วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2550

เรื่องเก่าๆ เล่าเรื่อยๆ

Rating:★★★
Category:Other
กลับมาเขียนอีกรอบแล้วนะคะ ตามประสาคนชอบเปิดประเด็นทิ้งไว้แล้วหายไป ดูตัวอย่างเช่นทศบารมีที่ไม่มาต่อให้ครบทั้ง 10 ประการ ก็นะ คนเขียนยังปฏิบัติไม่ครบ -_-" ก็เลยถือโอกาสติดเอาไว้ก่อนซะงั้น...วันนี้อยู่ดีๆ ก็คิดถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมา จริงๆ ก็อยู่ไม่ดีหรอกค่ะ วันนี้ยิ้มคุยกับพี่สาวคนหนึ่งทาง msn พูดถึงวงจรชีวิตที่นอนกลางวัน ตื่นกลางคืน ก็เลยคิดถึงนกฮูก...แล้วพอพูดถึงนกฮูก ภาพในหัวก็พานล่องลอยไปถึงเสียง กรู๊ววว กรู๊วววว ที่ต้น 'บ่ากุ๊ก' หรือต้นมะกอกที่ขึ้นใกล้ๆ กับห้องครัวของบ้านยาย แล้วก็อดคิดถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมาไม่ได้

ความจริงแล้วอยากจะเขียนเล่าเรื่องพวกนี้ไว้นานแล้วล่ะ แต่ว่ามีรุ่นพี่อีกท่านหนึ่ง เขียนถึงชีวิตชนบทเอาไว้อย่างน่าประทับใจมาก สำนวนอะไรนี่ เรียบรื่น อ่านสบาย มีความคิดสอดแทรกเอาไว้อย่างชาญฉลาด ข้าพเจ้าก็เลยไม่กล้าเริ่มเขียน แหะๆ เพราะว่าเป็นคนเหนือเหมือนกัน ขนบ ธรรมเนียม ประเพณีอะไรก็น่าจะคล้ายๆ กัน เดี๋ยวเกิดการเปรียบเทียบ

แต่วันนี้...
เอาเถอะ หนูเปล่าน้า...หนูไม่ได้ลอกนะ หนูอยากเล่ามั่งง่ะ คิดถึงนกฮูกกุ๊กกรู คิดถึงกลิ่นหอมๆ ของไอดินยามฝนตกใหม่ คิดถึงแปลงผักกาดเขียวขจีที่เป็นคนขุดแล้วก็ตั้งแปลงมากับมือ คิดถึงน้องหมาเฝ้าสวนนับสิบตัวที่เคยวิ่งไล่ วิ่งเล่น คิดถึงตา...ผู้จากไปและไม่มีวันหวนกลับมาหาหลานคนนี้ได้อีกแล้ว คิดถึงยาย...ที่กำลังรอการกลับไปของหลานคนนี้อยู่ที่บ้าน

ก็เลยมาเปิดไห 'เรื่องเก่าๆ เล่าเรื่อยๆ' ไว้ดังนี้แล...นึกอะไรได้ก็คงจะมาเล่าๆ เติมๆ

เรื่องของเรื่องก็คือ 'น้องยิ้ม' ในสมัยนั้นเป็นเด็กสองแผ่นดิน ไม่ได้เป็นลูกครึ่งหรอกค่ะ แต่เป็นคนที่ต้องใช้ชีวิตสองสถานที่ อันได้แก่เชียงใหม่ และลำพูน (พูดอย่างกับมันห่างกันมากอย่างนั้นแหละ) ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาที่เชียงใหม่วันจันทร์ - ศุกร์ แล้วเดินทางไปสิงสถิตย์ที่บ้านยาย ณ อำเภอป่าซางแค่ เสาร์ - อาทิตย์ แต่ทุกครั้งที่มีปิดภาคเรียนยาวๆ อย่างเดือนตุลา หรือ มีนา - เมษา ก็ขนข้าวของกลับไปอยู่ที่บ้านยายเป็นเวลานาน ราวกับย้ายบ้านเลย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นกุศโลบายของพ่อแม่หรือเปล่า ที่ไม่อยากให้ลูกโตมาเป็นเด็กเมืองมากเกินไป และอยากให้ลูกซึมซับวิถีชาวบ้าน และภูมิปัญญาต่างๆ ณ วันนี้..มันได้ผลแล้ว

ปลายยอดต้นไม้มันอยู่ไกล แต่รากมันผังแน่นอยูที่บ้าน ถอนไม่ออกเลย...ไล่ก็ไม่ไป กลัวอยู่เนี่ย ว่ามันจะฝังอยู่อย่างนั้น จนไม่ยอมไปที่ไหน (เรียกง่ายๆ ว่าเป็นสาวเคิ้น หรือขึ้นคานนั่นเอง)

มีแต่น้ำจริงๆ -_-
กลับมาพูดถึงบ้านยายต่อดีกว่า..

'บ้านยาย' นั้น ตั้งอยู่ในสวนลำไยไม่กว้างเท่าไหร่ รังวัดได้ประมาณ 3-4 ไร่ และยังมีสวนลำไยอยู่ห่างๆ กระจายออกไปทั้งที่อยู่ติดบ้าน และเลยไปในทุ่งนา ถ้าคิดถึงขนาด อาจจะดูเหมือนไม่ใหญ่ แต่ในสายตาเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง สวนของยายเป็นเหมือนดินแดนมหัศจรรย์ที่มีเรื่องให้ผจญภัยมากมาย ทันทีที่รถกระบะเกียร์พวงมาลัยซ้ายสีเขียวแล่นเข้าในเขตบ้าน ยิ้มก็จะมองเห็นต้นมะพร้าวที่เรียงรายสองข้างทางเล็กๆ ที่ทอดตรงเข้าไปจากประตูรั้วถึงตัวบ้าน ส่ายใบไหวพริ้วไปมาเหมือนจะต้อนรับ...จริงๆ มันก็เป็นแต่จินตนาการล่ะ แต่พอได้ยิน ความคึกคัก ตื่นเต้นมันก็มารออยู่แล้ว เพราะว่าในยามนั้น บ้านที่เช่าอยู่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบ้านทรงไทย ใต้ถุนสูง อยู่ในเขตที่มืดแล้ว มืดเลย อยู่ใกล้แหล่งชุมชน ไม่เหมาะสมแก่เด็กตาดำๆ จะออกไปเดินเล่นไม่ว่จะเป็นในเวลากลางคืน หรือกลางวัน การได้มาพักผ่อนที่บ้านสวนนี่...ก็เหมือนสวรรค์ดีๆ นี่เอง

รถหยุดปั๊บก็กระโดดลงปุ๊บ ยายซึ่งมักจะกวาดใบไม้อยู่ใกล้ๆ ก็จะโผล่มา แล้วน้องหมาที่คุ้นเคยกันดีเพราะเอาขนมไปล่อไว้เยอะ ก็จะเข้ามาเคล้าเคลีย...เป็นช่วงเวลาที่รู้สึกดีจริงๆ เลยค่ะ รู้สึกว่าเรามีคนรอคอยการมาของเราอยู่ มีคนที่รักห้อมล้อม มีชีวิตที่เป็นสุข เราไม่ต้องการอะไรมากมาย

ตัวบ้านเป็นกึ่งตึกกึ่งไม้ มีทั้งไม้ประดู่ ไม้มะม่วง ทาน้ำมันสีแดง ซึ่งใครที่มีภูมิลำเนาทางภาคเหนือคงพอนึกออกนะคะ ว่าน้ำมันที่ทาแล้วสีออกน้ำตาลแดงๆ เป็นอย่างไร คิดว่าไม่น่าจะใช่ชาดนะ เพราะมันก็ดูแดงหม่นๆ ไม่ได้แดงดังชาดอย่างที่เขาบอกกัน ตอนแรกๆ ยิ้มก็ไม่ชอบใจเลย ที่บ้านถูกทาสีนี้ เพราะส่วนตัวชอบไม้สีน้ำตาลธรรมชาติมากกว่า แต่พอเวลาผ่านมา 19 ปีก็มองเห็นแล้วค่ะ ว่าน้ำมันแดงของเขานั้น...ทนจริงๆ ทนยิ่งกว่าสีทาบ้านอีก ทุกวันนี้ยังไม่ซีดเลย

ตัวบ้านชั้นล่างก็เป็นที่อยู่กั่นเป้นห้องๆ ธรรมดา แต่ด้านบนจะถูกกั้นเป็นห้อง 3 ห้องและมีทางเดินยาวอยู่ และมีประตูเปิดออกไปสู่ระเบียง มีนาฬิกาลูกตุ้มแบบเก่าๆ สีดำอยู่ นัยว่าตกทอดมาจากสมัยหม่อนยังหนุ่ม (หม่อนแปลว่าทวดนะคะ ขอเรียกว่าหม่อนในบทความนี้ละกัน เพราะว่าเรียกมาจนชิน) เพราะจากคำบอกเล่าของแม่จ๋า หม่อนเคยรับราชการในสมัย ร. 6 เคยเป็นทหารเสือป่า ก่อนที่จะลาออกมาเป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นช่างตีทอง

ขยันจริงๆ เลย ทำไมเหลนไม่ได้ความขยันตกทอดมาสักกระผีกเลยน้อ....

ถัดจากบ้านก็ต้องมาบ่นถึงต้นไม้...แน่นอน...มันต้องมีลำไย เพราะว่าบ้านเป็นสวนลำไย แต่สวนแห่งนี้ก็หาได้มีแต่ลำไยไม่นะเคอะ ยังมีต้นไม้อีกนับจำนวนไม่ถ้วนจนคิดไปคิดมาก็นึกไม่ออกว่ายัดเข้าไปในที่ 4 ไร่ได้ยังไง ก็เล่นมีทั้ง

มะพร้าวปลูกเป็นแถวริมรั้วไว้กันลม ไผ่สีสุกหลายกอ กั้นเป็นรั้วบริเวณที่ติดกับลำเหมือง มะม่วงอกร่อง มะม่วงแก้ว จามจุรีริมรั้วที่ตาเอาไว้เลี้ยงครั่ง ขนุน กระท้อน ชะอม ข่อย หลิว มะกอก มะขาม ฝรั่ง ส้มโอ และผลไม้ที่ชื่อ สะ-ตาแอปเปิ้ล (ขาวๆ หวานๆ หอมๆ เคยเห็นแต่ที่ป่าซางน่ะค่ะ ไม่เคยกินที่อื่นเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะสะกดชื่อว่ายังไง สตาร์ หรือ สะตาดี) กล้วยนานาชนิด มะละกอ มีแปลงผักถาวรที่ปลูกผักกาด ผักบุ้ง แปลงผักชั่วคราวปลูกผักตังโอ๋ ร้านชั่วคราวเอาไว้ปลูกบวบกลม ที่ทางภาคเหนือเรียกว่า (บ่าแอบ) มีห้องน้ำในสวนอยู่สองที่ มีเล้าหมู ที่ช่วงหลังๆ ของชีวิตมันกลายเป็นเล้าเป็ดไป มีเล้าไก่อีกที่หนึ่ง น่าเสียดายที่ยิ้มเกิดไม่ทันสมัยเลี้ยงปลา จริงๆ แล้วก็ยังพอเห็นเห็นร่องรอยอยู่ค่ะว่ามีสระน้ำในสวน แต่ตอนนั้นมีแต่ผักบุ้งเต็มไปหมดแล้ว ผักบุ้งเมืองน่ะค่ะ ผักบุ้งก้านแดงๆ ใบเล็กกว่าผักบุ้งจีน เอามาผัดไม่อร่อยหรอก แต่ถ้าเอามาจอเหมือนจอผักกาด ใส่ปลาร้านิดหน่อย...โอ๊ยยย ลำแต๊ๆ มีกะละมังและแปลงเล็กๆ ไว้ปลูกพวกเครื่องเทศจำพวกผักชีฝรั่ง ผักกานตอง โหระพา สะระแหน่ (ภาษาแถวๆ นั้นเขาเรียก ด่วน ไฝ่) พริกขี้หนู ใบมะกรูด ขิง ข่า ตะไคร้

โอ้โห...ตาเป็นคนที่บริหารพื้นที่ได้ดีที่สุดเลยค่ะ ที่แค่นั้น ปลูกได้หลากหลายเหลือเกิน เรียกได้ว่า..ถ้าปิดบ้าน ก็อยู่รอดนะเนี่ย ดำรงชีพแบบพอเพียงได้เลย...(สำนวนนี้คุ้นๆ)

ตรงข้ามกับบ้านสวนก็มีสวนอีกที่หนึ่งค่ะ เป็นสวนลำไยเหมือนกัน มีบ่อน้ำลึกๆ ที่ตาจะใส่เครื่องไดโว่เอาไว้สูบน้ำมารดน้ำในสวน แต่สวนนี้จะพื้นที่ยาวๆ ซึ่งก็เหมาะดีกับการที่ยายจะเอาไว้ขดฝ้าย (ตั้งเสาสองเราห่างกันประมาณ 10 เมตร เอาเส้นฝ้ายเกี่ยวกับราง เพื่อที่ฝ้ายแต่ละเส้นจะได้ไม่พันกัน แล้วก็ม้วนๆ ๆ ๆ เป็นขดๆ) ซึ่งขดฝ้ายเหล่านั้นก็จะถูกเอาไปใช้ในการเย็บผ้า หรือสมัยก่อนยิ้มเกิด เขาก็เอาไว้ทอผ้าล่ะมั้งคะ อ่อ ลืมบอกไป...ก่อนยิ้มเกิดน่ะ ในสวนส่วนหนึ่งแบ่งเป็นโรงทอผ้าด้วยค่ะ -_- อะไรจะหลายหลากขนาดนั้น..

ห่างไกลออกไปอีกนิดคือสวนใหม่ สวนนี้โตมาพร้อมๆ กับยิ้ม จะเรียกว่า 'สวนทุ่งนา' ก็แล้วกันนะคะ เพราะสมัยนั้น รอบข้างสวนจะเป็นทุ่งข้าวหมดเลยค่ะ (ตอนนี้แปลงสภาพไปหมดแล้ว) สวนทุ่งนาเป็นอะไรที่หฤหรรษ์มาก เพราะยิ้มเห็นหมดทุกขั้นตอนเลย ไม่ว่าจะเป็นขุดหลุม ลงต้นไม้ ปลูกกระเทียมแซม ปลูกกระท่อม ลงศิลาแลงทำถนน แต่ก็แค่เห็นนะคะ ไม่ได้ลงแรงเท่าไหร่เลย หลายๆ ครั้งแม่จ๋าก็บอก "อันนี้สวนยิ้มนะ ยิ้มไปดูแลมั่งสิ" ก็แหม...มันไม่ถนัดง่ะ ถนัดแต่ขุด เพราะลงภาคสนามมาเยอะ แต่ลำไยมันก็โตหมดแล้วง่ะ ไม่รู้ไปขุดอะไรอีก

สวนทุ่งนา จะอยู่ติดกับทุ่งนาของน้องชายของตา ซึ่งก็คือตาอีกคนหนึ่งของยิ้มนั่นเอง ตอนนั้นเขาเลี้ยงวัวฝูงใหญ่ ยิ้มก็จะชอบไปนั่นบนแคร่ไม้ไผ่ท้ายสวน รอให้ลมโกรก นั่งมองน้องวัวทั้งหลายเดินไปมาในคอก พอไปสวนทุ่งนาแล้วก็จะถือโอกาสออกไปเที่ยวในทุ่งนาจริงๆ เสียเลย เวลาที่ชาวสวน ชาวนาเค้าสูบน้ำใส่นา ยิ้มก็ชอบไปนั่งเล่นบนคันนา เอาเท้าจุ่มลงไปในน้ำใสๆ เย็นๆ สบายใจดี ตามคันนาก็จะมีต้นใบบัวบกขึ้นอยู่ บางทีก็จะรบเร้าขอป้าจ๋าเก็บเอาไปทำน้ำใบบัวบก ป้าจ๋าก็ไม่ค่อยชอบทำเท่าไหร่หรอก บอว่ามันเหม็นเขียว แต่ยิ้มชอบดื่มอ้ะ ชอบมาก

ปกติชาวบ้านเขาจะสูบน้ำกันตอนเย็นๆ ยิ้มก็จะนั่งไปเรื่อยๆ เอาเท้าแกว่งน้ำ มองดูดวงอาทิตย์ย่ำค่ำสนธยาพอดี ชอบจัง...ดวงอาทิตย์ฉายแสงอ่อนโยน...จิตใจคนมองก็อ่อนโยนไปด้วย เสียงนกร้องเพลงก่อนที่จะยินกลับรัง เสียงตามสายกระจายข่าวของผู้ใหญ่บ้านดังแว่วๆ มา

ไม่มีสิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลง...

ใช่แล้วค่ะ...นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการที่ยิ้มมาเขียนไว้ด้วย
วันนี้...สิ่งที่เหล่ามาเปลี่ยนแปลงไปหมดจนแทบไม่เหลือรอยเดิมแล้ว
โชคยังดี ที่บ้านกึ่งตึกกึงไม้และสวนสีเขียวยังอยู่ (แม้ว่าแปลงผักจะกลายเป็นสนามฝึกไดรฟ์กอล์ฟของพ่อจ๋าไปแล้วก็เถอะ)

อยากจะเขียน...อยากจะบันทึกไว้ เพราะวันหนึ่ง...ภาพของสิ่งเหล่านี้มันอาจจะหายไปจากความทรงจำก็ได้ แล้ววันนั้น ยิ้มจะได้กลับมาอ่าน กลับมาซึมซับภาพเก่าๆ ที่เคยทำให้ยิ้มมีกำลังใจ มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า มีความภาคภูมิใจที่จะกลับไปเล่าเรื่อง 'บ้านสวน' ให้เพื่อนๆ ชาวเมืองฟัง

ก็แค่อีกมุมหนึ่งของชีวิตของยิ้มล่ะ Another corner of mine... ^_^

1 ความคิดเห็น:

Heathrow :D กล่าวว่า...

:D นี่เองที่มาของ "หนูเดือน" จากนางเอกในชีวิตจริง
เมษานี้หนูเดือนก็จะกลับมาเยี่ยมสวนลำใยของคุณยายแล้วเนอะ