วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ในรอยบรรพ์ - ตอนที่ 2

บทที่ 2

บนระเบียงของเรือนแบบล้านนาหลังกลางเก่ากลางใหม่มีเถาเล็บมือนางเลื้อยพันจนแทบไม่เห็นราวไม้ดั้งเดิม ดอกที่เพิ่งแย้มผลิสีชมพูและดอกแก่สีแดงแซมใบเขียวแต่งแต้มสีสันให้เรือนหลังย่อมดูสดใส กระถางต้นไม้เลื้อยจำพวกเดฟและเดฟกระเป๋าที่แขวนตามชายคาสร้างความสดชื่นให้แก่ผู้อาศัยและผู้พบเห็น หญิงสาวร่างสูงเพรียวในชุดกางเกงยีนและเสื้อเชิ้ตสีเข้มดูทะมัดทะแมงทอดสายตาไปทางทุ่งนาที่อยู่ห่างออกไป ดวงตาคมเลื่อนลอยราวกับกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องที่ยากเกินความเข้าใจ

เหตุใดหนอ...เธอจึงรู้สึกเคยคุ้นกับที่แห่งนี้อย่างประหลาด รู้สึกตั้งแต่เลี้ยวรถวกเข้ามาถึงหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว ความคุ้นเคยกับสถานที่กับความเจ็บปวดรวดร้าวปะปนกันอยู่ในอกอย่างบอกไม่ถูก

บ้านหลังนี้เป็นเรือนขนาด 5 ห้องนอนและมีพื้นที่ใต้ถุนซึ่งถูกกั้นเป็นห้องครัวและห้องอาหาร และเป็นหนึ่งในบ้านสองสามหลังที่บริษัทรุ่งอรุณได้จัดการเช่าให้นักโบราณคดีและวิศวกรได้พำนักในระหว่างที่ต้องทำงานในจังหวัดที่ห่างไกลจากบ้านเกิด ไกลออกไปด้านหลังของไซต์ขุดมีบ้านพักคนงานเรียงรายอยู่ในดงกล้วยน้ำว้าที่ทั้งผลและลำต้นกลายมาเป็นอาหารอันโอชะของคนงาน และใบก็ได้กลายมาเป็นวัสดุสารพัดประโยชน์อยู่เรื่อยๆ

“คราวนี้งานใหญ่เลยนะ พี่เม่น คงจะไม่หมูอย่างที่ผ่านมา เปลี่ยนบริษัทรับเหมามาหลายรายแล้ว ไม่รู้มีปัญหาอะไร ต้องขอบายทุกที งานมันถึงได้รอดมาหาเจ้าเล็กๆ อย่างเราได้ไงล่ะพี่”

เสียงทุ้มๆ ดังออกมาก่อนที่เจ้าของร่างจะโผล่ตามมา ธีระวิทย์ หนุ่มผิวเข้มใบหน้าคร้ามคม ผู้ซึ่งเดินทางมาขลุกอยู่กับชาวบ้านแห่งนี้ล่วงหน้าเพื่อสำรวจแหล่งโบราณสถานและเตรียมการ เดินออกมาสมทบที่ระเบียงแล้วมองตามสายตาของมาธวี ‘เจ้านาย’ และ ‘รุ่นพี่’ ที่เขายิ่งกว่าเคารพรักพลางยิ้มนิดๆ กับท่าทางกระตือรือร้นของบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้า แม้ว่ามองจากภายนอกแล้ว เม่น หรือมาธวีจะดูอ้อนแอ้นโปร่งบาง หากไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเธอสามารถปกครองคนงานและพนักงานในบริษัทได้อย่างเฉียบขาดยิ่งนัก ออกจะมากกว่า ษมา รุ่นพี่หนุ่มของเขา เพื่อนรักเพื่อนเกลอของเจ้าหล่อนเสียอีกด้วยซ้ำ ดวงตาคมลึกเปี่ยมอำนาจแบบที่ใครเห็นก็ไม่กล้าแหยม ความเด็ดขาดในการแก้ปัญหาและครองใจคนที่ใครๆต่างก็ต้องยกนิ้วให้หญิงสาววัย 27 ปีคนนี้ ตัวเขาเองเคยเห็นมาธวีควงไม้หน้าสามชี้หน้าเฉ่งคนงานที่ดื้อแพ่งไม่ยอมทำงานมาแล้ว

“เอ็งไม่ทำเอ็งก็ไม่ต้องทำ ยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้มีคนอยากได้งานถมไป ลูกเมียอดตายก็ให้คนเขารู้กันว่าหัวหน้าครอบครัวมันขี้เกียจ”

แปลก...คนงานชายร่างบึกบึนกลับกริ่งเกรงร่างแบบบางอ้อนแอ้นของมาธวีกันทุกคน คงจะเพราะแววตาของเจ้าหล่อนกระมัง แต่หลังจากข้อขัดแย้งผ่านไป เธอก็มานั่งร่วมวงเหล้ากับคนงานคนนั้น พูดจาหยอกล้อหัวเราะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มิหนำซ้ำเมื่อมีโอกาสได้กลับบ้านทีไร เธอก็หอบเอาผลไม้ตากแห้งเช่น มะม่วงกวน หรือมะขามคลุกมาฝากคนงานและพนักงานในไซต์ด้วยเสมอๆ จนเป็นที่รักและเกรงใจของคนงานทั้งหญิงชายไปตาม ๆ กัน

ในช่วงเวลาปกติ มาธวีก็ดูเหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไป หากเมื่อไรที่เธอต้องทำงาน รังสีอำนาจแผ่ออกมาจากผู้หญิงธรรมดาๆคนนี้อย่างเห็นได้ชัด ช่วยไม่ได้ที่ใครเห็นก็จะต้องคร้ามเกรง ทั้งที่เธอยังไม่เคยใช้ความรุนแรงหรืออาวุธกับคนในปกครองเลยถ้าไม่จำเป็น

“อยากจะลงไปเดินดูไซต์ที่พวกผมเริ่มเคลียร์พื้นที่เอาไว้มั้ยพี่ วันจันทร์จะได้เริ่มงานกันเลย” ธีระวิทย์ถามด้วยความกระตือรือร้น “เพิ่งจะ 4 โมง ยังไม่มืดเลย ไม่ต้องรอไอ้สองตัวที่เหลือหรอกพี่ ป่านนี้เข้าไปจีบสาวที่ร้านไก่ปิ้งเจ๊หอมเพลินไปแล้ว”

“ไปก็ได้ เดี๋ยวขอไปหยิบเสื้อกันหนาวก่อน อากาศเริ่มเย็นแล้ว” มาธวีก้าวยาว ๆ กลับเข้าไปในห้อง แล้วเดินกลับมาในชั่วอึดใจ

“ดีพี่ จะได้กลับมาทันกินข้าวเย็น เดี๋ยวป้าแม้นที่นายแม่ของพี่อุตส่าห์ส่งมาเพื่อคุมความประพฤติ...เอ๊ย...ส่งมาช่วยดูแลเรื่องอาหารการกินจะน้อยใจเสียก่อน” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ อย่างไรเสียมาธวีก็เป็นลูกสาว ต่อให้คล่องตัวเพียงไหนหัวอกคนเป็นแม่ก็คงยากที่จะวางใจได้

“ไอ้ที น้อยๆ หน่อย เดี๋ยวแม่ก็บอกให้ป้าแม้นทำอาหารให้แค่พี่กับเจ้าสองตัวนั่น ส่วนนายน่ะ ทำกินเองก็แล้วกัน”

“อย่านะเจ๊เม่น ผมขอร้อง พี่จะตัดเงินเดือนผมก็ตัดไป จะมาตัดอาหารป้าแม้นจากชีวิตผมนี่ ยอมตายดีกว่า รสมือป้าแกนี่ยิ่งกว่าชาววังอีกพี่” ธีระวิทย์โอดครวญดังลั่น

มาธวีหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ไม่ใช่หรอก...ป้าแม้นไม่ได้มาที่นี่เพื่อช่วยเหลือด้านอาหารการกินอย่างเดียว เธอรู้อยู่แก่ใจว่ามารดาส่งป้าแม้นมาเพื่อช่วยสอดส่องดูแลและรายงานเรื่อง ‘ฝันร้าย’ ซ้ำๆ ซากๆ นั่นต่างหาก

“เออ...ให้มันรู้เสียมั่ง ใครเป็นใคร” หญิงสาวยืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ไซต์นี้ใครใหญ่ก็รู้ ๆ กันอยู่”

“คร้าบ...พี่สาวที่เคารพ พวกผมเคารพรักพี่อยู่แล้ว พี่ไม่ต้องลงทุนมาคุมงานที่นี่ด้วยตัวเองก็ได้ อยู่ทำงานออฟฟิศสบายๆ ที่โน่นดีกว่า พวกกระผมจะได้หายใจหายคอโล่งหน่อย” ธีระวิทย์พูดทีเล่นทีจริง เพราะทราบดีว่าลูกพี่สาวขยันขันแข็งและทุ่มเทกับงานขนาดไหน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านับแต่วันจันทร์นี้ไป การขุดค้นที่ไซต์นี้คงจะไม่ดำเนินไปเรื่อยๆด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเหมือนอย่างตอนที่พวกเขามาสำรวจเป็นแน่ ลอง ‘นายหญิง’ ลงสนามด้วยตัวเองอย่างนี้ ถ้าสปีดไม่ถึง 120 ธีระวิทย์ยอมเอาศีรษะเป็นประกัน

“พวกแกทำงานช้าเกินไป ไซต์นี้ใหญ่นะ เท่าที่กะไว้จากภาพถ่ายดาวเทียมกับการสำรวจก็น่าจะเป็นร้อยไร่ รัฐก็ซื้อที่เพิ่มมาได้เรื่อยๆแล้ว พี่อยากให้เราทำงานให้เห็นผลเร็วๆ การรอคอยนับพันปีจักได้สิ้นสุดลงเสียที” ประโยคสุดท้ายเบาหวิวและแผ่วโหย ตามมาด้วยอาการเหม่อลอยของหญิงสาว ชายหนุ่มรุ่นน้องมองหน้ารุ่นพี่สาวด้วยความงุนงง

“พี่เม่น พี่พูดว่าไงนะ”

“เปิดผืนธรณีให้เร็วที่สุด หากพลาดจากครั้งนี้จักต้องรอต่อไปไร้กำหนด อาจต้องรอจวบจนสิ้นพุทธกาล” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสงบนิ่งผิดจากเสียงมาธวีคนเดิม ที่ถึงแม้ว่าจะตะโกนโหวกเหวกไปบ้างในบางครั้งหากน้ำเสียงมักจะเปี่ยมด้วยอารมณ์ขันและแววอ่อนโยนเสมอ

“อะไรนะ” ความขี้เล่นช่างพูดหายไปจากตัวชายหนุ่มเป็นปลิดทิ้ง ธีระวิทย์อ้าปากค้างจ้องมองเจ้าของประโยคเขม็ง ร่างบอบบางนิ่งขึงไปครู่ใหญ่ ดวงหน้าละมุนสะบัดแรงๆ สองสามครั้ง

“อะไร...นายที ตะโกนอะไรโหวกเหวก หนวกหู”

“พี่เม่นนั่นแหละ พูดอะไร”

“พูดว่าอยากให้งานเสร็จเร็วๆ จะได้กลับบ้านเสียที”

“ไม่ใช่...เมื่อกี้พี่ไม่ได้พูดยังงี้นี่ พี่พูดว่าอะไรนะ จำไม่ได้...อะไรเกี่ยวกับเปิดผืนธรณี หรือพุทธกาลอะไรนี่แหละ”

“จะบ้าเรอะ ฉันนี่นะจะพูดอะไร ฝันกลางวันไปแล้วนายที” มาธวี ขมวดคิ้วแล้วมองหน้าธีระวิทย์อย่างไม่เชื่อถือชายหนุ่มมองตามรุ่นพี่สาวไปด้วยความงุนงงสุดขีด

“ใครฝันกันแน่วะ ผีเข้ากลางวันแสกๆหรือเปล่า บรื๋อ...พูดแล้วขนลุก”

.........................................................................................................................

เส้นทางจากตัวหมู่บ้านไปถึงทุ่งนา ซึ่งเป็นบริเวณที่สำรวจพบแหล่งโบราณสถานใต้ดินต้องผ่านทางเดินลูกรังแคบๆ และสวนลำไยหลายต่อหลายสวน ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาต่างรู้จักคณะสำรวจที่มาทำงานที่นี่เป็นอย่างดี สังเกตได้จากถ้อยคำทักทายทั้งหลาย

“อ้าว พ่อที...มากับหนุ่มที่ไหนล่ะนั่น น้องชายหรือนี่ หน้าตาหล่อเหลาเอาการ วันนี้ไม่ไปก๊งที่ร้านเจ๊หอมกับเพื่อนๆ เรอะ

“เอ่อ...วันนี้คงก๊งไม่ได้จ้ะ ต้องพาเจ้านายไปดูงานที่ไซต์ก่อน เอ่อ แล้วท่านผู้นี้ไม่ใช่หนุ่มนะป้า สาวแท้ๆ ชื่อพี่เม่นจ้ะ”

“อ้าว แม่คุณ เป็นผู้หญิงหรอกเรอะ เอ้อใช่...ผิวเนียน ตาคม ขนตางอนเช้งอย่างนี้ก็ต้องผู้หญิงสินะ ป้าเห็นใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ กางเกงตัวใหญ่ๆ ก็คิดว่าเป็นผู้ชาย ก็สาวๆ สมัยนี้นุ่งผ้ากันแค่คืบเดียวกันทั้งนั้นทั้งข้างบนข้างล่าง พอเห็นคนที่ไม่ตามแฟชั่นก็เลยเดาผิดไป โทษที”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ป้าไม่ใช่คนแรกที่ทักผิด แต่ต่อไปนี้ป้าคงเจอเม่นบ่อยๆล่ะค่ะ เพราะเม่นจะมาดูแลงานที่นี่อีกหลายเดือนเลย เดี๋ยวก็จำได้แม่น”

เมื่อเดินมาถึงสุดทางลูกรัง ต้นข่อยคู่ต้นใหญ่ตั้งตระหง่านราวกับบ่งบอกเขตประตูสู่มหานคร แมกไม้ร่มครึ้มสองข้างทางก็สิ้นสุดลงด้วย เหลือเพียงทุ่งนาโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศยามเย็นสงบเงียบ แสงแดดสีทองสาดฉาย ข้าวรวงทองชูช่อรับสายลมแผ่วๆ

“พี่เห็นเนินตรงโน้นไหม มันเป็นสันขึ้นมายาวมาก ชาวบ้านเรียกกันว่าสันนา ดูจากรูปถ่ายดาวเทียมแล้วผมสันนิษฐานว่ามันอาจจะเป็นกำแพงเมืองนะพี่ เพราะมันเป็นรูปวงรี แล้วเนินด้านโน้นอาจจะเป็นวิหารหรือสิ่งก่อสร้างอะไรสักอย่าง ทางการเพิ่งซื้อที่มาได้จากชาวบ้าน กรมศิลป์ฯ ยังไม่ได้สำรวจเลย”

“เขตราชฐานเก่าต่างหาก”

“หืม...พี่รู้ได้ไง” มาธวีกระพริบตาปริบๆ เพื่อไล่ความงุนงง

“ไม่รู้หรอก ใช้ความรู้สึกเฉยๆ เดี๋ยวขุดลงไปก็รู้”

“อื่ม ก็คงจะต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ถัดจากเนินนั่นไปมีสระน้ำด้วยพี่ มี 2 สระ สระแรกเล็กหน่อยอยู่ติดเนินดินนั่น อีกสระขนาดใหญ่กว่ามากอยู่ไกลออกไปทางทุ่งนาของชาวบ้าน เขาเรียกว่าบวกแสนควาย มีตำนานด้วยนะพี่ วันนั้นผมก็มึนๆ เลยจำไม่ค่อยได้ ไว้ค่อยไปถามชาวบ้านแถวนี้เอา”

เสียงเล่าเรื่องของธีระวิทย์หาได้ผ่านประสาทรับรู้ของมาธวีไม่ นักโบราณคดีสาวเดินไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย ภายในใจรู้สึกเหมือนช่องอกที่ว่างเบาโหวงกลับเต็มตื้น...คล้ายได้มาอยู่ในถิ่นที่คุ้นเคยอีกครั้ง ตั้งแต่เล็กจนโตมาทุกวันนี้ บ้านสวนที่นนทบุรีเป็นประดุจนิวาสถานมาตลอด หากลึกๆ ลงไป เธอรู้ดี...เธอกำลังรอคอย บางสิ่งบางอย่าง ใจของเธอร่ำร้องที่จะได้กลับไปยังถิ่นที่เธอจากมา หากเป็นที่ไหน....เธอไม่เคยรู้

“ลองไปดูหน่อยได้ไหม”

“ได้สิพี่ ระวังไมยราพหน่อยนะ มันมีหนาม”

“พี่ใส่รองเท้าผ้าใบ ไม่เป็นไรหรอก นายสิระวัง...ใส่รองเท้าแตะ” ว่าแล้วสาวห้าวก็ก้าวสวบๆ ตัดดงหญ้าไปทันที

พ้นจากเนินดินไปแล้ว ก็มาถึงสระน้ำขนาดย่อมที่มีวัชพืชขึ้นปกคลุมบริเวณริมฝั่งเป็นแห่งๆ ผืนน้ำไหวเป็นระลอกตามแรงลมสะท้อนแสงแดดสุดท้ายของวัน

“สระแห่งอุทยานหลวงกว้างใหญ่เหลือเพียงเท่านี้เองหรือ” ความรู้สึกภายในผลักดันให้มาธวีพูดประโยคที่ฟังหวนละห้อยจนแม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ แต่ธีระวิทย์เลิกใส่ใจไปแล้วด้วยคิดว่ารุ่นพี่สาวเดาสุ่มไปตามเรื่อง

“สระน้ำมันก็ตื้นเขินได้ตามกาลเวลาสิพี่ คนอาจจะถมที่ไปบ้าง หญ้าที่ตายๆไปก็กลายเป็นดินทับถมกันเป็น
นร้อยเป็นพันปีได้นี่นา ดีเลย มาแถวนี้ทั้งที ขอผมถ่ายรูปสถานที่หน่อยก็แล้วกัน วันก่อนลืมไป”

“ตามสบาย...เดี๋ยวพี่เดินไปดูด้านโน้นหน่อยนะ” ร่างสูงเพรียวก้าวยาวๆไปยังอีกฟากของสระโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของรุ่นน้อง หากธีระวิทย์ก็ปล่อยเลยตามเลยด้วยเห็นว่าลูกพี่น่าจะเอาตัวรอดเองได้อยู่แล้ว
ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ มาธวีเดินเลียบสระน้ำด้วยความรู้สึกตีบตันอยู่ในอกเ มื่อยามที่อยู่คนเดียวกระแสความรู้สึกในใจรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่านัก

เจ็บปวด...รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบคั้น...

ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเธอเดินอ้อมไปยังด้านหลังของสระน้ำ ใบหน้าละมุนหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาทางเดินที่หายไปในดงหญ้าสูงแค่เข่า ลมหนาวของจังหวัดในแถบภาคเหนือนั้นเย็นเอาเรื่อง หากไอเย็นที่วูบผ่านร่างเธอในขณะนี้กลับเย็นเยียบในรูปแบบที่ต่างออกไป เย็นจนขนลุกตั้งชันไปทั้งตัว มาธวีหันขวับไปตามทิศทางแห่งสายลมนั้นทันที และอาจจะเพราะอุปาทาน สิ่งที่เธอเห็นด้วยหางตาจึงเป็นเหมือนชายผ้านุ่งสตรีลวดลายวิจิตรไหวพลิ้วที่ลับหายไปในดงไม้ หายลับไปพร้อมเสียงหัวเราะแผ่วๆ

“ใครน่ะ” เจ๊ใหญ่แห่งบริษัทรุ่งอรุณ ตัดสินใจร้องเรียกออกไป หากสิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ...เงียบสนิทถึงขนาดที่เสียงลมก็หยุดหายไปชั่วขณะ

ความหวาดหวั่นแปลกๆ เข้ามาครอบครองจิตใจ หรือว่าสระแห่งนี้...จะเป็นสระน้ำที่เธอเห็นในความฝัน แม้ว่ารูปลักษณ์ของมันจะเปลี่ยนไปมากก็ตาม จริงอย่างที่แม่คาดเดาเอาไว้ ตั้งแต่มาถึงที่นี่...ฝันร้ายไม่เป็นเพียงฝันร้ายอีกต่อไป ความรู้สึกประหลาดและข้อเท็จจริงที่ผุดขึ้นในสมองและอุปาทานอีกมากมายร้อยแปดมันหลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดแม้กระทั่งในยามตื่น หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายจนใจทั้งดวงปวดร้าวไปหมด และเธอจะยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆได้อย่างไร

“โอ๊ย...ปล่อยทิ้งไว้ต้องเป็นบ้าตายแน่ๆ ”

มาธวีสบถและบ่นออกมาเบาๆ กลัวน่ะ...ยอมรับว่ากลัวอยู่ แต่จะให้วิ่งหนีหรือ...ไม่มีทาง สิ่งใดก็ตามที่ทำให้เธอหวาดหวั่น ขอให้รู้ไว้ มาธวีคนนี้ไม่เคยวิ่งหนีความเป็นจริง ดูอย่างความฝันที่ตามหลอกหลอนเธอนั่นสิ เธอยังทนมาได้ถึงยี่สิบกว่าปี แค่การเผชิญหน้ากับสิ่งเหนือธรรมชาติ...เธอไม่กลัวหรอก ดีเสียอีกจะได้รู้กันเสียทีว่าที่นี่คือสถานที่ที่เธอเห็นในความฝันจริงหรือไม่ จะได้ไม่ต้องมาทรมานกับความอยากรู้กึ่งกังวลอย่างนี้

หลังจากยืนวัดใจกันอึดใจใหญ่ ‘สิ่งนั้น’ ก็ไม่โผล่ออกมาให้พบเจอ และเธอก็ไม่อยากจะเดินเข้าไปหาเรื่องถึงในดงไม้ มาธวีจึงตัดสินใจลืมเรื่องที่เกิดขึ้นและทำในสิ่งที่ได้ตั้งใจไว้เช่นเดิม ดวงหน้าหวานละมุนเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ จวนค่ำแล้ว...หากเธอคงจะพอมีเวลาว่างระหว่างที่ธีระวิทย์กำลังตระเวนถ่ายรูปอีกสักครึ่งชั่วโมงสำหรับทำสิ่งที่เธอชื่นชอบเพื่อกำจัดความฟุ้งซ่าน ดวงตาคมลึกจ้องมองแสงสีที่สะท้อนจากแผ่นน้ำพลางแย้มริมฝีปากออกด้วยความพอใจในสิ่งที่เห็น ภาพทิวทัศน์ของทุ่งนาและสระน้ำในเขตชนบทถูกบันทึกด้วยกล้องดิจิตอลเอาไว้เพื่อนำไปประกอบการแต่งกลอนที่เธอมักจะนำเอาไปโพสต์ไว้ตามเวบบอร์ดต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นงานอดิเรกที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว หรือถ้าจะพูดให้ถูก...มันคืองานที่เธอพยายามใช้ดึงตัวเองออกจากความหวั่นไหวทั้งหลายทั้งมวลที่เกิดจากฝันร้ายเรื้อรังนั่นเอง

กล้องถ่ายรูปและกระเป๋าสะพายถูกทิ้งไว้โคนต้นไม้ ไดอารี่เล่มบางถูกเหน็บไว้กับกระเป๋าด้านในเสื้อแจ็คเก็ตสีหม่น สองมือเล็กหากแข็งแรงเหนี่ยวตัวขึ้นไปบนคบไม้และไต่ออกไปบนกิ่งก้านสาขาที่ยื่นออกไปบนพื้นน้ำอย่างคล่องแคล่วทันที

“คงจะไม่หักนะเนี่ย” หญิงสาวจัดการขย่มตัวเบาๆ ทดสอบความแข็งแรงของกิ่งไม้ ความหนาของมันทำให้เธอพอจะใจชื้นได้บ้างว่าคงจะรับน้ำหนักไม่ถึงครึ่งร้อยได้สบายๆ และเมื่อพบทำเลที่ดี เธอก็เริ่มจรดปลายดินสอลงบนหน้ากระดาษ แล้วร่างกลอนลงไปอย่างเพลิดเพลิน แต่ช่วยไม่ได้...บทกวีที่มากลั่นออกมาจากความรู้สึกก็พลอยอยู่ในอารมณ์หม่นเศร้าไปด้วย

ยามสิ้นแสงตะวัน
หัวใจพลันสิ้นแสงทองส่องวิถี
ฟากฟ้าไร้ดวงตาแห่งราตรี
ดาริการิบหรี่ดูอ่อนแรง...

ทิวทัศน์จากด้านบนน่าพิสมัยกว่าจากทางด้านล่าง อาจเป็นเพราะต้องเพิ่มความอุตสาหะในการปีนป่ายด้วยก็เป็นได้ ทุ่งนาผืนสีทองไหวระยับตามแรงลมที่ผัดพลิ้วผ่าน ต้นมะพร้าวและต้นตาลสูงชะลูดบ่งบอกถึงขอบเขตรอยต่อของบ้านสวนและทุ่งนา นกที่บินไปมาและส่งเสียงร้องเพลงกล่อมคนทำงานกลางแจ้งให้เพลิดเพลิน กลอนบทแล้วบทเล่าถูกเขียนลงไปในสมุดเล่มบางนั้น ใจที่จดจ่อสรรหาถ้อยคำมาเรียงร้อยให้คล้องจองเริ่มถอยห่างจากภวังค์และความรู้สึกหวาดหวั่นแบบแปลกๆ ที่ยึดพื้นที่ของจิตใจตั้งแต่ก้าวล่วงเข้ามาในบริเวณแห่งนี้ มาธวีปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปกับงานอดิเรกที่โปรดปราน จนกระทั่งธีระวิทย์ตะโกนโหวกเหวกออกมาจากอีกด้านของสระน้ำ

“เจ๊... ขึ้นไปทำอะไรบนนั้น ลงมาได้แล้ว กลับบ้านเหอะ ผมหิว”

“เออ...กลับก็ได้ แกอย่าตะโกนขึ้นมาทันทีทันใดแบบนี้ได้ไหมวะ พี่ตกใจหมดนะเว้ย ยิ่งกำลังอินๆ อยู่ด้วย ตกน้ำตกท่าไปจะทำยังไง” สาวที่ดูภายนอกห้าวเหลือใจตะโกนตอบเป็นเสียงบ่นยาวเหยียดทันควัน พลางเริ่มขยับตัวหมายไต่กลับเข้ามาที่คาคบไม้เพื่อที่จะกระโดดลงพื้นดินอย่างเช่นขามา

หากเพียงชั่วอึดใจที่เธอหันหลังกลับ เงาทะมึนของร่างสูงใหญ่ในชุดดำที่ยืนจ้องมองเธออยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจากมุมมืดใต้ต้นไม้ทำให้มาธวีสะดุ้งสุดตัว แม้ว่าจะบอกตัวเองว่าไม่กลัวการเผชิญหน้ากับสิ่งเหนือธรรมชาติหากเลือดในกายก็กลับเย็นเยียบดุจน้ำแข็งจนเผลอตัวปล่อยมือจากกิ่งไม้ด้านบน ร่างเพรียวตกลงไปในน้ำใสเย็นดังตูม และก่อนที่สายน้ำจะท่วมศีรษะและทุกอย่างจนมิดเธอยังมองเห็นดวงตาสีดำ...สนิท จนออกประกายม่วงแห่งร่างนั้น ความรู้สึกวูบในอกชัดเจนเสียจนสองขาอ่อนแรงเกินกว่าที่จะหยัดยืนได้
น้ำในสระบริเวณใต้ต้นไม้ลึกเพียงอก หากมาธวีก็ต้องอาศัยแรงในการตะเกียกตะกายเพื่อให้ยืนบนสองขาได้อย่างมั่นคง และคงจะทำได้ไม่สำเร็จถ้าไม่มีมือใหญ่แข็งแรงช่วยดึงร่างที่อ่อนปวกเปียกให้ยืนขึ้นตรงได้อีกครั้ง

“เป็นอะไร ทำไมจู่ๆ ก็กระโดดลงน้ำเล่น อากาศเย็นนะช่วงนี้” นักโบราณคดีสาวหันหน้าไปมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนห่างไปเพียงคืบ แล้วก็ถอนใจยาว ที่แท้เจ้าของร่างในชุดดำสูงใหญ่ที่ยืนตัวตรงแหนวจ้องมาจากใต้ต้นไม้ก็คือผู้ชายคนนี้นี่เอง ผู้ชายคนหนึ่งที่มีเลือดเนื้อ มีชีวิต...หาใช่สิ่งเหนือธรรมชาติอย่างที่เธอหวั่นเกรงไม่

“ฉัน....” มาธวีพูดไม่ออกเพราะฟันเริ่มกระทบกันดังกึกๆ แข้งขาก็หมดเรี่ยวแรงเอาดื้อๆ ท่อนแขนที่แข็งแรงนั้นจึงตวัดเธอไว้ในอ้อมกอดและลากเธอเข้าสู่ฝั่งโดยไม่รอคำตอบ หญิงสาวรู้สึกราวกับกระแสไฟฟ้าอ่อนๆแล่นผ่านร่างกายส่วนที่สัมผัสกับเรือนร่างแข็งแกร่งของคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเสียยิ่งกว่าเดิม

“อยู่บนดินดีๆ ไม่ชอบ ทำเป็นเท่ขึ้นไปนั่งบนต้นไม้ แล้วไง...พลาดตกลงมาเสียเอง” เสียงทุ้มที่บ่นติดๆ กันเป็นชุดนั้นทำให้หญิงสาวไม่สามารถระงับวาจาเผ็ดร้อนไว้ได้อีกต่อไป

“นี่คุณคะ ที่ฉันตกลงไปนั่นเพราะใครล่ะถ้าไม่ใช่เพราะคุณ เล่นใส่ชุดดำแล้วมายืนซุ่มเงียบๆใต้ต้นไม้แบบนั้นใครเห็นใครก็ต้องตกใจ ยิ่งเพิ่งจะเห็นผู้หญิงในชุดโบราณเดินลับหายไปด้านโน้นอยู่ด้วย” และเพราะประโยคสุดท้ายนั้นเอง เจ้าของร่างสูงใหญ่และนัยน์ตาสีดำสนิทจนออกประกายม่วงยกมือขึ้นจับต้นแขนเธอไว้ทันที

“ว่ายังไงนะ เห็นผู้หญิงงั้นเหรอ”

“ปล่อยได้แล้ว...” ไม่พูดเปล่า ร่างเปรียวสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนแข็งแรงนั้นด้วย แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจท่าทีของเธอ หากส่งคำถามออกมาด้วยความแปลกใจ

“ผมถามว่าคุณเห็นผู้หญิงในชุดโบราณงั้นเหรอ”

“ใช่ แล้วคุณจะอยากรู้ไปทำไม” มือเรียวบิดน้ำที่ปลายเสื้อตัวโคร่งจนน้ำไหลหยดเป็นทาง

“ก็ผมก็เดินตามผู้หญิงคนหนึ่งมาที่นี่แหละ พอมาถึงก็เห็นคุณนั่งอยู่บนกิ่งไม้ ผมเลยเดินเข้าไปดูใกล้ๆเผื่อว่าจะใช่ผู้หญิงคนนั้น แต่มองๆ ไปคุณก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าโบราณ ก็เลยคิดจะย่องกลับเงียบๆ ไม่อยากรบกวนเพราะเห็นว่ากำลังจดอะไรยิกๆ อยู่ แต่คุณก็หันกลับมาพอดี แล้วก็...ตูม...ตกน้ำไปแล้ว”

ร่างบางเริ่มห่อตัวด้วยความหนาว ฟังเริ่มกระทบกันดังกึกๆ ชายหนุ่มปริศนาจึงคว้าเอาเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่สีดำที่วางอยู่โคนต้นไม้มาคลุมให้และเรื่องที่สนทนาค้างเอาไว้ก็ถูกพับเก็บชั่วคราว

“เอ้า เอานี่ไปใส่ก่อน”

“จะดีเหรอ แล้วคุณจะใส่อะไรล่ะ” คราวนี้น้ำเสียงอ่อนลงมาก ดวงตาคมหวานกวาดขึ้นลงทั่วร่างกำยำที่บัดนี้อยู่ในเสื้อยืดแขนสั้นสีดำอีกเช่นกันเพียงตัวเดียว

“ที่ที่ผมเคยอยู่หนาวกว่านี้เยอะ แล้วผมก็เปียกน้ำแค่ไม่ถึงอกด้วยซ้ำ คุณน่ะสิ...เปียกทั้งตัวเลย” และเมื่อฝ่ายเสนอ เสนอให้ตรงๆ มาธวีกลับคว้าเสื้อเอาไว้โดยปราศจากท่าทีเกรงใจหรือขวยอายด้วยจริตสาว

“งั้นก็ดีแล้ว ขอบคุณนะคะ ฉันกำลังหนาวพอดี” หญิงสาวถอดเสื้อกันหนาวตัวที่โชกน้ำออกวางไว้บนพื้นหญ้าข้างตัวและสวมเสื้อตัวใหญ่โคร่งทับพลางติดกระดุมให้มิดชิด ก่อนที่จะหันหลังให้ ขยับตัวและถอดเอาเสื้อเชิ้ตตัวบางที่ชุ่มน้ำไม่ผิดกันออกมา ทำเอาคนแอบอมยิ้มกับท่าทีง่ายๆ สบายๆ แบบนั้น

“นี่คุณจะไม่เกรงใจผมหน่อยเหรอ ผู้ชายคนหนึ่งยังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้นะ”

“ฉันมั่นใจว่าถอดได้โดยที่ไม่น่าเกลียดแน่นอน แต่ถ้าจะกรุณาช่วยหันหลังให้หน่อยก็ดี” คนพูดพูดด้วยท่าทีไม่รู้สึกรู้สาอะไร จนอีกฝ่ายต้องถอนหายใจก่อนที่จะหันหลังให้ตามคำขอเป็นเชิงยอมแพ้ เสียงสวบสาบดังออกมาจากดงหญ้าข้างทาง แล้วร่างของธีระวิทย์ก็โผล่พรวดออกมาเมื่อมาธวีจัดการกับตัวเองจนเกือบจะเรียบร้อยดีแล้ว

“พี่เม่น...เป็นอะไรมากหรือเปล่า ผมอยู่ตรงโน้นเห็นพี่ตกน้ำพอดี” ชายหนุ่มรุ่นน้องกระหืดกระหอบวิ่งมาจากอีกด้านของสระน้ำขัดจังหวะบทสนทนาของทั้งคู่

“ไม่เป็นไร พลาดตกน้ำเฉยๆ คุณคนนี้เขามาช่วยเอาไว้” นิ้วบอบบางที่ไม่น่าจะเป็นมือของนักโบราณคดีกลัดกระดุมเม็ดสุดท้าย

“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยพี่ผมไว้... อ้าว คุณธนานี่เอง คิดว่าหนุ่มที่ไหน” ท้ายประโยคกลายเป็นคำอุทานอย่างแปลกใจ

“สวัสดีครับ คุณที นี่พาพี่สาวมาเดินเล่นหรือ” ดูน้ำเสียงช่างเป็นกันเองกับนักโบราณคดีหนุ่มอย่างเห็นได้ชัด

“เปล่าครับ นี่พี่เม่น มาธวี หัวหน้าผมเองน่ะครับ เขาจะมาเริ่มงานแล้ว ผมเลยพาเขามาเดินดูรอบๆสถานที่”

“อ๋อ...หัวหน้างานนี่เอง ผมชื่อธนาจากเอ็นพีเอชดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณมาธวี แต่ว่าตอนนี้กลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว เดี๋ยวเป็นปอดบวมไปล่ะแย่เลย จะค่ำแล้วนะเนี่ย เอ้า...อย่าลืมกระเป๋ากับกล้อง” ธนาส่งของของเธอมาให้ พลางออกคำสั่งเป็นชุดด้วยท่าทีของคนคุ้นเคยกับการจัดการและออกคำสั่ง แม้จะนึกหมั่นไส้เล็กน้อยแต่มาธวก็อดที่จะรู้สึกถึงความเป็นห่วงเป็นใยในน้ำเสียงนั้นไม่ได้ ดูทีหรือ...ขนาดของของเธอเขายังเป็นห่วง เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ดวงตาดำคมก็เบิกกว้าง เสียงอุทานด้วยความตกใจลอดออกมาจากริมฝีปากรูปสวยที่เริ่มสีจางลงด้วยความหนาวเย็นที่ร่างกายได้รับ

“ตายแล้ว ไดอารี่ของฉัน” ร่างบางวิ่งกลับไปยังริมสระน้ำ มองเห็นสมุดของเธอลอยอยู่ไม่ห่างจากฝั่งนัก

“โหย...ลูกรักของแม่ นายที...ช่วยลงไปเอาให้เจ๊หน่อยสิ”

“พี่เม่นครับ หนาวจะตาย น้ำก็เย็น พี่เปียกไปแล้ว ลงไปอีกรอบไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก กระผมยังตัวแห้งอยู่ยังไม่อยากจะเปียกครับ”

“อะไรกัน ซีเนียริตี้คืออะไรน่ะ รู้จักมั้ย...พี่เชื้อสั่ง เมินเฉยได้ยังไง”

“รู้พี่...แต่เราเลยวัยรับน้องมานานโขแล้วนะ อยู่ในโลกของความเป็นจริงหน่อย มันตกน้ำไปแล้ว ค่อยซื้อใหม่ก็ได้น่า เดี๋ยวผมซื้อให้สามเล่มเลยเอ้า”

“ที่เสียดายน่ะ ไม่ใช่สมุด...กลอนกับบทความของฉันทั้งนั้นนะที่สูญเสียไปนั่นนะ”

“ก็บอกแล้วว่าให้เขียนในคอมพิวเตอร์ เจ๊ก็ไม่ยอม บอกว่าไม่ได้อารมณ์ แล้วเป็นยังไงล่ะ...”

“นี่คุณธนา คุณช่วยฉันอีกรอบได้ไหมคะ ในฐานะที่คุณทำให้ฉันตกใจจนตกลงไปในน้ำ” เมื่อบังคับรุ่นน้องไม่ได้ หยิงสาวคนเดียวในที่แห่งนั้นจึงหันมาหาที่พึ่งอีกคนหนึ่ง ชายหนุ่มในชุดดำมองตอบดวงตาคมกล้าของสาวห้าวด้วยดวงตาที่แฝงเอารอยยิ้มเอาไว้เต็มเปี่ยม ผู้หญิงคนนี้กล้าขอร้องตรงๆ ให้เขาซึ่งเป็นเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับเธอช่วยเหลือโดยไม่มีชั้นเชิง

เขานิยมคนแบบนี้ และอยากให้ความช่วยเหลืออยู่หรอก เพียงแต่ว่า...

“เอ่อ...คือผมไม่ค่อยชอบน้ำเท่าไหร่ ยิ่งสระน้ำที่มีโคลนเลนอย่างนี้อีก เมื่อครู่นี้ผมตกใจมากไปหน่อยกลัวว่าคุณจะจมน้ำเลยถลารวดเดียวถึงตัวเลย”

เมื่อไม่มีใครช่วยเหลือและตัวเองก็ไม่อยากลงไปเปียกให้ต้องหนาวอีกรอบ มาธวีจึงได้แต่มองตามไดอารี่ที่ลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำห่างจากตลิ่งพอประมาณด้วยความเสียดาย

“ไปเถอะพี่ เดี๋ยวป้าแม้นรายงานพฤติกรรมให้นายแม่ฟังนะ ว่ามาถึงวันแรกก็กลับบ้านผิดเวลาแล้ว แถมยังซนจนตกน้ำตกท่าอีก ไปก่อนนะครับคุณธนา”

ชายหนุ่มยิ้มให้กับร่างสองร่างที่เดินลับตาไป หรือจะพูดให้ถูกก็คือชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่ากึ่งลากกึ่งจูงแม่สาวหน้าใสคนนั้นให้เดินตัดพงหญ้ากลับไปยังตัวหมู่บ้าน ฝ่ายหญิงยังแสดงอาการอิดออดไม่อยากกลับเพราะยังไม่ได้ของรักคืน หากต้านทานแรงของคนลากที่ถูกครอบงำด้วยความหิวไม่ได้

ธนาเหลือบมอง ‘ของรัก’ ของแม่สาวหน้าใสที่ลอยอยู่ในน้ำ ครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะหยิบเอากิ่งไม้ที่วางทิ้งอยู่ในพงหญ้าออกมาเขี่ยสมุดเล่มนั้นให้เข้ามาใกล้ฝั่ง หลังจากเขี่ยไปเขี่ยมาสักพักวัตถุนั้นก็ลอยเข้ามาในระยะที่แขนยาวๆ จะเอื้อมถึง นิ้วเรียวหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมาเปิดดู กระดาษด้านในเปียกชุ่มหากยังพออ่านออกว่าเจ้าของเขียนอะไรลงไปบ้าง ไม่เป็นไร...เขาจะเอาไปตากแห้งให้เจ้าหล่อนเอง และถ้ามีเวลาว่าง อาจจะแถมบริการคัดลอกใหม่ให้ด้วย

ในขณะที่กำลังจะหมุนตัวกลับ ชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นเสื้อเชิ้ตตัวบางชุ่มน้ำวางอยู่บนพื้นหญ้า นี่แม่ตัวดีคงจะหยิบกลับไปแค่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่โดยเผลอวางเสื้อตัวนี้ทิ้งไว้กระมัง ท่าทางจะต้องเอาไปซักให้แล้วตากให้แห้งพร้อมๆ กับสมุดไดอารี่เล่มนั้นเลยก็ได้ ริมฝีปากหยักได้รูปแย้มออกด้วยความขัน นี่ถ้าเป็นคนหลงตัวเองเสียหน่อยก็คงจะคิดว่าแม่สาวคนนั้นให้ท่าเขาเป็นแน่แท้ ไหนจะเปลี่ยนเสื้อต่อหน้าต่อตา ไหนจะทิ้งของเอาไว้ดูต่างหน้ามากมายขนาดนี้

‘เราได้เจอกันอีกแน่ มาธวี’ ธนาคิดอย่างครึ้มอกครึ้มใจ แม้ว่าเธอจะไม่ได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่แสดงออกถึงความเป็นหญิงอย่างชัดเจน หากร่างบางในอ้อมกอดยามที่เขาและเธออยู่ในน้ำนั้นช่างสร้างความรู้สึกวูบวาบแบบแปลกๆได้ดีเหลือเกิน

รอยยิ้มเจ้าเสน่ห์จุดประกายให้ใบหน้าได้รูปนั่นอีกครั้ง เมื่ออยู่ที่อังกฤษ ผู้หญิงส่วนมากที่รู้จักเขาได้มอบตำแหน่งพ่อมดเจ้าเสน่ห์ให้เขา ค่าที่เขาสามารถใช้คำพูดและท่าทีทำให้สาวๆ โอนอ่อนผ่อนตามได้อย่างง่ายดาย...นี่ก็คงจะถึงเวลานำเอาคุณสมบัตินั้นออกมาใช้อีกกระมัง ผู้หญิงคนนี้ท่าทางไม่เหมือนคนอื่นเสียด้วย ดูใส บริสุทธิ์ เป็นธรรมชาติแบบไม่ต้องปรุงสีเจือรส ห้าวหาญ และมีเอกลักษณ์ในตัวอย่างประหลาด เห็นทีจะต้องทำความรู้จักให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว

น่าสนใจ....แม่กวางน้อย หวังว่าเจ้าคงจะไม่ตื่นตระหนกหนีไปเสียก่อน บางที...เขาอาจจะไม่ได้ต้องการเพียงแค่เพื่อนแก้เหงาธรรมดาก็ได้ ใครจะรู้

ห่างออกไปในดงไม้...เสียงทอดถอนใจดังแว่วมา พร้อมเสียงรำพึงแผ่วเบา
‘คงช่วยได้เพียงแค่เร่งการณ์ให้พบกัน...หากมากกว่านั้น คงต้องแล้วแต่พรหมลิขิตและบุญทำกรรมแต่ง’

เสียงร้องระงมด้วยความทุกข์ทรมานดังขึ้นราวกับจะตอบรับคำพูดนั้น เพียงแต่ว่า...มันเป็นได้เพียงแค่เสียงเพรียก ที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้ยลยินมานานแสนนาน

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ในรอยบรรพ์ - ตอนที่ 1

บทที่ 1
ม่านสีขาวบางเบาพลิ้วไหวเป็นระลอกก่อนที่จะปลิวตามแรงลมที่กรรโชกแรงจนบานหน้าต่างของบ้านเรือนไทยกลางสวนชานเมืองแทบจะหลุดจากตะขอที่เกี่ยวเอาไว้ ท้องฟ้าคืนขึ้นสิบห้าค่ำที่สมควรจะกระจ่างด้วยแสงจันทร์กลับมืดมิดด้วยกลุ่มเมฆหนาทึบ เสียงหรีดหริ่งเรไรที่เคยร้องระงมทั่วบ้านสวนเงียบสนิทราวกับจะหยุดรอ ‘บางสิ่งบางอย่าง’หากร่างที่นอนอยู่บนเตียงยังตกอยู่ในห้วงนิทราอย่างยากที่จะถอนตัวออกมาได้

“ไม่...เราไม่ไป ไม่ไปที่นั่นอีกแล้ว”

ริมฝีปากบางขยับเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะเปล่งเสียงออกมาแผ่วเบา คิ้วเรียวโก่งราวคันศรขมวดมุ่น เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดพราวบนหน้าผาก ดวงหน้างามละมุนเริ่มกระสับกระส่ายราวกับตกอยู่ในความทุกข์ทรมานใจอย่างแสนสาหัส

“ไม่...ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากเห็นอะไรทั้งนั้น” หยาดน้ำตาไหลซึมออกมาจากดวงตาคู่ที่ปิดสนิท จนหมอนที่รองรับศีรษะได้รูปเปียกน้ำเป็นดวงๆ มือเรียวบางและท่อนแขนเนียนยกขึ้นมาเพื่อไขว่คว้า หากสิ่งที่จับต้องได้คือความว่างเปล่า

“อย่า...อย่าทำนะ ศศลักษณา ไม่...ไม่” ร่างบางผลุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกรีดร้องออกมาดังลั่น ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นหอบหายใจถี่อย่างเหนื่อยอ่อน อีกครั้งแล้วหรือ...ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเธอมาตั้งแต่จำความได้
ลมฝนที่ตั้งเค้าเมื่อครู่หยุดไปทันควัน เมฆที่บดบังดวงจันทร์เริ่มจางหาย ดวงตาแห่งยามราตรีเริ่มสาดฉายแสงทองอีกครั้ง เสียงกุกกักดังขึ้นจากห้องข้างๆ และมาหยุดที่หน้าประตูห้อง เสียงเคาะประตูรัวถี่ดังขึ้น

“เม่น...เป็นอะไรหรือเปล่าลูก เปิดให้แม่เข้าไปหน่อยได้ไหม” น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน

“เม่นไม่เป็นอะไรหรอกค่ะแม่ แค่ฝันร้ายนิดหน่อยเหมือนเดิม แม่ไปนอนเถอะค่ะ” ‘มาธวี พิทักษ์ธรรม’ หญิงสาวเจ้าของห้องร้องบอกมารดาเชิงตัดบท หากอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ยอมง่ายๆ

“ขอแม่เข้าไปเถอะ แม่เป็นห่วง ช่วงนี้ฝันบ่อยเหลือเกินนี่เรา”

ร่างที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆลุกขึ้นจากเตียง ผ้าห่มแพรเนื้อบางเบาเลื่อนหลุด เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งที่อยู่ในชุดนอนแบบผู้ชาย องค์ประกอบอื่นเช่นผมซอยสั้นระต้นคอ ท่าทางคล่องแคล่วและผิวสีงาช้างเนียนละมุนยิ่งทำให้มองเผินๆ ราวกับเจ้าของร่างเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่ง ขัดกับคำพูดคำจาอ่อนหวานคะขาที่ส่งโต้ตอบกับมารดาอยู่เมื่อครู่เสียเหลือเกิน มาธวีเปิดสวิตซ์โคมไฟที่ทำมาจากหวายสานบนตั่งตัวเตี้ยๆที่วางอยู่ติดหัวเตียงพลางเดินไปยังประตูบานใหญ่ที่ลั่นดาลอยู่ ประตูหนาหนักถูกเปิดออกกว้าง ณ ที่นั้น ‘มัทนา’ หญิงวัยกลางคนในชุดนอนตัวยาวยืนอยู่ด้วยสีหน้ากังวล

“อาทิตย์นี้ฝันร้ายทุกวันเลยนะลูก แล้วอย่างนี้จะรับงานไกลบ้านได้หรือ แม่กลัวว่าเราจะไปทำให้ลูกน้องตื่นตกใจเสียเปล่าๆนะสิ” ผู้เป็นมารดาเป็นฝ่ายเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาด้วยความเป็นห่วง แล้วเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเตียงไม้ที่ปูด้วยฟูกและผ้าคลุมฝ้ายทอมือ พลางเพ่งพิศดวงหน้างามละมุนที่ปรากฏริ้วรอยอิดโรยของลูกสาวภายใต้ไฟสีเหลืองอำพัน

“ได้สิคะ...งานก็ส่วนงาน ความฝันก็ส่วนความฝัน เม่นไม่เอามาปะปนกันหรอก ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าเม่นจะไม่เคยไปไกลจากบ้าน”

เมื่อตั้งตัวติดหญิงสาวที่ดูอ่อนแอและหวั่นไหวไปกับความฝันก็กลายมาเป็นผู้มีบุคลิกแห่งความเป็นผู้นำที่ฉายชัดออกมาอีกครั้ง มัทนาถอนใจยาวก่อนที่จะลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน ใช่..ในฐานะนักโบราณคดี มาธวีต้องออกไปทำงานไกลบ้านไกลเมืองอยู่บ่อยครั้ง และเธอก็ควรจะคุ้นเคยกับหน้าที่การงานของบุตรีเสียที หากเธอไม่เคยลบล้างความกังวลใจออกไปได้ ยิ่งครั้งนี้...ความกังวลใจของเธอยิ่งทบทวี เนื่องเพราะอาการฝันร้ายของลูกสาวนั้น ยิ่งถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นตามวัย

ตั้งแต่สามีของเธอเสียชีวิตไป มาธวีก็ต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อดูแลทั้งตัวเองและมารดาตั้งแต่ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น มาบัดนี้เธอเติบโตเป็นหญิงที่ดูแกร่ง ฉลาด ทันคน และสามารถคุมคนงานในไซต์ขุดค้นทางโบราณคดีและบริหารงานด้านการจัดการของบริษัทที่เธอเป็นหุ้นส่วนอยู่ได้อย่างมั่นคงสง่างาม หากคนเป็นแม่เท่านั้นถึงจะรู้...รู้โดยที่เจ้าตัวไม่เคยปริปากบอก แม้ภายนอกมาธวีจะแกร่ง หากภายในใจนั้นลูกสาวของเธอเปราะบาง และต้องการคนที่จะเป็นที่พึ่งพิงได้เป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เมื่อเธอมีปัญหาที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ปัญหาที่ไม่มีใครแก้ไขได้แม้แต่จิตแพทย์....ความฝันที่ซ้ำๆกันทุกคืน

“ผมตรวจเช็คอาการลูกสาวคุณดูแล้วนะครับ แกก็ปกติดีทุกอย่าง ขอยอมรับว่าจนปัญญาจริงๆ” จิตแพทย์ชั้นนำของประเทศที่เธอตัดสินใจพาลูกสาวเข้าพบให้ข้อสรุป และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอพึ่งพิงการรักษาทางด้านวิทยาศาสตร์

“แต่ดิฉันว่าไม่ธรรมดาแน่ๆ ค่ะ ใครที่ไหน จะฝันซ้ำ ๆ ถึงสถานที่เดียว หรือคนกลุ่มเดียวได้แทบทุกคืน” มัทนาแย้งเสียงอ่อนด้วยความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ การที่ต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ในคราเดียว และยังต้องดูแลบ้านสวนและกิจการค้าต้นไม้อีกนั้น ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย

“คุณมัทเคยพาหนูเม่นไปเที่ยวตามสถานที่ที่ทำให้แกเก็บภาพมาฝังจำในอนุสติส่วนลึกหรือเปล่า อย่างเช่นโบราณสถาน หรือว่าภาพยนตร์เรื่องที่ใช้รุนแรง”

“ไม่เคยแน่ค่ะ” ผู้เป็นแม่ยืนยันมั่นเหมาะ นายแพทย์วัยกลางคนถอนใจยาว

“ผมรู้ว่าในฐานะที่ผมเป็นบุคคลที่ทำงานในสาขาที่เชื่อในเหตุและผลที่พิสูจน์ได้ ผมไม่ควรจะแนะนำในสิ่งที่ผมกำลังจะแนะนำต่อไปนี้ แต่ในฐานะที่ผมรักษาหนูเม่นมาแต่เล็กแต่น้อยจนเห็นแกเป็นเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง ก็คงจะขอพูดในฐานะคนรู้จักก็แล้วกัน ผมว่า...คุณมัทน่าจะพาหนูเม่นเข้าวัดปฏิบัติธรรมดูนะครับ บางทีอาจจะช่วยได้ อย่างน้อยก็ทำให้จิตใจสงบ และมีสติถึงพร้อม สามารถบังคับจิตใจของตัวเองได้”
ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า...มัทนาพาลูกสาวเข้าวัดปฏิบัติธรรมตั้งแต่มาธวียังไม่ใช้คำนำหน้าว่านางสาว หากฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนยังไม่ลางเลือนไป สิ่งที่มาธวีเคยเห็นเป็นห้วงๆ เริ่มปรากฏเป็นเรื่องราวที่ชัดเจนยิ่งขึ้น จากเดิมที่มีแต่ความมืด ภาพอันลางเลือน และเสียงปริศนา ก็กลับกลายมาเป็นภาพที่ต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลา การเข้าหาธรรมะไม่ได้ทำให้ฝันเหล่านั้นหายไป แต่สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาจากการปฏิบัติธรรมก็เห็นจะเป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความฝันที่กดดันจิตใจโดยไม่ทรมานมากจนเกินไป

“วันนี้เม่นเห็นอะไรจ๊ะลูก” มัทนาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เพราะที่ผ่านมามาธวีมักจะฝันถึงเหตุการณ์เดิมซ้ำซากไปมา

บางครั้งเธอฝันถึงกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบที่เชือดคอตัวเองจนเลือดกระฉูดเกิดเป็นกลิ่นคาวคละคลุ้งและเสียงเรียกร้องขอความช่วยเหลือระงม เลือดแดงฉายสาดกระเซ็นบนเส้นหญ้ารอบ ๆ ตัวเธอ ดวงตาของซากศพที่ศีรษะเกือบขาดเหล่านั้นเหลือกถลนเป็นภาพอันติดตา

บางครั้งเธอฝันเห็นผู้คนป่วยล้มตายในสภาพที่ทรมานแสนสาหัสที่คนเป็นก็ดูไม่ต่างอะไรไปจากซากศพ ผู้คนผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูก ใบหน้าซีดจนเขียว ดวงตาฉายแววเจ็บปวดแสนสาหัส

และบางครั้งเธอก็ฝันว่าเห็นสายน้ำหลากวนทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าและดึงเธอให้จมลงสู่ความว่างเปล่าเบื้องล่าง อึดอัด ทรมาน หาที่เปรียบไม่ได้

หากวันนี้ความฝันผิดแผกออกไป หรือนี่จะเป็นต้นเหตุแห่งเรื่องทั้งปวง...

“เม่นเห็นผู้หญิงค่ะ ผู้หญิงคนที่เม่นเคยเล่าให้แม่ฟังว่าเคยพาเม่นเข้าไปในเมืองแห่งหนึ่ง เป็นเมืองที่สร้างด้วยอิฐดินเผา แต่ตัวเสา คาน และฝาผนังของสิ่งก่อสร้างบางที่เป็นไม้ สวยแปลกตา ไม่เหมือนศิลปะแบบที่เม่นเคยเรียนมาเลยสักที่ แต่ดูลักษณะสิ่งก่อสร้างแล้วน่าจะเป็นเมืองอยู่ทางเหนือนะคะ เม่นเดินตามผู้หญิงคนนั้นเข้าไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เม่นฝัน เม่นก็เดินลึกเข้าไปทุกทีๆ จนกระทั่ง...เมื่อครู่นี้เอง ผู้หญิงคนนั้นเขาพาเม่นเดินลึกเข้าไปในสวนด้านหลัง กว้างขวางสวยงามมาก เต็มไปด้วยดอกไม้หอมสีขาว ที่ศาลาไม้ที่มีเสาโคมแกะสลักเป็นรูปนกหรือหงส์นี่แหละ มีที่นั่งยาวเหยียด มีกลองวางตั้งเป็นแถวเป็นแนว แล้วก็มีเสียงกระซิบบอกเม่นว่าที่เห็นอยู่นั้นคืออุทยานหลวง”

“แล้วเม่นเคยคุยกับผู้หญิงคนนั้นบ้างไหมลูก” มัทนาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง กึ่งใคร่ครวญ

“ไม่เคยค่ะ เม่นพยายามลองคุยด้วยหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่ยอมพูดด้วย”

ผู้เป็นมารดาทอดถอนใจ เธอเคยคิดจะพาลูกสาวเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเข้ารับการรักษาโดยใช้การสะกดจิตระลึกชาติหรือที่เรียกว่า ‘Reincarnation Therapy’ เพื่อหาสาเหตุที่มาที่ไปของความฝันอันแปลกประหลาดนั้น แต่ก็เป็นฝ่ายลูกสาวเองนั่นแหละที่ปฏิเสธอย่างแข็งขัน

‘ไม่เอานะ เม่นไม่ลองหรอก รู้ไปก็เท่านั้น ที่เราเป็นอย่างทุกวันนี้ก็เพราะมีสาเหตุ รู้ไปเม่นก็แก้เรื่องราวที่ผ่านมานานแล้วไม่ได้หรอกค่ะ’

จะทำอย่างไรได้นอกจากปล่อยให้เลยตามเลย สิ่งที่เธอทำได้ก็คือคอยให้กำลังใจในยามที่ลูกสาวตื่นกลัว และคอยทำทุกอย่างเพื่อให้มาธวีรู้สึกสบายใจในยามตื่น อย่างน้อยลูกสาวของเธอก็จะได้มีความสุขในขณะหนึ่ง เธอตัดสินใจที่จะ ‘ปล่อยวาง’ กับอาการที่ไม่ปกตินี้

เสียงเล่าถึงความฝันของลูกสาวเรียกให้มัทนาหันมาตั้งใจฟังอีกครั้ง

“เม่นเดินไปที่ริมสระแล้วเม่นก็เห็นเขากำลังนั่งเรือออกไปกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แต่งตัวคล้ายกัน เม่นมองไม่เห็นหน้าเพราะเขาหันหลังให้เม่น แต่เขาเรียกผู้หญิงคนแรกที่เดินนำเม่นเข้าไปในเมืองลึกลับว่า...ศศลักษณา ”

มัทนา นิ่งอึ้งไปกับเรื่องราวที่ได้ยิน ส่วนมาธวีก็เล่าเรื่องราวต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“แล้วศศลักษณา ก็เรียกผู้หญิงอีกคนว่าพิมลพักตรา” ตัวคนเล่าเองก็รู้สึกสะดุดหูกับชื่อนั้นอีกครั้ง ‘พิมลพักตรา’ เหตุใดหนอ...เธอจึงรู้สึกเหมือนเคยคุ้นกับชื่อนี้อย่างบอกไม่ถูก หากหญิงสาวก็ตัดใจ และเล่าความฝันให้มารดาฟังต่อไป

“เม่นเป็นเหมือนผู้สังเกตการณ์คนหนึ่ง สองคนนั้นทำท่าเหมือนเม่นเป็นอากาศธาตุ ศศลักษณาเขา...เริ่ม ก่นด่าพิมลพักตราอยู่ฝ่ายเดียว แล้วเป็นไงมาไงไม่ทราบ จู่ๆ เขาก็คว่ำเรือไปเสียอย่างนั้น ตัวเขาเองคงจะว่ายน้ำเป็นหรอกค่ะ ส่วนพิมลพักตรากลับจมน้ำลงไป แล้ว....” ท้ายประโยคเสียงขาดหายไปด้วยความรู้สึกแปลกๆที่เอ่อท้นขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ “แล้ว...ก็ไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย”

เสียงแหบแห้งของมารดาขัดจังหวะการเล่าเรื่องของมาธวี

“เม่น...เม่นคิดว่าที่เม่นเคยฝันว่าเม่นโดนสายน้ำดึงลงไปเรื่อยๆ ทรมาน หายใจไม่ออกนี่...มันมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้หรือเปล่าลูก”

“เม่นไม่รู้ค่ะแม่ เม่นไม่รู้จริงๆ” มาธวีรู้สึกราวกับน้ำตาจะรินไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้

“ยิ่งเม่นบอกว่าเมืองที่เห็นมีลักษณะศิลปะค่อนไปทางเหนือ แม่ก็ยิ่งไม่อยากให้เม่นขึ้นไปทำงานที่นั่นเลย...แม่สังหรณ์ใจว่าถ้าเม่นไป อาการฝันร้ายของเม่นอาจจะแย่ยิ่งกว่าเดิม หรือไม่มันก็จะไม่เป็นแค่ฝันอีกต่อไปน่ะสิลูก”

“ก็ดีสิคะแม่...เม่นรอมานานแล้ว รอเวลาที่เรื่องราวทุกอย่างจะเปิดเผยเสียที” ดวงตาของมาธวีเปล่งประกายประหลาด “เม่นรู้สึกว่า เวลาที่เม่นรอคอย กำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้แล้วค่ะ”
.
.
.

ห่างออกไปอีกซีกโลกหนึ่ง ชายหนุ่มร่างสูงผมดำหากใบหน้างดงามไร้ที่ติยิ่งกว่าสตรี ในชุดเสื้อไหมพรมตัวหนาและกางเกงยีนสีเข้มนอนเอนอยู่บนโซฟาตัวยาว และกำลังตกอยู่ในห้วงนิทรารมณ์ไม่ต่างอะไรกับคนในแดนมาตุภูมินักแม้ว่าดวงตะวันภายนอกหน้าต่างจะยังขึ้นสูงตรงศีรษะให้ความสว่างแก่มหานครแห่งสหราชอาณาจักร ใบหน้าขาวจัดขยับส่ายไปมาเล็กน้อย เหงื่อไหลซึมตามไรผมทั้งที่อากาศภายในห้องยังต่ำกว่ากว่ายี่สิบองศาเซลเซียสเสียด้วยซ้ำ เปลือกตาทั้งคู่ไหวระริกราวกับเจ้าตัวตกอยู่ในห้วงฝันอย่างล้ำลึกยากจะถอนอนจิตออกมาได้ หากเสียงดนตรีที่แผดขึ้นดังลั่นจากเครื่องเสียงที่อยู่ห่างออกไปอีกมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่นกลับทำให้ดวงตาสีดำสนิทจนดูเหมือนมีประกายสีม่วงแวววาวอยู่ในนั้นปรือขึ้น ก่อนที่ร่างสูงแข็งแกร่งจะผลุดลุกขึ้นและคว้าเอาหมอนใบใหญ่โยนลงไปบน ‘ตัวการ’ ที่สร้างเสียงรบกวนอย่างแม่นยำ

“นี่ แอนดรูว์ ฉันบอกให้แกเงียบๆ หาของกินเล่นไปก่อน ขอนอนพักสักงีบ เมื่อคืนนั่งอ่านรายงานที่เขาส่งมา กว่าจะได้หลับก็เกือบเช้าแล้ว รอให้ฉันตื่นค่อยคุยเรื่องงานกัน ไม่ได้บอกให้จู่ๆ ก็มาเปิดเพลงปลุกอย่างนี้ เกรงใจเจ้าของแฟลตบ้างสิวะ”

น้ำเสียงห้าวมีร่องรอยฉุนจัด มือแข็งแรงข้างหนึ่งยังถือหมอนอิงอีกใบเอาไว้เป็นอาวุธ เหงื่อเม็ดเล็กๆ เกาะเต็มหน้าผากได้รูป คิ้วหนาหากโก่งได้รูปโดยไม่ต้องอาศัยมีดโกนขมวดมุ่นราวกับคนที่ ‘อารมณ์ค้าง’ กับบางสิ่งบางอย่าง ทำให้แอนดรูว์หนุ่มเมืองผู้ดีผู้ก่อเสียงรบกวนในครั้งนี้ยิ้มเก้อๆ ก่อนที่จะรีบเอ่ยคำขอโทษออกไปด้วยกลัวว่า คนที่กำลังหัวเสียอยู่ตรงหน้าจะอาละวาดยกใหญ่ให้ต้องเสียเวลาทำงานทำการ จะเสี่ยงได้อย่างไรล่ะ...เพื่อนเขาคนนี้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเคียงบ่าเคียงไหล่ในการทำงานมาตั้งแต่พวกเขายังเปิดบริษัทเล็กๆ ไม่เป็นที่รู้จักเสียด้วยซ้ำ เกิดหงุดหงิดพาลพาโลไม่ยอมทำงานขึ้นมา ภาระหนักก็คงจะตกที่เขาคนเดียว

และเพราะเขารู้ดีอีกเช่นกัน....ในยามเล่น โทนี่ หรือ ธนา จิตราพิสุทธิ์ อาจจะช่างหยอกล้อ และเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันไม่ต่างอะไรจากหนุ่มอารมณ์ดีคนหนึ่ง หากยามเอาจริงเอาจัง โทนี่ ก็ไม่เคยอ่อนข้อให้ใคร และก็ไม่มีใครในบริษัทกล้าทำให้เขาอารมณ์เสีย เห็นหน้าสวยราวกับรูปสลักของเทวดาแห่งตะวันออกอย่างนั้นก็เถิด เวลาโมโหขึ้นมานั้นไม่มีใครบังอาจต้านแรงพายุและรังสีอารมณ์ของชายหนุ่มวัยเพิ่งจะขึ้นเลขสามตรงหน้าได้เลยสักครั้ง

“ขอโทษ ๆ ๆ ก็แหม...ไม่ได้ตั้งใจ เห็นแกส่ายหน้าไปมาบ่นอะไรพึมพำ ฉันก็คิดว่าตื่นแล้ว ตกลงแกฝันร้ายอีกแล้วเหรอ” ร่างสูงชะงักไปก่อนที่จะตอบออกมาช้าๆ ชัดๆ

“อื่ม...ใช่ ฝันเหมือนเดิมนั่นแหละ แปลกมาก ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย เพิ่งจะเป็นตอนมาเปิดบริษัทกับแก” คนที่ถูกปลุกกลางคันบ่นออกมาเบาๆ

“ไม่ถูกโรคกับโบราณคดีล่ะสิ” แอนดรูว์เริ่มแหย่เมื่อรู้สึกว่าคนที่พูดด้วยไม่ได้โมโหโกรธาอย่างที่คิด “นายทำงานบริษัททัวร์มาตั้งนานไม่เห็นเป็นไร พอย้ายมาร่วมทำงานกับฉันก็เกิดอาการเลย ถ้าคิดจะถอนหุ้นออกจากเอ็นพีเอชดี ก็รีบบอกนะ มีคนรอเสียบอีกเพียบ บริษัทเรากำลังขาขึ้นพอดี”

หนุ่มผมสีน้ำตาลตาสีเขียวเพื่อนรักของธนาเอ่ยถึงบริษัท National Pride Heritage Development Co. Ltd ซึ่งเป็นบริษัทที่รับอนุรักษ์และจัดการพัฒนาแหล่งโบราณสถานให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง โดยใช้หลักทางการท่องเที่ยวและการบริหารจัดการมาช่วยดำเนินงาน ถ้าหากใช้บริการของ เอ็นพีเอชดีแล้ว ผู้ว่าจ้างไม่ต้องกระดิกตัวทำอะไรมากมาย นอกจากส่งคนมารับช่วงทำงานที่พวกเขาวางรากฐานเอาไว้ให้อย่างมั่นคงเพียงเท่านั้นเอง

“จะบ้าหรือไง ก็บอกแล้วว่าฉันรักงานนี้จะตาย” ธนารำพึงออกมาเบาๆ “ที่ไม่ดีก็คือ ตั้งแต่มายุ่งกับเรื่องของเก่าๆ นี่ ฉันเริ่มฝันถึงผู้หญิงคนเดิมแทบทุกวันเลยมากกว่า”

“ใคร สวยไหม...สาวยุคสำริดหรือเปล่า เขาตามแกมาจากที่ไซต์มั้ง” แอนดรูว์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว

“ไม่ใช่ว่ะ ฉันว่าเขาดูเหมือนผู้หญิงตะวันออกนะ เครื่องแต่งกายแปลกมาก ไม่เหมือนที่เคยเห็นมาก่อน”
อาการคนพูดเริ่มเลื่อนลอย “ดูคุ้นๆ หน้าอย่างบอกไม่ถูกด้วย ในฝัน...เขาชอบมาพาฉันไปเที่ยวในเมืองอะไรก็ไม่รู้ สวยมาก ศิลปะแบบแปลกตา ฐานเป็นอิฐแต่ผนังเป็นไม้ เสาแต่ละเสานี่แขนคนโอบไม่รอบ สวยจริงๆ เห็นแล้วอยากขุดขึ้นมาพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชะมัด เสียดาย...ถ้าทำจากไม้จริงป่านนี้ก็คงจะไม่เหลือซากเสียแล้ว”

“ฝันซ้ำๆ กันทุกวันเลยเหรอ”

“เกือบทุกวัน เมื่อครู่นี้ก็ยังฝันอยู่เลย แต่ความฝันค่อยๆ มีเนื้อหาและรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทุกครั้ง” ธนากดนิ้วแรงๆ ตรงหว่างคิ้วเพื่อลดอาการตึงเขม็งลง “วันนี้ฝันว่าผู้หญิงคนนั้นพาไปที่สวนดอกไม้กว้างใหญ่ ตกแต่งสวยงาม เดินอยู่ดีๆ เขาก็เดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็กระซิบบอกว่าใกล้ถึงเวลาเต็มทีแล้ว ฉันต้องไปปฏิบัติภารกิจกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วเขาก็หายตัวไป ทิ้งให้ฉันยืนเคว้งอยู่คนเดียว สักพักก็เห็นผู้หญิงสองคนออกมาเก็บดอกไม้ในสวน ดูท่าทางจะเป็นเพื่อนรักกัน และหนึ่งในนั้นก็คือคนที่มาพาฉันเข้าไปในเมืองนั้นแหละ เพียงแต่ว่าดูอ่อนวัยกว่าที่เคยเห็นมาทุกครั้ง เธอเป็นผู้หญิงสวย สวยมาก...สวยจนใครๆ ที่ได้มองต้องหยุดสายตาไว้ที่เธอ”

“เหมือนในหนังไม่มีผิด แล้วแกทำยังไงต่อไป” แอนดรูว์ซักถามอย่างสนใจ

“.........”

ธนาตอบคำถามด้วยแววตาเลื่อนลอย และถึงแม้จะไม่มีคำตอบเปล่งออกมา เจ้าตัวกลับย้อนไปครุ่นคิดถึงสิ่งที่เห็นในห้วงฝัน เขาจ้องมองภาพนางทั้งสองอยู่สักพักสิ่งที่เห็นตรงหน้าก็จางหายไป โลกทั้งโลกดุจหมุนคว้างก่อนที่เขาจะกลับไปยืนเคว้งอยู่ในห้องกว้างขวางตกแต่งด้วยลายปูนปั้นและไม้สลักงามวิจิตร หญิงงามที่เขาเห็นจนเจนตาผู้นั้นหมอบอยู่ปลายห้องอีกด้านแต่ก็ยังไม่ไกลพอที่จะพรางสายตาอิจฉา ริษยา อาฆาตที่เปล่งออกมาจากแววตาเอาไว้ได้ สตรีเจ้าของร่างบอบบางอีกคนที่เขาเคยเห็นว่ายืนเก็บดอกไม้ในสวนกำลังหมอบกราบอยู่แทบเท้าบุรุษผู้หนึ่ง บุรุษร่างกำยำแบบนักรบในเครื่องทรงและผ้านุ่งปักดิ้นเงินและทองเป็นลวดลายอ่อนช้อยงามวิจิตรเกินกว่าที่จะเป็นเครื่องแต่งกายของสามัญชน บุรุษผู้ซึ่งน่าจะเป็นกษัตริย์หรือผู้ปกครองนครดังกล่าวเอื้อมท่อนพระกรเพื่อตระกองหญิงนางนั้นแนบอกแล้วเชยคางมนขึ้นเพื่อพิศใบหน้างามให้ชัดเจน

ธนาทอดถอนใจกับภาพที่ปรากฏในห้วงคำนึงอีกครั้งโดยไม่ได้ใส่ใจกับดวงตาเบิกโพลงของเพื่อนตาน้ำข้าวข้างกายเพราะยังจำได้สนิทใจว่าความรู้สึกในขณะที่ท่อนแขนกำยำของ ‘พ่อเมือง’ โอบรอบร่างบางนุ่มนิ่มของสตรีผู้นั้นในวงแขนมันเป็นเช่นไร ความรู้สึกของเขาในยามนั้นเปรียบประดุจหัวใจเต้นโลดอยู่ในอก รู้สึกอิ่มเอม ตื้นตัน ปลาบปลื้ม ตกอยู่ในห้วงรัก ราวกับเป็นบุคคลในภาพอดีตนั้นเสียเอง
หรือจะมีสายใยบางอย่างเชื่อมต่อระหว่างเขาและบุคคลในฝันเหล่านั้น....

“แม่นมาก...แกฝันแม่นมาก โทนี่เอ๋ย” เสียงอุทานของเพื่อนรักทำให้ภาพที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้งเลือนไป

“แม่นอะไรของแก” ชายหนุ่มเจ้าของแฟลตเกาหัวเบาๆด้วยไม่เข้าใจในกิริยาอาการของเพื่อนรักและหุ้นส่วนคนนี้

“อ้าว...ก็แกกำลังจะได้ไปบริหารจัดการการพลิกโบราณสถานให้เป็นแผ่นดินทองที่ตอนเหนือของประเทศสยามเมืองยิ้มสมดังคำบอกเล่าในความฝันน่ะสิ”

ตาคมเบิกกว้างด้วยรู้สึกเหมือนไม่คาดฝัน

“ไม่ต้องมาทำตกใจ...เลขาฉันเพิ่งจะโทรมาบอกนี่เอง ว่าสาขาในเมืองไทยลองเอาความสำเร็จของบริษัทเราไปนำเสนอเรื่องกับทางการ เขาเลยชักสนใจการพัฒนาแหล่งโบราณสถานโดยใช้บริการบริษัทเฉพาะทางมืออาชีพอย่างเอ็นพีเอชดีของเรา ได้ข่าวมาว่าการท่องเที่ยวของประเทศบ้านเกิดแกเขาจะบุกตลาดทางด้าน Cultural Tourism เพื่อทดแทนการท่องเที่ยวทางทะเลที่ซบเซาลงไปแล้วก็คงอยากลองยกให้เอกชนช่วยพัฒนาดูบ้างว่าจะได้ผลดีแค่ไหน ทีนี้คนของเราจมูกไวก็เลยยื่นซองประมูลมาได้ สบายแฮ”
หนุ่มเมืองผู้ดีพูดราวกับว่าบริษัทของพวกเขาเป็นบริษัทนานาชาติ แต่ความจริงแล้ว เอ็นพีเอชดีก็มีสาขาเพียงในสองประเทศซึ่งเป็นเมืองแม่ของหุ้นส่วนใหญ่ทั้งคู่นั่นเอง และสาขาในประเทศไทยก็เป็นเพียงสาขาเล็กๆ ที่เพิ่งทดลองเปิดเพื่อรอวันที่จะเติบโตเท่านั้น

“ประเทศฉันแท้ๆ ทำไมไม่รู้เรื่องก่อน” ธนาชักเริ่มหงุดหงิด

“ก็แกเอาแต่ไปดูแลจัดการสำนักสงฆ์ร้างในสก็อตแลนด์อยู่น่ะสิ เรื่องของบ้านเมืองตัวเองเลยไม่รู้”

“เอาเถอะๆ ขอเอารายละเอียดมาอ่านหน่อยสิ” เมื่อรู้เรื่องแล้วก็เริ่มสั่งเพื่อนทันทีตามความเคยชินที่มักจะมีเลขาหรือลูกมืออยู่ใกล้ตัวจนลืมไปว่าคนที่เขาสั่งอยู่ก็ถือหุ้นมากพอๆ กับตัวเขาเอง แอนดรูว์ส่งแฟ้มเอกสารในอ้อมแขนให้แต่ยังมิวายบ่นพึม

“นี่แหละน้า จะให้อ่านตั้งแต่แรกแล้วก็ดันบ่นว่าอยากนอน ถ้ายอมอ่านก็คงจะรู้เรื่องด้วยตัวเองแล้ว ไม่ต้องให้คุณคนสวยมาบอกให้ในฝัน” หากธนาจะสนใจคำแขวะแม้แต่นิดก็หาไม่ ชายหนุ่มคว้าแว่นสายตามาใส่และกวาดตาอ่านรายละเอียดของงานอย่างรวดเร็ว

“เราไม่ต้องขุดเองนี่ เราแค่ดูแลเรื่องการพัฒนา ตกแต่ง วางรากฐานองค์กร สร้างความร่วมมือกับชาวบ้าน แค่นั้นเอง แล้วเขาก็ขุดค้นกันไปเยอะแล้ว กำลังจะเริ่มขุดแต่งเร็วๆ นี้”

“แน่นอน เพราะอย่างไรเสียวิธีขุดค้นของที่นี่กับที่เมืองไทยก็ไม่เหมือนกัน ทางการเขาคงกลัวว่าถ้าให้เราไปขุดด้วยวิธีแบบเราจะใช้เวลานาน แถมงบประมาณจะบานปลายล่ะมั้ง” คิ้วหนาหากได้รูปขมวดมุ่นทันที

“ก็เลยมีบริษัทขุดเล็กๆ ในเมืองไทยประมูลงานไปได้ ชื่อบริษัทอรุณรุ่ง งั้นเหรอ”

“ใช่...ความจริงแล้วมีบริษัทที่ใหญ่กว่าประมูลได้ไป แต่เหมือนจะมีปัญหา เอาไปเอามาบริษัทเล็กๆ เลยคว้าไปได้ คนดูแลงานชื่อมาธวี นามสกุลอะไรไม่รู้ จำไม่ได้ ถ้าแกไม่พอใจอะไร แกก็ไปเถียงกับเขาเอาเองก็แล้วกัน เอ้อ...ใช่ อีกเรื่องหนึ่งที่ควรรู้ ในฐานะผู้ที่จะมีส่วนพัฒนาพื้นที่ แกสามารถเข้าไปคลุกคลีกับพวกที่ขุดได้นะ เขาอนุญาตไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเอาเป็นว่าแกก็ไปเช่าบ้านเอาใกล้ๆ ไซต์ขุด แล้วก็วางแผนงานล่วงหน้าพร้อมๆ กันกับที่ทางโน้นเขาขุดเลยก็แล้วกัน จะรอให้เขาขุดเสร็จกันก่อนแล้วค่อยไปดูมันก็ไม่ดี การก่อสร้างกับการพัฒนามันต้องทำไปพร้อมๆ กันนั่นแหละ เสียแต่ว่าครั้งนี้แกคงลำบากหน่อย เพราะทางโน้นเขาจะคิดยังไง ให้ความร่วมมือแค่ไหนก็ไม่รู้”

“เฮ้ย ทำไมเหมาเอาเองว่าฉันจะยอมทำงานที่นายรับมาโดยไม่บอกกล่าวกันก่อนล่ะล่ะ” ธนาโวยวายออกมาไม่เบานัก แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีงานไหนอีกแล้วที่เขาจะเต็มใจทำมากไปกว่างานนี้

“อ้าว ทางโน้นเขามีคนทำงานด้านโบราณคดีอยู่แล้ว ฉันจะไปเถียงกับเขาทำไมให้เมื่อยปาก เรียนมาคนละที่ วิธีไม่เหมือนกันเดี๋ยวก็ทะเลาะกันตาย ปล่อยให้แกไปเป็นทัพหน้าดีกว่า อยากจะพัฒนาอะไร ตรงไหน ต้องขุดยังไง วางท่อ วางระบบอะไรยังไง ต้องดีลกับชาวบ้าน องค์กรท้องถิ่นแค่ไหน ลุยเลยนะเพื่อน ตามสบาย แกเป็นคนไทยย่อมรู้จักประเทศไทยดีกว่าฉัน แล้วฉันจะแวะไปหาเป็นพักๆ ก็แล้วกันนะ ระหว่างนี้จะวางแผนบุกตลาดยุโรปไปพลางๆ” แล้วพ่อหนุ่มก็จัดการเปิดโทรทัศน์ยกเท้าขึ้นพาดบนโต๊ะรับแขกและร้องเพลงงึมงำอย่างมีความสุข ทิ้งให้เจ้าของสถานที่นั่งงุนงงและคิดถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างไม่แน่ใจ

“เอ้อ...ลืมถามไป แล้วเคยถามชื่อแม่สาวคนสวยที่แวะมาหาแกในความฝันทุกวันๆ บ้างไหม ท่าทางจะเห็นหน้ากันทุกวันจนคุ้นเคยแล้วนี่”

“ศศลักษณา”

“หืม รู้ได้ยังไง” คนถามออกจะตกใจ เมื่อได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิด “ซา-ซา-ลัก-ซา-นางั้นหรือ” แม้สำเนียงภาษาไทยจะคล้ายคลึงกับเจ้าของภาษา หากก็ยังฟังแตกต่างอยู่ดี “ชื่อเพราะดีนี่ นี่นายถามชื่อคนในความฝันได้ด้วยเหรอ”

“อยู่ดีๆ ชื่อของพวกเธอก็วาบขึ้นมาในความคิด แปลกไหม”

“นายมั่วเองหรือเปล่า...ประมาณว่าอยากให้สาวในฝันชื่อนั้นๆ”

“ไม่ได้มั่ว…ไม่รู้ด้วยว่าไปจำชื่อพวกนั้นมาจากไหน อยู่อังกฤษมานานจะตาย ไม่ค่อยได้ยินชื่อคนไทยเท่าไหร่หรอก”

“ก็จริงนะ แปลก...”

“ก็แปลกน่ะสิ รู้ชื่อของผู้หญิงอีกคนด้วยนะ เธอชื่อพิมลพักตรา”

“พิ-มน-พัก-ทรา...อา...” เข้าของนัยน์ตาสีเขียวอมเทาครุ่นคิด “ บางทีนะ...โทนี่ กลับเมืองไทยครั้งนี้นายอาจจะพบคำตอบของความฝันประหลาดก็เป็นได้”

“คงจะอย่างนั้นกระมัง...เวลามันใกล้เข้ามาแล้ว แอนดรูว์” ริมฝีบางหยักได้รูปกระซิบแผ่วเบา ราวกับจะย้ำให้แน่นสนิทลงไปในหัวใจของคนพูดด้วยเช่นกัน

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ในรอยบรรพ์ - บทนำ

บทนำ

ในความว่างเปล่าของรัตติกาล สายลมเยือกเย็นโบกพัดกิ่งไม้ให้เกิดเสียงซู่ฟังดูคล้ายบทสนทนาจากสรรพสิ่งที่อาศัยอยู่ในความมืดซึ่งเริ่มปรากฏกายออกมาปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง หากชั่วขณะหนึ่ง เสียงลมพัด และเสียงแมลงกลางคืนที่บรรเลงเพลงนิทรากลับพลันสงบนิ่ง...นิ่งราวกับอยู่ในห้วงไร้กาลเวลา อากาศที่เยียบเย็นด้วยลมยามดึกยิ่งเย็นเฉียบดุจอากาศแห่งฤดูหนาว เส้นหญ้าทุกเส้นยืดตรงราวกับทหารรอคอยการมาเยือนแห่ง ‘นาย’

“จวนถึงเวลาแล้วสินะ เวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างจักเวียนมาบรรจบกันอย่างพอเหมาะอีกครั้ง” เสียงหวานใสเยียบเย็นแกมยินดีดังขึ้นในความมืด “แล้ววันที่เราจักเป็นอิสระก็จักมาถึง” เสียงหัวเราะประสานอย่างพึงพอใจดังกระหึ่มออกมาจากความว่างเปล่าราวกับมี ‘สรรพสิ่ง’ อีกมากมายที่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น

“เจ้าคิดว่าเรื่องจักง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ...ศศลักษณา” เสียงห้าวก้องกังวานอย่างบุรุษผู้ทรงอำนาจดังขึ้นเคียงกัน “ใช่ว่าทุกดวงจิตจักต้องการให้ผืนแผ่นดินแห่งนี้ถูกพลิกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง หากพวกมันทำสำเร็จ...และธรณีแห่งนี้ยังคงถูกปิดเอาไว้เพื่อรักษาทรัพย์แผ่นดินอย่างทุกครั้งที่เคยเป็นมา นั่นก็แปลว่าเราต้องทำหน้าที่ต่อไปอย่างไม่มีกำหนด ด้วยสัจจะอธิษฐานของพวกเราและขององค์มหาราชผู้ที่เคยเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้”

“ข้าเชื่อมั่นว่าครั้งนี้พระองค์จักทำได้สำเร็จ เพราะครั้งนี้จักมีผู้ช่วยเหลือ...ผู้ช่วยที่ทรงรอคอยมานานหนักหนาหากคลาดแคล้วกันไปทุกภพทุกชาติด้วยผลกรรมขององค์มหาราช หากครานี้การณ์ประจวบเหมาะ ข้ามั่นใจว่าการปฏิบัติภารกิจจักสำเร็จด้วยดี” เสียงใสยังโต้เถียงอย่างดื้อรั้น

“ไม่ว่าการณ์จักเป็นเช่นไร ทั้ง ‘เจ้า’ และ ‘ข้า’ ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ ดังที่ได้ลั่นสัจจะวาจาเอาไว้”

“ข้ามีสิทธิ์เลือกด้วยหรือ” เสียงใสกลายเป็นหวานเศร้าแกมขมขื่น “หน้าที่...ที่ข้าไม่ได้เต็มใจทำ หาก ‘ต้อง’ ทำ เพราะผืนแผ่นดินต้องการผู้พิทักษ์รักษา”

“ทุกๆ ดวงจิตที่ยังไม่หลุดพ้น จักหนีจากบ่วงกรรมได้อย่างไรกัน เจ้าทำสิ่งใดเอาไว้ เจ้าเองก็รู้ดี การชดใช้ด้วยความทุกข์ทรมานเพียงเท่านี้ เจ้าทนไม่ได้เลยหรือ” ครานี้เสียงห้าวเครือลงราวกับจะสะเทือนใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต...เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนที่จะกลับกลายเป็นน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกเช่นเดิม “เลิกพร่ำเพ้อถึงจุดจบแห่งหน้าที่ในวันหน้า จงทำหน้าที่ในวันนี้ให้ดีที่สุด” สายลมพัดมาวูบหนึ่ง กลิ่นธูปหอมกรุ่นกำจายก่อนจางหาย เหลือไว้แต่ความว่างเปล่าและน้ำเสียงหวานแผ่วเบา

“ข้ารู้ว่าหน้าที่นี้จักต้องมีผู้สืบทอด...และข้าก็รู้ว่าสิ่งที่ข้าทำต่อนางผู้ที่เป็นดั่งดวงพระทัยของพระองค์นั้น เป็นกรรมอันใหญ่หลวง ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ จิตพยาบาทของข้าที่มีต่อนางได้สิ้นสุดลงนับแต่วันที่ข้าหลั่งเลือดปฏิญาณเข้ารับภาระหน้าที่ เหลือเพียงความหวัง...หวังว่าสักวันดวงจิตของข้าจะหลุดจากพันธนาการ และได้ชดใช้ในสิ่งที่ข้าเคยทำไว้ในอดีต”

เสียงทอดถอนใจดังออกมาจากความมืดพร้อมๆกับเสียงก้องกัมปนาทของสายอสุนีบาต ที่เพิ่มแสงสว่างให้กับความมืดมนอนธกาล ลำแสงตกกระทบร่างของสตรีแน่งน้อยในพัสตราภรณ์โบราณประหลาดตา ดวงหน้างามงดหากขาวซีดอมเหลืองเหมือนงาช้างเก่าๆ เรียบสนิท หากแววตาไหววูบไปด้วยรอยสะเทือนใจ

“เวลา...ใกล้จะมาถึงแล้ว”

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

วัน Bonfire, แมวลายเสือ, คอมบูตไม่ขึ้น, สติแตก

Start:     Nov 5, '07
วันนี้ได้กลับมาค้างบ้านคืนหนึ่ง เพราะมีเหตุ
คงจะได้มาโกยเสื้อผ้า ไปเฝ้ายายที่ดงลำไยต่อ

ตอนเช้าออกมาซื้อหมอนที่ BigC
ยายลุกไม่ขึ้น ใช้หมอนรองตัว รองขา มันค่อนข้างเปื้อนโน่น เปื้อนนี่เยอะ รวดมาเอาเสื้อผ้าด้วย ก็ขับรถเข้ามา 40 โล ขับกลับป่าซาง 40 โล

พอถึงป่าซาง แม่จ๋าให้ไปแวะดูที่ตลาดชาวบ้านแถวๆ นั้น เผื่อมีผัก มีเห็ดมาขาย
ยังบ่ายๆ อยู่ ตลาดเป็น 'กาดแลง' เลยยังไม่มีของใดๆ เลยกลับมาบ้านยาย พอถึงโค้งหนึ่ง แมวน้อยลายเสือกระโดดมากลางถนน ห่างจากรถไปทางด้านหน้าประมาณ 1 เมตร จริงๆ ตอนนั้นก็เหยียบแค่ 60 แต่ก็เบรคไม่ทัน แมวน้อยกลิ้งหลุนๆ อยู่ใต้ท้องรถ ท่ามกลางอาการตกตะลึง อ้าปากค้างของคนขับ

แง
Rest in peace นะน้องแมว
พี่ยิ้มจะทำบุญไปให้ T-T

ตกบ่าย...
ต่อเนต dial up เลนอยู่ดีๆ
โปรแกรมรวน อยู่ดีๆ window อะไรก้ไม่รู้เด้งขึ้นมา 20-30 หน้า เลยต้อง shut down

หลังจากนั้น boot ไม่ขึ้น แว้กกกก
ลองครั้งที่ 2 3 4 5 6 7 8 9 10

ก็ยังไม่ขึ้น...
จิตตก
หอบข้าวของแล่นมาเชียงใหม่ทันควัน

เพิ่งโดนเอียน โกลเวอร์ทวงงานไปแหมบๆ
กลัวมาก กลัวว่าจะต้องเริ่มแปลจากหน้าแรกใหม่ ทำเกือบเสร็จแล้ว ดันไม่มีแบ็คอัพด้วย บึ่งกลับบ้านอีก 40 โล เผื่อมันเจ๊งจะได้รีบเอาส่งร้าน สกัดข้อมูลออกมาโดยด่วน เดี๋ยวปั่นไม่ทัน ปรากฏว่าพอมาถึง คอมดันใช้งานได้ = ='

เออ นอนบ้านเลยละกัน ไม่กลับแล้ว
ไม่งั้นวิ่ง 160 โล แต่การกระจัดเป็น 0 จะรู้สึกแย่มาก