วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550

จะเก็บใจใส่ห้วงฝัน...เมื่อวันวาน

Rating:★★★
Category:Other
ลงเรื่องสั้นเสียเลย...ฉลองวันหลังวาเลนไทน์ (และงานเสร็จไป 1 ชิ้น - เหลืออีกล้านแปด)
ทำไมไม่ลงที่ถนนนักเขียน อื่ม...คิดว่า เรื่องสั้นคงไม่ลงอ่ะฮ่ะ ลงบล็อกส่วนตัวดีกว่า

ใบไม้ใบแล้วใบเล่าปลิดจากขั้วแล้วร่วงหล่นบนพื้นดินจนทับถมเป็นกองหนาอยู่ในสวนสาธารณะ อนิจจา...วันเวลาผันผ่าน พุ่มใบไม้สีเขียวที่ทำแลดูมีชีวิตชีวาในวันวานกลายเป็นกองเพียงใบไม้แห้งสีน้ำตาลในวันนี้ ลมแรงพัดพาเอาใบไม้ที่ร่วงบนพื้นให้หมุนคว้างขึ้นสูงราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาหยอกล้อเล่นกับผู้คนที่นั่งพักผ่อนอยู่ในสวน ก่อนที่จะปล่อยลงให้ทุกสิ่งทอดตัวนิ่งสนิทราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

ฤดูใบไม้ร่วงมาเยี่ยมเยียนมหานครลอนดอนอีกครั้งพร้อมกับสายลมเยือกเย็นและสายฝนโปรยปราย ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างควักเอาร่มสีดำออกมากางเพื่อป้องกันตัวเองจากละอองฝนที่หนาวเย็นยะเยือก หากอินทนิลยังนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ที่ตั้งอยู่ริมทางเดินโดยไม่ได้ขยับกายไปไหนโดยไม่หวั่นกลัวว่าสายฝนปรอยๆ นั้นจะทำให้เธอต้องเปียกปอนก่อนที่จะได้เข้าห้องเรียน เปียกก็เปียกไปเถิด...ปล่อยให้ความหนาวเย็นมันทำให้เธอมีความรู้สึกขึ้นมาบ้างก็คงจะดี อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าประสาทรับรู้ของเธอมันยังทำงานได้เป็นปกติ ไม่ได้ด้านชาสิ้นไร้สมรรถภาพไปอย่างที่คิดว่ากำลังเป็นอยู่

เจ้าหญิงน้ำแข็งในนิยาย...ใครๆ ก็เรียกเธออย่างนั้น

ผู้หญิงที่ทั้ง ‘แกร่ง’ และ ‘เก่ง’ แต่ไม่มีทั้งความรู้สึกเจ็บหรือเหงา ไม่มีอารมณ์ใดใดทั้งสิ้น ดำเนินชีวิตไปวันๆ แม้จะมีจุดหมายแต่กลับรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ต่างอะไรไปจากหุ่นยนต์ ที่เคลื่อนไหวไปตามหน้าที่ ริมฝีปากแบบบางรูปกระจับเหยียดออกคล้ายกับจะยิ้ม ครั้งสุดท้ายที่เธอนั่งนิ่งตากฝนแบบนี้มันนานแสนนานมาแล้ว วันนั้น...วันที่เธอนั่งอยู่ข้างทางหลังจากไปพบกานต์ที่หน้าอาคารที่ทำงานของเขา วันที่สองขาไร้เรี่ยวแรง...พาตัวเองขึ้นรถประจำทางและเดินต่อจนถึงบ้านได้อย่างไรก็ไม่อาจจะทราบได้ ทุกอย่างมันด้านชาไปหมดแล้ว หลังจากบทสนทนานั่น

“พี่ยังลืมบัวไม่ได้นะอิน พี่ขอโทษสำหรับเรื่องราวที่ผ่านมา” ในวันนั้น...น้ำเสียงนุ่มเปล่งขึ้นพร้อมกับแววตาขอลุแก่โทษ

“ที่พี่กานต์ทำลงไปทุกอย่าง มันไม่มีความหมายอะไรเลยใช่ไหมคะ” หากช้าเกินไปเสียแล้ว ความเจ็บปวดมันแล่นขึ้นเป็นริ้ว ใครเล่า...จะห้ามใจไม่ให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อได้ยินคำพูดที่เป็นดุจคำตัดรอนนั้นได้

“มีสิ...อินเป็นน้องสาวที่น่ารักของพี่นะ และความรู้สึกนี้มันจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน”

น้ำเสียงนุ่มมั่นคงยังเปล่งออกมาเรื่อยๆ หากอินทนิลไม่สามารถจับใจความสำคัญต่อจากนั้นได้อีกแล้ว น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย ไหล่กลมกลึงที่เคยตั้งตรงอย่างทระนงลู่ลงราวกับมีน้ำหนักมหาศาลกดทับอยู่ เสียงสะอื้นจากผู้หญิงที่เคยเป็นที่ยอมรับในสังคมว่าเข้มแข็งที่สุดดังขึ้นมากลบทุกสิ่งทุกอย่าง ช่วยไม่ได้ที่คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามจะมีท่าทีหวั่นไหว เธอไม่เคยร้องไห้มากมายขนาดนี้มาก่อนเลย

“ถ้าพี่กานต์ยังลืมบัวไม่ได้ พี่จะมาทำดีกับอินทำไม อินไม่ใช่ของเล่น อินไม่ใช่ศาลาพักร้อนริมทางที่พี่จะแวะมาพักเมื่อไหร่ก็ได้ พอแข็งแรงดีแล้วก็จากไปโดยไม่เหลียวแลสักนิด” คำพูดเชิงตัดพ้อที่เปล่งออกไปนั้นคงทำร้ายจิตใจคนฟังได้มากพอดู เพราะสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที

“อิน มันเร็วเกินไปที่พี่จะลืมเรื่องราวระหว่างพี่กับบัว พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อินเข้าใจผิด พี่ขอโทษที่วางตัวสนิทสนมกับอินมากเกินไป แต่พี่ขอยืนยันว่าไม่เคยคิดร้ายกับอิน ไม่เคยคิดหลอกลวงอินเลยแม้แต่น้อย และพี่ก็หวังว่าวันหนึ่งอินจะเข้าใจในสิ่งที่พี่พูดวันนี้”

ใช่...เธอเข้าใจเขาดี เพราะในวันนี้เธอก็ไม่สามารถเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครได้อีก แม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะทุ่มเทความพยายามมากสักเพียงไหน คงไม่ต่างอะไรกับกานต์ในวันนั้นนั่น วันที่หัวใจของเขาไม่มีที่ว่างสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เธอทุ่มเทให้เขามากมายเหลือเกิน

“อิน...แกต้องลืมเขาให้ได้ ผู้ชายดีๆ ไม่ได้มีแค่คนเดียวนะเว้ย...แกมองคนอื่นบ้างสิ คนที่มาชอบแกก็มีตั้งมากมาย” เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเธอบอกเอาไว้

“แกจะเครียดไปทำไม ฉันไม่ได้รักเขาอีกต่อไปแล้ว เขาไม่รักก็ไม่เป็นไร เซย์ กู๊ดบายกันไป ไม่ซีเรียส” อินทนิลตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ใส่ใจ หากผู้เป็นเพื่อนรู้ดี...อินทนิลชอบแสดงออกว่าตัวเองเข้มแข็ง แต่ที่จริงแล้ว เธอกำลังเจ็บปวดอย่างเหลือแสน แผลที่เกิดขึ้นภายนอกสามารถเยียวยารักษาได้ไม่ยากนัก แต่แผลที่หลบซ่อนอยู่ในที่ที่ตัวเองและคนรอบข้างไม่เห็น อาจจะกลายเป็นแผลเรื้อรังที่ไม่มีวันรักษาหายได้

“ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขาแล้วจริงๆ นะแพม เชื่อสิ ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป”
อินทนิลพร่ำบอกตัวเองอย่างนั้นทุกวัน จวบจนกระทั่งวันนี้ วันที่เธอโยนเรื่องราวเก่าๆ ทิ้งไปเหมือนเศษกระดาษ ลาออกจากงาน แล้วข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลถึงแดนผู้ดีเพื่อเรียนภาษาและศึกษาต่อในระดับปริญญาโท อากาศของประเทศอังกฤษหนาวเย็นยะเยือกจับใจ หากความหนาวเย็นกลับไม่อาจทำให้เธอกลับมามีความรู้สึกร้อน หนาว รัก หรือ ชัง ได้อีกเลย
จากวันนั้นเธอกลายเป็นอินทนิลคนใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ ทำกิจกรรมเป็นบ้าเป็นหลังไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาการหรือการบันเทิง เปิดตัวเองสู่โลกกว้างและสังคมใหม่ด้วยความมั่นใจในทุกย่างก้าว และก็ไม่เป็นที่ผิดหวังของตนเองและคนรอบข้าง ดาวดวงเด่นอีกดวงปรากฏขึ้นแก่สายตาคนที่เผ้ามอง

เธอทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นก็เพียงแต่เปิดใจให้ความรักอีกครั้ง ก็ดีแล้วนี่...ดวงใจที่มีความรัก คือดวงใจที่อ่อนแอ อินทนิลบอกกับตัวเองอย่างนั้น เพราะเธอก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร อย่างน้อย...กานต์ก็ไม่เคยโผล่กลับเข้ามารบกวนเธอในความทรงจำอีกเลย นับจากวันที่เธอบอกตัวเองให้หยุดคิดถึงเขา

แน่นอน ผู้หญิงอย่างอินทนิลควบคุมได้ทุกอย่าง...แม้กระทั่งความรู้สึกของตนเอง

ฝนหยุดตกแล้ว อินทนิลเดินออกมาจากในสวนด้วยเสื้อผ้าที่แทบจะไม่เปียกปอน ฝนอังกฤษก็เป็นแบบนี้แหละ จะทำอะไรได้มากกว่าสร้างความเปียกชื้นน่ารำคาญ ไม่เหมือนพายุฝนในประเทศไทยที่ตกทีไรก็ทำเอาลำบากกันไปเป็นแถบๆ ดวงตาคมคำขลับหยุดอยู่ที่บนถนนสายที่อยู่ไม่ห่างออกไปมากนัก สาวน้อยวัยยังไม่ถึงยี่สิบดีวิ่งกระหืดกระหอบสวนทางมาด้วยท่าทีเร่งรีบ หากเจ้าตัวก็ยังอุตส่าห์ส่งยิ้มเซียวๆ มาให้ เมื่อพบว่าเดินสวนกับคนรู้จักคุ้นเคยกัน

“พี่อิน สวัสดีค่ะ”

“หวัดดีจ้า เป็นอะไรรึเปล่าใบตอง ท่าทางเหนื่อยๆ”

“เหนื่อยจริงๆ ล่ะค่ะพี่อิน กำลังกลุ้มใจเลย พี่รำอะไรได้บ้างไหมคะ เรากำลังจะมีงานไทยไนต์เดือนหน้าแล้วค่ะ ตอนนี้ยังจัดสรรการแสดงไม่ค่อยลงตัวเลย” ใบตอง ประธานสมาคมนักเรียนไทยในมหาวิทยาลัยแห่งนี้เอ่ยถามด้วยความร้อนใจ

“แล้วใบตองคิดจะทำอะไรบ้างล่ะจ๊ะ บอกพี่มาสิ เดี๋ยวพี่ช่วยวางแผนก็ได้”

“คงไม่คิดจะทำอะไรยากๆ หรอกค่ะ กะว่าจะจัดการแสดงชุดรำหรืออะไรที่เป็นศิลปะวัฒนธรรมสัก 3-4 ชุด หลังจากนั้นก็มีร้องเพลง เล่นดนตรี เต้นประกอบเพลงสมัยใหม่ ตามความสามารถของคนในชมรมเรา แล้วก็มีละครสั้นเรื่องหนึ่งด้วย ความจริงก็มีนักแสดงแล้วล่ะพี่ เพียงแต่ว่าต่างคนต่างก็อิดๆ ออดๆ ยังไม่ได้เริ่มซ้อมกันเท่านั้นแหละ ใบตองกลุ้มใจจังเลย พี่อิน” สาวน้อยยกมือขึ้นกุมศีรษะ อินทนิลเผยยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

“เหลือเวลาอีกตั้งเยอะ พี่รำสาวไหมได้ เดี๋ยวพี่ช่วยรำให้หนึ่งชุดก็แล้วกัน ส่วนที่เหลือเดี๋ยวไปช่วยดูให้”

“จริงเหรอคะ เยี่ยมไปเลย ตอนนี้ใบตองคิดว่าจะให้มีรำมวยไทย เซิ้งสวิง กับฟันดาบน่ะค่ะ แต่หาคนรำเก่งๆ มาสอนไม่ได้ กลุ้มใจจัง ต้องมาช่วยกันแกะท่าทางจากวิดีโอเอา”

“เดี๋ยวพี่ช่วยดูให้ได้บางชุดนะ พี่พอจะรำดาบกับเซิ้งสวิงได้ ส่วนมวยไทยนี่คงต้องขอบาย” อินทนิลแย้มริมฝีปากออกนิดๆ เป็นเชิงยิ้ม

“เยี่ยมไปเลย พี่อินช่วยมาดูพี่ๆ น้องๆ เขาซ้อมกันด้วยได้ไหมคะ พี่อินแสดงเก่ง ร้องเพลงเก่ง เผื่อว่าจะช่วยคอมเม้นต์ให้นักแสดงได้บ้าง” คราวนี้ประธานชมรมนักเรียนไทยส่งน้ำเสียงตื่นเต้นออกมาทันที

“ได้สิ เมื่อไหร่ล่ะจ๊ะ” ใครเล่าจะปฏิเสธผู้มีดวงดาวพราวระยับในดวงตาเช่นนี้ได้ ใบตองมีทั้งความเป็นเด็ก สดใส เปี่ยมไปด้วยประหายแห่งความฝัน และพลังแห่งการมองโลกในแง่ดี เธออดที่จะรู้สึกเอ็นดูสาวน้อยคนนี้ไม่ได้ ใครหนอ...จะอยากให้ดวงดาวเหล่านี้ต้องหม่นแสงลง

“วันเสาร์หน้าค่ะ มาได้ไหมคะ”

“ได้สิจ๊ะ ไว้เจอกัน เดี๋ยววันนี้พี่ไปเลกเชอร์ก่อนนะ”

อย่างน้อย...ก็ยังมีกิจกรรมมาให้ทำ ไม่ต้องปล่อยให้อยู่ว่างจนฟุ้งซ่าน วิถีชีวิตแบบนี้ก็น่าพอใจแล้วไม่ใช่หรือ การเรียนไม่น้อยหน้าใคร กิจกรรมเป็นเลิศ แล้วอินทนิลจะต้องวอนขออะไรกันอีกเล่า เท่านี้ก็ออกจะเกินพอแล้วสำหรับชีวิตผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งอย่างเธอ

“5-6-7-8 น้องแก้มทางขวาสุด บิดแขนให้มากกว่าเดิมได้มั้ยคะ จะได้ดูเต็มที่ ยิ้มด้วย ยิ้มหวานๆ ใช่ค่ะ อย่างนั้นแหละค่ะ สวยมาก ดีมากๆ เลย...” อินทนิลร้องสั่งเด็กๆ ที่กำลังซ้อมเต้นประกอบเพลงฮิตร่วมสมัยด้วยท่วงท่ากระฉับกระเฉงก่อนที่จะหันหลังกลับมายังกลุ่มคนที่กำลังวุ่นวายกันอยู่เบื้องหลัง “เดี๋ยวเซิ้งสวิงเตรียมตัวนะคะ หลังพัก ขอพี่ดูก่อนรอบหนึ่ง”
ร่างโปร่งบางในเสื้อผ้าทะมัดทะแมง รวบหางม้าดูกระฉับกระเฉง สั่งการอย่างคล่องแคล่ว ใบตองหยุดยืนมองแล้วยิ้มกว้างด้วยความพอใจ

“พี่อิน พักทานของว่างก่อนไหมคะ เดี๋ยวปอเปี๊ยะที่ใบตองทอดมาจะเย็นหมด ยำวุ้นเส้นก็จะชืดไป เดี๋ยวค่อยซ้อมต่อก็ได้ นี่ก็เข้าที่เข้าทางมากแล้วพี่ ”

“โอเค” ร่างบางหันไปร้องตะโกนบอกน้องๆ ที่กำลังขะมักเขม้นกับการซ้อมรำ “พักก่อนก็แล้วกันจ้ะ เด็กๆ พี่ใบตองทำอาหารมาเลี้ยง รีบกินเร้ววว เดี๋ยวจะหมดก่อน” เหล่านักศึกษาต่างกรูกันเข้ามาที่ถาดสี่เหลี่ยมและชามเปลใบใหญ่โดยไม่ต้องรอให้เรียกซ้ำ ผู้แสดงฝีมือประกอบอาหารยิ้มแก้มปริด้วยความชื่นใจ แจกช้อนส้อมพลาสติกและจานกระดาษแก่นักแสดงด้วยท่าทีรื่นเริง

“ดีจังเลยค่ะ พี่อิน วันนี้ซ้อมได้ก้าวหน้ามาก เดี๋ยวเราจะได้ลองซ้อมรายการดนตรีต่อเลย เอ๊ะ...คงซ้อมไม่ได้สิ นักร้องไม่มาสักคนเลยวันนี้ มีแต่พี่อิน” สาวน้อยเริ่มขมวดคิ้ว “ว้า...อุตส่าห์ลากนักดนตรีมาได้ ยิ่งคิวเต็มๆ อยู่ด้วย”

“ไม่เป็นไร วันนี้พี่ซ้อมคนเดียวก็ได้ วันหลังจะได้เปิดโอกาสให้คนอื่นซ้อมได้เต็มที่” อินทนิลตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส วันนี้อากาศดีจนผิดปกติ แสงแดดส่องสว่างแม้ว่าจะมีเมฆขาวประปรายบนฟ้าอยู่บ้าง ใบไม้หลากสีเรียงรายบนสนามหญ้าน่ามอง อารมณ์ผู้คนก็เลยพลอยแจ่มใสไปด้วย เมื่ออยู่ในประเทศที่อากาศหม่นมัวอยู่เป็นนิจ ความสดใสเพียงนิดเดียวก็ช่างมีอิทธิพลต่อจิตใจอย่างเหลือเชื่อ “ว่าแต่ใบตองไปลากเอามือกีตาร์ที่ไหนมาล่ะ”

“รุ่นพี่ปริญญาโทของมหาลัยเพื่อนบ้านเราเองค่ะ” ประธานชมรมสาวเอ่ยนามมหาวิทยาลัยชื่อดังในลอนดอนอีกแห่ง “ใบตองไปเยี่ยมเพื่อนที่อยู่หอพักเดียวกันกับเขาน่ะ เห็นเขากำลังนั่งเกากีตาร์ทำท่าซึ้ง ฝีมือเข้าตากรรมการเลยลากตัวมาใช้งาน เอ๊ย...เชิญตัวมาแสดงฝีมือเลย เอ้า มาโน่นแล้ว เดี๋ยวไปเรียกตัวมาก่อนนะคะ พี่คะๆ ทางนี้ค่ะ ยู้ฮู” ใบตองวิ่งไปในทิศทางที่ต้องการพลางยกมือขึ้นป้องปากพลางตะโกนเรียกชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อแจ็คเก็ตสีดำที่หิ้วกีตาร์มาด้วย

“สวัสดีจ้ะใบตอง พี่ขอโทษ มาสายไปหน่อย” เสียงทุ้มนุ่มตอบขึ้นมา

“ไม่สายหรอกค่ะ พอดีเลย ถ้ามาก่อนก็ต้องมารอการแสดงชุดอื่นๆ มาได้จังหวะตอนนี้ อีกสักพักก็เริ่มซ้อมเพลงได้แล้วล่ะ”

“เหรอ โล่งอกไปที” มือเล็กเรียวชะงักกึก แม้ว่าจะก้มหน้าตักอาหารอยู่ หากน้ำเสียงนุ่มของคนที่เพิ่งเดินมาถึงโต๊ะตัวใหญ่หลังห้องสะกิดใจอินทนิลเข้าอย่างจัง น้ำเสียงที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดีจนต้องเงยหน้าขึ้นมองที่มาแห่งเสียงนั้น เพื่อที่จะพบว่าโลกใบนี้...ไม่ได้กว้างใหญ่อย่างที่เธอคิดเลย

ตาสบตา...นิ่งงัน ดวงตาคู่ที่เธอเคยเห็นมาจนเจนตาเจนใจก็มองตรงมาแน่วแน่ไม่ต่างกัน เป็นเวลาสองสามวินาทีเท่านั้น แต่เธอช่างรู้สึกว่ามันยาวนานนัก

“พี่กานต์” น่าแปลกใจนักที่เสียงที่เปล่งออกไปราบเรียบ ไม่มีร่องรอยอะไรมากไปกว่าความประหลาดใจจนฟังดูราวกับว่าเธอไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเจ้าของชื่อที่เคยเรียกจนติดริมฝีปากอีกต่อไป

แต่คิดดูอีกที...ก็ไม่แปลกนักหรอก ก็เธอลืมความเจ็บปวดเก่าๆ ได้หมดสิ้นแล้วจริงๆ ไม่ใช่หรือ
“อิน” แต่น้ำเสียงของคนที่ตอบกลับมากลับมีทั้งความประหลาดใจที่เจือกระแสยินดีเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากหยักได้รูปแย้มออกจนปลายเป็นรอยยิ้มเปิดเผย “อินมาเรียนต่อที่นี่เหรอ”

“ค่ะ อินเพิ่งจะเริ่มเรียนโทที่นี่ได้ไม่นาน แต่มาเรียนภาษาที่นี่นานพอสมควรแล้วล่ะ”

“พี่ไม่รู้เลย ว่าอินลาออกจากงานที่ทำ”

“แหม...จะรู้ได้ยังไงล่ะพี่ ก็อินไม่ได้บอกใครเท่าไหร่ เพื่อนของอินบางคนยังไม่รู้เลย...” ริมฝีปากได้รูปแย้มออกจนเป็นรอยยิ้ม

“อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง จะได้นัดเจอกันบ้างนะ”

“ก็ดีค่ะ อินไม่ได้เจอกับเพื่อนเก่ามานานมากแล้ว มีอะไรก็จะได้เล่าสู่กันฟัง” อินทนิลรู้สึกแปลกใจนักที่เธอไม่ได้มีท่าทีหวนอาลัยหรือเสียดายกับอดีตอันแสนหวานดังที่คิดว่าควรจะเป็นเมื่อได้พบกันอีกครั้ง เธอสงบนิ่งมากกว่าที่คิด คงเป็นเพราะในวันนี้...ระหว่างคนสองคนเหลือเพียงแค่ความปรารถนาดีในแบบพี่ชายน้องสาวเท่านั้น

“อะแฮ้ม...รู้จักกันมาก่อนแล้วเหรอคะ” ใบตอง ผู้ซึ่งเริ่มรู้สึกว่าตนเองจะหลุดออกไปจากบทสนทนาขัดขึ้นเบาๆ “ดีเลย จะได้ซ้อมได้เข้าขากัน”

“แน่นอน เราเคยร้องเพลงด้วยกันบ่อยๆ แล้วด้วยจ้ะ” กานต์เอ่ยขึ้นยิ้มๆ

“จริงเหรอ” ใบตองขึ้นเสียงสูงด้วยความตื่นเต้น “งั้นเราโชว์เพลงคู่ดีไหมคะ ใบตองว่ามันน่าสนใจกว่า”

“ไม่เอาดีกว่าใบตอง พี่กานต์น่ะเขาถนัดเล่นอย่างเดียวจ้ะ ร้องไม่ได้เรื่องหรอก พลังเสียงมันผิดกัน” อินทนิลทำท่าทีเกทับทันที

“ใครบอกว่าพี่ร้องไม่เพราะ ทุกทีที่ยอมให้ร้องก็เพราะเห็นว่าอยากร้องล่ะน่า” ก่อนที่เรื่องจะลุกลามเป็นการทะเลาะกันเล็กๆ ใบตองก็ตัดบทเสียก่อน

“ค่ะๆ ๆ เก่งทั้งคู่แหละค่ะ ใบตองเห็นฝีมือมาหมดแล้ว ไว้เราค่อยลองปรับรายการเพลงกันดู ตอนนี้กินกันก่อนค่ะ เดี๋ยวจะได้ซ้อมกัน”

สิ่งที่ราวกับจะถ่วงใจให้หนักอึ้งอยู่เสมอคล้ายจะเบาบางลง เมื่อได้พบ ‘โจทก์เก่า’ อีกครั้งในวันนี้... อินทนิลก็ได้รู้ว่า ตนเองไม่ได้แบกเอาความเจ็บปวดไว้ในใจดังที่เคยคิดว่าจะเป็น เธอก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเรื่องในวันเก่ามันจบลงไปแล้ว เธอสามารถพูดจากับเขาได้เป็นปกติราวกับว่ากำลังคุยกับ ‘เพื่อน’ คนหนึ่งได้อย่างสนิทใจโดยที่ไม่มีอาการ ‘อกหัก ช้ำรัก’ หลงเหลืออยู่เลย ในที่สุดก็มีวันนี้...วันที่เธอปลดปล่อยให้ใจเป็นอิสระได้อย่างแท้จริง ช่วยไม่ได้ที่เธอจะรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว

อย่างน้อย...เราก็ยังเป็นเพื่อนกันนะคะพี่กานต์...หญิงสาวบอกตัวเองในใจ

บรรยากาศหม่นเทาเริ่มคืบคลานเข้ามาสู่มหานครลอนดอนและสหราชอาณาจักร ท้องฟ้าเริ่มถูกปกคลุมด้วยเมฆสีเทาครึ้มอยู่เป็นนิจ ใบไม้ที่แห้งกรอบกระจายอยู่บนทางเท้า บ้างก็ปลิวไปมาเมื่อมีผู้คนเดินผ่าน หากเจ้าตัวปล่อยให้บรรยากาศสภาพแวดล้อมเข้ามามีอิทธิพลเหนือความรู้สึก ความเหงากลางฝูงชนก็อาจจะคืบคลานเข้ามาครอบคลุมหัวใจของผู้คนได้ง่ายๆ
ทางด้านของอินทนิลนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับสภาพอากาศนัก เพราะเธอก็ต้องผจญกับบรรยากาศเก่าๆ ที่กำลังเริ่มคืบคลานและรุกรานเข้ามาในชีวิตและกำลังจะทำลายระบบเดิมๆ ที่เธอตั้งเอาไว้จนหมดสิ้น

“อินว่างหรือเปล่า ไปกินไอติมกันมั้ย พี่เลี้ยงเอง”

“ไม่เอา อินควบคุมอาหารอยู่”

“จะคุมไปทำไม...ผอมมากๆ เดี๋ยวก็ปลิวลมหรอก ยึดติดอะไรกับแฟชั่นมากมาย ของฟรีๆ นานๆ ทีจะมีหนนะ”

...แล้วในที่สุดเธอและเขาก็นั่งประจันหน้ากันที่ร้านไอติมอิตาเลียน แม้เธอจะบ่นงึมงำแค่ไหน คนชวนก็ยังทำหน้ายิ้มระรื่น ดวงตาเจ้าเล่ห์ฉายประกายวิบวับปนกับความขำ เมื่อเห็นว่าคน ‘ควบคุมอาหาร’ เป็นคนเลือกเมนูด้วยตัวเองและจัดการเสร็จก่อนเขาเสียอีก

“ไปเดินเล่นริมแม่น้ำกันมั้ย วันนี้แดดกำลังดีเลย ช่วงนี้นานๆ จะมีแดดเสียทีนะ ต้องรีบตักตวงความสุข”

“ไม่เอา อินจะทำรายงาน”

“นั่งหน้าคอมมากๆ สายตาเสียแย่...พักผ่อนสายตาก่อนนะ”

...แล้วในที่สุด อาหารมื้อเย็นวันนั้น ก็คือเครปร้านอร่อย ร้านโปรดของอินทนิล และสถานที่นั่งกินคือเก้าอี้ยาวริมแม่น้ำเทมส์ ท่ามกลางแสงสุดท้ายของวันที่เริ่มอ่อนลงจนไฟสีเหลืองอำพันจากเสาไฟที่ตั้งเรียงรายริมแม่น้ำกลบจนหมดสิ้น

นี่ยังไม่นับคำชวนอื่นๆ ที่เธอสุดจะปฏิเสธได้อีกหลายต่อหลายครั้ง อินทนิลรู้สึกขัดใจยิ่งนัก ที่กานต์กำลังทำให้เธอกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเด็กวัยรุ่นอีกครั้ง ชีวิตที่มีแต่กิจกรรม รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความเบิกบาน แต่เอาเถิด...นานๆ เธอจะได้พบกับ ‘เพื่อนเก่า’ เสียที

“เจอร้านติ่มซำร้านใหม่ สนใจจะไปลองด้วยกันรึเปล่า”

“ช่วยพี่เลือกซื้อของขวัญส่งไปให้แม่หน่อยสิอิน พี่เลือกผ้าพันคอให้ผู้หญิงไม่เป็น”

“มาซ้อมร้องเพลงกันเถอะ พรุ่งนี้ยายใบตองจะมาตรวจสอบผลงานแล้ว เดี๋ยวฝีมือตก โดนเด็กนินทาแย่เลย”

เมื่อได้พบหน้ากานต์เสียครั้งหนึ่ง โอกาสที่จะพบหน้าเขาในกาลต่อไปก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และก็ดูเหมือนว่าเหตุผลในการพบกันที่เขาเพียรสรรหามานั้นจะมีมากมายร้อยแปดประการ จากที่ได้พบหน้ากันสัปดาห์ละครั้งเมื่อถึงเวลาฝึกซ้อมดนตรีเตรียมการแสดง ก็กลายเป็นสัปดาห์ละหลายครั้ง ร่างสูง ท่าทีง่ายๆ สบายๆ คำพูดหยอกเย้าแบบไม่มากไม่น้อยเกินไป รอยยิ้มนิดๆ บนใบหน้าคมที่ทำให้ฟ้าหม่นๆ กระจ่างขึ้นมาทันที เริ่มกลายเป็นสิ่งที่อินทนิลเริ่มกลับมาคุ้นเคยอีกครั้ง ทั้งที่เธอไม่ได้เต็มใจเลยแม้แต่น้อย

ความเจ็บปวดที่เคยประสบมา...มักถูกเคลือบเอาไว้ด้วยความหวานเสมอ
ยิ่งหวานเท่าไร ยิ่งสุขมากเท่าไร...ลงท้าย ความเจ็บปวดทบเท่าทวีคูณ

“ฉันว่าแกจะใจอ่อนอีกครั้งแหละ อินเอ๊ย” แพม เพื่อนสนิทของเธอเอ่ยขึ้นมาระหว่างที่จิบชาอยู่ด้วยกันระหว่างคาบเรียน

“ไม่หรอก ฉันก็แค่ไปไหนมาไหนกับเขาเพราะสงสาร เขายังไม่ค่อยมีเพื่อนที่นี่เลย”

“แล้วเขาจะไม่มีเพื่อนที่มหา’ลัยเลยเหรอ คณะก็ออกจะใหญ่ แถมยังพักหอพักที่มีนักเรียนเป็นร้อยๆ คนอีก ตอนฉันไปเยี่ยมเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกับพี่กานต์ ก็ออกจะเห็นพี่ชายร่วมโลกของแกมีเพื่อนฝูงมากมายเอาการอยู่ แต่ไม่รู้ว่าทำไม้ ทำไม ตกวันหยุดสุดสัปดาห์ทีไรพี่ท่านกลับกลายเป็นคนไร้เพื่อน ต้องชวนแกไปไหนมาไหนด้วยทุกครั้ง”

“คิดมาก...แก่ไวนะยะ”

แม้จะรู้ว่าที่เพื่อนพูดก็มีเหตุผล หากอินทนิลก็ไม่ได้หาโอกาสปลีกตัวออกห่างจากเขาแต่อย่างใด อย่างน้อยเธอก็อยู่ในประเทศนี้มานานกว่ากานต์ การช่วยนำทางหรือให้ความช่วยเหลือนิดหน่อยนั้นมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอะไร หากความใกล้ชิดย่อมทำให้เกิดความเคยชิน ดังนั้น...จึงดูเหมือนว่ากานต์จะผูกเธอเข้าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเขาไปเสียแล้ว ดังเช่นวันนี้...

“อยากไปดูซากไดโนเสาร์ที่พิพิธภัณฑ์หน่อย ไปด้วยกันมั้ยอิน”

“ไม่เอา...อินตั้งใจจะไปวาดภาพที่ไฮด์ ปาร์ค” อินทนิลค้านขึ้นมา

“ใกล้กันนิดเดียวเอง ไปพิพิธภัณฑ์กันก่อนเถอะ แล้วค่อยไปวาดภาพต่อ”

“โหย...ไม่ทันหรอก พี่กานต์ อินใช้เวลาวาดนาน”

“แต่พี่ก็คงดูไม่นานมากหรอก ไปด้วยกันหน่อยนะ นะคะ เดี๋ยวพี่ไปนั่งวาดรูปเป็นเพื่อน” น้ำเสียงออดอ้อนแบบที่เธอไม่เคยได้ยินมานานแสนนานเหลือเกินทำให้ใจกระตุกวูบหนึ่ง อินทนิลถอนหายใจยาวแล้วก็ใจอ่อนตอบตกลงอย่างง่ายดาย ก็แค่ไปเดินเที่ยวเล่นกับเพื่อนคนหนึ่งดังเช่นทุกทีเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย

(ไว้ต่อวันหลัง - จะมีคนหลงผิดคิดมาอ่านมั้ยเนี่ย -_- )

5 ความคิดเห็น:

Heathrow :D กล่าวว่า...

ว๊าก อ่านมาตั้งนาน หลงผิดเหรอเนี่ย T_T อ่านไม่จบ ไว้มาอ่านต่อนะครับ

Gift waidhaya กล่าวว่า...

อ้าว นึกว่าจบ = ='

Nitikarn Pinmuang-ngarm กล่าวว่า...

ขนาดบอกว่าไม่มีอะไรลง ยังมีเรื่องสั้น อิอิ

a mossy กล่าวว่า...

อันนี้สั้นแล้วเหรอ..... =)

Yim S. กล่าวว่า...

พี่คูณ: ก็มีสต๊อกถึงจบค่ะ น่าจะอีก 2 ตอนแหะๆ

พี่กิฟ: มีๆ เดี๋ยวลงจนจบ (อันนี้สต๊อกสุดท้ายจริงๆ แหะๆ )

พี่ปุณ: ฮ่าๆ ก็ว่าจะเก็บไว้ แต่ดันโดนเพื่อนๆ ทิ้งไปเที่ยวนอกบ้านหมด เลยรีไรท์มันเสียเลยหลังจากงานเสร็จไปตัวนึง

พี่ยุง: แหะๆ สั้นแย้ววว ^ ^