วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Haworth, Wuthering Heights: ตามรอย The Brontës ในชนบทอังกฤษ






สวัสดีค่ะเพื่อนพ้อง น้องพี่ใน multiply วันนี้ก็ถือโอกาสมาแนะนำหมู่บ้านเล็กๆ น่ารักแบบอังกฤษที่เหมาะแก่การจัดเป็น Day Trip จาก York, Leeds, Manchester หรือเมืองอื่นๆ ในเขต Yorkshire และ Midland นะคะ

ไม่ค่อยมีรูปตัวเองเลยค่ะ รูปตัวเองอยู่ในกล้องคนอื่นนะ ไว้ได้มาก็ค่อยเอามาเพิ่มละกัน เป้าหมายในการเดินทางของเราในวันนี้คือ หมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่า "Haworth" ค่ะ เป็นหมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดของ 3 สาวพี่น้องตระกูล Brontë (อ่านว่า บรอนทิ) เล่ามาถึงตรงนี้...คนอ่านอาจจะงงๆ

"ใครหว่า ตระกูล Brontë"

เจ้าของบล็อกก็จะขอขยายความอีกนิดว่า บุคคลมีชื่อในตระกูลนั้นคือ Charlotte, Emily และ Anne ผลงานของพวกเธอก็ได้แก่เรื่อง Jane Eyre (เจน แอร์ - ที่เป็นเค้าโครงของละครเรื่อง รักเดียวของเจนจิรา ที่นำแสดงโดยจอยกะวิลลี่ไงคะ) และเรื่อง Wuthering Heights

เรียกได้ว่าป็นพวกเธอก็อยู่ในกลุ่มนักเขียนรุ่นคลาสสิคของอังกฤษละม้ายๆ Charles Dickens หรือ Jane Austen ประมาณนั้นมั้ง (ถ้าไม่ถูก พี่โบว์แย้งทีนะคะ ^ ^')

เรื่อง Wuthering Heights นี่เอง...ที่ถูกแปลเป็นหลายๆ ภาษา ถูกเอาไปทำภาพยนตร์ก็หลายหน ถูกบรรจุเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของญี่ปุ่นด้วย หมู่บ้านนี้เลยต้องรองรับนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเยอะหน่อย และเหตุผลที่เราไปเยี่ยมเมืองนี้กันก็เพราะว่า โอโตเมะ เพื่อนสาวชาวญี่ปุ่นแกอยากไปน่ะค่ะ แหะๆ ไอ้เราก็ อื่ม...แล้วแต่ ไปไหนก็ได้ I just need a day off อยากไปก็ไป Heather Moorland ก็ดูสวยดี เคยเห็นทุ่งแบบนี้จากระยะไกลๆ ตอนไป Isle of Wight แต่ก็ไม่เคยไปเดินในทุ่งหรอก ก็เลยตกลงไปด้วย แล้วเราก็เริ่มเดินทางกัน

สามสาว (โอโตเมะ ยิ้ม แคทเธอรีน) นัดกันตอนเก้าโมงกว่าๆ ที่สถานีรถไฟ ออกเดินทางจาก York ไป Leeds เปลี่ยนรถไฟที่นั่นเพื่อต่อไปเมือง Keighley รถไฟครึ่งหลังนี่ทำเอาเรางงงวยกันไปเลย เพราะว่ามันเก่าและแคบมาก เหมือนรถเมล์ขนส่งระหว่างจังหวัดก็ไม่ปาน แต่ก็ทนๆ เบียดเอาเถอะ เพราะว่าใช้เวลาแค่ 20 นาทีเท่านั้นเราก็ถึงปลายทาง

จาก Keighley เราก็ซื้อตั๋วรถไฟของ Worth Valley เพื่อจะไป Haworth (จริงๆ จะต่อรถบัสไป Haworth ก็ได้นะ ถูกกว่า) ทางรถไฟสายนี้เป็นทางรถไฟสายเก่า มีแต่รถหัวจักรไอน้ำหรือดีเซลเท่านั้นที่วิ่งในเส้นทาง ส่วนสถานีต่างๆ ก็จะเป็นสถานีแบบโบราณ ชานชาลาเดียว แต่สะอาดสะอ้านสวยงามมาก แหงล่ะ ตั๋วก็ตั้งแพงนี่นา...เรียกได้เส้นทางเหล่านี้เขาทำมาเป็นเส้นทางท่องเที่ยวมากกว่าจะใช้งานจริง สนนราคาเที่ยวละ 5 ปอนด์ ไปกลับ 9 ปอนด์ มีบัตร NUS ลดให้ เหลือ 7 ปอนด์ แต่เราก็ยอมจ่ายกัน เพราะไม่เคยนั่งรถจักรไอน้ำมาก่อน




ขาไปเราต้องนั่งรถจักรดีเซลไป เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่ทันการค่ะ รถจักรไอน้ำเที่ยวแรก 11.45 ถ้าพวกเรารอขึ้นเที่ยวนั้นก็คงไม่ทันได้เที่ยวใน Haworth พอดี รูปร่างหน้าตาก็เป็นแบบรูปข้างบนนี้ล่ะค่ะ ส่วนด้านในรถเป็นแบบรูปด้านล่างนี้



ใกล้ๆ ตัวสถานีก็มีกองถ่านหินสำรองไว้แบบนี้



อดคิดถึงสมัยก่อนที่เส้นทางเหล่านี้ได้ถูกใช้งานจริงๆ ไม่ได้เลยนะเนี่ย คิดว่าสมัยนั้นตัวสถานีคงไม่สะอาด สะอ้านน่าใช้แบบนี้หรอก เพราะของที่ใช้กันเป็นชีวิตประจำวันกับของหลอกนักท่องเที่ยวมันย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

คิดไปคิดมาก็ให้สงสัย...ว่าคนเรามักจะพอใจกับอะไรเก่าๆ ดูเป็นวัฒนธรรมๆ และชอบใจกับ the so-called 'cultural tourism' ที่เกิดจากการจำลอง หรือรักษาสภาพของเก่าๆ เอาไว้ แต่เราพอใจในสิ่งที่มันเป็นเป็น (สภาพเก่าๆ สกปรกๆ แบบที่คนสมัยนั้นใช้กัน) หรือชอบอะไรที่ เสริมแต่ง (สวยงาม ทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว) แบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้กันแน่

เครียดอีกละ แหะๆ กลับมาเล่าเรื่องต่อกันดีกว่า...

จากสถานี Haworth เดินขึ้นเนินไปอีกประมาณ 10 นาทีก็ถึงถนนสายหลักของหมู่บ้านนะคะ มันอยู่บนเนินค่ะ ชันมาก ดังในรูปนี้



นี่มองขึ้น



นี่มองลง

หลังจากเดินขึ้นไปจนสุดถนน เราก็มาถึงพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นบ้านเก่าของพี่น้องตระกูล Bronte บ้านเป็นแบบ อังกฤษแท้ๆ...พอเราเข้าไปก็จะเห็นน้องรับแขก ห้องทำงาน ห้องนอน ของนักเขียนทั้งสาม บิดา และน้องชายที่เป็นจิตรกร (บ้านนี้ ศิลปินกันทุกคนเลยแฮะ) เสียดาย...ที่ถ่ายรูปไม่ได้ เลยได้แค่เล่าให้ฟัง

จากการอ่านๆ คร่าวๆ สรุปได้ว่า...สามพี่น้องนี่เขารักการเขียนมากกก และเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างมีความคิด 'ล้ำหน้า' ผู้หญิงคนอื่นๆ ในสมัยนั้น (ศตวรรษที่ 19 ตอนต้น) การเขียนหนังสือ...ก็เป็นงานที่ผู้ชายทำมากกว่า พวกเธอจึงต้องใช้นามแฝงเป็นชื่อผู้ชายแทน เหอๆ ๆ แต่รู้สึกว่า Charlotte Bronte ผู้พี่จะกล้าตีพิมพ์ด้วยชื่อจริงนะ เพราะเธอเดินทางลงลอนดอนไปพบปะกับสำนักพิมพ์อยู่เนืองๆ

อย่างไรก็ดี...ตอนนั้นเธอทั้งหลายไม่ได้มีชื่อเสียงมากมายอย่างทุกวันนี้หรอก สมัยนั้นอุปสรรคเย้ออออออ เยอะ ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคม หรืออะไรก็ตาม ชีวิตของพวกเธอก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ราบเรียบบ้าง ขลุกขลักบ้าง เรื่องสุขภาพก็เป็นปัญหาหนึ่ง หลังจากสูญเสียน้องชายไปเป็นคนแรกด้วยวัณโรค Emily, Anne ก็ทยอยล้มหายตายจากกันไปทีละคนๆ จนในที่สุด Charlotte ก็เสียชีวิตไปอีก แต่ละคน...เสียชีวิตตอนอายุ 30 กว่าๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ น่าเสียดายนะ

อืม...จะว่าไปศิลปินดังๆ อย่าง Vincent van Gogh หรือ Robert Schumann ต่างก็ต้องเผชิญชีวิตที่ล้มเหลวกันทั้งนั้น ก่อนที่ผลงานจะกลายมาเป็นผลงานอันเลื่องชื่อไปทั้งโลก เมื่อผู้สร้างสรรค์งานได้ล่วงลับไปแล้ว น่าเศร้านะ...ความสำเร็จ ที่เจ้าของไม่ใคร่จะได้ชื่นชม

พอเดินบ้านของตระกูล Bronte ทั่วแล้วก็ออกมาเติมพลังกัน ร้านอาหารเยอะมาก เลือกไม่ถูกเลยค่ะ แต่ละร้านก็เล็กๆ น่ารัก ตกแต่งได้น่าเข้าไปนั่งทานทั้งนั้น เราเลยเดินสุ่มเข้าไปในร้านหนึ่ง ยิ้มสั่ง Salmon and crayfish cake มาลอง โอ..อร่อยมากกกกกกกก ปลาเป็นปลา กั้งเป็นกั้ง ทุกอย่างยังเป็นชิ้นๆ อยู่เลย รสชาติก็กำลังพอเหมาะ ปกติก็ไม่ค่อยชอบมัสตาร์ดเท่าไหร่ แต่ซอสมัสตาร์ดของที่นี่ทำอร่อยจริงๆ ส่วน Chips ก็ทำจากมั่นฝรั่งหั่นเอง ทอดสดๆ ใหม่ๆ กินกับผักโขมลวก อาาาา สวรรค์



หลังจากเติมพลังแล้ว พวกเราก็เริ่มออกเดินทางกัน ประตูทางเข้านี่แบบ เอ่อ...นี่ตั้งใจจะกีดกันคนอ้วนใช่มั้ยคะ... = =' แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ยิ้มผ่านได้ค่ะ



เส้นทางเดินครั้งนี้ยาว 6 ไมล์ครึ่ง ถ้าจะไปให้ถึงยอดเขาในทุ่ง Heather ที่เป็นซีนของเรื่อง Wuthering Heights ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ พวกเราคิดกันว่าคงไม่ไหว...เพราะเห็นท่าจะตกรถไฟแน่ๆ เราเลยเดินแบบฉบับย่อซึ่งยาว 5 ไมล์ เลี้ยวกลับตรงน้ำตกแทน (น่าเสียดายจัง เพราะดูท่าแล้ววิวจากข้างบนคงสวยมากอ้ะ)

สองข้างทางก็มีทุ่งดอก Heather สีม่วงขึ้นอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งเจ้าทุ่ง Heather นี่ถือเป็นสิ่งแวดล้อมที่ควรแกการอนุรักษ์นะคะ เพราะมันเป็นอะไรที่คงคู่กับการเลี้ยงแกะมานาน และยังก็เป็นที่อยู่อาศัย (Habitat) ของพวกนก พวกสัตว์ต่างๆ ด้วย วันหลังค่อยเขียนบล็อกให้ Heather ละกัน วันนี้มาตามรอยนิยายกันต่อ




ระหว่างทางเราก็เจอแกะประมาณ 25349 ตัว (มั่วจำนวนนะเนี่ย แต่มันเยอะมาก) จริงๆ ก็ไม่ค่อยน่าตื่นตา ตื่นใจเท่าไหร่ ไป Lake District ก็เห็นมาเยอะกว่า เส้นทางก็เป็นทุ่งหญ้าสั้นๆ ที่กิ่วแม่ปาน-ดอยอินทนนท์ก็พอมี แต่ว่า...สิ่งที่พิเศษของทางสายนี้ก็คือ มันให้บรรยากาศชนบทอังกฤษดีมากๆๆ ระหว่างทางก็เจอฟาร์มร้างอยู่ ไม่รู้มีพูดถึงในนิยายรึเปล่า ไอ้เราก็อ่านแต่เรื่องย่อเสียด้วย (เล่มจริงมันหนา ไว้มีเวลาค่อยอ่าน)




เดินไปได้ 2 ไมล์ครึ่งก็ถึงน้ำตก ในรูปที่เคยเห็นนี่ช่างดูอลังการน้ำเยอะมากมาย แต่พอมาเห็นของจริงนั้น เหอๆ ๆ พอไปถึงแล้วก็ได้แต่อุทานว่า นี่น่ะหรือน้ำตก (น้ำตกแม่ยะบ้านเราใหญ่กว่า 30 เท่าค่ะ) อ้ะ..ให้อภัยก็ได้ เพราะว่าแถวนั้นมีดอก Heather สีม่วงๆ ขึ้นแซมหน้าผาสวยงาม ถ้าเรามาตอนฤดูน้ำหลาก...น้ำอาจจะเยอะกว่านี้ก็ได้แฮะ



ตอนที่ถึงน้ำตกพวกเราก็ใช้เวลาไป 1 ชั่วโมงกว่าแล้ว กลัวตกรถไฟเที่ยว 5 โมงเหมือนกัน ก็เลยรีบจ้ำๆ ๆ ขึ้นเนินเพื่อจะหาทางลัดกลับลงไปที่หมู่บ้าน สองสาว (รวมอิฉันด้วย) หมดแรงหอบแฮ่กๆ กันเลยทีเดียว ทางเดินขึ้นมันชันเหมือนกัน แต่พอหันกลับลงไปมองข้างล่างที่อยู่เบื้องหลัง ก็หายเหนื่อยไปนิด เพราะทุ่งสีม่วงมันก็ดูสวยดี





ถึงจะเสียดายที่ไม่ได้ขึ้นไปถึงยอดเขา แต่บรรยากาศก็โอเค นับว่าพอใจในระดับหนึ่ง เรียกได้ว่า...เป็น Trip วัฒนธรรมที่ Inspiring แต่ไม่ได้ฉูดฉาดบาดใจ

ภาพด้านล่างนี้...ถ่ายตอนเดินกลับลงมาจากบนเขา ก่อนที่ข้าพเจ้าจะล้มกลิ้งลงมาได้แป๊บเดียว คือ...ดูในภาพเหมือนทางมันราบๆ แต่จริงๆ แล้วมันลาดนะคะ แถมเป็นหลุมเป็นบ่ออีกตะหาก เข่าลงเต็มๆ ดันใส่กางเกงขาสามส่วนด้วย แข้งถลอกไปตามระเบียบ T_T ตอนแรกคิดว่าแผลลึกเพราะเลือดออกเยอะ แต่พอเอาน้ำดื่มออกมาล้างดูก็เบาใจไป แค่ถากๆ คงหายไวอยู่ แต่หน้าแข้งคงลาย กรี๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ไม่ยอม



พอมาถึงเมืองก็นั่งรถจักรไฟฟ้ากลับไปที่ Keighley อีกครั้ง จบวันละ สั้นๆ แค่นี้เอง



ก็...สรุปคร่าวๆ ได้ว่า หมู่บ้านนี้น่ารักดีนะคะ ส่วนเส้นทางเดินก็ไม่ได้สวยสุดๆ เหมือนกับ Lake District หรือ Yorkshire Dale แต่มันเป็นเส้นทางสายวัฒนธรรม สายวรรณกรรม คนที่เคยอ่านงานของพี่น้องตระกูล Bronte คงชอบ เพราะมันคงเป็นสถานที่ที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายหลายเรื่องอยู่ เรียกได้ว่า...ถ้าขับรถจะไปที่อื่น แวะชมหรือแวะกินอาหารเที่ยงก็ได้ น่ารักดี ไม่เสียหาย แต่ถ้าตั้งใจจะไป Haworth โดยเฉพาะ แต่ไม่อยากเดินใน Heather Moorland ก็ออกจะสิ้นเปลืองไปนิด เพราะเมืองมันเล็กมาก แค่ถนนสายเดียวก็หมดแล้ว

อย่างไรก็ดี..วันนั้นก็สนุกดีค่ะ ได้ไปใช้เวลากับเพื่อนเก่าๆ ได้รู้จักประวัติ และความเป็นมาของพี่น้องตระกูลนักเขียนมากขึ้น ได้เดินทอดน่องในบรรยากาศชนบทอังกฤษ (และได้แผล) คงไม่ลืมไปอีกนาน

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ก้อนเนื้อ...




ช่วงนี้มีแต่คนพูดถึงหัวใจๆ ๆ ๆ ได้ยินบ่อยๆ ก็เลยนึกมีอารมณ์กวี เริ่มกลอนไว้นิดนึงเมื่อคืน แล้วก็รวดมาสานต่อด้วยจินตนาการ ^ ^'
กอปรกับช่วงนี้เพลงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าหัวใจกำลังฮิต เราต้องตามเทรนด์นะคะ อิอิ
ได้ออกมาหน้าตาเป็นดังนี้แล


.....................................................................
หัวใจ...ก็แค่ก้อนเนื้อที่อ่อนนุ่ม
ชุ่มไปด้วยความรู้สึกที่อ่อนไหว
อบอุ่นแกมคุกรุ่นเหมือนเปลวไฟ
ด้วยเลือดรักปักหทัยไหลซ่านทรวง

หัวใจ...ก็แค่ก้อนเนื้อที่เปราะบาง
อยู่ในร่างที่แรมร้างด้วยวันล่วง
คอยตามหาชิ้นส่วนอีกครึ่งดวง
หากพบพานเพียงคำลวงน่าห่วงใย
หัวใจ...ก็แค่ก้อนเนื้อที่บอบช้ำ
ที่แผลรักหักหาญซ้ำย้ำเตือนไว้
จนเลือดรักหลั่งหลากจากข้างใน
สักวันคงทนไม่ไหวให้สิ้นแรง
หัวใจ...ก็แค่ก่อนเนื้อที่อ่อนแอ
ที่คนแพ้ต้องกล้ำกลืนเลิกฝืนแข่ง
เพราะยิ่งทนยิ่งช้ำชอกยอกแสยง
เลือดสีแดงซึมซาบอาบดวงใจ
หัวใจ...ก็แค่ก้อนเนื้อมีชีวิต
ที่โลหิตแห่งรักพักอาศัย
หวังให้สูบฉีดให้ซ่านหวานฤทัย
แล้วเหตุใดใจทรยศกบฏกาย
หัวใจ...เพียงก้อนเนื้อถูกเถือสิ้น
จนพังภิณฑ์เจ็บแสบแทบสลาย
ขาดเลือดรักหนาวสะท้านปานชีพวาย
ตราบวันตายใจร้าวราวเศษดิน

กรรม...กะจะให้ออกมาหวานๆ ทำไมออกมาเศร้าอีกแล้ว = ='

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ความเป็นส่วนตัว - Privacy

Rating:★★★★
Category:Other
มนุษย์มักจะเข้าใจตรงกันดี ว่าพวกเรานั้นครอบครอง หน้าตา สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถ ความถนัด ในระดับและรูปแบบที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อม และอาจจะพันธุกรรม แต่มีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่คนเรามักจะมองข้าม ว่าแต่ละคนอาจจะต้องการไม่เท่ากัน

บางคนอาจจะไม่ต้องการมันเลย แต่บางคนอาจจะมองเห็นมันเป็นประดุจสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต นั่นก็คือ...ความเป็นส่วนตัวนี่เอง

ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนบล็อกนี้ขึ้นเพราะรู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวถูกรุกราน(มากนัก) ถึงแม้ว่าพฤติกรรมบางอย่างของเพื่อนร่วมแฟลตจะทำให้รู้สึกขุ่นข้องหมองใจไปบ้าง แต่โดยรวมๆ ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า...ความเป็นส่วนตัวของข้าพเจ้ายังอยู่ในระดับที่ทนไหวอยู่

สาเหตุที่ข้าพเจ้าเขียนบล็อกนี้ขึ้นก็เพราะว่า ข้าพเจ้าเพิ่งไปอ่านฮิห้าของน้องพิช - วิชญ์วิสิฐ มา และน้องได้เขียนข้อความขออภัยคนที่รอน้องแอดเป็น friends เพราะขณะนี้...มีคนอีกสี่หมื่นกว่าคนรอคอยการหันมาใส่ใจของน้องอยู่ โอ...ที่สำคัญน้องยังต้องเจอกับคนเดินตามเวลาช้อปปิ้ง แฟนคลับบุกถึงห้อง คนจับตามอง ไปโผล่ที่ไหนก็มีแฟนคลับเห็นแล้วมารายงานความเคลื่อนไหวในเวบบอร์ดได้ทุกครั้งไป

น้องพิชอายุแค่ 19 เอง แต่น้องจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ดีทีเดียว จากการอ่านเวบบล็อกของน้องมา 3 รอบ ข้าพเจ้าก็พอจะจับเค้าได้ว่า น้องมีความเป็นตัวของตัวเอง และต้องการความเป็นส่วนตัวสูงค่อนข้างมาก ตอนแรกๆ ที่เริ่มมีกลุ่มแฟนคลับเกิดขึ้น ก็พอจะเห็นน้องพิชแสดงอาการตกใจ และวางตัวไม่ถูกบ้าง แต่ตอนนี้ก็เห็น 'เนียนๆ' ไปกับมันได้อย่างน่านับถือ

นี่แปลว่า...เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นจริงๆ คนที่ 'รักความเป็นส่วนตัว' อย่างสูงสุด ก็ต้องสามารถทำใจที่จะสูญเสียมันไปให้ได้อย่างนั้นหรือ แล้ววันนั้นมันจะมาถึงข้าพเจ้าไหม..อื่ม คงไม่หรอก เพราะข้าพเจ้าไม่มีศักยภาพมากพอ หรือมีความปรารถนาที่จะเข้าวงการบันเทิง และถ้าอยู่ในวงการอื่น ผู้คนคงไม่สนใจข้าพเจ้านัก

ทำให้ข้าพเจ้าพานนึกไปถึงเพื่อนอีกคน ในเวลาใกล้เที่ยงคืน ค่ำคืนหนึ่งของ 2 ปีก่อน ลมร้อนพัดผ่านมา ข้าพเจ้าและเพื่อนคนนั้นที่หมดแรงจากการร้องคาราโอเกะจากสยามพารากอน ยืนอยู่ตรงรถไฟฟ้า BTS ฝูงชนคลาคล่ำเดินสวนกันไปมา แต่ไม่มีใครสนใจเรา แล้วรถไฟฟ้าขบวนของเขาก็มาก่อน

"ไปละนะยิ้ม" เขาบอกแล้วโบกมือ
"อื่อ ไว้พบกันใหม่ เมื่อชาติต้องการ"

ง่ายๆ แค่นั้นเอง แต่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกระมัง ตอนนี้...ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเขาจะขึ้นรถไฟฟ้าได้โดยไม่มีคนสังเกต ขึ้นตอนนี้อาจจะถูกรุมได้ และข้าพเจ้าก็คิดว่า...ชาติคงไม่ต้องการให้ข้าพเจ้าและเขาได้พบกันในเร็ววันนี้ แต่ถ้ามีโอกาส ข้าพเจ้าคงยกประเด็นนี้มาสัมภาษณ์ให้ได้เชียว ข้าพเจ้าอยากรู้...ว่าอยู่ในสถานะที่ต้องสูญเสยความเป็นส่วนตัวไปส่วนหนึ่งนั้นจะรู้สึกอย่างไร วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน

กลับมาเรื่องของตัวเองดีกว่า...

ข้าพเจ้านึกถึงพวกเขาเหล่านั้นด้วยความชื่นชม เขาช่างจัดการกับการเป็นบุคคลสาธารณะ และการมีโลกส่วนตัวได้ดีจนน่าทึ่ง ข้าพเเจ้าไม่คิดว่าตัวเองจะทำอย่างนั้นได้...นับว่าโชคดี ที่ยังไงเสียข้าพเจ้าก็ไม่มีวันอยู่ในจุดนั้น

ข้าพเจ้าเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงมามากตั้งแต่สมัยครั้งยังเยาว์ อาจจะเพราะเป็นลูกคนเดียว แถมวัยยังไม่ได้ใกล้เคียงกับลูกพี่ลูกน้องคนอื่นเท่าไหร่ คนที่วัยใกล้เคียงจริงๆ ก็ดันอยู่ไกล ทำให้ข้าพเจ้าต้องสร้างโลกของตัวเองอยู่ในหัวตลอดเวลา อย่างเวลาพ่อแม่คุยกันเรื่องการเมือง ข้าพเจ้าก็จะแต่งนิทานอยู่ในหัว หรือเวลาครูสอนอะไรไม่รู้เรื่อง...ข้าพเจ้าก็จะคิดถึงอีกวิชาที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ ยกตัวอย่างเช่น

ครู: "7 + 5 เป็นเท่าไหร่ เอ้า นับนิ้วนะคะ 8 9 10 11 12 ใส่ 2 ในหลักหน่วยทด 1 ในใจ แล้วเอาไปใส่ที่หลักสิบ"

ข้าพเจ้า: "มานีมีตา อามีตา นามีปู"

มันอาจจะฟังดูไม่เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวเท่าไหร่ แต่ก็เกี่ยวบ้างนะ...อาการคิดมาก จินตนาการเรื่อยเปื่อยทำให้ข้าพเจ้าชอบหลบไปอยู่คนเดียว นังคิดอะไรเงียบๆ บางทีก็เอาผ้าอ้อมไปดมกลิ่นผงซักฟอกใหม่ๆ ด้วย โดนกล่าวหาว่าหลบไปแอบดูดนิ้วก็หลายที แต่ข้าพเจ้าขอยืนยัน ว่าไม่ได้หลบไปดูดนิ้ว ข้าพเจ้าไปหาที่สงบนั่งจินตนาการอะไรบางอย่างเท่านั้นเอง

โตมา...ข้าพเจ้าก็ยังมีเรื่องในจินตนาการอยู่ดี แต่ดีหน่อย...ที่เขียนหนังสือเป็นแล้ว ข้าพเจ้าจะได้เขียนลงในสมุดบันทึกได้ แต่ข้าพเจ้าไม่ชอบ...ไม่ชอบที่จะมีคนอื่นมาอ่านข้อความของข้าพเจ้า ดังนั้นก็เลยไม่ค่อยได้เขียนต่อเนื่องเท่าไรนัก หรือบางครั้งถ้าเขียน...ข้าพเจ้าก็จะเขียนเป็นโค้ดลับ แบบที่เข้าใจคนเดียว

ตอนอยู่ม.ต้น ข้าพเจ้าเริ่มเดินออกมาจากโลกส่วนตัว พยายามที่จะแบ่งปันโลกของข้าพเจ้า และความรู้สึกของข้าพเจ้าให้เพื่อนในห้องและครูได้รับรู้ แต่ผลก็คือ...คะแนนจิตพิสัยของข้าพเจ้าไม่ค่อยจะเกิน 6-7 คะแนน เนื่องเพราะคณะครูบอกว่า "ศศิษยาพูดมากเกินไป" ข้าพเจ้าก็เลยกลับไปอยู่ในโลกของตัวเองอีกครั้ง เมื่อความคิดที่จะแบ่งปันความรู้สึกล้มเหลว

ตอนอยู่ม.ปลาย เพื่อนบอกว่าข้าพเจ้าเป็นคน 'พูด' แต่ข้าพเจ้าไม่ชอบแสดงความรู้สึก ข้าพเจ้าเห็นด้วย...แต่ก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนแปลงตัว ข้าพเจ้าชอบคิดอะไรคนเดียว ทำอะไรคนเดียว และจะรู้สึกโกรธมากถ้าห้องส่วนตัว จดหมาย หรืออะไรก็ตามที่เป็นของข้าพเจ้าถูกรุกราน ข้าพเจ้าถึงกับเคยตั้งปณิธานว่า...ผู้ใดที่อ่านจดหมายของข้าพเจ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต จะไม่ได้รับโอกาสให้รับรู้เรื่องส่วนตัวจากปากของข้าพเจ้าอีกเลย เพราะข้าพเจ้าถือว่า ในเมื่อเขามีวิธีรุกล้ำโลกของข้าพเจ้าโดยใช้ช่องว่างตามขอบรั้วแล้ว ข้าพเจ้าก็คงไม่ต้องเปิดประตูให้โดยเต็มใจหรอก

ถึงข้าพเจ้าจะโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก ชอบทำอะไรคนเดียว แต่ข้าพเจ้าก็จริงใจกับเพื่อนๆ ที่คบอยู่นะ เพียงแต่ด้วยความที่เป็นวัยรุ่น...วัยที่ความคิดกำลังเปลี่ยนแปลง พ่อแม่ก็คิดไม่เหมือนกัน เพื่อนๆ ก็ไม่เชิงจะคิดหมือนกัน ข้าพเจ้ารู้สึกว่า แม้จะอยู่ฝูงชน...แต่ข้าพเจ้าก็เหมือนจะไม่มีใครเข้าใจ

ช้าก่อน...ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้ออกอาการเด็กเจ้าปัญหา เหงา เศร้าซึมหรอกนะ ข้างนอกข้าพเจ้าก็ดูเป็นคนปกติดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีมิตรสหายไปตามปกติ มีแค่ในใจนั่นแหละ ที่มักจะไถลเข้าไปในดินแดนเล็กๆ ที่ไม่ยอมปล่อยให้ใครเข้าถึงอยู่เสมอ และก็มีแค่..เพื่อนๆ ที่คอยตัดพ้อว่าข้าพเจ้าไม่แสดงความรู้สึกรัก ชัง ดีใจ เสียใจ เลย มีแต่อารมณ์โกรธนั่นแหละ ที่วูบขึ้นมาแล้วระเบิดตูมเลย

ตอนมาอังกฤษใหม่ๆ เพื่อนกลุ่มใหม่ก็บอกอีกว่า..ข้าพเจ้าไม่ค่อยแสดงความรู้สึก ไม่ค่อยพูดกับคนไม่รู้จัก กับคนที่รู้จักข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยแสดงอารมณ์เท่าไหร่ เดาใจได้ยากเย็น ตอนนี้แหละที่ข้าพเจ้าเริ่มคิด และเป็นห่วงตัวเองจริงๆ จังๆ หรือว่า...ข้าพเจ้าเป็นบุคคลที่ไร้อารมณ์จริงๆ

แย่แล้ว...ลักษณะแบบนี้ มันช่างต่างจากนิสัยคนอังกฤษเสียด้วย ข้าพเจ้าจะเอาตัวรอดในสังคมไหมเนี่ย ข้าพเจ้าเริ่มหวั่นใจ และลองจับสังเกตเพื่อนรอบตัว ด้วยการลองผิดลองถูก ข้าพเจ้าก็พบว่า...คนเราสามารถพูดไปเรื่อยเปื่อยน้ำไหลไฟดับได้...โดยไม่ต้องวกเข้าเรื่องส่วนตัวของเราเลย นั่นเป็นการค้นพบที่น่าทึ่ง ข้าพเจ้าทดลองอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะตอนเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ มีโอกาสเจอผู้คนมากกว่าเดิม และในที่สุดก็สามารถปั้นยิ้ม คีบแก้วไวน์ จิ้มค็อกเทลกิน แล้วพูดประโยคเดิมซ้ำๆ ได้โดยที่ไม่ต้องรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองเท่าไหร่ และนั่นก็เป็นวิธีที่ข้าพเจ้าใช้ต่อๆ มา เรื่อยๆ

ข้าพเจ้ามีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น แต่ข้าพเจ้าอึดอัด...มีไม่กี่คนที่ข้าพเจ้าสามารถพูดคุยเรื่องส่วนตัวด้วยได้หมดใจ ถ้าท่านผู้ใดที่แวะมาอ่านเคยได้รับรู้เรื่องของข้าพเจ้าในวันเก่าๆ ท่านจงภูมิใจเถิด ท่านเอาชนะกำแพงจิตวิทยาบ้าๆ ของข้าพเจ้าได้อย่างราบคาบ และเป็นบุคคลส่วนน้อย หลายครั้งหลายคราที่ข้าพเจ้าพบคนที่คุยกันรู้เรื่อง นิสัยดูเหมือนจะเข้ากันได้ แต่ความสัมพันธ์ไม่ก้าวไปไหน เพราะข้าพเจ้าเผลอคิดไปว่า...เขารุกล้ำความเป็นส่วนตัวของข้าพเจ้า

การใช้ชีวิต 5-6 ปีในอังกฤษ ทำให้ข้าพเจ้าลองปรับหาระดับความเป็นส่วนตัวดูใหม่ รวมถึงการปรับการแสดงออกทางอารมณ์ให้เหมาะสมด้วย การมีบล็อกทำให้ข้าพเจ้าลดอาการมีโลกส่วนตัวลงไปเยอะ เมื่อได้ขีดๆ เขียนๆ มีคนมาอ่าน มีคนมารับรู้ความคิด ความเป็นไป ในเมื่อข้าพเจ้าแสดงออกด้วยตัวเองไม่ได้ ข้าพเจ้าก็แสดงออกทางตัวหนังสือร้อยแก้วหรือร้อยกรองแทนก็แล้วกัน ซึ่งมันก็ช่วยได้มาก บางครั้งข้าพเจ้าอาจจะดูขาดๆ เกินๆ ไปบ้างก็คงต้องขออภัย

มาถึงตอนนี้...ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าไอ้เจ้าอาการต้องการความเป็นส่วนตัวสูงนี่มันหมดไปหรือยัง หรือว่าตกค้างอยู่มากน้อยเพียงไหน แต่ข้าพเจ้าแสดงความรู้สึกมากขึ้นเยอะแล้วนะ

มาถึงตอนนี้ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าควรจะสรุปอย่างไร เพราะข้าพเจ้าไม่ได้วางโครงสร้างบล็อกนี้เอาไว้ก่อน แค่เขียนขึ้นตามอารมณ์เท่านั้นเอง แต่ก็หวังว่า...คงจะช่วยให้ผู้อ่านได้ฆ่าเวลาในยามไม่รู้จะทำอะไรไปบ้างไม่มากก็น้อย

และขอให้ทุกท่านสามารถจัดการกับความเป็นส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพเรื่อยไปเทอญ