดีนะ ถ้ามาเป็นเล่มก็อาจจะเบื่อได้

แต่ว่า...พอได้อ่านคอลัมน์ของเขาที่มีคนยกมาโพสต์ตามเวบบอร์ด ก็รู้สึกว่า 555 เออ...ชอบแฮะ เขียนได้เจ็บดี เข้าใจกระแนะกระแหน บางทีก็กัดคนที่เขียนถึง บางทีก็กัดตัวเอง กัดประเทศไทยบ้าง อะไรบ้าง รู้สึกประหนึ่งดูหนัง Black comedy ของอังกฤษอยู่ทีเดียว

ยกตัวอย่างนิดหน่อย บทความนี้คุณ Arglit เขียนถึงกรณี นาธาน โอมาน ดาราไทยที่แหลว่าได้ได้ถ่ายหนังฮอลลีวูด (แต่ที่จริงก็เรื่องโกหกพกลม แต่พอจับได้ก็ยังแถ ไม่ยอมรับ อ้างว่าไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดของกองถ่ายได้)

Who knows? Maybe Nathan is telling the truth (he’s not). Thai celebs are always so nice (see Feature p12); they wouldn’t lie. Besides, why would anyone lie about something that could be checke4d so easily with a simple IMDB or Google search?

Did anyone do that yet? Yes Panthip.com, I know you did a search, but did anyone in the Thai Press look it up? What’s that? You only just figured out how to use the internet and you’re busy looking up the winner s of this year’s Cannes awards? Why would you do that? Oh, I remember.

.
.
.
We’re no closer to figuring out why Nathan Oman would lie about The Prince of Red Shoe, so the only logical conclusion is that he’s not lying. Actually I just got news from my agent that his movie and mine will be aired as a double bill feature like Tarantino/Rodriguez’s Deathproof/Grindhouse. Look out for it in cinemas soon, but whatever you do, don’t Google it because if you do it will disappear!


คนอะไร ช่างกัดๆ เจ็บๆ เหน็บๆ ได้แสบๆ คันดีแท้
ว่าแล้วเราก็ google งานเขียนเค้าต่อทันที ได้มาอีกกระจึ๋งนึง

"...you will certainly have to agree that the latest billboard advert that I saw promotion a new condominium is nothing but the god's honest truth. Plastered across this billboard was the phrase "live life New York style in Bangkok" (or something to that effect). Man, what in the name of New York cabbies and hot dawgs does that mean? Does it mean that if you live in this condo that the rest of Bangkok will automatically change to resemble New York?..."

อืม...อันนี้ก็แสบๆ คันๆ ใช้ได้ มามะ หาต่อ มาเจอเรื่องลอยกระทง

แรกๆ เค้าก็มีเหน็บๆ มั่ง ว่าทำไปเพื่อแสดงความขอบคุณพระแม่คงคา
แต่ว่าแหม...ลอยทีนึง ก็ทำร้ายแม่น้ำทีนึง แถมคนเที่ยวยังต้องระวังสุดขีด
เดี๋ยวโดนพวกไฟ ประทัด (ตรงนี้เห็นด้วยสุดขีด ลอยกระทงทีไร ไม่กล้าไปอยู่ในที่ชุมชนเลย)

One thing you shouldn't have any trouble surviving during Loy Krathong despite my attempts to sweep my doomsday eye over it and find fault are the Noppamas Beauty contests. Yep, there's nothing bad about beauty contests. They're all good! I suggest you give up on that whole floating a boat for good luck thing and just go watch a beauty show! Who doesn't love beautiful women? Well, except maybe ugly women. I think they're resentful and more than a bit jealous of their looks. It's understandable really. Many men feel that very same way about me. It's hard being so good looking, but hey, when you get linked to the likes of Christina Aguilar, what can you do? What was I talking about again? Oh, yeah, Loy Krathong! Happy Holidays!



Loy Krathong Survival Kit:

1. Banana leaves (for Krathongs)
2. Offerings for the gods (for luck)
3. Good will (for hunting)
4. Armbands (to stop you from drowing)
5. Easily accessible fire starting material (for small children)
6. Lots of Styrofoam (to help pollute the atmosphere)
7. A pretty Noppamas (err for entering into a beauty contest)
8. A Jenna Jameson video (in case you can't get a Noppamas)
9. A bottle of Sang Som (in case you can't get a Jenna Jameson video)
10. A packet of Mentos (in case you can't get any of the above. It's always good to have fresh breath)

ขำได้อีก อ่านๆ ไปก็เริ่มนึกได้ ว่าเออ...เค้าชอบจิกกัดประเทศไทยแฮะ แต่ดูเหมือนจะออกแนวเหน็บๆ เจ้าตัวคงไม่ได้เกลียดประเทศไทยหรอกมั้ง นามสกุลก็ไทยนี่นา หาบทความไปมาเจอประวัติเข้า

อ้าว...เค้าเป็นลูกครึ่งไทย - อังกฤษ นี่นา แต่อยู่ที่อังกฤษจนโต พ่อแม่แยกทางกันแต่เล็ก เค้าอยู่กับแม่มาตลอดเลยอยากมาลองใช้ชีวิตที่เมืองเกิดของพ่อดูบ้าง เลยมาทำงาน + หัดใช้ชีวิตแบบไทย

อ่อ...มิน่าล่ะ ถึงได้มีแนวคิดไม่เหมือนคนไทย และคงจะเพราะโตที่อังกฤษนี่เอง ถึงได้ชอบนัก พวกบทความเหน็บๆ พอให้แสบๆ จี๊ดๆ เล่นเนี่ย ของถนัดคนอังกฤษเขาล่ะ (แต่ยิ้มชอบอ่านนะ มันดู Black humour ดี)

ว่าแล้วข้าพเจ้าก็โรคจิต ถามอากู๋(เกิ้น) ต่อ...ว่าท่านพี่คนนี้มีผลงานอะไรอีก จึงทำให้พบว่า
เห...เขายังอายุน้อยอยู่เลยนี่นา

http://www.readbangkokpost.com/articles/elliotday1.php
^
^
ตามไปดูเลย หน้าตาไม่เลวซะด้วย แต่หน้าคล้ายลูกครึ่งอินเดียมากกว่าไทยนะ ^ ^' หรือว่า...ลูกครึ่งไทยกับคนอินเดียที่อยู่ในอังกฤษ เพราะชื่อก็ออกไปทางฮินด สันสกฤตอะไรได้อยู่นะคะเนี่ย อื่ม...เค้าจะเป็นอะไรก็ช่างเหอะเนอะ แต่ที่แน่ๆ แอบหลงรักตัวหนังสือเค้า ทำไงดี แหะๆ


ฮะ ๆ ๆ ๆ วันนี้มาเล่าแค่นี้แหละค่ะ ^ ^'

โรคจิตวันละนิด จิตแจ่มใส
งานการไม่เสร็จไม่เป็นไร
ขอให้ใจสดชื่นรื่นอุรา
.
.
แง ลอร่าเจน อย่าเพิ่งฆ่าหนู T-T

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

กรรม

Rating:★★★★
Category:Other

ฮ่าๆ ๆ ในที่สุดสุขภาพจิตที่ดี(กว่าช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2009) ก็กลับมาแล้วนะคะ อาจจะไม่ดีสุดๆ เท่าที่เคยเป็น แต่อย่างน้อยอาการ suicidal บ้าๆ บอๆ อารมณ์ผันผวน เครียด กดดัน ซึมเศร้า ก็หายไปเยอะแล้วล่ะ

อีกสักพักพลังในการเขียนอาจจะกลับมาดังเดิม

วันนี้อ่านกระทู้ในพันทิปค่ะ เขาพูดถึงรายการหนึ่งที่นำเสนอเรื่องราวของ 'กรรมเก่า' ที่ส่งผลต่อชีวิตในปัจจุบันของหลายๆ คน วันนี้รายการพูดถึงครูสาวคนหนึ่ง ที่ต้องทรมานกับโรคเกี่ยวกับท้อง และรังไข่ไม่หยุดหย่อน จนปัจจุบันต้องตัดมดลูกไปแล้ว

คุณครูบอกว่าตอนสมัยเด็กๆ เขาชอบตกปลาเข็มท้องแก่มา ผ่าท้อง รีดไข่ออก แล้วทิ้งกลับลงน้ำไป เพื่อความสนุกสนาน วันหนึ่งก็ทำทีละหลายตัว (เป็นความสนุกสนานที่ออกจะโหดร้ายไปไม่น้อยนะคะเนี่ย)

กรรม..คือผลแห่งการกระทำ
กฏแห่งกรรมมีจริงหรือไม่ คงต้องพิสูจน์เอาเอง

(โปรดใช้วิจารณญารในการอ่าน กฏแห่งกรรมเป็นความเชื่อส่วนบุคคล)

ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่า คนหลายๆ คนต้องประสบกับโรคหรืออาการแปลกๆ ในช่วงใกล้บั้นปลายของชีวิต และเมื่อนึกย้อนกลับไปในอดีต พวกเขาก็เคยกระทำอะไรที่ทำให้สัตว์โลกอื่นๆ ต้องทุกข์ทรมานในรูปแบบคล้ายๆ กับที่เขากำลังรู้สึกอยู่

หลายๆ คนคงเคยได้ยินเรื่องเล่าของคนที่มีอาชีพฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ ที่ร้องครวญคราง ดิ้นพล่านทรมานเหมือนสัตว์ก่อนสิ้นลม หรือคนทรมานแมวเพื่อความสนุกจนแมวขาเก สุดท้ายก็ต้องมาเสียขาในอุบัติเหตุ

หนึ่งในบุคคลที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับการกระทำของตนในอดีตที่อาจจะมีผลเกี่ยวเนื่องมาถึงสภาพชีวิตในปัจจุบันนั้นก็มีพ่อของยิ้มรวมด้วย พ่อจ๋าบอกว่าตอนเด็กๆ เคยเอาข้าวเปลือกให้ลูกนกกิน ก็หวังดีกับมันล่ะนะ แต่ว่า...รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เม็ดข้าวมันคงจะใหญ่เกินไปสำหรับลูกนกตอนนั้น ติดคอ อึดอัด ทรมานอยู่นานก่อนจะขาดอากาศตายไป

หลังจากนั้นหลายปี...พ่อจ๋าเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ทรมานอยู่นาน เพิ่งจะมาดีขึ้นเอาเมื่อสิบกว่าปีหลังๆ มานี้เอง และพ่อจ๋าก็นึกถึงนกตัวนั้นอยู่เป็นครั้งคราว...ตอนนั้นมันคงทรมานเหมือนตอนที่พ่อจ๋าเป็นโรคทางเดินหายใจนี่แหละ

ส่วนตัวเอง...ก็ให้นึกสงสัยอยู่ ว่าอาการภูมิแพ้ที่เป็นอยู่มันจะแก้ไขได้ยังไง ทั้งกินยา ทั้งเพิ่มภูมิ พยายามออกกำลังกาย ใช้หมอนแบบป้องกันไรฝุ่น เปลี่ยนผ้าปูทุกอาทิตย์ ดูดฝุ่นอาทิตย์ละ 3 ครั้ง เช็ดฝุ่นในห้องวันเว้นวัน แต่กระนั้นก็ดี...อาการก็ยังมีอยู่ ดีบ้าง ร้ายบ้างแล้วแต่ช่วงไป

จริงๆ ยิ้มก็เกือบจะลืมไปแล้วล่ะค่ะ ว่าตัวเองมีโรคทางเดินหายใจ เพราะว่าอยู่กับมันทุกวันมาตั้งแต่เด็ก ชินแล้ว จนกระทั่งมีโอกาสนอนรวมกะคนอื่นทีนึง ก็จะนึกขึ้นมาได้ทีนึง ว่าคนอื่นเค้านอนสบายๆ ไม่ทรมานเหมือนเรานี่หว่า - -'

ภูมิแพ้ของยิ้มจะกำเริบช่วงฤดูที่มีฝุ่นเยอะ และฤดูที่มีเกสรดอกไม้เยอะๆ อันได้แก่ปลายฤดูหนาวของไทย และฤดูร้อนของอังกฤษ เวลาแพ้ก็อาการเหมือนคนอื่นแหละ เคืองตา ตาแดง คันตามข้อพับ ไอ จาม เยื่อบุจมูกบวม

ที่เกลียดที่สุดก็อาการเยื่อบุจมูกบวม เมื่อมันมาผนวกกับกายวิภาคที่ผิดปกติอยู่แล้ว (กระดูกในโพรงจมูกคด ทำให้รูโพรงจมูกเล็กกว่าชาวบ้าน) อาการกำเริบขึ้นมาทีไร อาการข้าพเจ้าเหมือนกับมีคนเอามือมาอุดจมูกทั้งสองข้างจนมิดทุกที ถ้าไม่พ่นยาก็ต้องหายใจทางปาก แล้วมันก็จะรู้สึกทรมานเหมือนคนจมน้ำ สำลัก หายใจไม่ออก หอบ เหนื่อย

หรือว่าจะเคยสร้างกรรมอะไรไว้ว้าาาาา....คิด ๆ ๆ ๆ ๆ

ก็เลยนึกถึงตอนเด็กๆ (ก่อน 10 ขวบอีก)

ตอนนั้นที่บ้านยายมักจะมีแตนมาเกาะข้างฝา เพราะฝาบ้านมันเย็นดี แตนคงชอบ ยิ้มตอนเด็กๆ ก็โดนต่อยมั่ง อะไรมั่ง เป็นครั้งคราวจนรู้สึกโกรธแตนพวกนี้ มันนึงโกรธสุดๆ ก็เอาไม้กวาดทางมะพร้าวฟาดลงไป แตนโดนฟาด มึน ตกลงมา 2-3 ตัว เด็กหญิงยิ้มยังไม่พอใจ จับแตนพวกนั้นลอยน้ำ แตนทั้งดิ้นพล่าน ทั้งทรมานอยู่นาน ดิ้นรนหมายจะให้ชีวิตรอด จนค่อยๆ นิ่งไป พอมันค่อยๆ นิ่ง ยิ้มก็จะหยิบมันขึ้นมาจากน้ำ เอาไปวางบนทิชชู ให้ทิชชูซับน้ำจากตัวมันจนแห้ง แล้วก็ปล่อยมันไป

ตัวไหนไม่รอดก็เอาศพมันไปฝังในดิน หรือบางทีถ้าโกรธจัดก็...ขาดเป็นชิ้นๆ (โอย ไม่เล่าต่อดีกว่า เรื่องการทำร้ายแตน รู้สึกตัวเองออกแนวโรคจิตยังไงไม่รู้)

แล้วก็ไม่ได้ทำครั้งเดียวด้วยนะคะ

ทำแบบนั้นตั้ง 2-3 ครั้งแน่ะ ไม่รู้ว่าตัวเองมีความพอใจกับการดิ้นพล่านทรมานของแตนในน้ำได้ยังไง (แต่การมองมากๆ ก็ทำให้ยิ้มกลัวน้ำลึกๆ ไปเลยอ้ะ) มันคงทรมานมากๆ สำลักน้ำแล้ว สำลักน้ำอีก หมดแรง นิ่ง จนปล่อยให้ตัวเองตาย

บาปกรรมอิฉันคงหนาอยู่...เพราะมันเป็นการทำเพื่อความสาแก่ใจล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำเพื่อยังชีพแต่ประการใด (เหมือนพวกผู้ดีล่าหมาป่าในอังกฤษอ้ะ - -' ล่าขำๆ เอามันส์)

ไม่รู้ตอนนี้ดวงวิญญาณของแตนจะไปเกิดเป็นอะไรแล้ว ขออโหสิกรรมด้วยนะ ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้สบายเหมือนกัน ถ้าไม่ใช้ยาพ่น ยาแก้แพ้ หรืออาหารเสริมระงับการหลั่งของฮิสตามีน เราก็แทบจะนอนราบไม่ได้ ต้องนั่งพิงหมอนหลับ (เหมือนคนในยุโรปสมัยก่อนเลยอ้ะ หรือว่าเราจะเคยเกิดเป็นคนยุโรปมาก่อน - -' )

อาการนี้อาจจะใช่ หรือไม่ใช่กฏแห่งกรรมก็ได้..

โรคภูมิแพ้อาจจะเป็นพันธุกรรม อาการมันมาหนักเอาช่วงหลังเพราะอยูในที่ที่เกสรดอกไม้มหาศาล

หรือโรคภูมิแพ้เป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ แต่กรรมของยิ้มก็มาทำให้อาการมันรุนแรงขึ้นอีก จะได้รู้สึกทรมานเหมือนแตนจมน้ำ

หรือจริงๆ แล้วมันอาจจะเป็นกรรมที่ร้ายแรงกว่านั้น แต่ยังไม่รู้ตัว

ก็ยังตอบคำถามหรือข้อสงสัยอะไรไม่ได้นะคะ ก็ได้แต่...งดเว้นการสร้างกรรมใหม่ พยายามถือศีลให้บริสุทธิ์(เป็นส่วนมาก) สักวันคงจะมีคำตอบเกิดขึ้นในใจบ้างมั้ง

ป.ล. 1 ใครรู้จักอาหารเสริมที่กินแล้วภูมิต้านทานดีขึ้น อาการภูมิแพ้ลดลงมั่งคะ ^ ^' แนะนำหน่อย

ป.ล. 2 ใครรู้ว่าจะไปแก้กรรมที่ไหนได้มั่งคะ แนะนำด้วย

ฮ่าๆ เอาทั้งวิทยาศาสตร์ และ ศาสตร์ที่ยังหาคำตอบไม่ได้เลยทีเดียว - -'

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ (ฉบับ 20+) อายุไม่ถึงอย่ามาเนียน

วันนี้พลิกไปอ่านกลอนเก่าๆ ที่เคยเขียนไว้
พบว่า...ชอบกลอนบทนี้มากเลยค่ะ 555
ตอนนั้นเขียนเพื่อถอดเพลง 'ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ'
แต่อ่านแล้วได้อารมณ์ประมาณบทอัศจรรย์
เหมือนได้อ่านวรรณคดีเรื่องกากี หรือขุนช้างขุนแผน
หรืออิเหนา อย่างไงก็อย่างงั้น

ที่เคยเขียนไว้มันสั้นไปนิด ไม่ได้อารมณ์อย่างไรบอกไม่ถูก
เลยขอนำมาขยายความต่ออีก 6-7 บทดังนี้แล
หมายเหตุ: ^ ^' เค้าเอามาจากนิยายกระต่ายที่อ่านอ่ะนะ
หาได้เอาประสบการณ์ตรงมาเขียนแต่อย่างใด
ผิดถูกอย่างไรก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
.
.
เมื่อแผ่นฟ้าสิ้นแสงพรายระบายสี
เพลงราตรีเริ่มบรรเลงเร่งกระชั้น
น้ำตารินเมื่อมาถึงซึ่งปลายวัน
ตื่นหรือฝันก็เดียวดายคล้ายคล้ายกัน

ชลนาหยาดหยดรินรดหมอน
ให้สะท้อนถอนใจจนไหวสั่น
มองตรงไปในกระจกอกตีบตัน
เงาคือเพื่อนเพียงเท่านั้น...ที่ฉันมี

โอ้ความเงียบไล้อาบกำซาบกาย
พริ้วพระพายโชยชายเย็นเหลือที่
ขอเดินทาง..สู่ห้วงฝันในทันที
สู่อ้อมกอดที่ภักดี...มีเพียงเรา

จะโอบเธอด้วยสองแขนแน่นสนิท
ให้รสรักร่ายฤทธิ์ปลิดความเหงา
ให้เพลงฝันครวญเสียงเพียงแผ่วเบา
ให้สองเงา...รวมเป็นหนึ่งพึงใจปอง

ให้เนื้อกายแนบกายคลายความหนาว
ใต้แสงดาวแห่งราตรีมีเราสอง
ให้จุมพิตซับน้ำตาที่คลอคลอง
แล้วบินล่องท่องสู่แดนสวรรค์

รสใด...หวานกำซ่านปานรสรัก
รสสวาทจำหลักปักใจมั่น
ระเริงรักรุกไล่ใต้แสงจันทร์
สะท้านสั่นกลั้นเสียงร้องก้องอุรา

ปล่อยไฟรักให้ตะโบมโหมกระหน่ำ
ล้างความช้ำชอกใจในอกข้า
ให้โชติช่วงสว่างไสวในดวงตา
ให้ผลาญพร่าความขุ่นข้องของวันวาน

อ้อมกอดอันแข็งแกร่งแฝงไออุ่น
สัมผัสแสนละมุนกรุ่นความหวาน
รอยจุมพิตแนบสนิทชิดวิญญาณ
ความสุขไม่จำกัดกาลปานนิรันดร์

แสงจันทร์ส่องสว่างกระจ่างหล้า
รอยยิ้มเธอกระจ่างตากว่าภาพฝัน
รอยสัมผัสอบอุ่นกว่าแสงตะวัน
รอยรักเธอกับฉันมั่นคงนาน

นวลเนื้อแนบเนื้อระเรื่อรัก
นิ้วสานนิ้วทอสมัครถักสมาน
ละลิ่วลอยในห้วงฝันอันตระการ
ยังวิมานสราญรมย์สมอุรา

จนกรีดร้องให้กึกก้องคลองอารมณ์
ละลิ่วแล่นดุจล้อลมสมปรารถนา
หนึ่งสัมผัสอันเจนจัดรัดกายา
พสุธาให้ร้อนเร่าด้วยเราสอง

รัตติกาลอันเร้นรักจักผ่านพ้น
สายน้ำวนจนนาวาพาลอยล่อง
บนฟากฟ้าดารกาทอแสงส่อง
อ้อมแขนเธอยังตระกองครองวิญญาณ

เธอกอดฉันไว้ในอ้อมแขน
มาตรแม้นคืนวันหยุดผันผ่าน
ร่วมล่องเพลิงอารมณ์โหมระราน
จนถึงห้วงสายธารหวานฉ่ำทรวง

.

.

แสงอาทิตย์สาดส่องช่องหน้าต่าง
แต่แนบข้างยังแรมร้าง...แม้วันล่วง
ตื่นขึ้นมาตระหนักว่าเป็นภาพลวง
น้ำตาร่วงลุกขึ้นนั่งยังร้าวใจ

เมื่อทุกสิ่งที่ได้เห็น...เป็นเพียงฝัน
หยุดความสุขเพียงแค่นั้นเมื่อวันใหม่
ไม่อาจก้าวสู่โลกกว้างเดินทางไกล
เพื่อเคียงคู่กันไปจนสุดทาง

พบกันเพียงในโลกฝันอันแสนหวาน
เวลาผ่าน..เจ็บหนักด้วยรักร้าง
หรือภูติพรายแห่งคืนเหงาเงาอำพราง
มาสรรค์สร้างภาพเธอบำเรอกัน

แท้จริงยังคงเหงา...เศร้าอย่างเดิม
ที่มีเพิ่มคือความคิดติดห้วงฝัน
ต้องมานั่งอกสะท้อนวอนขอจันทร์
ให้พบเธอคนนั้น...ในโลกจริง


วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Happiness, where are you ???

Rating:
Category:Other
ให้หนึ่งดาวสำหรับความรู้สึก กำลังใจ และพฤติกรรมการทำงานช่วงนี้
ที่เขียนนี่มาระบายนะเนี่ย..ไม่กล้าบ่นให้ใครฟังแล้ว เดี๋ยวคนอื่นจะเครียดไปด้วย หรือไม่ก็เบื่อที่จะฟัง

ไม่นานมานี้เองยิ้มเพิ่งทำ quiz ใน facebook ไป คำถามหลักคือ...สิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดในชีวิตคืออะไร คำตอบของเพื่อนคนอื่นมีทั้งความรู้ เงินทอง ความมีชื่อเสียง ปะปนกันไป...แต่ของยิ้ม มันช่าง simple มาก
.
.
ความสุข
.
.
ใช่ ยิ้มอยากกลับไปเป็นยิ้มที่มีความสุขที่สุดในโลกอีกจังเลยค่ะ

ตั้งแต่เริ่มเรียน PhD มานี่...ชีวิตยิ้มช่างหาความสุขยากเหลือเกินค่ะ เข้าใจละ ว่า PhD ที่แปลว่า Permanent Head Damage มันเป็นยังไง ความจำ ความคิด ทัศนคติ ถูกทำลายไม่เหลือหลอภายในระยะเวลาปีครึ่ง
.
.
.
แล้วมาเรียนทำไม - -' อื่ม ก็ไม่มีทางเลือกนี่นา อยากเป็นอาจารย์ก็ต้องเรียนให้ถึงที่สุด เลือกเรียนด้นการจัดการมรดกทางวัฒนธรรม ชื่อฟังดูดี๊....ดี แต่พอเรียนจริงๆ ก็ยิ่งประจักษ์แน่ชัด ว่าเราชอบไปทาง field archaeology หรือไม่ก็ Conservation เลือกมาแล้ว...ทำไงดี....ก็เรียนต่อไป

จะจบตอนอายุเท่าไหร่..
28 - 29 โน่น..
อ๊ากกก
.
.
.
เชื่อมั้ยคะ ช่วงเวลาปี - สองปีที่ผ่านมา ยิ้มอยากบวชมากๆ อยากเข้าสู่ใต้ร่มพระธรรม อยากจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น อยากตัดขาดจากโลกมนุษย์อันวุ่นวายสับสน อุทิศชีวิตให้กับการเผยแผ่พระพุทธศานาไปเลย

แต่ติดที่ว่าบวชชี ก็ยังต้องอาศัยปัจจัยในระดับหนึ่ง - -' ถ้าเราไม่มีลูกหลานมาคอยดูแล นั่นแปลว่า...ในสภาพปัจจุบัน ก็ยังบวชไม่ได้ ติดทุนอีกประการหนึ่ง ถ้าเราบวชนั่นแปลว่าท่านพ่อท่านแม่ต้องใช้ทุนให้เรา..นับถึงเวลานี้ก็...ไม่มากไม่น้อย 30 กว่าๆ ล้านเอง (3 เท่าของค่าเล่าเรียน 7 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา)

ก็สรุปว่า...ยังบวชไม่ได้นะคะ

แล้วจะหาความสุขยังไงดี...

1. ดูละคร ซีรี่ส์ เล่นคอม เล่นเกม เข้าเว็บพันทิป อ่านกระทู้นาธาน ลาบไก่ฯ

พวกนี้ก็พอช่วยได้นะ แต่มันช่วยได้ชั่วครั้งชั่วคราว พอเลิกทำก็เครียดอีก หนำซ้ำยังบริโภคเวลาไปมหาศาล แทนที่จะได้ทำงานทำการ

2. นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม

อันนี้เป็นสุขดี ชอบนะ แต่มันก็วกมาที่เก่าอีก นั่งแล้วไม่อยากลืมตาตื่นเลย ไปถือศีลที่วัดก็ไม่อยากกลับมาสู่โลกภายนอก...อยากบวชๆ ๆ ๆ ๆ

อ่อ..ยังบวชไม่ได้ ลืมไป

3. ไปเที่ยว

อันนี้ช่วยได้นิดนึง..นิดเดียว จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ระยะหลังๆ ข้าพเจ้าจะเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยไปไหน หายหน้าหายตาไปบ้าง ออกไปข้างนอกแล้วมันกังวลเรื่องงาน (ทั้งที่อยู่ห้องก็อาจจะเล่นเนต) เหมือนมีอะไรมาขี่คอ ขี่หลัง ให้หนักหน่วงหัวจายยยย

4. กินเหล้า

อ่า...เข้าพรรษาอยู่นี่นา...อืม ไม่ได้ๆ
ตอนแรกว่าจะเลิกไปเลย ตลอดกาล
แต่ถ้ามันเครียดมากๆ ก็คงอยากใช้น้ำจัณฑ์ชำระน้ำตา

ทำยังไงดีคะ..
ถ้ายังคิดไม่ตก ก็คงจะวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์อยู่เนี่ยแหละ
ทำงาน เครียด ขี้เกียจ เถลไถล กินข้าว นอน

อยากให้ชีวิตมีคุณค่ามากกว่านี้จังเลย

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หนีตามกัปตันคุก...






ชื่อเลียนแบบเต็มๆ เลยค่ะ
เลียนแบบชื่อหนังด้วย
แล้วก็เลียนแบบชื่ออัลบั้มของเพื่อนที่ชื่อหนังไปตั้งเป็นชื่ออัลบั้มรูปท่องเที่ยวของตัวเองด้วย
ฮ่าๆ เราชอบลอกเลียนแบบ เราไม่มีฉะหมอง

เรื่องของเรื่องคือ..มีเพื่อนมาพักอยู่ด้วย 3-4 วันนะคะ ช่วงที่มีงานรับปริญญา มีอยู่วันหนึ่ง แดดดี ทำท่าว่าฝนอาจจะไม่ตกมาก ก็เลยไปเที่ยว Whitby เมืองที่อยู่ไม่ห่างจาก York มากนักกัน Whitby เป็นเมืองท่าที่มีอายุเก่าแก่มาตั้งแต่สมัย Anglo Saxon ก็มันเป็นเมืองชายฝั่งปากแม่น้ำ Esk นี่เนาะ พวก Angles กะ Soxon ก็เลยแล่นเรือเข้ามาจับจองพื้นที่ได้ง่าย

ทำไมต้องหนีตามกัปตันคุก หรือ Captain James Cook ? ? ? ?
ก็เพราะว่าเมือง Whitby นี้เป็นเมืองท่าที่กัปตันออกเดินเรือก่อนที่จะไปพบทวีปออสเตรเลียน่ะสิ...เมืองนี้เลยมีอนุสาวรีย์ของท่านตั้งอยู่ด้วย

พูดถึงไฮไลต์ต่างๆ ของเมือง อิฉันขอยกมาบางส่วนดังนี้

1. ร้าน Magpie
ร้านนี้เป็นร้านขายอาหารทะเล รวมถึง Fish 'n Chips อาหารอังกฤษที่แสนจะได้รับการกล่าวขวัญ (มัน เลี่ยน จืด ^ ^' แต่มาแล้วต้องกิน) อาหารแนะนำของที่นี่คือ Haddock and chips และ Crab Salad คิวยาวมากกกก ต่อคิวกันจนแดดเผาไหม้เกรียม

2. Whitby Abbey
สำนักสงฆ์ที่นี่ก็เหมือนกับที่อื่นๆ น่ะค่ะ สมัยนั้นสำนักสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรถูกทุบทำลายโดยคำสั่งของกษัตริย์ Henry ที่ 8 ที่ต้องการทำลายเอกลักษณ์ของนิกายเก่า เพื่อนำเสนอนิกาย Anglican ที่ตัวเองเป็น Supreme Head (เพื่อที่จะหย่าเมียได้ตามชอบใจ - -' ) นอกเหนือจากเหตุผลการทำลายอัตลักษณ์แล้ว การทำลายสำนักสงฆ์ต่างๆ ก็ยังทำให้ได้เงินได้ทองมาถลุงกันในหมู่ขุนนางด้วย ข้างๆ ซากปรักหักพังนี่ ยังมีบ้านขุนนางเก่าเลย

อาจจะเป็นประวัติศาสตร์ที่ดูหดหู่และรุนแรง แต่มันก็ทำให้เกิดซากปรักหักพังที่กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันลือชื่อของอังกฤษนะเคอะ

3. Pier
แถวนั้นวิวสวยดีค่ะ ไปยืนชิวๆ ถ้ามีอาหารก็เอาไปโยนให้นกนางนวลมั่ง ได้อารมณ์ดีนะ

4. อนุสรณ์กัปตันคุก
มีอนุสาวรีย์อยู่ค่ะ จากจุดนั้นเห็นวิว Abbey กับวิวเมืองชัดดี สวยงาม

5.กรามปลาวาฬสีน้ำเงิน
เมื่อก่อนที่นี่เป็นเมืองท่าออกเรือล่าปลาวาฬและแมวน้ำ (แง....น่าสงสาร T-T) มีเรือลำนึงได้ปลาวาฬสีน้ำเงิน ที่ถือว่าเป็นสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมา เลยเอากรามมันมาตั้งทำอนุสรณ์ไว้ใกล้ๆ กะอนุสาวรีย์กัปตันคุก แต่ไม่ได้เอารูปลง เพราะเราสงสารน้องปลาวาฬ T-T

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เมื่อกวีไม่มีไฟ...


ปลายนิ้วระเรี่ยไล่ไล้คีย์บอร์ด..
สองแขนกอดตุ๊กตาหาที่พึ่ง
ตาเลื่อนลอยผ่านล่วงห้วงคำนึง
หวนคิดถึงวันก่อนเก่าเรามีไฟ

เมื่อฟืนฝันวันเยาว์..เป็นเถ้าถ่าน
มันผันผ่านเกินจะย้อนถอนคืนได้
ความสามารถจางเจือเหลือแค่ 'ใจ'
เขียนอะไร..ก็ติดขัดอึดอัดจริง


อยากระบายให้โลกรู้ว่ากูเศร้า   
ว่ากูเหงา กูเครียด เกลียดทุกสิ่ง
อยากรัวนิ้วพิมพ์ไปไม่ประวิง
แต่ความคิดสนิทนิ่ง...อนิจจา


ฤๅสนิม...มันเกาะกินจนสิ้นซาก
หรือ 'ใจอยาก' มันลอยไปเกินไขว่คว้า
โอ้..เมื่อไหร่ 'ใจรัก' จักคืนมา
แล้วเมื่อไหร่จะหายบ้า..น้ำตาริน


ใครบอกว่าธารอารมณ์น่าชมชื่น
จะขมขื่นหรือสมหวังทั้งหมดทั้งสิ้น
ล้วนเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปิน
สร้างผลงานคู่ฟ้าดินดั่งจินตนา


ลองมาอยู่ในห้วงอารมณ์นี้
ความสามารถที่เคยมีกลับหนีหน้า
ความสุขที่คว้าไว้แสนไกลตา
เป็นกวีที่ไร้ค่า...น่าอับอาย


อยากเรียงร้อยถ้อยคำให้บรรเจิด
เกลาสำนวนให้พริ้งเพริศเลิศเหลือหลาย
เร้าอารมณ์ให้พร่างฝันพรรณราย
ดุจนางรำกรีดกรายร่ายวงแขน


แต่สมองกับสองมือไม่ทำงาน
อารมณ์หวานจางไปไม่โลดแล่น
สิบนิ้วรัวคีย์บอร์ดไปตามแกน
โวหารดูง่อนแง่นไร้พลัง


ช่วยด้วย...ช่วยเติมไฟให้กวี
พอให้มีโลหิตแห่งความหวัง
พอให้เขียนด้วยใจรักอีกสักครั้ง
ลบความชังลบความโศกเกลียดโลกนี้


ช่วยเรียกรอยยิ้มนั้นกลับคืนมา
ช่วยย้อนเวลาอย่างเร็วรี่...
กลับไปสู่ช่วงชีวิตที่แสนดี
ให้กวีได้จารจำย้ำรอยใจ


เก็บความหลังเป็นพลังสู่ฝั่งฝัน
ผ่านคืนวันคลื่นโหมโถมสาดใส่
จะทุกข์สุขก็เรียงร้อยถ้อยคำไป
เพราะมีไฟไว้เติมฝันทุกวันคืน


..........................................

เขียนกลอนได้ไม่เหมือนเดิมค่ะ ผู้ชม
นิยายก็เขียนไม่ได้เลย
เรื่องสั้นก็เขียนไม่ออก
บล็อกก็เขียนไม่ได้

ไม่ต้องพูดถึงงาน Thesis ล่ะ อันนั้นยิ่งไปใหญ่....
มือก็แข็ง ดีดเปียโนไม่ได้เหมือนเดิม
อ๊ากกกก เครียด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ช่วยด้วยยยยยยย

เอาแรงบันดาลใจฉันกลับคืนมาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา


วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เรื่องเล่า...จากผ้าใบ









หนึ่งผลงานสร้างสรรค์อันบรรเจิด
แม้จะไม่งามเพริศด้วยสีสัน
แต่เปี่ยมด้วย 'ชีวิต' ไม่ผิดกัน
คือความจริงคือความฝันแห่งวันเยาว์

หากวันหนึ่ง...ไม่พอใจในภาพนี้
เพราะแสงสีอ่อนจางอย่างภาพเก่า
อยากเปลี่ยนแปลงสร้างสิ่งใหม่ให้ 'ตัวเรา'
กลายมาเป็นเรื่องเล่า...ของผ้าใบ

เริ่มแต่งเสริมเติมสีให้จัดจ้าน
แปรงชีวิตผลิตงานอันสดใส
ระบายทับตัวตนไม่สนใจ
ว่าเคยเป็นเฉกเช่นไร...ในรอยกาล

ภาพเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของหล่มโลกย์
ระบายโศก...ตาปรอยรอยยิ้มหวาน
ตวัดแปรง...แสร้งหัวเราะแสร้งเบิกบาน
เติมสำราญ...แต้มโมโห แต่งโกรธา

ภาพชีวิตเปลี่ยนไปไม่ซ้ำซาก
แต่วิญญาณดุจโดนพรากจากสังขาร์
บนผ้าใบ...นั้นคือใครให้คุ้นตา
ลืมไปว่าภาพที่เห็นเป็นตัว 'เรา'

จากภาพจริงสีอ่อนตอนแรกเริ่ม
ถูกแต่งเติมเร่งสีด้วยความเขลา
กิเลสหนามาก่อร่างสร้างแสงเงา
ช่างน่าเศร้า...โอ้ตัวตน อยู่หนใด

กว่าจะรู้ก็กลายเป็นเส้นซ้อนทับ
สนิทแน่นเกินจะกลับไปแก้ไข
คราบติดแน่นซึมซาบอาบแก่นใจ
ผืนผ้าใบ...นำเรื่องเศร้ามาเล่าเอย

................................................

ไม่ได้เขียนมานานเลยนะคะ พี่น้อง กลับมาเขียนอีกที ตอนนี้อาจจะยังไม่เพอร์เฝ็ค แต่ร้างไปนานกว่านี้คงจะไม่ไหวแล้ว สนิมอาจจะขึ้นถาวร เลยต้องกลับมาเขียนกลอนบ้าง อะไรบ้าง ก่อนที่ต่อมงานประพันธ์จะหดหายไปเพราะไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานาน
ความอยากเขียนกลอนบทนี้มันเกิดขึ้นตอนที่เบื่อเขียนงานส่ง เลยหนีไปเล่นโฟโต้ชอปน่ะค่ะ เกิดบ้าๆ ขึ้นมา อยากทำรูปเซ็ตสยองขวัญให้อินเทรนด์กับ musical ที่เล่นชนกันอยู่ขณะนี้ เลยลองเปลี่ยนหน้าตัวเองเป็นรูปวาดดูดิ๊ สยองพอรึเปล่า เปลี่ยนไปหลายๆ ครั้งก็เลยเกิดความคิดว่า...
ตัวตนของคนนั้น แรกเริ่มเดิมทีก็มาด้วยความว่างเปล่า บริสุทธิ์ สดใส กันเป็นส่วนมาก การเลี้ยงดูมีผลต่อความคิด สติปัญญา สามัญสำนึก...และผลจากการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อมในวัยเยาว์ก็ก่อให้เกิดการกระทำ ซึ่งสิ่งนั้นก็มีผลมากๆ  กับ 'ความเป็นตัวตน' ของแต่ละคน
เราอาจจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อสิ่งโน้นสิ่งนี้ ต้องหัดใส่หน้ากาก ต้องดิ้นรนจนขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้จนกลายเป็นคนเก็บกด พฤติกรรมเหล่านี้...ถ้าไม่หัดที่จะชำระบ่อยๆ ก็เหมือนการวาดภาพใหม่ทับลงไปบนภาพเดิมครั้งแล้ว ครั้งเล่า จนในที่สุดก็ยากที่จะพิสูจน์ว่าภาพแท้ๆ แต่ดั้งเดิมคือภาพไหน
ยกเว้นว่าคุณจะทำงานที่พิพิธภัณฑ์ - -'

เม้าท์มาได้เวลา ก็ขอลาจาก วันหลังจะมาเม้าท์ใหม่ จะพยายามหาเรื่องเบาสมองมามั่งนะคะ ^ ^'



วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ไม่ขอคาดหวังอะไรอีกแล้ว....

Rating:
Category:Other

ตอนเด็กๆยิ้ม มีโอกาสได้ไปเยือนทุ่งดอกบัวตองที่ดอยแม่อูคอจังหวัดแม่ฮ่องสอนอยู่สองครั้ง

ครั้งหนึ่งเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ช่วงที่ดอกไม้สีเหลืองทองสะพรั่งกำลังอวดความงามเต็มที่แก่สายตาผู้มาเยือน ภาพนี้เป็นภาพความงามสากล หมายถึงเป็นภาพที่ใครเห็นก็ยอมรับว่าทำให้จิตใจสดชื่นเบิกบานจนถึงกับต้องดั้นด้นเดินทางผ่านเส้นทางคดโค้งเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย

การเดินทางเยือนแม่อูคออีกครั้งเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อช่วงฤดูฝน...ช่วงที่ไม่มีดอกบัวตองสีสดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ดังเช่นในฤดูหนาว ท้องทุ่งบนโขดเขินเนินสูงและหน้าผาลาดต่ำดูเขียวขจีให้ความสดชื่นไปอีกแบบ ในวันนั้น...ยิ้มลองหลับตา เมื่ออยู่ต่อหน้าท้องทุ่งสีเขียวต่างระดับที่ไล่ตั้งแต่เขียวอ่อนไปจนถึงเขียวแก่ ภาพท้องทุ่งสีทองปรากฏแก่สายตาอย่างง่ายดาย ดุจภาพที่พิมพ์ไว้ในดวงจิต แม้ตาเนื้อจะมองเห็นแค่ความงดงามของทุ่งข้าวโพดและพืชไร่ แทนที่จะเป็นไม้ดอกประจำถิ่น แต่ตาในสัมผัสได้ถึงอิทธิพลของทุ่งสีทองที่ทิ้งรอยเอาไว้ให้แก่ผู้เคยทอดทัศนา

ยายของยิ้มชื่อบัวตอง...และวันนี้ดอกบัวตองดอกนี้ก็ไม่มีเสียแล้ว แต่อย่างน้อยยิ้มยังจดจำภาพเก่าๆ และความทรงจำดีๆ ระหว่างเราได้เสมอ
..............................................................

เกริ่นนำมาขนาดนี้...ผู้อ่านคงรู้แล้วใช่ไหมคะ ว่ายิ้มกำลังจะพิมพ์อะไรต่อไป ใช่ค่ะ...ยายของยิ้มเดินทางข้ามผ่านภพนี้ ไปสู่ดินแดนใหม่แล้ว ไปสู่ดินแดนอันสุขสงบ เป็นชีวิตที่ดีกว่าเดิมแน่ๆ รอยยิ้มนิดๆ ของยายบอกไว้อย่างนั้น

น่าเสียดายที่มันเป็นรอยยิ้ม...ที่ยิ้มไม่มีโอกาสได้เห็น ทำได้เพียงแค่ฟังคำบอกเล่าของคนที่ได้กล่าวคำอำลา แม้ว่าขณะนี้ยิ้มจะอยู่แค่เชียงใหม่ ห่างไกลจากบ้านยายแค่ประมาณ 40 กิโลเมตรเท่านั้นเอง

ในที่สุด...ยิ้มก็ได้เรียนรู้เสียที...ว่าเราไม่สามารถไปกะเกณฑ์อะไรได้เลย เหมือนตัวยิ้มเองที่หวังจะได้กล่าวคำลากับญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรัก แต่ก็ไม่สามารถจะทำได้ทั้งที่โอกาสอยู่ห่างออกไปแค่เอื้อมมือ เพราะเรามีภารกิจที่สำคัญพอกันประการอื่น

ชีวิตของยิ้มช่วงนี้มันคาดเดาไม่ได้เลยค่ะว่าวันต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เดิมคิดเอาไว้ว่ากลับมาปุ๊บจะเร่งทำงานแต่มาถึงจริงๆ สถานการณ์มันไม่เอื้ออำนวยให้ยิ้มได้ปลีกตัวออกไปทำงานได้เลย บล็อกเก่าๆ อาจจะเขียนไว้คลุมเครือ ไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่บล็อกนี้...ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เล่าหมดเลยก็ได้ค่ะ

เรื่องมันเริ่มต้นจากพ่อของยิ้มเส้นเลือดในสมองแตกกลางที่ประชุม ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลาทั้งสิ้นราวๆ 3 อาทิตย์ ในช่วงเวลาที่สนามบินสุวรรณภูมิถูกปิด และปู่ก็มาเสียในเวลาไล่เลี่ยกัน ทางบ้านตัดสินใจไม่บอกอะไรยิ้มเลยเพราะบอกไปก็กลับไม่ได้และยังมีงานคั่งค้างอยู่ ปล่อยให้กลับบ้านตามกำหนดเดิมคือปลายเดือนธันวาคมดีกว่า กลับมาถึงบ้านก็ตกใจ ที่พ่อเราไม่เหมือนเดิม แถมปู่ก็ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว เวลาผ่านไป...พอยิ้มเริ่มทำใจกับความจริงได้ แม่จ๋าก็เริ่มแสดงอาการกระเสาะกระแสะ เจ็บหน้าอกแน่นหน้าอกขึ้นมาบ้าง ช่วงนั้นส่งพ่อส่งแม่เข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ประหนึ่งว่ากลับมารับจ๊อบเสริมเป็นคนขับรถพยาบาล

ความวุ่นวายค่อยๆ ซาลงเมื่อปลายเดือนมกราคม เชื่อมต่อกับต้นเดือนกุมภาพันธ์เหมือนกับว่ามันเป็นช่วงลมสงบก่อนพายุจะมาจริงๆ ไม่นานนักยายก็ป่วยหนัก กินข้าวไม่ได้ และพูดไม่ได้ตามลำดับจนแม่จ๋าต้องไปปักหลักอยู่ที่ลำพูน และยายก็จากเราไปหลังจากวันเกิดของแม่จ๋าแค่วันเดียว…ในขณะที่ยิ้มต้องปักหลักดูแลพ่อจ๋าอยู่เชียงใหม่

ยิ้มก็คิดว่าถึงจะไม่ได้กล่าวคำลา..แต่อย่างน้อยก็ได้ไปงานศพ ไม่เหมือนตอนปู่จากไป แต่แล้วความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน หลังจากสวดอภิธรรมไปได้คืนเดียว แม่จ๋าก็ปวดท้องจนถึงขั้นดิ้นพล่านบนเตียง อาเจียนถึง 3 รอบ จนต้องพาส่ง รพ. ในกลางดึกคืนนั้นเอง ตอนแรกเราก็คิดว่าเป็นแค่โรคกระเพาะอาหาร ให้ยาเคลือบแล้วก็กลับได้ แต่กลับต้องเข้านอน รพ. กะทันหัน เพราะหมอเอ็กซเรย์แล้วเจอนิ่วในท่อไต มันขวางทางเดินปัสสาวะจนไตข้างขวาบวม อักเสบ มีของเหลวภายในต้องจัดการเอาออกด่วน เพราะแม่จ๋ามีภาวะโรคเบาหวาน ทิ้งไว้นาน ไตติดเชื้อคงไม่ดี เพราะเดิมไตก็อ่อนแอมากพออยู่แล้ว

ดังนั้น...ยิ้มก็ต้องอยู่ที่นี่ ทำเรื่องส่งตัวเข้ารพ. จองห้องพิเศษ พาขึ้นห้อง เก็บข้าวของของตัวเองและของพ่อจ๋ามาเตรียมนอนเฝ้าที่ รพ. ขนสัมภาระร้อยแปดขึ้นห้องพักที่ รพ. ฯลฯ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนคืนนั้นไม่ได้นอนทั้งคืน เวลา 48 ชั่วโมงที่ผ่านไป ได้นอนถึง 5-6 ชั่วโมงหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ เพราะแต่ละครั้งไม่เคยงีบได้นานเกิน 20 นาที พอแม่จ๋าขยับตัวก็ผงกหัวขึ้นดูแล้ว พยาบาลเข้ามาก็ตื่นขึ้นมาดู จนวันนั้นเหนื่อย ล้า มึนงงไปหมด และที่สำคัญก็คือ...ไม่ได้ร่วมงานส่งยายไปสู่สัมปรายภพ แต่ก็ต้องเข้าใจในสภาพปัญหา พยายามทำให้ดีที่สุด และแก้ไขให้ดีที่สุดไปทีละเปลาะๆ

สงสารแม่จ๋าเมื่อคืนก่อนจริงๆ แม่จ๋าปวดท้องมาก บอกว่าปวดยิ่งกว่าคลอดลูกเสียอีก แถมกินอะไรไม่ได้เลย กินไปก็อาเจียนออกมาหมด หมอบอกว่า...มีอยู่สองทางคือผ่าเอานิ่วออก หรือสอดกล้องเข้าไปทางท่อปัสสาวะ และปล่อยคลื่นทำให้แตกออกเป็นชิ้นๆ วิธีแรกค่าใช้จ่ายน้อยกว่า แต่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวนาน วิธีที่สองค่าใช้จ่ายมากกว่า แต่อาจจะทำให้มีโอกาสไปงานเผาของยาย ก็เลยตกลงกันว่าเอาวิธีสอดกล้องก็แล้วกัน เพราะถ้าฟื้นตัวไวอาจจะได้ไปงานของยายอยู่ สักวันก็ยังดี และถ้ารอ..แม่จ๋าก็คงทนไม่ไหวแน่ๆ ถึงจะเป็น รพ. เอกชนแพงระยับ เบิกได้น้อยนิดก็ต้องยอมล่ะ เพราะถ้าจะให้ไปรอคิวโรงพยาบาลของรัฐ ไตของแม่จ๋าคงยิ่งชำรุดกว่านี้

ยิ้มก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าชีวิตของยิ้มมันทำไมเจอกับอะไรวุ่นวายมากมายในช่วง 3 เดือนนี้ ปู่ ยาย จากไปใกล้ๆ กัน พ่อก็ป่วยหนักจนตอนนี้ยังไม่เหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์เลย แม่ก็ถึงกับต้องเข้า รพ. เหมือนกัน ยิ้มจึงไม่มีสิทธิ์จะเป็นอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นป่วย อ่อนแอ ท้อแท้ หรืออะไรก็ตาม อย่างน้อยก็ยังดีที่เราอยู่ ไม่อย่างงั้นพ่อจ๋าต้องเฝ้าแม่จ๋าเอง คงจะน่าสงสารกว่านี้

คนที่จิตใจแข็งแรงอาจจะมองว่าเรื่องแค่นี้เอง...นิดหน่อย คนที่เจอปัญหาหนักกว่านี้มีอยู่เยอะแยะ แต่ขอประกาศตัว ว่ายิ้มไม่ใช่คนที่จิตใจแข็งแรงขนาดนั้น จึงยังต้องการกำลังใจ หรืออย่างน้อย ขอแค่ความเข้าใจก็ยังดี ขอด้วยนะคะ อย่างน้อยก็ในช่วงนี้ 4-5 วัน

ขอบคุณที่รับฟังคำระบายเล็กๆ แล้วยิ้มจะกลับมาเขียนถึงยายใหม่นะคะ จริงๆ วันนี้ตั้งใจจะเล่าเรื่องยายแต่ว่าเขียนไปเขียนมามัน...อยากระบายมากกว่า ยิ้มมีเรื่องเล่าเก่ยวกับวีรกรรมของยายมากมาย อ่านแล้วคงนึกถึงคืนวันเก่าๆ ของป่าซางได้บ้าง เจอกันบล็อกหน้าค่ะ

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

DIY

Rating:★★★★
Category:Other


กลับมาอีกครั้งแล้วนะคะ หลังจากห่างหายจากการเขียนบล็อกไปนานพอสมควร ไม่รู้ว่าทำไมวันหนึ่งๆ เวลาผ่านไปเร็วจัง ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย...เฮ้อ

ก่อนอื่นต้องกล่าวขอโทษเพื่อนพ้องน้องพี่ทั้งในและนอก multiply หลายท่านที่โดนฟาดหัวฟาดหางใส่ไปหลายดอกในช่วงก่อนหน้านี้ ช่วงนั้นอารมณ์ไม่ปกติจริงๆ (ตอนนี้ก็ยังผีเข้าผีออกอยู่เนืองๆ) มุกตลกเสียดสีใดๆ ที่เคยเห็นว่าขำ มันก็พานจะเป็นชนวนให้รู้สึกหงุดหงิดได้ง่ายๆ (ถ้าเล่นไม่ถูกเวลา) ที่เครียดจัดก็เพราะว่างานของตัวเองก็คาบลูกคาบดอกอยู่แล้ว ตอนแรกก็คิดว่ากลับมาปุ๊บก็จะลุยๆ ๆ ไปเลย 2 เดือน แล้วก็กลับไปสอบอัพเกรดตอนกลางเดือนมีนา(สาเหตุหลักที่เครียด)

แต่ปรากฏว่าพอมาถึง อ๊า...พ่อไม่สบายหนัก ปู่ก็เสีย ยายก็ป่วยหนักกว่าเดิม (เดิมก็ทรงๆ แกมทรุดๆ อยู่แล้ว) แถมท่านแม่...ผู้ทำหน้าที่พยาบาลหลักมาในช่วงเดือนก่อนหน้าที่ยิ้มจะกลับมาก็เริ่มมากระเสาะกระแสะเอาอีก พอข้าพเจ้าจะออกจากบ้านไปทำงาน แม่ก็เกิดอาการ "โอ๊ย...เจ็บหน้าอก" "เอิ๊ก เป็นลม" อ้าว ทำไงล่ะทีนี้ ไปไหนก็ไม่ได้สิเรา รับจ๊อบเป็นรถพยาบาลจำเป็น ขึ้นๆ ลงๆ โรงพยาบาลอยู่หลายรอบในช่วงเดือนมกราคม

งึม....มาถึงวันนี้ยังเก็บข้อมูลได้ไม่ถึง 1 ใน 4 เลย...ดีนะ ขอเลื่อนสอบอัพเกรดไปแล้ว แต่คิดว่าพออะไรๆ เริ่มคลี่คลาย ก็จะได้เริ่มทำงานจริงๆ จังๆ เสียที และถึงจะยังไม่คลี่คลาย ยิ้มก็ขีดเส้นเอาไว้ที่ปลายเดือน กพ. พอถึงจุดนั้นก็จะลุยงานด้านการเรียนแล้ว no matter what happens ยังไงๆ ชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป

บ่นมา 3 ย่อหน้า ก็มาเข้าเรื่องกันเสียทีนะคะ วันนี้จะพูดถึง DIY หรือ Do-it-Yourself ซึ่งครอบคลุมถึงสินค้าประเภทที่ต้องซื้อมาประกอบเอง หรือผลิตภัณฑ์ใดๆ ก็ตามที่เกิดจากฝีมือของเจ้าบ้าน ถ้าถามว่าตัวยิ้มเองกับผลิตภัณฑ์พวก DIY มีความผูกพันกันอย่างไร ก็คงต้องตอบว่า ได้เห็นการประดิษฐ์ของพวกนี้ และมีส่วนร่วมมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ มากบ้าง น้อยบ้าง ตามแต่โอกาสและความยากของงาน เนื่องด้วยท่านพ่อของยิ้มชอบประดิดประดอย ซ่อมโน่นซ่อมนี่ เปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่มาตลอด

ช่วงนี้ท่านพ่อลาหยุดงานยาว แต่ด้วยประสาคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ ท่านพ่อก็จะต้องหางานอะไรสักอย่างมาทำแก้เบื่ออยู่เนืองๆ เช่นเรียกช่างมาซ่อมบ้าน หรือไม่ก็ซื้อของ DIY มาต่อเล่น ล่าสุดก็เพิ่งซื้อตู้ และชั้นวางของมาต่อไว้ในห้องรับแขก ข้าพเจ้าก็เข้าไปมีส่วนร่วมอีกตามเคยช่วยไขน็อตบ้าง ตอกเดือยไม้บ้าง เก้ๆ กังๆ แต่ก็สนุกดี วันนี้ตู้อุปกรณ์เครื่องมือของพ่อเปิดกว้าง เผยให้เห็นเครื่องมือจำพวกแผงวงจร สายไฟ กล่องน็อตและตะปูขนาดต่างๆ ไขควง เลื่อย ฯลฯ

ของเหล่านี้ทำให้เกิดความรู้สึกหวนหาอดีตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก...สมองน้อยๆ ด้อยรอยหยักเลยเริ่มนึกย้อนไปถึงสิ่งประดิษฐ์ของป๊ะป๋าที่รู้สึกผูกพันเหมือนโตมากับมัน

1. น้ำอุ่นพลังแสงอาทิตย์
บ้านเรามีน้ำอุ่นพลังงานแสงอาทิตย์ใช้มาตั้งแต่สมัยเมื่อ...อืม...ประมาณ 20 ปีที่แล้วเห็นจะได้ ตอนนั้นเขาก็มีเครื่องทำน้ำอุ่นใช้แล้ว ใช่...ไม่เถียง แต่ท่านพ่อคงเห็นว่ามันง่ายเกินไป และสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ท่านพ่อจึงซื้อถังขนาด 100 ลิตรพร้อมฉนวนห่อหุ้มเก็บความร้อนแล้วปีนเอาขึ้นไปเก็บไว้บนเพดาน ใช้ท่อเหล็กขดวนไปวนมาบนหลังคา เพื่อให้น้ำได้รับความร้อนอย่างเต็มที่ มีกระจกบานเกล็ด (ที่ถูกถอดออกมาเพราะหน้าต่างบานนั้นจะถูกปิดตาย - ของเหลือใช้) เป็นตัวรับพลังงานจากแสงอาทิตย์ (เออ..ใช้หลักอะไรไม่รู้ ลืมไปแล้ว) แค่นี้เราก็มีน้ำอุ่นใช้ตลอดปี อุ่นเกินไปจนกลายเป็นน้ำร้อน ต้องเปิดลงมาผสมกับน้ำเย็นอีกทีด้วยซ้ำ

ข้อดี: ประหยัด ใช้ของที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประหยัดพลังงานไฟฟ้า เวลาน้ำไม่ไหลก็เปิดเอาน้ำในถังลงมาใช้เป็นน้ำสำรองไว้ใช้ได้ มีกักไว้ตั้ง 100 ลิตร และถึงแดดจะออกแค่นิดเดียวแต่ก็น้ำร้อนเก็บไว้ได้นาน 2-3 วัน

ข้อเสีย: ช่วงไหนฝนตกติดๆ กัน 3-4 วัน ก็ดับเดี้ยง ไม่มีน้ำร้อนใช้ทันที ช่วงหลังๆ พอใบไม้ตกๆ ๆ ลงไปบนแผงกระจกบานเกล็ด ตะไคร่น้ำขึ้น น้ำก็ไม่ร้อนเท่าเดิม

ปัจจุบัน: ระบบน้ำอุ่นพลังงานแสงอาทิตย์ยังใช้ได้ดี แต่ถัง 100 ลิตรนั้นมันรั่ว ตอนนี้ท่านพ่อก็ปีนขึ้นไปเปลี่ยนถังไม่ไหวแล้ว นั่นสิ...ใครจะแบกถัง 100 ลิตรปีนขึ้นไปบนหลังคาเหมือนท่านพ่อสมัยยังหนุ่มๆ ได้กัน ถ้าใครสามารถขึ้นไปซ่อมให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมท่านพ่อจะยกลูกสาวให้พร้อมข้าวสาร 2 กระสอบ (พูดเล่นนะ แหะๆ ^ ^')

2. ชุดเฟอร์นิเจอร์ในห้องครัว

ชุดเฟอร์นิเจอร์ในห้องครัวอันได้แก่ชั้นลอย 2 ชั้น ตู้ติดพื้น 8 ล็อค พร้อมทั้งซิงค์น้ำ เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของท่านพ่อทั้งสิ้น สิ่งที่มาแบบสำเร็จรูปก็คือพัดลมดูดอากาศเท่านั้นจริงๆ นอกจากนั้นมาเป็นชิ้นๆ หมด เช่นไม้กระดานแผ่นๆ ด้ามจับเปิดฝาตู้ บานพับ ท่านพ่อวัดเอง เลื่อยเอง ประกอบเอง ทาสีเอง ใช้งานมาได้ 20 ปีแล้ว ปัจจุบัน...ไปเดินโฮมโปรมา เห็นชุดเฟอร์นิเจอร์ห้องครัวหลายชุด หน้าตาก็ดูไม่ได้แตกต่างจากของท่านพ่อเท่าไหร่ เลยถามว่าตอนนี้ของที่บ้านเรามันเก่าแล้ว ไม้ก็เริ่มบวมๆ ลอกๆ จะทำใหม่มั้ย...ท่านพ่อบอกว่า โอ๊ย ขี้เกียจแล้ว...ตอนนี้หาซื้อเอาดีกว่า

3. ระบบท่อให้น้ำลำไย
หลังจากจัดการประดิษฐ์ของภายในบ้านแล้ว พ่อจ๋าก็นึกอยากเปลี่ยนบรรยากาศออกไปทำงานนอกบ้านชั่วคราว ตอนแรก...ลำไยสวนใน(บ้านยาย) และสวนนอก(แยกออกไปเป็นเอกเทศ) ได้รับการให้น้ำโดยใช้ระบบร่องน้ำ ใช้สูบไดโว่สูบน้ำขึ้นมาจากบ่อแล้วปล่อยให้มันไหล ไปตามร่อง แล้วใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าขะโจ้วิดน้ำใส่ทีละต้นๆ ที่อยู่ไกลจากบ่อหน่อยก็ต้องหาบน้ำรดเอาต่อมา...ท่านพ่อได้วางระบบชลประทาน ซื้อท่อมานับสิบๆ ท่อ ต่อไปปล่อยน้ำเป็นจุดๆ คราวนี้ก็ก็สบายขึ้นหน่อย สามารถเอาสายยางต่อจากจุดปล่อยน้ำไปใส่ลำไยทีละต้นๆ ทุ่นแรงไปได้นิด แต่จะให้ต่อท่อไปถึงลำไยทุกต้นเลยเหมือนสวนมืออาชีพทั้งหลายก็คงจะไม่ไหว ถึงสวนจะไม่ใหญ่แต่รวมกันหลายสวนก็มีลำไยหลายร้อยต้นอยู่ คงต้องขุดจนหลังงอ แถมค่าใช้จ่ายในขณะนั้นก็คงบานกันพอดี

ถึงสวนลำไยจะไม่มีท่อต่อน้ำส่งถึงทุกต้น แต่อย่างน้อย...สวนผักในบ้าน และสวนไม้ประดับก็มีสปริงเกอร์รดน้ำครอบคลุมทั่วอาณาเขต ไม่ต้องหาบน้ำใส่ตามแบบวิธีดั้งเดิม ตอนต่อระบบน้ำเสร็จใหม่ๆ ตายิ้มแฉ่ง จะได้นั่งดูดบุหรี่ขี้โยเฝ้าเฉยๆ ไม่ต้องลงแรง

ปัจจุบัน: ระบบน้ำลำไยยังใช้การได้ดี แต่สวนผักกับสวนไม้ประดับหายไปแล้ว พอตาไม่อยู่ก็ไม่มีใครปลูกผัก ปลูกหญ้า ปลูกต้นไม้ต่างๆ ลานเหล่านั้นกลายเป็นสนามฝึกกอล์ฟของท่านพ่อไปนั่นเอง

4. กล่องคำถาม: สื่อการสอนวิชาภาษาไทย
ตอนนั้นท่านพ่อทำแผงวงจรไฟฟ้า ทำสื่อการสอนวิชาภาษาไทยให้ท่านแม่ จริงๆ ก็เป็นเกมเลือกคำตอบที่ถูกต้องธรรมดาๆ โดยมีกล่องคำถามอยู่หนึ่งกล่อง จะมีคำถามให้ 1 เซต มีคำตอบให้เลือก 4 ข้อ ถ้าเลือกถูกก็จะมีเสียงอันไพเราะขึ้นมา บอกว่าถูก ถ้าผิดก็จะมีเสียงประหลาดๆ บอกให้รู้ว่าผิด เด็กๆ ชอบเพราะว่ามันสัมผัสได้ กล่องคำถามมันใหญ่และเป็นรูปธรรมกว่ากระดาษโรเนียวสีน้ำตาลๆ แถมเวลาตอบผิดตอบถูกก็มีเสียงดังให้ได้ตื่นเต้นด้วย ตอนนั้นหมวดภาษาไทยชอบอกชอบใจกันใหญ่

ปัจจุบัน: ท่านแม่ลาออกมาแล้วเลยไม่ทราบว่าเจ้าอุปกรณ์เหล่านั้นมีชะตากรรมเป็นอย่างไร แต่ส่วนร่วมของยิ้มในงาน (หลาย) ชิ้นนี้คือ...ถือสายไฟให้ตอนที่ท่านพ่อบัดกรี = ='

5. เครื่องกรองอากาศ
เนื่องด้วยบ้านของยิ้มเป็นภูมิแพ้กันยกบ้าน เจอฝุ่นทีไรก็ไอจาม เยื่อจมูกบวม หายใจไม่ออกกันเป็นทิวแถว ท่านพ่อจึงประดิษฐ์เครื่องกรองอากาศขึ้นมา 2 เครื่อง จะว่าไป...มันก็ไม่เชิงกรองอากาศ แต่เรียกได้ว่ามันจะปล่อยคลื่น(อะไรสักคลื่น) ทำให้อนุภาคฝุ่นละอองในกาศที่ล่องลอยอยู่จับตัวตกลงมาบนพื้น (ให้พวกเราได้กวาดถู) ฝุ่นละอองในอากาศก็ลดลงจริงๆ ส่วนงานในการกำจัดเศษฝุ่นผงบนพื้นก็เพิ่มขึ้นมา แต่ก็นะ...เครื่องกรองอากาศดีๆ เครื่องหนึ่งแพงออก ท่านพ่อก็ได้ประยุกต์ใช้สิ่งของที่มีอยู่ได้อย่างน่าทึ่ง

ปัจจุบัน: เครื่องกรองอากาศของท่านพ่อหายสาบสูญไปไม่มีร่องรอย ท่านแม่ไม่ได้สนใจคงไม่รู้ว่าเก็บไว้ไหน ส่วนท่านพ่อตอนนี้คงนึกไม่ออกเป็นแน่ บ้านเราจึงมีเครื่องกรองอากาศแอมเวย์อยู่สองเครื่อง - -' ใช้ใน 2 ห้อง

6. นาฬิกา

นาฬิกาที่แขวนข้างบ้านของยิ้มและบ้านยายสมัยยังเยาว์ทำจากแผ่นเสียงเก่า นึกภาพออกไหมคะ แผ่นสีดำๆ แบนๆ ท่านพ่อเอาสติกเกอร์สีสดๆ มาแปะบอกเวลา 1-12 ก็จะได้นาฬิกาพื้นดำ ตัวเลขและลายเข็มสีเหลือง ตอนเด็กๆ ก็เคยคิดว่าอยากได้นาฬิกาใหม่ๆ เป็นลวดลายเท่ห์ๆ แปลกๆ ที่ขายตามในห้าง หรือไม่ก็นาฬิกานกกุ๊กกรู แต่ก็ไม่ได้ซื้อแฮะ เพราะสมัยก่อนต้องประหยัด กินอยู่กันอย่างพอเพียง

ตอนนี้พอมีนาฬิกาเต็มบ้าน(มีคนให้มาเป็นของขวัญทั้งน้าน...) กลับคิดถึงนาฬิกาเรือนเก่าที่หยุดเดินไปนานหลายปีแล้ว


นี่คือตัวอย่างของใกล้ตัว ยังมีสิ่งละอัน พันละน้อยอีกมากมาย...ฟังดูแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อว่าท่านพ่อของข้าพเจ้า...จบศึกษาศาสตร์ เอกฟิสิกส์ - -' ไม่ได้จบงานช่าง หรือวิดวะสาขาใดๆ

ขอยกตัวอย่างแค่นี้ก่อนละกันนะคะ ก่อนที่คนอ่านจะตาลาย ของเหล่านี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจนจำได้ ส่วนของอื่นๆ ก็มของประดิษฐ์เองอีกเยอะ ของ DIY ที่ซื้อมาจากร้านเป็นชิ้นๆ เอามาต่อเองดูเด็กๆ ไปเลย ยิ้มเองก็พอจะจำได้...ว่าสมัยก่อนท่านพ่อใช้เวลาวันว่างอยู่นอกบ้านแทบจะตลอดเวลาซ่อมโน่น ดัดแปลงนี่ แก้ไขโน่นอยู่ตลอด ถึงยิ้มจะไม่ได้รับสืบทอดวิชาช่างมาเท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้เห็นอยู่บ่อยๆ ทำให้ยิ้มชอบ และสนุกที่จะใช้สินค้าพวกประกอบเอง (ถึงจะต่อไม่ค่อยคล่องก็เหอะ) เวลาไปอยู่ที่อังกฤษ จะซื้อชั้นวางรองเท้า กระจก ตู้ โต๊ะอะไร ก็มักจะเลือกแบบที่เป็นชิ้นไม้ ต้องเอามาต่อกันต้องขันน็อต ต้องเสียบเดือยแทนที่จะซื้อแบบพลาสติกที่เอามาสวมๆ ๆ ก็เสร็จ หรือไม่ก็ซื้อแบบสำเร็จรูปมาใช้เลย

ตอนนั้นเหตุผลหลักๆ ที่เกิดของเหล่านี้ขึ้นมา ก็คงเป็นเพราะความประหยัดและความสุขของท่านพ่อที่ได้ดัดแปลงโน่นนี่ทำให้เป็นของใช้ ของในบ้านนี่แทบจะไม่มีสิ่งไหนที่ต้องทิ้งเลยทีเดียว พอเริ่มแก่ตัวลงท่านพ่อก็มีใจให้งานช่างน้อยลง และหันมาเทความสนใจให้งานเขียนโปรแกรมมากขึ้น จนหลังๆ มานี่ ท่านพ่อใช้เวลากับคอมพิวเตอร์มากกว่าสว่านไฟฟ้า ฆ้อน ตะปู แบบเมื่อก่อน ยิ้มก็ลืมๆ ไปบ้าง จนกระทั่งวันนี้...กล่องแห่งความทรงจำมันถูกเปิดออกมา

ตอนเด็กๆ ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พ่อเรียกไปช่วยก็ไป แต่ตอนนี้ยิ้มคิดว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นทักษะชีวิตจริงๆ นะ สำหรับมนุษย์เดินดินที่ยังต้องทำอะไรเอง ไม่มีคนรองมือรองเท้ารับใช้ตลอดเวลา และยิ้มก็คิดว่าวิชา กพอ. ในโรงเรียนหญิงล้วนก็ควรสอนพื้นฐานของงานช่างพวกช่างไม้ ช่างไฟ ช่างก่อสร้าง ช่างยนต์ ช่างประปาเอาไว้ด้วยค่ะ เพื่อเป็นทักษะชีวิต อย่างน้อยสอนพื้นฐานแบบเบสิคๆ ก็ยังดี เพราะบางครั้งผู้หญิงที่ไม่ได้เรียวิศวะก็ไม่รู้อะไรเลยเช่น

แม่: หล้า รถสตาร์ตไม่ติด มาป่าซางทีได้มั้ย มาดูให้หน่อย
น้า: โอ๊ย ทำงานอยู่นี่ จะไปได้ยังไง ลองเปิดดูหม้อน้ำหน่อยได้มั้ย น้ำแห้งหรือเปล่า น้ำมันเครื่องล่ะ
แม่: โอ๊ย เปิดไม่เป็นหม้อน้ำอะไร ตรงไหน ไม่รู้เรื่อง
น้า: ขับเป็นอย่างเดียว ดูอะไรไม่เป็นเล้ยยย บลา บลา บลา บลา จ่ม ๆ ๆ ๆ

หรือไม่ก็...โดนช่างจากร้านเครื่องไฟฟ้าทั้งหลายต่อไฟให้แบบลวกๆ เอาสายแอร์ 3 เครื่องต่อกับเบรกเกอร์ตัวเดียว กระชากไฟน่าดู หรือไม่ก็ต่อตรงเลย ไฟลัดวงจรก็คงได้เฮกันใหญ่...

ตัวยิ้มเองก็ไม่ค่อยจะรู้อะไรหรอก จริงๆ พ่อก็บอกก็สอนมาเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ แว้บ...เข้าไปดู แต่พอไม่ได้ใช้งานจริงก็ลืมเลือนไปเสียเป็นส่วนมาก มีวิชาพวกนี้ติดตัวไว้ก็ดี ใครจะรับประกันว่าในอนาคตเราจะต้องอยู่คนเดียว ต้องช่วยเหลือตัวเองในเรื่องนี้หรือเปล่า เอ๋อๆ ไม่รู้เรื่องอะไร เดี๋ยวก็โดนช่างรับเหมาหลอก โดนช่างไฟหลอก วุ่นวายกันใหญ่


บ่นมาได้เวลาพอสมควรแล้ว ก็ขอชิ่งก่อนดีกว่า

สุขสันต์วันวาเลนไทน์ล่วงหน้าค่ะ ท่านผู้อ่าน