วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ความเป็นส่วนตัว - Privacy

Rating:★★★★
Category:Other
มนุษย์มักจะเข้าใจตรงกันดี ว่าพวกเรานั้นครอบครอง หน้าตา สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถ ความถนัด ในระดับและรูปแบบที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อม และอาจจะพันธุกรรม แต่มีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่คนเรามักจะมองข้าม ว่าแต่ละคนอาจจะต้องการไม่เท่ากัน

บางคนอาจจะไม่ต้องการมันเลย แต่บางคนอาจจะมองเห็นมันเป็นประดุจสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต นั่นก็คือ...ความเป็นส่วนตัวนี่เอง

ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนบล็อกนี้ขึ้นเพราะรู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวถูกรุกราน(มากนัก) ถึงแม้ว่าพฤติกรรมบางอย่างของเพื่อนร่วมแฟลตจะทำให้รู้สึกขุ่นข้องหมองใจไปบ้าง แต่โดยรวมๆ ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า...ความเป็นส่วนตัวของข้าพเจ้ายังอยู่ในระดับที่ทนไหวอยู่

สาเหตุที่ข้าพเจ้าเขียนบล็อกนี้ขึ้นก็เพราะว่า ข้าพเจ้าเพิ่งไปอ่านฮิห้าของน้องพิช - วิชญ์วิสิฐ มา และน้องได้เขียนข้อความขออภัยคนที่รอน้องแอดเป็น friends เพราะขณะนี้...มีคนอีกสี่หมื่นกว่าคนรอคอยการหันมาใส่ใจของน้องอยู่ โอ...ที่สำคัญน้องยังต้องเจอกับคนเดินตามเวลาช้อปปิ้ง แฟนคลับบุกถึงห้อง คนจับตามอง ไปโผล่ที่ไหนก็มีแฟนคลับเห็นแล้วมารายงานความเคลื่อนไหวในเวบบอร์ดได้ทุกครั้งไป

น้องพิชอายุแค่ 19 เอง แต่น้องจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ดีทีเดียว จากการอ่านเวบบล็อกของน้องมา 3 รอบ ข้าพเจ้าก็พอจะจับเค้าได้ว่า น้องมีความเป็นตัวของตัวเอง และต้องการความเป็นส่วนตัวสูงค่อนข้างมาก ตอนแรกๆ ที่เริ่มมีกลุ่มแฟนคลับเกิดขึ้น ก็พอจะเห็นน้องพิชแสดงอาการตกใจ และวางตัวไม่ถูกบ้าง แต่ตอนนี้ก็เห็น 'เนียนๆ' ไปกับมันได้อย่างน่านับถือ

นี่แปลว่า...เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นจริงๆ คนที่ 'รักความเป็นส่วนตัว' อย่างสูงสุด ก็ต้องสามารถทำใจที่จะสูญเสียมันไปให้ได้อย่างนั้นหรือ แล้ววันนั้นมันจะมาถึงข้าพเจ้าไหม..อื่ม คงไม่หรอก เพราะข้าพเจ้าไม่มีศักยภาพมากพอ หรือมีความปรารถนาที่จะเข้าวงการบันเทิง และถ้าอยู่ในวงการอื่น ผู้คนคงไม่สนใจข้าพเจ้านัก

ทำให้ข้าพเจ้าพานนึกไปถึงเพื่อนอีกคน ในเวลาใกล้เที่ยงคืน ค่ำคืนหนึ่งของ 2 ปีก่อน ลมร้อนพัดผ่านมา ข้าพเจ้าและเพื่อนคนนั้นที่หมดแรงจากการร้องคาราโอเกะจากสยามพารากอน ยืนอยู่ตรงรถไฟฟ้า BTS ฝูงชนคลาคล่ำเดินสวนกันไปมา แต่ไม่มีใครสนใจเรา แล้วรถไฟฟ้าขบวนของเขาก็มาก่อน

"ไปละนะยิ้ม" เขาบอกแล้วโบกมือ
"อื่อ ไว้พบกันใหม่ เมื่อชาติต้องการ"

ง่ายๆ แค่นั้นเอง แต่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกระมัง ตอนนี้...ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเขาจะขึ้นรถไฟฟ้าได้โดยไม่มีคนสังเกต ขึ้นตอนนี้อาจจะถูกรุมได้ และข้าพเจ้าก็คิดว่า...ชาติคงไม่ต้องการให้ข้าพเจ้าและเขาได้พบกันในเร็ววันนี้ แต่ถ้ามีโอกาส ข้าพเจ้าคงยกประเด็นนี้มาสัมภาษณ์ให้ได้เชียว ข้าพเจ้าอยากรู้...ว่าอยู่ในสถานะที่ต้องสูญเสยความเป็นส่วนตัวไปส่วนหนึ่งนั้นจะรู้สึกอย่างไร วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน

กลับมาเรื่องของตัวเองดีกว่า...

ข้าพเจ้านึกถึงพวกเขาเหล่านั้นด้วยความชื่นชม เขาช่างจัดการกับการเป็นบุคคลสาธารณะ และการมีโลกส่วนตัวได้ดีจนน่าทึ่ง ข้าพเเจ้าไม่คิดว่าตัวเองจะทำอย่างนั้นได้...นับว่าโชคดี ที่ยังไงเสียข้าพเจ้าก็ไม่มีวันอยู่ในจุดนั้น

ข้าพเจ้าเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงมามากตั้งแต่สมัยครั้งยังเยาว์ อาจจะเพราะเป็นลูกคนเดียว แถมวัยยังไม่ได้ใกล้เคียงกับลูกพี่ลูกน้องคนอื่นเท่าไหร่ คนที่วัยใกล้เคียงจริงๆ ก็ดันอยู่ไกล ทำให้ข้าพเจ้าต้องสร้างโลกของตัวเองอยู่ในหัวตลอดเวลา อย่างเวลาพ่อแม่คุยกันเรื่องการเมือง ข้าพเจ้าก็จะแต่งนิทานอยู่ในหัว หรือเวลาครูสอนอะไรไม่รู้เรื่อง...ข้าพเจ้าก็จะคิดถึงอีกวิชาที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ ยกตัวอย่างเช่น

ครู: "7 + 5 เป็นเท่าไหร่ เอ้า นับนิ้วนะคะ 8 9 10 11 12 ใส่ 2 ในหลักหน่วยทด 1 ในใจ แล้วเอาไปใส่ที่หลักสิบ"

ข้าพเจ้า: "มานีมีตา อามีตา นามีปู"

มันอาจจะฟังดูไม่เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวเท่าไหร่ แต่ก็เกี่ยวบ้างนะ...อาการคิดมาก จินตนาการเรื่อยเปื่อยทำให้ข้าพเจ้าชอบหลบไปอยู่คนเดียว นังคิดอะไรเงียบๆ บางทีก็เอาผ้าอ้อมไปดมกลิ่นผงซักฟอกใหม่ๆ ด้วย โดนกล่าวหาว่าหลบไปแอบดูดนิ้วก็หลายที แต่ข้าพเจ้าขอยืนยัน ว่าไม่ได้หลบไปดูดนิ้ว ข้าพเจ้าไปหาที่สงบนั่งจินตนาการอะไรบางอย่างเท่านั้นเอง

โตมา...ข้าพเจ้าก็ยังมีเรื่องในจินตนาการอยู่ดี แต่ดีหน่อย...ที่เขียนหนังสือเป็นแล้ว ข้าพเจ้าจะได้เขียนลงในสมุดบันทึกได้ แต่ข้าพเจ้าไม่ชอบ...ไม่ชอบที่จะมีคนอื่นมาอ่านข้อความของข้าพเจ้า ดังนั้นก็เลยไม่ค่อยได้เขียนต่อเนื่องเท่าไรนัก หรือบางครั้งถ้าเขียน...ข้าพเจ้าก็จะเขียนเป็นโค้ดลับ แบบที่เข้าใจคนเดียว

ตอนอยู่ม.ต้น ข้าพเจ้าเริ่มเดินออกมาจากโลกส่วนตัว พยายามที่จะแบ่งปันโลกของข้าพเจ้า และความรู้สึกของข้าพเจ้าให้เพื่อนในห้องและครูได้รับรู้ แต่ผลก็คือ...คะแนนจิตพิสัยของข้าพเจ้าไม่ค่อยจะเกิน 6-7 คะแนน เนื่องเพราะคณะครูบอกว่า "ศศิษยาพูดมากเกินไป" ข้าพเจ้าก็เลยกลับไปอยู่ในโลกของตัวเองอีกครั้ง เมื่อความคิดที่จะแบ่งปันความรู้สึกล้มเหลว

ตอนอยู่ม.ปลาย เพื่อนบอกว่าข้าพเจ้าเป็นคน 'พูด' แต่ข้าพเจ้าไม่ชอบแสดงความรู้สึก ข้าพเจ้าเห็นด้วย...แต่ก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนแปลงตัว ข้าพเจ้าชอบคิดอะไรคนเดียว ทำอะไรคนเดียว และจะรู้สึกโกรธมากถ้าห้องส่วนตัว จดหมาย หรืออะไรก็ตามที่เป็นของข้าพเจ้าถูกรุกราน ข้าพเจ้าถึงกับเคยตั้งปณิธานว่า...ผู้ใดที่อ่านจดหมายของข้าพเจ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต จะไม่ได้รับโอกาสให้รับรู้เรื่องส่วนตัวจากปากของข้าพเจ้าอีกเลย เพราะข้าพเจ้าถือว่า ในเมื่อเขามีวิธีรุกล้ำโลกของข้าพเจ้าโดยใช้ช่องว่างตามขอบรั้วแล้ว ข้าพเจ้าก็คงไม่ต้องเปิดประตูให้โดยเต็มใจหรอก

ถึงข้าพเจ้าจะโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก ชอบทำอะไรคนเดียว แต่ข้าพเจ้าก็จริงใจกับเพื่อนๆ ที่คบอยู่นะ เพียงแต่ด้วยความที่เป็นวัยรุ่น...วัยที่ความคิดกำลังเปลี่ยนแปลง พ่อแม่ก็คิดไม่เหมือนกัน เพื่อนๆ ก็ไม่เชิงจะคิดหมือนกัน ข้าพเจ้ารู้สึกว่า แม้จะอยู่ฝูงชน...แต่ข้าพเจ้าก็เหมือนจะไม่มีใครเข้าใจ

ช้าก่อน...ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้ออกอาการเด็กเจ้าปัญหา เหงา เศร้าซึมหรอกนะ ข้างนอกข้าพเจ้าก็ดูเป็นคนปกติดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีมิตรสหายไปตามปกติ มีแค่ในใจนั่นแหละ ที่มักจะไถลเข้าไปในดินแดนเล็กๆ ที่ไม่ยอมปล่อยให้ใครเข้าถึงอยู่เสมอ และก็มีแค่..เพื่อนๆ ที่คอยตัดพ้อว่าข้าพเจ้าไม่แสดงความรู้สึกรัก ชัง ดีใจ เสียใจ เลย มีแต่อารมณ์โกรธนั่นแหละ ที่วูบขึ้นมาแล้วระเบิดตูมเลย

ตอนมาอังกฤษใหม่ๆ เพื่อนกลุ่มใหม่ก็บอกอีกว่า..ข้าพเจ้าไม่ค่อยแสดงความรู้สึก ไม่ค่อยพูดกับคนไม่รู้จัก กับคนที่รู้จักข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยแสดงอารมณ์เท่าไหร่ เดาใจได้ยากเย็น ตอนนี้แหละที่ข้าพเจ้าเริ่มคิด และเป็นห่วงตัวเองจริงๆ จังๆ หรือว่า...ข้าพเจ้าเป็นบุคคลที่ไร้อารมณ์จริงๆ

แย่แล้ว...ลักษณะแบบนี้ มันช่างต่างจากนิสัยคนอังกฤษเสียด้วย ข้าพเจ้าจะเอาตัวรอดในสังคมไหมเนี่ย ข้าพเจ้าเริ่มหวั่นใจ และลองจับสังเกตเพื่อนรอบตัว ด้วยการลองผิดลองถูก ข้าพเจ้าก็พบว่า...คนเราสามารถพูดไปเรื่อยเปื่อยน้ำไหลไฟดับได้...โดยไม่ต้องวกเข้าเรื่องส่วนตัวของเราเลย นั่นเป็นการค้นพบที่น่าทึ่ง ข้าพเจ้าทดลองอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะตอนเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ มีโอกาสเจอผู้คนมากกว่าเดิม และในที่สุดก็สามารถปั้นยิ้ม คีบแก้วไวน์ จิ้มค็อกเทลกิน แล้วพูดประโยคเดิมซ้ำๆ ได้โดยที่ไม่ต้องรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองเท่าไหร่ และนั่นก็เป็นวิธีที่ข้าพเจ้าใช้ต่อๆ มา เรื่อยๆ

ข้าพเจ้ามีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น แต่ข้าพเจ้าอึดอัด...มีไม่กี่คนที่ข้าพเจ้าสามารถพูดคุยเรื่องส่วนตัวด้วยได้หมดใจ ถ้าท่านผู้ใดที่แวะมาอ่านเคยได้รับรู้เรื่องของข้าพเจ้าในวันเก่าๆ ท่านจงภูมิใจเถิด ท่านเอาชนะกำแพงจิตวิทยาบ้าๆ ของข้าพเจ้าได้อย่างราบคาบ และเป็นบุคคลส่วนน้อย หลายครั้งหลายคราที่ข้าพเจ้าพบคนที่คุยกันรู้เรื่อง นิสัยดูเหมือนจะเข้ากันได้ แต่ความสัมพันธ์ไม่ก้าวไปไหน เพราะข้าพเจ้าเผลอคิดไปว่า...เขารุกล้ำความเป็นส่วนตัวของข้าพเจ้า

การใช้ชีวิต 5-6 ปีในอังกฤษ ทำให้ข้าพเจ้าลองปรับหาระดับความเป็นส่วนตัวดูใหม่ รวมถึงการปรับการแสดงออกทางอารมณ์ให้เหมาะสมด้วย การมีบล็อกทำให้ข้าพเจ้าลดอาการมีโลกส่วนตัวลงไปเยอะ เมื่อได้ขีดๆ เขียนๆ มีคนมาอ่าน มีคนมารับรู้ความคิด ความเป็นไป ในเมื่อข้าพเจ้าแสดงออกด้วยตัวเองไม่ได้ ข้าพเจ้าก็แสดงออกทางตัวหนังสือร้อยแก้วหรือร้อยกรองแทนก็แล้วกัน ซึ่งมันก็ช่วยได้มาก บางครั้งข้าพเจ้าอาจจะดูขาดๆ เกินๆ ไปบ้างก็คงต้องขออภัย

มาถึงตอนนี้...ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าไอ้เจ้าอาการต้องการความเป็นส่วนตัวสูงนี่มันหมดไปหรือยัง หรือว่าตกค้างอยู่มากน้อยเพียงไหน แต่ข้าพเจ้าแสดงความรู้สึกมากขึ้นเยอะแล้วนะ

มาถึงตอนนี้ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าควรจะสรุปอย่างไร เพราะข้าพเจ้าไม่ได้วางโครงสร้างบล็อกนี้เอาไว้ก่อน แค่เขียนขึ้นตามอารมณ์เท่านั้นเอง แต่ก็หวังว่า...คงจะช่วยให้ผู้อ่านได้ฆ่าเวลาในยามไม่รู้จะทำอะไรไปบ้างไม่มากก็น้อย

และขอให้ทุกท่านสามารถจัดการกับความเป็นส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพเรื่อยไปเทอญ

10 ความคิดเห็น:

me myself กล่าวว่า...

บางครั้งเพื่อนสนิท ที่สนิทกับเราที่สุด ก็คงไม่ใช่คนที่รู้เรื่องความเป็นส่วนตัวเรามากที่สุด

อาจจะเป็นเพราะเค้าไม่เคยก้าวข้ามและพยายามจะก้าวเข้ามาในดินแดนความเป็นส่วนตัวของเรา ทำให้เรามีเค้าเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดเสมอ

พี่ว่าใครๆ ก็คงอยากมีพื้นที่ส่วนตัวบ้าง อยากอยู่กับตัวเอง ปล่อยใจคิดอะไรไปคนเดียว


Tao K กล่าวว่า...

ดีจังที่ได้เข้าใจยิ้มมากขึ้นนะ พี่คิดว่าคนเราต้องการความเป็นส่วนตัวกันทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไปตามสภาพที่แต่ละคนได้เติบโตมา รวมถึงบุคลิกภาพ ดังนั้น พี่ขอเสนอให้เลือกใช้ "ทางสายกลาง" ดีมั้ย เพราะมนุษย์เราต้องมีสังคม แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องการความเป็นส่วนตัวด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม พี่ก็ยอมรับและเคารพในความเป็นตัวตนของคนอื่นเสมอ ซึ่งยิ้มก็น่ารักอยู่แล้วนี่นา :)

Gift waidhaya กล่าวว่า...

ไอ้คนที่ว่าเจอกันเมื่อชาติต้องการนี่ใช่คนที่ได้วีหนึ่งเมื่อปีที่แล้วหรือเปล่าน้อง?

บางทีการที่เราได้อะไรบางอย่างมาก็ต้องแลกกับบางสิ่งบางอย่างที่เราจำเป็นต้องเสียไป เช่น ความเป็นส่วนตัวกับชื่อเสียงเงินทองแหละน้า = ='

ipanpook p กล่าวว่า...

นอนไม่หลับแน่ๆ

Yim S. กล่าวว่า...

นั่นล่ะค่ะ ^ ^
ก็ต้องหาบาลานซ์กันไปเนอะ

Yim S. กล่าวว่า...

^ ^'

ดีนะ ยังเป็นคนธรรมดาอยู่ เลยยังมีความเป็นส่วนตัวได้เต็มเปี่ยม

Yim S. กล่าวว่า...

ยิ้มก็กำลังพยายามใช้ทางสายกลางอยู่เหมือนกันค่ะพี่เต่า ^ ^

Yim S. กล่าวว่า...

^ ^'

แหมลุง รู้ทันอีก

atithep chaiyasit กล่าวว่า...

เข้าใจป้ามากขึ้นเหมือนกัน

ไม่รู้ไปละเมิดพื้นที่ส่วนตัวป้าบ้างหรือเปล่า หากมีก็ขออภัย

ส่วนผมก็เป็นคนมีพื้นที่ส่วนตัวเหมือนกัน แต่ว่ามันขึ้นอยู่กับสถานการณ์และอารมณ์
มันไม่ดีตรงที่ควบคุมไม่ค่อยได้ บางทีก็ไม่มีปัญหา แต่บางทีก็หงุดหงิด

เศร้า

Yim S. กล่าวว่า...

^ ^

ถ้าละเมิด ป้าก็ถอยห่างออกมาเองแหละ
หลานฟลุกไม่ต้องห่วง