วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

กลอน นิยาย บล็อก วิทยานิพนธ์: อะไรเขียนยากที่สุด

Rating:★★★★
Category:Other

บล็อก กลอน กับนิยายเป็นสิ่งที่ชอบเขียน ส่วนวิทยานิพนธ์เป็นสิ่งที่ต้องเขียน

เอาเป็นว่า...เราดึงสิ่งที่เขียนง่ายที่สุดออกมาก่อนนะคะ จะได้ไม่ต้องคิดมาก บล็อกค่ะ เขียนบล็อกง่ายที่สุดแล้ว เพราะเวลาเขียนบล็อกยิ้มใส่แค่อารมณ์กับจินตนาการนิดหน่อย กลอนก็..พอๆ กับบล็อกแหละ อาจจะใช้จินตนาการสูงกว่านิดนึง แต่สิ่งอื่นๆ ยิ้มมีสูตรในการปรุงดังนี้

1. นิยาย = อารมณ์ดีๆ + จินตนาการ + พล็อตที่(ดู)ชาญฉลาด + ความคาดหวังของคนอ่าน + เวลาว่าง

2. วิทยานิพนธ์ = อารมณ์นิ่งๆ + จินตนาการ + ความรู้ + ความคิด และความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ + การระลึกถึง Contribution to the current debates + ความอดทน + เวลาทั้งชีวิต + ความคาดหวังของตัวเอง อาจารย์ และพ่อแม่ + ความกดดันจากการใช้ภาษีประชาชนเรียน + ฯลฯ

เหวย...ทำไมมันซับซ้อนเยี่ยงนี้ แค่เห็นก็รู้ละ ว่าอะไรยากที่สุด...แล้วหล่อนจะมาเขียนรำพันในบล็อกให้เสียเวลาทำไมยะ

ตอบ: ก็มันง่ายนี่..เค้าก็อยากทำอะไรให้สำเร็จบ้างสิ T-T อย่างน้อยเขียนบล้อกสำเร็จก็ยังดีน้อ...

ก่อนหน้านี้นะคะ ยิ้มคิดว่า...วิทยานิพนธ์แสนคำ แหม ง่ายมาก (1 หน้ามีประมาณ 300 คำ) เขียนวิทยานิพนธ์ตอนป. โท สองหมื่นคำแล้ว แค่ห้าเท่าเอ๊ง....มีเวลาตั้ง 4 ปีแถมจินตนาการเราก็ออกจะบรรเจิด เขียนนิยายมาก็พอสมควรละ แค่เขียนงานวิจัยชิ้นนึง คงไม่ยากอะไร

แต่ทว่า...พอมาทำจริงๆ แม่เจ้า...มันยากกว่าที่คิดนะ จำนวนคำไม่เป็นปัญหาหรอก เผลอๆ เขียนเกินด้วยซ้ำ - -' แต่ว่าปัญหามันคือ เขียนยังไงให้สอดคล้องสัมพันธ์ มีเหตุผลรองรับทุกอักขระ (coherence)

ตอนนี้รู้ซึ้ง T-T

ถ้าความคาดหวังของงานป.ตรีคือ 100%
งานป.โท เราต้องทุ่มลงไป 150% เพราะว่างานต้องมีคุณภาพมากขึ้น
งานป.เอก เราต้องทุ่มลงไป 250% เพราะว่างานต้องมีคุณภาพขึ้นไปอีก เราต้องทำให้คนอื่นยอมรับงานของเราได้ ต้องจัดการความรู้สึกเบื่อหน่ายของเราให้ได้ และต้องพอใจกับมัน

ตอนนี้เหนื่อยและเบื่อค่ะ อยากหยุดเรียน แล้วหนีไปทำอะไรสั้นๆ ค่อยกลับมา แต่ก็กลัวเสียเวลา แก่จะตายอยู่แล้วยังเรียนอยู่เลย ใจนึงก็คิดว่า หนีไปเขียนนิยายให้อารมณ์ดีๆ หน่อยดีมั้ย ค่อยกลับมาทำงานต่อ แต่ว่า...

กลับขึ้นไปอ่านข้อ 1 ใหม่ กรี๊ดด สิ่งที่การเขียนนิยายของยิ้มต้องใช้คืออารมณ์ดีๆ เอ่อ...ตั้งแต่เรียนเอกมานี่...ยิ้มไม่ได้รู้สึกถึงคำว่า 'อารมณ์ดี' มานานนักหนาแล้ว อ้าว แล้วกรูจะเขียนนิยายได้ไง - -' นั่นสิเนอะ

ยิ่งนึกถึงความยากของการเขียนงานก็ยิ่ง เฮ้อ...

หรือว่าเราควรเบี่ยงเบนความสนใจไปที่อื่นดีมั้ย ว่าเรียนเอกเราได้อะไรไปบ้าง น่าจะจดสถิติไว้

1. ผมร่วงไปกี่เส้น
2. หมดเหล้าไปกี่ขวด ไวน์ด้วย เบียร์ล่ะ กี่กระป๋อง
3. น้ำตาหยดไปกี่ลิตร
4. บุหรี่ไปกี่มวน ถ้าเป็นชิชาถือว่าเป็น 30 มวน เพราะใช้ปริมาณยาสูบเยอะกว่ากันเยอะ - -' ถึงนิโคตินต่อกรัมจะน้อยกว่าก็เหอะ
5. เล่นเนตแก้เครียดไปกี่ชั่วโมง (อันนี้ท่าทางจะมหาศาล เล่นแก้เครียดประจำ)
6. สูญเสียแฟนคลับไปกี่คน (เอาแต่นั่งจมอยู่กะงาน)
7. นน. ขึ้นกี่โล (เอาแต่นั่งปั่นงาน ไม่ได้ไปออกกำลังกาย)
8. เสียเพื่อนไปกี่คน (ลืมติดต่อเลย - -')
9. เสียค่าปรูฟรีดไปเท่าไหร่
10. บินกลับบ้านกี่รอบ
11. หาข้อแก้ตัวในการอู้งานได้กี่ข้อ
12. กรี๊ดดด นึกไม่ออกแล้วค่า ยิ่งนึกก็ยิ่งหดหู่ผมร่วงอีกหลายเส้น

ดังนั้น...ถ้าเรียนจบปุ๊บ เราควรจะทำอะไร..เพื่อแก้ไขสิ่งที่ผ่านมา

1. ทำแฮร์สปา บำรุงสุขภาพผม แล้วเปลี่ยนทรงใหม่ให้ไฉไลกว่า
2.ทำ detox - -' ว่าแต่ detox มันล้างแอลกอฮอล์ออกจากเซลล์ฉะหมองกับตับได้มั้ยง่ะ สงสัยไม่ได้แน่ๆ เยย...ตอนนี้สมองมันเลยตายๆ (อุตส่าห์หยุดเหล้ามานานเกือบปีแล้วนะ)
3. ซื้ออายครีมมาบำรุงด่วน ไม่เกี่ยวกะต่อมน้ำตาหรอก แต่ว่า..กว่าจะจบตีนกาคงขึ้นมาหลายเส้น ถ้าเรียนจบต้องให้รางวัลตัวเอง ซื้อของดีๆ (กว่าที่ใช้อยู่) มาใช้ซะละ
4. ไปเที่ยวยอดเขาแถบๆ ชนบทสวิตซ์ซะหน่อย สูดโอโซนให้เต็มปอด เซลล์ปอดที่เสียไปจะได้ฟื้น
5......
6.....
7....

ข้อสุดท้าย ท้ายสุด...หาแฟน - -'
นี่เรียนจนจะขึ้นไปอยู่บนคานอยู่แล้ว แม่เจ้า วันๆ ไม่พบไม่เจอคน

เอ๊า...ยิ่งคิดถึงอะไรพวกนี้ มันไม่ยิ่งเครียดไปใหญ่เหรอ

เครียดดิ...เอ หรือเราควรจะรวมทั้งนิยายและวิทยานิพนธ์เข้าด้วยกันดีคะ เผื่ออะไรๆ มันจะดีขึ้น

จิตใต้สำนึก: พล่ามเสร็จแล้วก็ไปเขียนงานต่อได้ละป่ะ

ยิ้ม: เดี๋ยวดิ ก็เบื่อง่ะ..

จิตใต้สำนึก: ตั้งแต่อากลับไปก็นั่งเบื่อมาเกิน 2 อาทิตย์แล้วนะ เริ่มทำงานซะทีได้ป่าว

ยิ้ม: ก็ที่ผ่านมาเราเบื่อเฉยๆ ที่ไหน เบื่อไปก็ทำงานไปทุกวันแหละ

จิตใต้สำนึก: ทำงานไป หรือเล่นเนตไปกันแน่ กรูเห็นนะ ว่าเดี๋ยวก็เขียนบล็อกพี่เคลลี่ เดี๋ยวก็ดูละครย้อนหลัง อ่านกระทู้อุ้ม คุ้กกี้ นาธาน ลาบไก่ จะเป็นแฟนพันธุ์แท้พันทิปดอทคอมได้อยู่แล้ว

ยิ้ม: ง่า ๆ ๆ ๆ ๆ ก็คนมันก็ต้องพักผ่อนบ้างนี่ ฮือ...ทำไมต้องขึ้นเมิง กรู ด้วย หยาบคาย

จิตใต้สำนึก: ไม่ต้องมาแรด...จริงๆ ก็หยาบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แค่โรงเรียนหญิงล้วนกดพฤติกรรมเอาไว้ พอมาเรียนโบราณคดี เจอคนเถื่อนๆ เยอะหน่อยก็ดีแตกเลย

ยิ้ม: อย่ามาแสดงออกในบล็อกได้มั้ย เมิง...จะหยาบก็หยาบในสมองก็พอ กรูอุตส่าห์แอ๊บเรียบร้อยหลอกผู้ชายมาตั้งนาน เดี๋ยวแฟนขับแตกตื่นหมด

จิตใต้สำนึก: เออ ขอโทษๆ มันก็หลุดมั่ง อะไรมั่ง ช่วงนี้เมิง เอ๊ย...หล่อนไม่ค่อยมีสติไม่ใช่เหรอยะ

ยิ้ม: ย่ะ...ก็พยายามจะตั้งอยู่นะ สติน่ะ แต่บางทีมันก็เครียดมั่ง อะไรมั่ง

จิตใต้สำนึก: หายเบื่อยัง บ่นพอแล้วก็ไปทำงานซะป่ะ

ยิ้ม: เดี๋ยวดิ บริหารนิ้วอยู่...วันๆ ไม่ค่อยได้ใช้แรง อย่างน้อยได้บริหารนิ้วก็ยังดี

จิตใต้สำนึก: นี่ เมิงรู้ป่ะ...ทีหาเหตุผลหาข้ออ้างให้ไม่ต้องทำงานนี่ หัวไวเป็นบ้า ทำไมเวลาเขียนงานหัวไม่ไวอย่างงี้มั่งวะ

ยิ้ม: เออ จริงเนอะ มันต่างกันยังไงอ้ะ จิตใต้สำนึก พอจะรู้ป่ะ

จิตใต้สำนึก: ถ้ารู้...กรูจะต้องมาพร่ำบอกอย่างงี้มะ เมิงก็กลับไปทำงานได้ตั้งแต่บรรทัดแรกๆ แล้ว

ยิ้ม: อะไรวะ ถามนิดหน่อยมาทำตวาด เอ็ดอึง ขึ้นมึงกู... T-T ฮือ...ขนาดจิตใต้สำนึกเรายังไม่รักตัวเราเองเลย

จิตใต้สำนึก: นั่นไง ก็ทำใจให้รักสิ บ่นอยู่ได้ บ่นเป็นยายแก่

ยิ้ม: ถ้าทำได้ก็ทำไปแล้ว แต่เวลาเราบ่นเราก็ทำงานไปด้วยนะ ไม่ใช่บ่นเฉยๆ บ่นทิ้งบ่นขว้าง

จิตใต้สำนึก: งั้นแกลองเปรียบวิทยานิพนธ์เป็นผู้ชายมะ...อาจจะทำให้รู้สึกรักง่ายขึ้นนะ

ยิ้ม: แน่ใจเหรอ - -' นี่แกไม่สังเกตุอะไรบ้างเหรอ ว่าตัวชั้นยกสูงขึ้นๆๆๆ จะขึ้นถึงคานรอมร่อ จะกลายเป็นยายแก่แร้งทึ้งอยู่แระ ถ้าชั้นรักคนง่ายๆ ก็ดีสิยะ

จิตใต้สำนึก: บ้า...สวยๆ อย่างงี้ ใครเค้าจะเรียกว่ายายแก่แร้งทึ้งกัน เครียดนักก็ส่องกระจกสิ ดูของสวยๆ งามๆ มั่งอะไรมั่ง จะได้เพลินๆ

ยิ้ม: เออ จริงเนอะ จิตใต้สำนึกมันก็พูดดี (/me หันหน้าไปทางซ้าย มองกระจก เฮ้อ...สวยงาม ชื่นใจ) นอกเรื่องไปนาน..ว่าแต่ควรเปรียบเทียบวิทยานิพนธ์กะผู้ชายยังไง

จิตใต้สำนึก: อ้าว ก็ปกติในนิยาย พระเอกนางเอกก็จะเกลียดกันตอนแรกๆ ใช่มะ แล้วหลังๆ มันก็จะดีกันเอง แกก็สมมติให้วิทยานิพนธ์เป็นพระเอกซี้ แล้วตัวแกก็สวมบทเป็นนางเอก จะได้จบแบบแฮปปี้ ลงเอยกันด้วยดี แม้ว่าตอนกลางๆ เรื่องจะตบตีทะเลาะกันนิดหน่อย

ยิ้ม: เหรอ มันจะดีเหรอ

จิตใต้สำนึก: ก็ไม่มีทางอื่นแล้วมั้งที่จะทำให้รู้สึกดีกับงานได้น่ะ หล่อนก็ลองคิดดู นิยายไทยส่วนมากเนี่ย ตอนแรกพระเอกนางเอกอาจจะเกลียดกันเหลือเกิน ไม่อยากมองหน้ากันเล้ย... พระเอกรังแกนางเอกสารพัด ตบจูบๆ เดี๋ยวก็เข้าใจผิด กลั่นแกล้ง จนตัวหล่อนก็ต้องโต้ตอบไปบ้าง พยายามทุกวิถีทางที่จะเปลี่ยนเค้าให้ได้ แต่ในที่สุดตอนจบเค้าก็จะออกมาเพียบพ้อม นุ่มนวล อ่อนโยน เป็นพระเอกในฝันของหล่อนเอง ก็เหมือนวิทยานิพนธ์ ที่ตอนแรกๆ อาจจะทำให้หล่อนอยากเอาหัวโขกกำแพง ต้องมีการปลุกปล้ำกันเล็กน้อย...สุดท้ายก็ลงเอยด้วยดี

ยิ้ม: เอ่อ.. ถามหน่อยเหอะ ทำไมหล่อนดูเพี้ยนๆ บ้าๆ บอๆ วะ

จิตใต้สำนึก: ก็ชั้นเป็นจิตใต้สำนึกของใครล่ะยะ

ยิ้ม: นั่นดิ - -' ก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกัน
เออ..จิตใต้สำนึก แล้วนิยายเรื่องนี้จะมีนางอิจฉามั้ยยะหล่อน

จิตใต้สำนึก: โอ๊ย มันต้องมีดิ นิยายอะไรไม่มีตัวอิจฉา ต้องมีนางอิจฉาโผล่มาทำให้หล่อนรู้สึกว่าหล่อนไม่คู่ควรกับพระเอก หรือพระเอกไม่คู่ควรกับหล่อนบ้าง แต่หล่อนก็ต้องเคลียร์กะพระเอกเอาเอง ว่าเค้าจะต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง หรือไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย เพราะคำพูดก็เป็นแค่ลมปาก

ยิ้ม: อ่อ..เหมือนเวลามีคนมา criticise งาน ชั้นก็ต้องเลือกใช่มะ ว่าจะเคลียร์กะพระเอกยังไง จะแก้ไขหรือจะปล่อยไปแบบเดิม เออ แล้วแกว่า...แล้วนิยายชีวิตชั้นจะจบแฮปปี้มั้ยอ้ะ

จิตใต้สำนึก: ตกลงจะเรียก มึง แก หรือ หล่อน เอามาซักอย่าง..

ยิ้ม: ^ ^' แหะๆ ก็แหม...ชอบอะไรที่มันหลากหลาย ขอสามเลยได้ป่ะ

จิตใต้สำนึก: ประสาทจริงว่ะ อ่ะ เข้าเรื่อง ชั้นว่ามันก็น่าจะแฮปปี้อยู่นะ เพราะลึกๆ แล้วแกก็มีความมั่นใจในตัวพระเอของแกอยู่นี่ ตอนนี้แกแค่ไม่ไหวจะเคลียร์ อ่อนเพลียที่จะคุย ไม่อยากสนทนาวิสาสะกับคุณพระเอกของแก แกก็ต้องทำใจ...แล้วหันหน้าเข้าหากัน ไม่อย่างงั้นมันจะจบแฮปปี้ได้ไง

ยิ้ม: ก็จริง

จิตใต้สำนึก: แกก็ลองเปรียบเทียบดูสิ...แกชอบอ่านนิยายที่นางเอกฉลาดๆ คุยกะพระเอกรู้เรื่อง โต้ตอบกันเสมอๆ หรือชอบนิยายที่นางเอกขี้งอน อะไรนิด อะไรหน่อยก็หลบลี้หนีหน้าล่ะ

ยิ้ม: ก็จริงอีกเนอะ

จิตใต้สำนึก: แล้วนึกออกยัง ว่าตอนนี้ควรจะทำอะไร

ยิ้ม: กลับไปทำงาน

จิตใต้สำนึก: เออ ดีมาก...อย่าให้ชั้นได้ออกโรงบ่อยๆ นะยะ

ยิ้ม: จ้ะ

จิตใต้สำนึก: ต่อไปนี้เวลาท้อจะคิดว่าไง

ยิ้ม: คิดว่า...ถ้าไม่ยอม face the thesis seriously ก็เหมือนนิยายช่อง 7 ที่ถูกยืด นางเอกหลบพระเอกไปมา ไม่จบซะที เรตติ้งสูง แต่ถูกด่าขรม

จิตใต้สำนึก: ดีมาก

ยิ้ม: งั้น...กด publish แล้วชั้นไปทำงานต่อนะ

จิตใต้สำนึก: ......

ยิ้ม: อ้าว...เงียบไปแระ งั้นเราไปทำงานต่อก็ได้ หงิงๆๆๆ


บ้า.....เราต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เลย

13 ความคิดเห็น:

panuwat charoenphol กล่าวว่า...

อยากคุยกะจิตใต้สำนึกได้อย่างงี้มั่ง
เบิร์ด --- เฮ้ย!! ไอ่จิตใต้สำนึก เบื่อว่ะ ทำไรกันดี
จิตใต้สำนึก --- เบื่อก็ไปกินเหล้าเด่ะ
เบิร์ด --- เออ ป่ะ
...ไม่ต้องชวนมาก แว่วๆมาก็ไปเลย หึหึหึ

ipanpook p กล่าวว่า...

บ้าของจริง - -''

Yim S. กล่าวว่า...

เป็นอันหนึ่งอันเดียวมากค่ะ ^ ^'
สุราสามัคคีเจงๆ

Yim S. กล่าวว่า...

บังอาจนัก...เจ้าคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า
นี่เจ้าหยามหมิ่นขัติยะนารีเยี่ยงข้าได้เช่นไร

ทหาร...เอาตัวมันไปแล่เนื้อแล้วเอาเกลือทาบัดเดี๋ยวนี้

Tao K กล่าวว่า...

ฮ่าฮ่า ตื่นเช้ามาอ่านบล็อกนี้ ทำให้พี่ยิ้มออกได้เลยอ่ะครับ ขอบคุณจริงๆ

ตอนนี้พี่จะแปรเปลี่ยนความเศร้า เสียใจ หดหู่ มาเป็นพลังขับเคลื่อนในการเขียนธีสิสแล้วล่ะยิ้ม

Punn Punn กล่าวว่า...

ฮ่าๆๆ ช่วงชีวิตของพีเอชชะดี สะติ๊วเดิ้ลลล ตรงใจวัยป้า (ขึ้นคราน) อย่างเค้ามากเลยยิ้ม

Yim S. กล่าวว่า...

สู้ๆ ค่า
อีกนิดเดียวเนอะ

Yim S. กล่าวว่า...

555

เศร้าเนอะ
ต้องรื้อฟื้นชมรมคนโสดแสนสุขขึ้นมาอีกรอบซะแระ

ipanpook p กล่าวว่า...

อะไรป้า วันนั้นผ่านสวนปรุงแต่ว่าไม่ได้เข้าไปเยี่ยมป้าอ้ะ พอดีรีบไปโชว์ตัวเพราะแฟนขับรออยู่อ้ะ คริคริ

Yim S. กล่าวว่า...

เข้าใจนะ เข้าใจ
ว่า รพ.สวนปรุง กับสวนสัตว์เชียงใหม่มันก็ห่างกันโขอยู่
รีบไปก็ดีแล้วลุง เด็กๆ เค้ารอ...นานๆ จะมีควายป่ามาโชว์ให้เห็นซะที

Punn Punn กล่าวว่า...

รื้อฟื้นเร่ยยย

atithep chaiyasit กล่าวว่า...

คนโสดดดด ><"

Jinnat Promnurak กล่าวว่า...

สำหรับผม ตอนจะเริ่มยากครับ คงต้องคุยกับตัวเองสักพัก หาอะไรไร้สาระทำไปเรื่อยๆก่อน แต่ถ้าลองได้เริ่มแล้ว มันจะไหลไปได้เอง แล้วมันจะจบได้ในทีี่สุด อันนี้พูดถึง กลอน นิยาย บล็อค นะคับ แต่วิทยานิพนธ์ ไว้สักปีหน้า จะลองมาตอบอีกที

แต่พูดถึงความชอบ ถ้าเรายังไม่ชอบมันพอจนเขียนไม่ออก ลองจินตนาการว่า ถ้ามันเสร็จแล้ว จะสร้างคุณประโยชน์ให้ใคร มากขนาดไหน อันนี้ก็อาจช่วยให้เรามีแรงฮึดขึ้นมาได้ครับ (กำลังใจจากภายนอก คงจะมีแรงขับสู้จากตัวเราเองไ่ม่ได้ครับ)