วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2550

เรื่องเก่าๆ เล่าเรื่อยๆ - ต้นไม้ในสวน


Rating:★★★
Category:Other
ตอนที่ผ่านมามันคือบทนำค่ะ...เป็นอะไรที่ปูพื้นก่อนที่จะไปสู่กล่องความทรงจำทั้งหลายแหล่ของยิ้ม ซึ่งที่เขียนมายาวเหยียดนั้น จริงๆ แล้วก็แค่สื่อว่า
1. บ้านยายเป็นบ้านสวน
2. อยู่ อ. ป่าซาง จ. ลำพูน

ที่ลืมบอกไปก็คือ...ถิ่นนั้นเป็นถิ่นคนไทยองค่ะ (ขอใช้คำว่า ไทยองนะคะ เพราะคนยองไม่มีเสียงนาสิกแบบ 'ญอง' ในคำเมืองน่ะค่ะ) ภาษายองก็ไม่ต่างจากคำเมืองที่พูดกันทั้งภาคเหนือหรอกนะ ต่างกันก็แค่สำเนียงที่เสียงต่ำกว่า ฟังเผินๆ ก็อาจจะคล้ายๆ อีสาน แต่ว่าทอดหางเสียงนุ่มกว่า

recap เรียบร้อยแล้วก็มาบ่นอะไรให้เข้าชื่อตอนกัน วันนี้คงจะย้อนรอยอดีตไปถึงต้นไม้น่ะค่ะ เพราะด้วยความที่บ้านยายมีต้นไม้เยอะมหาศาล ใช้ประโยชน์ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม กินสดก็ได้ เอามาทำอาหารก็ได้ ทำยาก็ได้ ก็เลยขอถือโอกาสยกเอาพืชพันธุ์ที่แอบประทับใจมานานแล้วมาเขียนเล่าเสียเลย เพราะตั้งแต่เด็กจนโตก็แทบจะชินกับภาพที่ตาเดินเข้าไปในสวน พร้อมกับมีดขนาดใหญ่ หรือไม่ก็เสียม แล้วก็เดินกลับมาพร้อมผลิตผลของต้นไม้ในสวนไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเสมอ...ของดีมีอยู่ใกล้ตัวนะคะ รู้จักเสาะหา ก็มีมาเรื่อยๆ ไม่หมดสิ้นแหละค่ะ

พืชทื่ยิ้มชอบและประทับใจก็มีดังนี้

1. สาคูกะ ข้าวโพดเทียน
ตาบอกว่าคำในภาษากลางเรียกว่าสาคู แต่ภาษายองท้องถิ่นเฮาเรียกว่า จะ-คู ไม่คิดว่าเจ้าต้นไม้ต้นนี้เป็นวัตถุดิบของสาคูที่เอามาทำเป็นเม็ดๆ หรอกนะ คิดว่าบังเอิญชื่อมันตรงกันมากกว่า เจ้าสาคูนี่เป็นพืชหัวค่ะ ใบเลี้ยงเดี่ยวยาวๆ ดูบนดินดูไม่ออก ดูแล้วไม่รู้เลยว่าต้นมันอยู่ไหน แต่พอย่ำค่ำมาตาก็มักจะขุดเจ้าสาคูนี่มาให้แล้วนับสิบหัว พร้อมกับกระบุงใส่ข้าวโพดเทียน (เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวที่เม็ดเล็ก เหนียว นุ่มและหวานน่ะค่ะ ไม่ได้จืดเหมือนข้าวโพดข้าวเหนียวฝักโตๆ ที่ขายในกระบุงคู่กับข้าวโพดหวานสีเหลืองๆ ) ในฤดูหนาวนี่..ไม่มีอะไรสุขสันต์ไปกว่านั่งกินข้าวโพดกะหัวสาคูต้มร้อนๆ หน้ากองไฟหรอกค่ะ หรือถ้ามีอารมณ์ เอาฝักข้าวโพดหมกในกองขี้เถ้าเลยก็ยิ่งจะได้ข้าวโพดปิ้งหอมหวนอร่อย เปี่ยมไปด้วยอนุมูลอิสระทันที

อยู่ที่ York นี่มันก็หนาวๆ นะ หลายครั้งก็อดคิดไปถึงกองไฟอุ่นๆ ข้าวจี่ ข้าวแคบ ข้าวโพดปิ้งไม่ได้...แต่นี่เหรอ หนาวนักก็ว้อดก้า หือไม่ก็ mulled wine ค่ะ -_- (mulled wine = ไวน์แดงต้มใส่ส้มใส่ซินนามอน จิบร้อนๆ อร่อยนักแล)

2. มะม่วงนานาพันธุ์
พูดถึงมะม่วงนี่...เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ภาคอื่นคงรู้จักมะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงอกร่อง มะม่วงแรดใช่ไหมล่ะ บางคนที่สนใจด้านการเกษตรก็อาจจะรู้จักโชคอนันต์ มะม่วงพันธุ์ที่ออกลูกดกออกลูกหวานกรอบได้ทั้งปีแต่ต้องใช้วิธีต่อกิ่งหรือติดตาเอา เพราะถ้าเอาเม็ดไปปลูกมันพานจะกลายพันธุ์เอาง่ายๆ มะม่วงพันธุ์ที่ยิ้มชอบ ไม่ได้เป็หนึ่งในนั้นเลยค่ะ ยิ้มว่ามะม่วงพวกนั้นรสชาติมันละมุน เป็นผู้ดีเกินไป แล้วก็หวาน นิ่ม หอมเกินไป ขาดความเข้มแข็ง และขาดความเข้มข้นเหนียวหนืดในเนื้อมะม่วง (texture) อย่างรุนแรง

ดังนั้น...มะม่วงที่ยิ้มชอบคือ มะม่วงแก้วค่ะ
มะม่วงบ้านๆ ธรรมดาๆ ที่ราคาถูกกว่ามะม่วงอกร่องอีก แต่ถ้ามะม่วงแก้วต้นไหนในบ้านยายสุก ก็ไม่ได้ขายหรอกค่ะ จองแล้วเน้อ...ก็ชอบนี่นา มันไม่มีกลิ่นหอมหวานเหมือนมะม่วงอกร่อง แต่ว่ามันหอมอ่อนๆ เนื้อมันก็เหนียวกำลังดี ไม่ได้นิ่มจนละลายในปาก ไม่ได้กินมานานแล้วค่ะ ครั้งสุดท้ายที่ได้กินมะม่วงที่รสชาติคล้ายๆ มะม่วงแก้วก็คือมะม่วงอินเดียลูกเท่าหม้อที่อังกฤษนี่แหละ

มะม่วงอีกพันธุ์ที่ชอบมากคือมะม่วงตลับนาก ซึ่งเป็นมะม่วงลูกกลมๆ เหมือนตลับ คล้ายมะม่วงอินเดียแต่ลูกเล็กกว่า ไม่ว่าจะยามสุกหรือยามดิบก็เปรี้ยวขาดใจ ที่ชอบยก็เพราะความเปรี้ยวนี่ล่ะค่ะ เอามาฝานๆ ๆ ใส่น้ำปลา น้ำตาล กุ้งแห้ง หัวหอม (ถ้ายามยากไม่ต้องใส่กุ้งแห้งกะหัวหอมก็ได้ แค่น้ำปลา น้ำตาลก็แซ่บหลายแล้ว) อูยยยยย แค่คิดน้ำลายก็ขึ้นมารอที่ปากแล้ว สาวกลัทธิมะม่วงฝานนี้ มีสมาชิกหลัก 2 คนค่ะ คือยิ้มกับยาย ไม่ใครคนใดคนหนึ่งน่ะ จะฝานแล้วชวนอีกฝ่ายมาแจมเสมอ...

มาห่างๆ ไปก็ตอนยายเป็นเบาหวานหนักนี่แหละ เฮ้อ กินคนเดียวก็ไม่อร่อย เพราะพ่อจ๋า กะ แม่จ๋าก็ชอบบ่นว่ามันเปรี้ยวเกินไป เปรี้ยวจนเข็ดฟัน

3. หญ้า คxxงู
ใช่ค่ะ -_- มันคือคำคำนั้นแหละ 'คxxงู' ชาวบ้านเรียกชื่อมันอย่างนั้นเต็มบ้านเต็มเมือง มันเป็นพืชเถาๆ เลื้อยตามพื้น มีดอกที่เหนียวหนึบติดกางเกงคนดีนักแล แต่ว่าใบของมันมีสรรพคุณแก้โรคปัสสาวะบ่อย และเมื่ออายุประมาณๆได้ 5 ขวบ ศศิษยาก็ต้องใช้บริการหญ้านี้จนได้ เพราะว่าโรคนั้นมันบังอาจแวะมากล้ำกราย -_- อัตราการเข้าห้องน้ำตอนนั้นเหรอคะ ทุกๆ 10 นาทีเห็นจะได้มั้งคะ แล้วมันก็กระปริบกระปรอย รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันก็ไม่หาย ชาวบ้านก็เลยแนะนำยายให้เอามาทดลองกะหลานสุดที่รักดู แล้วยายก็ไปเอามาให้จริงๆ ด้วยแฮะ ส่วนป้าจ๋าก็จัดการต้มกะน้ำ ใส่น้ำตาลเรียบร้อยเพราะรู้ดีว่ายิ้มคงไม่ยอมซดขมๆ หรอก

ก็ไม่รู้น่ะนะ ว่าอาการหายไปเพราะอะไร แต่พอขึ้น ป. 1 ก็ไม่ได้เข้าห้องน้ำบ่อยอีกละ
ใครจะเอาไปลองดูก็ได้นะคะ

4. ดอกขจร
ดอกขจรเป็นดอกไม้สีส้มๆ ดอกเล็กๆ หอมอ่อนๆ ต้นมีลักษณะเป็นพืชเถาค่ะ ทีนี้...ต้นขจรในบ้านยายมันไหลเลื้อยขึ้นไปกะต้นหลิว ส่วนยอดที่จะผลิดอกก็อยู่สูงลิบ ดังนั้น...การจะได้ชื่นชมดอกขจรที่อยู่สูงเทียมฟ้าในสายตาของเด็กน้อยในยามนั้น...ก็ทำได้แค่รอมันร่วงลงมาเท่านั้นแหละ

แล้วดอกไม้มันก็จะร่วงลงมาตอนเช้าๆ (จริงๆ มันคงร่วงทุกตอนแหละ แต่ว่าทั้งป้าจ๋า ทั้งยายช่างกวาดใบไม้กันมาก ถ้าไม่เก็บตอนเช้า ก็ไม่มีโอกาสเก็บแล้วค่ะ)

เมื่อเก็บดอกขจรได้...ก็เอามาร้อยกับด้ายทำสร้อยข้อมือ (ไม่เคยเก็บได้เยอะพอจะร้อยเป็นสร้อยคอเสียที) บางครั้งก็เอามาลอยในขันน้ำ เป็นขันแร่สีเงินค่ะ ดูสวยๆ เย็นๆ ดี ไม่มีประโยชน์ด้านอื่นหรอกค่ะ แต่มันจรรโลงใจนะ ^ ^

5. ไผ่ตง
ชอบไผ่ตงเพราะชอบหน่อไม้ค่ะ แล้วเจ้าไผ่ตงที่พ่อจ๋าเอามาปลูกที่สวนทุ่งนานี่...มันหวานได้ใจดีจริงๆ เลย เอามาแกงใส่ชะอมแบบภาคเหนือแล้ว โอว....สวรรค์
แต่ว่า...นานๆ ทีมันจะงอกขึ้นมาสักหน่อหนึ่งน่ะนะ เวลาที่ยายหรือตาไปเจอก็จะขุดๆ เอามาเก็บไว้ เวลาวันพระก็แกงไปทำบุญบ้าง เวลาที่เพื่อนบ้านแวะมาหาก้ชวนกินบ้าง รู้สึกว่า...ไม่นานข่าวคราวหน่อไม้หวานก็ลือกระฉ่อน...ส่วนมากจะพูดถึงด้วยความชื่นชม แต่แล้ว เพื่อนบ้านคนหน่งที่อยู่ติดกะสวนทุ่งนาเลยก็โพล่งออกมากลางวงสนทนาของชาวบ้าน

"อื๊อ...บ่หันลำเลย หน่อสีสุกลำกว่านัก" (เสียงในฟิล์มนะเนี่ย แปลว่า ไม่เห็นอร่อยเลย หน่อไม้ไผ่สีสุกอร่อยกว่า) คนก็หันไปมองหน้า...เอ๊ะ รู้ได้ยังไง ไม่เคยชวนมากินเสียหน่อย

อ่า...ความก็เลยแตกว่าเขาไป 'ปันกันกินโดยไม่ได้รับอนุญาต' หรือเรียกง่ายๆ ว่าจิ๊กกันไปกินนั่นเองท่านผู้อ่าน...นิสัยอย่างนี้ไม่ดีเลยอ้ะ แค่หน่อไม้ ถ้ามาขอดีๆ ใครจะให้ไม่ได้ล่ะเนอะ นี่ก็ไม่รู้ว่ามะขามหวานเอย มะม่วงเอย จะโดนจิ๊กไปมั่งรึเปล่านะเนี่ยยยยย

6. เห็ดโคน

เขียนถึงพืชทั้งหลาย...จะไม่ให้พูดถึงเห็ดโคนนี่ เป็นไปไม่ได้ค่ะ เพราะเมื่อตอนที่ยังอยู่เมืองไทย ช่วงเวลาที่ยิ้มรออย่างใจจดใจจ่อก็คือ หน้าฝน แล้วก็รอให้เจ้าเห็ดโคนนี้ผุดขึ้นมาจากบริเวณใกล้ๆ จอมปลวก

เขาว่าเชื้อเห็ดโคนมันเกิดจากเอนไซม์อะไรไม่รู้ที่ปลวกมันมีอยู่น่ะค่ะ พอฝนตกมันก็ขึ้น เห็ดโคนสวนมันต่างกับเห็ดโคนป่าตรงที่ใบเห็ดบ้านมันลื่นๆ เวลาเอาไปแกงกับบวบแอบ บวบลูกกลม (ต่อไปนี้จะเรียกว่าบ่าแอบ) มันจะอร่อยโดยธรรมชาติของมัน เห็ดโคนป่ามันสากๆ โคนก็ไม่ขาวอวบ หวานกรอบเท่า แต่ถ้าจะให้ซื้อข้างทางเหรอคะ โลนึงก็ 200 เห็นจะได้มั้งคะ ไม่รู้ตอนนี้ราคาเท่าไหร่แล้วด้วย น่าจะแพงขึ้น

มันอร่อยเพราะป็นของหายากค่ะ นานทีจะโผล่มาเสียครั้ง ตอนเด็กๆ ได้กินบ่อย เพราะว่าไปบ้านยายเสียทุกสัปดาห์อย่างนั้น พอขึ้นม.ปลาย ก็ยังพอได้กิน เพราะยายเก็บไว้ให้ แว้ว่าจะต้องไปเรียนพิเศษเสียทุกเสาร์ อาทิตย์ ตั้งแต่มาเรียนที่อังกฤษนี่...ได้กินนับครั้งได้เลย ต้องรอให้มันฟลุคโผล่ออกมาตอนกลับเมองไทยพอดี ส่วนมากก็จะไม่ค่อยทันก็ต้องนึกถึงวันเวลาดีๆ เก่าๆ ล่ะนะ

ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเพาะเห็ดโคนได้หรือยัง ถึงจะได้แล้ว...ก็คงไม่ชื่นใจเท่าเห็ดธรรมชาติหรอกค่ะ ความอร่อยและคุณค่ามันอยู่ที่วิธีการทำให้ได้มาเนอะ ^ ^

จริงๆ แล้ว ต้นไม้ที่ประทับใจยังมีอีกเยอะน่ะ แต่ว่าบ่นแค่นี้ดีกว่า หาโอกาสเปลี่ยนอิริยาบถ (ของสมอง) จากการเขียนงานน่ะค่ะ เปลียนเรื่องคิดบ้าง เป็นการพักผ่อน

ชิ่งแล้วนะ

3 ความคิดเห็น:

MuGust CluBz กล่าวว่า...

อยากกินเห็ดโคน

Heathrow :D กล่าวว่า...

ข้าวโพดเทียน นี่แถวบ้านผมเรียกว่า "ข้าวสาลี" อ่ะ ไม่รู้อันเดียวกันหรือเปล่านะครับ

ตลกหญ้า คxxงู อิอิ

Yim S. กล่าวว่า...

คุณ mugust: อยากกินเหมือนกันค่ะ T_T

พี่คูณ: จริงๆ เค้าก็เรียก ข้าวสาลีเหมือนกันอ่ะค่ะ ข้าวสาลีเทียน แต่เวลาเค้าเอามาแปลเป็นภาษากลาง มันก็กลายเป็นข้าวโพดเทียนไป