วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550

จะเก็บใจใส่ห้วงฝัน...เมื่อวันวาน III

Rating:★★★
Category:Other
“อะไรนะ แล้วแกก็บอกให้ยายน้องใบตองเอาของไปให้พี่กานต์งั้นเหรอ” เสียงแพมขึ้นสูงอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมไม่มีเทคนิคอะไรบ้างเลย ก็บอกไปดิว่า
’พี่กานต์มีแฟนแล้ว’ หรือไม่ก็
‘ยังไม่มีค่ะ แต่พี่กานต์เขาไม่ชอบเด็กๆ หรอก’ หรือไม่ก็
‘พี่เห็นพี่กานต์เดินกับผู้หญิงสาวสวยอยู่บ่อยๆ’ โธ่เอ๊ย แก่จนเรียนปริญญาโทแล้วนะยะ หัดมีลูกล่อลูกชนบ้างสิ”

“ไม่เอา จะให้โกหกหรือไง อย่างใบตองน่ะ ผู้หญิงในอุดมคติของเขาชัดๆ ถ้าเขาลงเอยกันก็ดี” อินทนิลนั่งเกยคางกับระเบียงห้องพักของแพม นัยน์ตามองเหม่อ

“เฮ้อ...แล้วพี่กานต์รับของจากน้องเขามั้ย”

“ก็ต้องรับสิ ถ้าไม่รับก็เสียมารยาท เสียน้ำใจน้องเขา”

“แล้วแกก็มานั่งเศร้าเองเพราะดันทำนิสัยนางเอกงั้นเหรอ ยายอินเอ๊ยยยยย สมัยนี้ใครดีใครได้ มือใครยาวสาวได้สาวเอา จะรอให้ผู้ชายมาเลือกผู้หญิงเหมือนเลือกสินค้าแบบนั้นน่ะ ไม่ได้แล้ว”

“ก็ถ้าเขามีทางเลือกที่ดีกว่าล่ะ”

“แล้วแกจะรู้ได้ไง ว่าคุณน้องใบตองจะเข้ากับเขาได้ดีกว่าแก” มีแต่เสียงถอนหายใจอย่างคนกลัดกลุ้มเต็มที่เป็นคำตอบ “เฮ้ออออ ถ้าแกไม่สู้เอง ฉันก็ไม่รู้จะช่วยยังไงได้ สงสัยอยู่อย่างหนึ่งน่ะซี้...เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วพ่อคนกลางจะรู้ตัวบ้างไหม ว่าทำให้ใครกลุ้มใจทำให้ใครเพ้อฝันไปถึงไหนต่อไหน” แพมบ่นขึ้นด้วยความรู้สึกขัดใจ อินทนิลเหยียดริมฝีปากออกจนเกือบเหมือนรอยยิ้มแค่น

ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ...กานต์ไม่ใช่คนโง่ แต่เธอไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงไม่พูด ครั้นจะให้เธอเป็นฝ่ายพูดก่อน เริ่มก่อน เธอก็ทำไม่ได้ ก็เลยต้องมานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจอย่างในวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่าทีของเขา รอยยิ้ม กำลังใจ คำพูดแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย แววตาพราวระยับ ทุกๆ อย่างมันชวนให้คิดไปในทางบวก แต่ในเมื่อมันไม่มีคำพูดมาเป็นหลักฐานยืนยัน เธอเองก็ไม่อยากจะหลอกตัวเองให้หลงระเริงไปกับวิมานในอากาศอันสวยหรูนี้อยู่เรื่อยไป เพราะครั้งหนึ่ง...วิมานมันเคยล่มลงมาแล้วเพราะคำพูดที่บ่งบอกความในใจเพียงประโยคเดียวของเธอ

กลางฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่หม่นเศร้าที่สุดในบรรดาสี่ฤดูของประเทศอังกฤษ อุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศาทำให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเดินอย่างรีบเร่งเพื่อให้ไปถึงจุดหมายโดยพลัน หากวันนี้อินทนิลเดินเอื่อยๆ ปล่อยให้ลมหนาวค่อยๆ เลาะเข้าไปตามตะเข็บเสื้อโค้ตขนสัตว์ตัวยาวกันหนาว

อยากให้ความเย็นทำให้หัวใจของเธอกลับไปเป็นเจ้าหญิงน้ำแข็งเหมือนเดิม จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอย่างทุกวันนี้ นับตั้งแต่วันงาน กานต์ก็ค่อยๆ ห่างหายออกไปจากชีวิตของเธอทีละนิดๆ พร้อมกันกับที่ใบตองเริ่มโทรศัพท์มาปรึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับชายที่ตนพึงใจบ่อยขึ้นทุกทีๆ สถานการณ์อันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่อยากพบเจอเลย...แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่นานที่ผ่านมานี้หลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดราวกับน้ำหลาก

“แกทนได้ยังไงวะ” แพมโวยวายขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง

“ไม่เห็นต้องทนอะไรเลย มันเลี่ยงไม่ได้นี่ ถึงเวลาเจ็บก็ต้องเจ็บ” เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงขื่น

“แล้วพี่กานต์ก็ห่างออกไปเพราะใบตองเข้ามาอย่างนั้นเหรอ”

“ก็ไม่เชิง ฉันก็เอาตัวออกห่างมาด้วยแหละ บางทีเขาโทรมาฉันก็บอกว่าไม่ว่าง” อินทนิลตอบไปด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก

“ทำอย่างนั้นทำไมเล่า” แพมครางด้วยน้ำเสียงขัดใจ “ความรู้สึกดีๆ ของเขากำลังจะขึ้นถึงช่วงสูงสุด ช่วงนั้นแกต้องรีบสานต่อ ถ้าปล่อยให้เวลาผ่านจุดนั้น ความรู้สึกของเขามันก็จะลดลง และโอกาสแกก็จะหมดไปนะ”

“แล้วจะให้ฉันทำยังไงกับใบตองเล่า น้องเขาโทรมาปรึกษาแทบจะทุกวัน จะให้ฉันทรยศน้องเขางั้นเหรอ” อินทนิลโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่มีความรู้สึกเจ็บปวดเจือลงไปด้วยเป็นครั้งแรกในบทสนทนา

“โธ่เอ๋ย ก็บอกเขาไปตรงๆ สิ ว่าแกชอบพี่กานต์ เคยชอบมานานแล้ว ไม่ได้เพิ่งมาชอบเดี๋ยวนี้ เด็กมันก็คงเข้าใจเองแหละ โตแล้ว เรียนถึงเมืองนอกเมืองนา ไม่น่าจะไร้เหตุผลนะ” แพมพูดยาวๆ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อมองเห็นตาแดงๆ และหยาดน้ำใสๆ ที่หลั่งออกมาจากตาคู่สวยของเพื่อนผู้ซึ่งเคยเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง “อ้าว เฮ้ย...อิน เป็นอะไรไปน่ะ” อินทนิลปล่อยโฮแล้วโผเข้ากอดเพื่อนสาวไว้ทันที

“ฉันเอาตัวออกห่างจากเขาก็เพราะว่าฉันเห็นกับตาว่าพี่กานต์เดินกับใบตองหลายครั้งแล้ว เขาคงไปด้วยกันได้ดี ดูเขาเหมาะสมกันมาก” เสียงสะอื้นฮักๆ ขัดขึ้นมาก่อนที่เธอจะมีโอกาสได้พูดจนจบประโยค “ฉันเหนื่อยเหลือเกิน รอต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ฉันเคยคิดว่าฉันลืมเขาหมดแล้ว แต่เอาเข้าจริง...แค่กลับมาเจอหน้าเขาอีกไม่นาน ความรู้สึกเดิมๆ มันก็กลับมาจนหมด แล้วครั้งนี้มันก็ไม่ได้ต่างจากครั้งก่อนเลย...เขาทำท่าเหมือนกับว่าจะมีใจ แต่ในที่สุดมันก็เป็นแค่อารมณ์เหงาที่พาเขามาจนถึงจุดนั้น สิ่งที่เขาทำมันไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งนั้น จากวันแรกที่เจอกันอีกครั้งมาจนถึงวันนี้มันจะสามเดือนแล้วนะแพม สามเดือนที่เขาทำท่าเหมือนจะมีใจ แต่ก็ไม่เคยพูด ไม่เคยบอกอะไรเลย” น้ำตาหลั่งไหลลงมาเป็นสาย

“เวลาเป็นปีๆ ที่ฉันต้องเสียความรู้สึกไป กับสามเดือนที่ฉันต้องทุกข์ทนกับความไม่แน่นอนมันเจ็บปวด...มันทรมานมาก ฉันจะเลิกยุ่งกับเขาแล้ว ฉันจะเลิกสนใจเขาจริงๆ”

“อิน...” แพมได้แต่ครางออกมาเบาๆ ด้วยความสงสารเพื่อน

“ฉันเจ็บมาก...มากจนไม่รู้จะพูดยังไง ถ้าไม่ตัดใจแต่วันนี้ วันหน้าฉันก็ต้องเจ็บเพราะเขาอีก ฉันคงทนไม่ได้แล้ว...”

“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยเขาไปนะอิน ปล่อยเขาไป ไม่เป็นไรหรอก แล้ววันหนึ่งแกก็จะพบกับคนที่รักแก คนที่เห็นคุณค่าของแกแน่ๆ แกทั้งสวย ทั้งเก่ง ขนาดนี้ ใครมองไม่เห็นมันก็ตาถั่วแหละวะ ถ้าพี่กานต์จะมองข้ามแกไปเลือกใบตองก็ปล่อยเขาไปเถอะนะ ซื่อบื้อขนาดนี้ก็ไม่คู่ควรกะแกแล้วล่ะ”

“ฉันคงต้องไปหาที่พักใจระยะใหญ่ๆ ล่ะแพม โชคดีที่ปิดเทอมตอนคริสต์มาสพอดี ” อินทนิลซับน้ำตาเบาๆ

“ก็ดี...ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ สักพัก เที่ยวให้เต็มที่ กลับมาจะได้เป็นอินที่เข้มแข็งเหมือนเดิม”

“ไม่เอา...อินคนเดิมมันเข้มแข็งแต่เปลือกนอก ฉันจะเป็นอินคนใหม่ ที่เข้มแข็งทั้งข้างนอกและข้างใน” คนพูดพูดทั้งน้ำตา

“เออ...จ้าๆ เป็นอะไรก็เป็นไป แต่อย่าเสียงานเสียการนะ แกต้องส่งงานตอนเปิดเทอมนี่นา” เพื่อนรักยังอุตส่าห์เตือนถึงเรื่องเรียนด้วยความหวังดี

“โอ๊ย...พูดถึงก็หมดอารมณ์เลย” อินทนิลยังซับน้ำตาป้อยๆ แต่ก็หัวเราะเบาๆ อย่างกึ่งขำกึ่งซาบซึ้งใจในความเป็นห่วงเป็นใยของเพื่อนรัก อย่างน้อยเธอก็ยังโชคดีที่มีเพื่อนดีๆ อยู่เคียงข้างเสมอ แม้ว่าจะไม่เคยสมหวังในความรักแบบหญิงชาย แต่เธอก็ไม่เคยอับจนความรักในด้านอื่น เพียงเท่านี้ก็ควรจะพอใจแล้วไม่ใช่หรือ...

ร่างสูงใหญ่โผล่ขึ้นที่มุมถนนในระยะกระชั้นชิด ภาพมัวๆ ของโครงร่างที่ไม่เข้าสู่สายตาในช่วงแรกเริ่มชัดเจนขึ้น จนอินทนิลที่มัวแต่เดินใจลอยคิดถึงคำพูดของเธอและแพมถึงกับผงะไป

“อ้าวพี่กานต์...สวัสดีค่ะ”

“….” มีเพียงความเงียบตอบกลับมา อึดใจใหญ่อีกฝ่ายถึงจะก้มศีรษะให้นิดๆ เป็นเชิงทักทาย

“อินจะไปสวิตเซอร์แลนด์นะคะ พี่กานต์อยากได้ของฝากอะไรมั้ย” อินทนิลจำต้องถามขึ้น เมื่อกานต์โผล่ออกมาจากร้านขายของข้างทางในระยะกระชั้นชิด และเธอไม่สามารถหลบได้ทัน

“ไม่อยากได้อะไรหรอก” น้ำเสียงที่ตอบมาเรียบสนิทพอๆ กับใบหน้า อินทนิลรู้สึกเจ็บหนึบที่หัวใจ ความอ่อนหวานในบรรยากาศที่ผ่านมามันคงหายไปหมดแล้ว บทจะจบลงก็จบลงอย่างง่ายๆ เพียงเท่านี้เอง “ไม่ได้เจอกันตั้งนานอินจะไม่ถามสักหน่อยหรือ ว่าพี่สบายดีไหม” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่างฟังดูห่างเหิน ไม่เหมือนกับน้ำเสียงสนิทสนมอบอุ่นที่เธอเคยได้ยินมาเกือบตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา

“ก็ท่าทางจะดูมีความสุขดีนี่นา วันก่อนก็เห็นเดินอยู่กับใบตองที่หน้าห้องสมุด” การตัดใจจากคนคนหนึ่งนั้นไม่สามารถทำได้เพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่ท้ายประโยคจะออกห้วนสั้นแกมสะบัดเสียงชอบกล

“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ” ท่าทางของกานต์ช่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลยจริงๆ อินทนิลเหลือบมองด้วยความรู้สึกปวดร้าว

“ก็ใบตองน่ะ ดูท่าทางคล้ายกับใยบัวจะตาย สเป็คของพี่กานต์ชัดๆ คนนี้อินแนะนำเลยนะ ใบตองแกน่ารัก สดใส อ่อนหวาน อยู่ด้วยแล้วสบายใจ” อินทนิลแกล้งทำน้ำเสียงสดใสเพื่อเป็นการประชดประชัน หากท่าทีนิ่งจนเป็นหินของคนตรงหน้ากลับทำให้เธอไม่กล้าพูดมากไปกว่านั้น ดวงตาดำนิ่งลึกราวกับบ่อน้ำที่ลึกที่สุด ลึกจนเธอหยั่งไม่ถึง

“อินคิดว่าพี่เหมาะสมกับใบตองเหรอ” กานต์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ก็เขาเหมือนใยบัว...แล้วเขาก็” อินทนิลยังไม่วายอ้างชื่อคนรักเก่าของเขา หากครั้งนี้กานต์กลับไม่รอให้เธอได้พูดจนจบประโยค

“เลิกพูดถึงใยบัวได้ไหม อิน” อาการนิ่งจนคนฟังรู้สึกได้ทำให้เกิดความกริ่งเกรงขึ้นมาวูบหนึ่ง การเข้าถึงจิตใจของกานต์นั้นทำได้ยาก และการเข้าถึงใจเขาในเวลาที่เขานิ่งจนดูเหมือนเฉยชาแบบนี้ ยิ่งยากยิ่งกว่าร้อยเท่าพันเท่า

“ขอโทษค่ะ” อดไม่ได้ที่จะแสดงความเสียใจ เขาคงจะยังลืมเธอคนนั้นไม่ได้ คงจะเจ็บปวดทุกทีที่เอ่ยถึง

“เรื่องของพี่กับใยบัวมันจบลงไปตั้งนานแล้ว” เป็นครั้งแรกที่กานต์ใช้น้ำเสียงแข็งขนาดนี้กับเธอ ความเงียบงันเข้าปกคลุมบรรยากาศรอบกาย อินทนิลหันหน้าไปทางอื่นด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ อยากหนีไปให้พ้นหน้าหากก็ทำไม่ได้ ทำไมนะ...ทำไมเธอถึงบังคับร่างกาย จิตใจ ให้ปฏิบัติตามสิ่งที่สมองสั่งไม่ได้เลยสักครั้งเวลาที่อยู่กับผู้ชายคนนี้

“พี่กานต์ พี่อิน” เรียงร้องเรียกอย่างแจ่มใสดังมาจากทางเบื้องหลัง “อยู่ที่นี่เอง คุยอะไรกันอยู่คะ ท่าทางเครียดเชียว” ใบตองวิ่งเหยาะๆ เข้ามาจนผมที่รวบไว้เป็นหางม้าแกว่งไกว ชายเสื้อโค้ตยาวพลิ้วไสว ราวกับเธอผู้นี้เดินเข้ามาพร้อมกับความร่าเริงและรอยยิ้ม เป็นตัวแทนแห่งฤดูร้อนอันสดใส ในขณะที่อินทนิลเองเป็นตัวแทนของฤดูหนาวสีเทา

“เรื่องเก่าๆ น่ะจ้ะ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก” อินทนิลเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“ใช่ ไม่สำคัญหรอก” กานต์ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกันนัก ใบตองเริ่มมองซ้ายที ขวาทีด้วยความสงสัย แต่ในเมื่อไม่มีใครพูดอะไร เธอก็หันไปหากานต์

“พี่กานต์คะ ตกลงจะไปเที่ยวออสเตรียกับใบตองแล้วก็เพื่อนๆ หรือเปล่า เราต้องสรุปจำนวนคนกับจำนวนวันแล้วนะคะ จะได้จองโรงแรม จองตั๋ว ทำหลักฐานไปยื่นขอวีซ่าให้ทันเวลา” ดวงตากลมโตจ้องมา รอคอยด้วยความหวัง กานต์กอดอกทำท่าครุ่นคิด ท่าทีเคร่งเครียดอย่างเมื่อครู่มลายหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“ไปสิคะ พี่กานต์ วันคริสต์มาสที่นี่เหงามากๆ ถ้าไม่มีที่ไปก็ลำบากแย่เลย เพราะร้านรวงอะไรก็ปิดหมด อาหารก็ต้องตุนเอาไว้”

อินทนิลหนุนขึ้นมา ไม่ใช่เพราะอยากผลักไสให้กานต์ไปกับใบตอง แต่เป็นเพราะเธอรู้สึกเป็นห่วงเขาจริงๆ หากเธอไม่อยู่ที่นี่และใบตองก็ยังไม่อยู่เสียอีกคน ใครจะคอยดูแลหรืออยู่เป็นเพื่อนเขากันเล่า...การใช้เวลาอยู่คนเดียวหรืออยู่กับคนที่ไม่สนิทในช่วงเทศกาลคริสตมาสในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนต่างก็เดินทางกลับไปอยู่กับครอบครัวจนร้านค้าต่างๆ ปิดสนิท บ้านเมืองเงียบเหงา ช่างไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยเลย เธอเคยเจ็บปวดกับมันมาแล้ว และก็ไม่อยากได้กานต์ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย

“ไปนะคะ พี่กานต์” ใบตองเขย่าท่อนแขนแข็งแรงเบาๆ ราวกับสาวน้อยรบเร้าให้พี่ชายตามใจ

“อินว่าพี่ไปดีไหม” กานต์หันมาหาอินทนิลเป็นเชิงหารือ

“ดีค่ะ อยู่ที่นี่ข้ามไปยุโรปใกล้นิดเดียว มีโอกาสก็น่าจะเที่ยวให้ทั่วๆ” ตอบแล้วก็ส่งยิ้มฝืนๆ ไปให้

“เอ้า...ไปก็ไป” กานต์ตอบตกลง แล้วแย้มริมฝีปากออกนิดๆ เป็นเชิงยิ้ม “ก็ดีนะ จะได้ไปเที่ยวเวียนนา อยากไปมานานแล้วล่ะ” อินทนิลพยายามฉีกยิ้มให้คนทั้งสองอย่างฝืนๆ เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว เธอจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงกานต์อีก และก็จะได้ตัดใจให้เด็ดขาดไปเสียที โดยอาศัยช่วงเวลาที่ต้องห่างๆ กันไปนี้เป็นระยะฟื้นตัว เสียงสนทนาหารือกันเรื่องการท่องเที่ยวต่างประเทศทำให้อินทนิลรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวราวกับจะเป็นไข้ ลมหนาวพัดมาอีกวูบใหญ่พร้อมกับความแห้งแล้ง ความแห้งแล้งที่พรากเอาชีวิตจิตใจของเธอไปจนหมดสิ้น หญิงสาวกล่าวลาทั้งคู่แล้วเดินจากมาช้าๆ ใบไม้แห้งปลิวระพื้น น้ำตาค่อยๆ ไหลลงมาบนข้างแก้ม

พอกันที...จบได้แล้ว...เจ็บครั้งนี้...ควรจะจดจำเอาไว้ แล้วเลิกหาเรื่องใส่ตัวอีก

ในที่สุดอินทนิลก็ตัดสินใจท้าทายความเงียบเหงาของช่วงคริสตมาส เปลี่ยนแผนกะทันหัน ปักหลักอยู่ที่หอพัก ทั้งที่เพื่อนๆ คนอื่นรวมทั้งแพมนั้น ต่างก็วางแผนจะไปเที่ยวกันแทบทุกคน

“แก...หาเรื่องฆ่าตัวตายชัดๆ หอพักแทบจะเป็นหอร้างเลยนะเว้ย”

“ไม่เป็นไร สงบดี ฉันจะได้ทำใจได้ง่ายๆ” คนที่ตัดสินใจแล้วไม่ยอมหวั่นไหว

“ไหนว่าจะไปสวิตเซอร์แลนด์ไง” แพมยังพยายามหนุนให้เพื่อนออกเดินทาง “หรือว่าจะไปเบลเยียมกับฉันไหม ไม่อยากให้แกอยู่คนเดียว”

“ไม่ไปล่ะ จะอยู่หอ วาดรูป เขียนงานส่ง” แล้วอินทนิลตัดบท “ไม่ต้องเป็นห่วงกลัวฉันอดตาย ฉันกักตุนเสบียงอาหารไว้แล้ว เพียบเลย อย่าว่าแต่ขังตัวเองไว้ในบ้าน 3 วันเลย ต่อให้ต้องเก็บตัวนานเป็นอาทิตย์ๆ ฉันก็มีเพียงพอ” อินทนิลพูดแกมหัวเราะ สองสามวันมานี้อาการเจ็บปวดของเธอดีขึ้นมากแล้ว ตั้งแต่ไม่ได้พบหน้ากานต์

“ก็โล่งใจไป พรุ่งนี้ก็วันที่ 24 ธันวาแล้ว ฉันต้องออกเดินทางเช้ามืด เดี๋ยวขอไปนอนก่อนนะ”

“อื่ม...คงตื่นไปส่งไม่ทัน ลาตรงนี้เลยนะ” แล้วสองสาวก็กอดกันกลมก่อนที่จะแยกจากกัน แพมเดินกลับไปยังหอพักของเธอซึ่งอยู่ห่างออกไป 2-3 บล็อก ทิ้งให้อินทนิลทุ่มเทสมาธิให้กับการวาดภาพสีน้ำที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น

บรรยากาศช่างเงียบเหงา แต่มันยังไม่หม่นเทาเท่ากับความรู้สึกของเธอ...

เพราะใจจดจ่ออยู่กับงานที่ทำ เวลาจึงผ่านพ้นไปเร็วเหลือเชื่อ เมื่ออินทนิลเงยหน้าขึ้นดูนาฬิกาอีกที ก็พบว่าเวลาล่วงเลยไปถึง 2 นาฬิกาแล้ว หญิงสาวจุ่มพู่กันลงในแก้วน้ำพลางบิดตัวด้วยความเมื่อยขบ เตรียมจะลุกไปล้างหน้าแปรงฟันและเข้านอน หากจู่ๆ เสียงเพลงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

“ใครกันเนี่ย โทรมาตอนตีสอง” อินทนิลนึกตำหนิความไร้กาลเทศะของผู้โทร หากเบอร์โทรศัพท์ที่เห็นทำให้เธอถึงกับชะงักไปอึดใจใหญ่ มือเรียววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะและทิ้งไว้อย่างนั้นจนเสียงเพลงเงียบไป ดวงตาคู่สวยจ้องมองโทรศัพท์มือถือเหมือนเป็นวัตถุแปลกปลอมที่บังเอิญหลุดเข้ามาอยู่ในห้องโดยไม่ได้ตั้งใจ

อีกไม่นานนัก...เสียงเพลงเรียกเข้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง ริมฝีปากแบบบางที่ไม่ได้ถูกเคลือบสีด้วยเครื่องสำอางใดๆ เช่นทุกทีเม้มสนิท รับ...ไม่รับ...รับ...ไม่รับ สองความคิดเห็นในสมองต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง และในที่สุด...อินทนิลตัดสินใจคว้าเอาโทรศัพท์เครื่องเล็กมากดรับสายด้วยใจที่ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว

“พี่กานต์ มีอะไรคะ ยังไม่นอนอีกเหรอ ไหนใบตองบอกว่าจะต้องออกเดินทางแต่เช้าไง” เจ้าตัวพยายามบังคับให้น้ำเสียงที่กรอกลงไปแจ่มใส และดูเป็นปกติมากที่สุด

“อิน...พี่มีเรื่องอยากจะพูดด้วย” น้ำเสียงแผ่วเบากระท่อนกระแท่นที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังถึงกับสะดุ้ง

“พี่กานต์อยู่ที่ไหน” คราวนี้ทั้งหัวใจเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ดึกดื่นป่านนี้...น่าจะเป็นอันตรายไม่น้อย หากเขาอยู่ในย่านที่ไม่เหมาะสม

“อยู่หน้าหออินนั่นแหละ รอมานานแล้วด้วย ถ้าไม่อยากให้พี่ขึ้นไปรบกวนก็ช่วยลงมาคุยกันด้านล่างนี่หน่อยนะครับ” เสียงแผ่วเบาตอบกลับมา อินทนิลค่อยคลายความเป็นห่วงลงไป หากความรู้สึกใหม่เข้ามาแทนที่

สับสนเหลือเกิน ถ้าเธอลงไปคุยด้วยใบตองจะเข้าใจผิดไหม แต่ถ้าเธอไม่ลงไป...เขาจะทำอย่างไรต่อไป

“รออยู่ตรงนั้นนะคะ เดี๋ยวอินลงไปหา” แล้วความเป็นห่วงใยก็มีอิทธิพลมากกว่า อินทนิลตัดสินใจคว้าเอาเสื้อกันหนาวมาคลุมอย่างลวกๆ และเร่งรีบเดินลงไปด้านล่างทันที เมื่อก้าวพ้นออกมาจากตัวอาคาร สองขาก็ชะงักกึกเพราะสองตาเหลือบไปเห็นร่างสูงที่ทรุดตัวลงนั่งพิงรั้วเหล็กสีดำ แววตาของเขาแห้งผากและแดงก่ำ ดูไร้ความหวัง โรยรา ช่างแตกต่างจากกานต์ที่อยู่ในอารมณ์ปกติเหลือเกิน

“พี่กานต์เป็นอะไร ทำไมไม่รีบไปเก็บเสื้อผ้าจัดกระเป๋าเล่า เดี๋ยวก็ไปขึ้นเครื่องไม่ทันหรอก”

“พี่บอกใบตองไปเมื่อเย็นนี้เอง ว่าไม่ไปแล้ว” กานต์ขยับตัวจะลุกขึ้น หากกลับซวดเซจนต้องถลาเข้าไปพิงรั้วเหล็กเพื่อเป็นหลักในการทรงตัว

“พี่กานต์” อินทนิลลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ถลาเข้าไปหิ้วปีกคนที่ตัวสูงกว่าเธอเกือบหนึ่งฟุตเพื่อช่วยประคอง ร่างสูงทิ้งน้ำหนักลงมาจนเธอแทบทรุด หากโชคดีที่เอนกายพิงรั้วเอาไว้ได้ก่อน “เมาเหรอ ตั้งสติหน่อยสิคะ” อดไม่ได้ที่ส่งเสียงเอ็ดเบาๆ แต่แล้วก็ต้องถึงกับขนลุกเกรียวเมื่อพบว่าการที่ร่างสูงเอนอิงเข้ามาแนบชิดนั้น ไม่ได้เป็นเพราะเขาหมดแรงหรือไม่สมารถทรงตัวเองได้ แต่เป็นเพราะเขากำลังเอื้อมมืออีกข้างมายันรั้วเหล็กเอาไว้ แล้วเธอก็ตกอยู่ในวงล้อมของอ้อมแขนโดยสมบูรณ์

“พี่กานต์...” อินทนิลครางออกมาเบาๆ เมื่อพบว่าร่างกายส่วนที่สัมผัสกับตัวของเขานั้น มันร้อนวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก

“พี่ไม่ได้ไม่ได้ดื่มเลยแม้แต่หยดเดียว” มือและลมหายใจที่สัมผัสแก้มของเธอนั้นร้อนจัด และไม่ได้มีกลิ่นของแอลกอฮอล์เจือปนอยู่เลยแม้แต่น้อยอย่างที่เขาบอกจริงๆ นี่กานต์มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์หรอกหรือ แล้วท่าทีประหลาดแบบนี้หมายความว่าอะไรกันเล่า หากไม่ใช่เป็นเพราะฤทธิ์ของน้ำเมา มันจะเป็นผลงานของอะไร...

“อินไม่รู้เลยเหรอ ว่าพี่รู้สึกดีๆ กับใคร พี่ไม่ได้ชอบใบตอง ทำไมอินใจร้ายอย่างนี้ อยากให้พี่ลงเอยกับใครก็ไม่รู้ ” ลมหายใจของอินทนิลราวกับจะขาดห้วงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น นี่ความจริงหรือความฝันกันแน่...

ไออุ่นจากร่างกายของกานต์นั้นเตือนเธอว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นจริงๆ และไออุ่นนั้นมันก็ร้อนจัด... ร้อนเกินกว่าจะเป็นอุณหภูมิปกติของร่างกายคนทั่วไป ท่าทางสะลึมสะลือของเจ้าตัวก็เป็นอีกอาการหนึ่งที่ทำให้อินทนิลเริ่มสงสัย น้ำหนักตัวของคนร่างสูงทิ้งลงมาอีก คราวนี้เธอรู้สึกว่าเธอกำลังแบกรับกานต์เอาไว้ทั้งตัวจริงๆ

“พี่กานต์ไม่สบายเหรอคะ” มือเล็กๆ แตะลงบนหน้าผากคนตัวโตกว่าทันควัน ทันทีที่มือของเธอแตะลงไป ก็ต้องสะดุ้งเพราะความร้อนที่ได้สัมผัส “ท่าทางจะไข้สูงด้วย แย่แล้ว ขึ้นไปพักที่ห้องของอินก่อนก็แล้วกัน”

โชคดีที่หอพักของอินทนิลเป็นหอพักของนักศึกษาปริญญาโท ซึ่งไม่ได้มีการกวดขันกับแขกที่มาเยี่ยมเยียนมากนัก ดังนั้นจึงไม่มีใครว่าอะไรที่อินทนิลพาคนตัวโตที่กำลังไม่สบายหนักขึ้นไปข้างบน และเป็นโชคดีอีกประการหนึ่งที่ห้องพักของอินทนิลมีขนาดกว้างขวางกว่าห้องอื่นๆ เพราะเป็นห้องที่อยู่ตรงหัวมุม เธอจึงมีพื้นที่พอเพียงที่จะจัดที่นอนของตัวเองอยู่ตรงหน้าเตียงของเธอ ซึ่งกลายเป็นเตียงคนป่วยไปเสียแล้ว

“กินยาแก้ไข้ก่อนค่ะ พี่กานต์” หลังจากฝืนกลืนเม็ดยาลงไปได้คนป่วยก็สิ้นสติไปเกือบจะทันที หากยังไม่วายทิ้งคำพูดเอาไว้ให้คนฟังรู้สึกสะท้านร้อนสะท้านหนาวราวกับจะเป็นไข้ไปด้วย

“อิน...อย่าเพิ่งทิ้งพี่ไปไหนนะ เราไม่ได้เจอกันมานานมาก พี่คิดถึงอิน...ถึงได้มาหา” ในยามไม่สบายเขาคิดถึงเธอก่อนใครอย่างนั้นหรือ เธอไม่ได้แปลความหมายเข้าข้างตัวเองจนเกินไปใช่ไหม

อินทนิลจัดแจงตวงน้ำใส่กะละมังใบใหญ่แล้วใช้ผ้าชนหนูผืนเล็กชุบน้ำ บิดจนหมาดแล้ววางลงบนหน้าผากของคนเจ็บเพื่อช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย แล้วค่อยเช็ดตัวให้อย่างเบามือเป็นระยะๆ จนไอร้อนจากร่างกายค่อยๆ ลดลงไป ดวงตาคู่ที่เคยนิ่งราวกับน้ำในบ่อลึกในยามนี้ปิดสนิท เสียงลมหายใจสม่ำเสมอจากร่างที่นอนซุกอยู่ใต้ผ่าห่มบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังหลับสนิท พยาบาลจำเป็นก้มลงมองแล้วถอนใจ...คนตัวโตเวลาที่นอนหลับก็ดูไร้เดียงสาเหมือนเด็กดีๆ นี่เอง เวลาที่อาการไข้ของกานต์ลดลงเป็นเวลาเดียวกันกับที่อินทนิลหมดแรงล้มตัวลงนอนบนที่นอนที่ปูอยู่บนพื้นพอดี...ก่อนที่จะหลุดเข้าสู่ห้วงนิทราคำพูดเมื่อหลายชั่วโมงก่อนยังแจ่มชัดอยู่ในสำนึก ‘อินไม่รู้เลยเหรอ ว่าพี่รู้สึกดีๆ กับใคร’

จะให้เธอคิดเข้าข้างตัวเองได้อย่างไรกัน...ในเมื่อเขาไม่เคยพูด ไม่เคยบอกเลยแม้แต่น้อย ผู้หญิงอย่างเธอ...ต้องการคำพูดรับรอง ไม่ได้ต้องการเพียงแค่แววตาอ่อนหวาน กิริยาอ่อนโยน เพราะครั้งก่อนนั้นเธอเชื่อในสัญญาณเหล่านี้...แต่ผลลัพธ์ก็กลับทำให้ต้องเจ็บเหลือหลาย

แสงอาทิตย์สดใสของวันคริสตมาสอีฟสาดส่องเข้ามาในห้อง อากาศภายนอกยังคงเย็นจัดสังเกตได้จากหยดน้ำเม็ดเล็กๆ เกาะพราวที่กระจกห้อง เสียงลมหนาวพัดหวีดหวิวปะปนกับเสียงกิ่งไม้เสียดสีกันไปมาทำให้ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงค่อยขยับเขยื้อนไปมา เสียงครางเบาๆ ดังออกมาจากใต้ผ้าห่ม

“โอย...หนาวจัง”

“นี่ก็เปิดฮีตเตอร์ให้อุ่นสุดๆ แล้วนะ พี่กานต์ยังมีไข้อยู่นี่นา ก็เลยรู้สึกหนาว เดี๋ยวกินข้าวต้มนี่แล้วก็กินยาอีกชุดก็แล้วกันค่ะ” อินทนิลซึ่งเพิ่งจะเดินถือถาดใส่ชามสองชามเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง พลางแย้มริมฝีปากออกนิดๆ ไม่ได้ยิ้มเยาะหรอกนะ แต่อดขันไม่ได้ เพิ่งเคยเห็นคนเก่งหมดสภาพก็วันนี้เอง...

“พี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย”

“อ้าว...จำไม่ได้เหรอว่าอินลากพี่กานต์ขึ้นมา” ถาดข้าวต้มถูกวางลงทีโต๊ะตัวเล็กใกล้กับหัวเตียง

“พอจะจำได้อยู่ แต่มันก็เลือนลางมากๆ โอ๊ย...ปวดหัวจัง”

“ลุกขึ้นมากินข้าว กินยาสิคะ จะได้หายไวๆ กลับบ้านได้เร็วๆ” อินทนิลทรุดตัวลงนั่งที่ริมเตียงแล้วช่วยประคองร่างสูงให้ลุกขึ้น พลางยกหมอนหนุนวางตั้งพิงผนัง เพื่อให้กานต์นั่งพิงอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย

“อยากไล่พี่กลับบ้านแล้วใช่ไหมล่ะ” ดวงตาที่หม่นแสงลงไปเมื่อคืนวานเริ่มส่องประกายขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่เจ้าตัวก็ยังไม่หายดี “คุณพยาบาลใจร้ายจัง”

“ก็ที่นี่มันห้องพักของอินนะ ไม่ใช่โรงพยาบาล ห้องของตัวเองก็มี สบายดีแล้วก็ต้องกลับไป” พยาบาลจำเป็นส่งเสียงดุๆ ตอบกลับมา คนไข้ทำหน้าง้ำพลางบ่นออด

“ทั้งที่ไม่สบายก็ยังจะไล่ ถ้าพี่บอกว่าพี่ไม่ได้ซื้ออาหารเก็บไว้เลยแม้แต่นิดเดียว กลับหอไปพี่ก็คงอดตายอินยังจะอยากให้พี่กลับอยู่มั้ย” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระเง้ากระงอดแกมตัดพ้ออย่างไรบอกไม่ถูก

“อ๋อ...พอถึงยามยากก็เลยมาหาอิน.ใช่ไหม...ถ้าไม่ป่วยก็คงจะไปเที่ยวกับใบตองปร๋อไปแล้ว” อดไม่ได้ที่จะประชดประชันออกไปทั้งที่คำพูดของชายหนุ่มเมื่อคืนวานยังดังก้องอยู่ในหู แต่แล้วก็รู้ว่าผิดไปถนัด เพราะกานต์ยิ่งทำให้เกิดอาการหวั่นไหวในใจของเธอมากขึ้น เมื่อเขาเอ่ยคำพูดสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงต่ำ จริงจัง

“จนป่านนี้แล้วยังไม่เข้าใจอะไรๆ อีกเหรอ”

“กินข้าว กินยา แล้วก็นอนพักก่อน” อินทนิลตัดบทด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถ้าอยากได้เสื้อผ้าไว้เปลี่ยน อินพอจะมีเสื้อของพี่ชายที่ทิ้งเอาไว้เมื่อตอนที่เชาแวะมาเยี่ยมเมื่อหลายเดือนก่อน ไม่รู้ว่าจะใส่ได้พอดีหรือเปล่า แต่อินจะเอามาให้ก็แล้วกัน”

“พี่ยังไม่อยากนอน...ที่มาหาก็เพราะพี่อยากคุยกับอิน”

“แต่อินยังไม่อยากคุยตอนนี้ อินอยากให้พี่หายดีเสียก่อน” ใช่...ที่เขาพูดมามันก็มากเกินกว่าครึ่งของที่เธออยากรู้แล้วนี่นา

“เผด็จการ...” ชายหนุ่มโอดครวญ แต่ก็จำต้องปฏิบัติตามพยาบาลจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยังมิวายแผลงฤทธิ์ “มันปวดหัวทุกทีที่ก้มตักอาหารเลยน่ะอิน ช่วยสงเคราะห์คนป่วยหน่อยได้ไหม” มือใหญ่ส่งชามข้าวต้มไปให้ อินทนิลส่งค้อนวงเล็กๆ กลับมาด้วยความหมั่นไส้...หมั่นไส้แต่เป็นสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีทางปฏิเสธดังเช่นทุกครั้งที่กานต์เสนอหรือขอร้องให้ช่วยทำอะไร เธอคว้าเอาชามข้าวต้มมาไว้ในมือ เป่าให้คลายร้อนลงไปแล้วค่อยๆ ป้อนให้ ‘คนป่วย’ ของเธอ ที่ดูเหมือนจะเจริญอาหารกว่าคนป่วยทั่วๆ ไปอย่างน่าประหลาดใจ


หลังจากที่กานต์ทานยาและหลับไปแล้ว อินทนิลก็หันมาจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือเตรียมเขียนรายงาน หากกระดาษขาวที่วางอยู่ตรงหน้ามันก็ช่างยั่วยวนใจเสียนี่กระไร เวลาผ่านไปไม่นานนัก...ลายเส้นรูปร่างสูงใหญ่ที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ในโปงผ้าห่มก็ปรากฏขึ้น เธอตกแต่งรายละเอียดและแสงเงาด้วยความเอาใจใส่ หากก็ต้องสะดุ้งจนตัวลอย เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ข้างแก้มและเสียงกระซิบแผ่วที่ริมหู

“แอบวาดรูปคนอื่นอีกแล้ว อย่างนี้ต้องคิดค่าตัว” อินทนิลลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทันที หากนั่นกลับทำให้สถานการณ์ล่อแหลมมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามรวบตัวเธอเอาไว้ทั้งตัว

“พี่กานต์...ปล่อยนะ” ร้องห้ามไปแล้วก็ดิ้นรนหมายจะให้หลุดออกจากอ้อมกอดนั้น อุณหภูมิจากร่างกายของเขาลดลงแล้ว แต่อุณหภูมิในร่างกายของเธอคงจะขึ้นสูงแทน เพราะในยามนี้เธอรู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด

“อย่าดิ้นสิ ดิ้นแล้วพี่ต้องใช้แรง เดี๋ยวไม่สบายอีกนะ”

“ไม่สบายก็ไปนอนก่อน...มาออกฤทธิ์อะไรแถวนี้” พยาบาลส่งน้ำเสียงดุๆ กลับไปให้

“จริงด้วย ไปนอนก่อนดีกว่า” คนไข้เออออ แต่แล้วอินทนิลก็ต้องร้องกรี๊ดออกมาอีกที เมื่อคนไข้ที่แรงกลับคืนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจจะทราบได้ รั้งตัวเธอให้ล้มลงไปบนเตียงด้วยกัน ‘คนป่วย’ ที่อาจจะเป็นแค่ป่วยการเมืองไปแล้ว พลิกกลับเป็นฝ่ายกักขังเธอเอาไว้ด้วยวงแขนแข็งแรงนั้น อินทนิลจำต้องนอนนิ่งอย่างจนมุม เพราะถ้าเธอขยับตัวแม้แต่นิดเดียว เธอก็จะแตะต้องเนื้อตัวของคนเจ้าเล่ห์ทันที

“พี่กานต์...ปล่อยอินเถอะ นะคะ” ส่งเสียงหวานเพื่อออดอ้อน ขอร้องให้เขาปลดปล่อยเธอให้พ้นไปจากสภาพชวนหวามไหวเช่นนี้ หากดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพราะร่างนั้นกลับแนบชิดเข้ามาอีก

“ไม่เอา...เรามาคุยกันก่อน อินชอบเดินหนีหรือไม่ก็ชอบเปลี่ยนเรื่อง ไม่ยอมให้โอกาสพี่พูดเสียที พี่ตั้งใจจะพูด จะบอกอินตั้งแต่งานไทยไนต์แล้วแต่ก็ไม่มีโอกาส แล้วหลังจากนั้นอินยิ่งใจร้ายส่งใบตองมาหาพี่ตลอด จนพี่เกือบจะคิดว่าอินหมดความรู้สึกดีๆ ที่มีให้พี่ไปแล้ว ทั้งที่ตอนนี้ความรู้สึกดีๆ ที่พี่มีให้อินมันเต็มเปี่ยม” คนที่นอนฟังนิ่งๆ ใจสั่นไหวราวใบไม้ต้องลมหนาวขึ้นมาทันที หากก็ยังมิวายตอบโต้ถ้อยคำนั้น

“ใครบอกว่าอินไม่ให้โอกาส อินรอคอยคำพูดของพี่มานานมาก แต่พี่ก็ไม่ยอมพูดเสียทีต่างหาก พี่กานต์ไม่รู้หรอก ว่าอินทรมานแค่ไหนกับสภาพไม่แน่นอน เป็นอะไรครึ่งๆ กลางๆ เหมือนที่ผ่านมาสองสามเดือนนี่”

“อินบอกว่าอินให้โอกาส แต่เอาเข้าจริงพอจะถึงช่วงเวลานั้น อินก็เสเปลี่ยนเรื่อง พอบรรยากาศกำลังได้ที่ อินก็ทำลายบรรยากาศนั้นทุกที พอพี่กำลังจะเดินหน้าอินก็ดันไปเป็นที่ปรึกษาให้ใบตอง แล้วอินจะให้พี่ทำยังไง...หืม ถึงพี่จะอ่านแววตาของอินออก แต่พี่บอกอินว่า ‘พี่รักอิน’ ไม่ได้หรอกนะ ถ้าคนฟังยังไม่เปิดใจจะรับฟัง” กานต์ก้มหน้าเข้ามากระซิบอยู่ริมหูเมื่อถึงประโยคสำคัญ

“อะไรนะคะ” อินทนิลถามเสียงพร่า

“พี่...รัก...อิน” กานต์พูดอีกครั้ง ช้าๆ ชัดๆ ราวกับจะย้ำให้คำพูดเหล่านั้นสลักแน่นในหัวใจ ที่กลับมาสูบฉีดเลือดแห่งความรักอีกครั้ง

“พี่กานต์...อินก็รักพี่กานต์” คราวนี้อินทนิลเป็นฝ่ายโผเข้ากอดเขาเสียเอง น้ำตาไหลซึมออกมาจากดวงตาคู่ที่คลอคลองไปด้วยหยาดน้ำใส “อินไม่เคยลืมพี่กานต์เลย แต่อินไม่กล้า...ไม่กล้าเปิดรับความรู้สึก ไม่กล้าอ่านกิริยาท่าทางที่พี่กานต์แสดงออก เพราะว่าครั้งก่อนโน้นพี่กานต์ก็มีท่าทีแบบนี้ แต่ลงท้าย...อินก็เป็นฝ่ายคิดไปเองฝ่ายเดียว” อินทนิลถอนสะอื้นเมื่อคิดถึงความทุกข์ใจเมื่อวันก่อน กานต์หันมาซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน

“พี่รู้สึกผิดมากนะอิน หลังจากวันที่อินเดินหันหลังให้พี่...พี่รู้สึกเสียใจเหลือเกินที่พี่ปล่อยให้สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตหลุดลอยไป แต่พี่ก็ไม่สามารถเรียกอินให้กลับมาได้ รู้ไหม...พี่ดีใจมากนะที่ได้มาเจออินอีกครั้ง” อินทนิลถึงกับยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เมื่อได้ยินคำพูดนั้น

“ใยบัวคือผู้หญิงในอดีต พี่เคยรักเขามาก แต่วันนั้นพี่ผิดเองที่ไม่เข้าใจ ว่าการลืมไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าพี่จะยังรักเขาอยู่ พี่เลยปล่อยให้ตัวเองทำร้ายจิตใจผู้หญิงที่พี่แคร์มากที่สุด พี่ไ.ม่เคยให้อภัยตัวเองเลย” แค่นี้เอง...แค่นี้ที่เธออยากจะได้ยิน ความเจ็บปวดความทุกข์ทรมานเริ่มบรรเทาเบาบางลงไปจนหมดสิ้น

“พี่กานต์รู้ไหม...อินเจ็บปวดมากเลยนะ กับการที่ต้องพยายามข่มความรู้สึก หรือคิดว่าเราคิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียว” อินทนิลเริ่มแบ่งปันความรู้สึกบ้าง

“นี่แหละน้า...ผู้หญิง ชอบคิดแต่ไม่พูด ถ้าพูดกันตรงๆ ก็ไม่ต้องทรมานกันมานานขนาดนี้”

“ก็การคิดแล้วพูด มันทำให้อินเจ็บเหมือนครั้งที่แล้วนี่”

“โธ่...พี่ขอโทษ” น้ำเสียงนุ่มอ่อนโยนกระซิบอยู่ริมหู “พี่เสียใจที่ทำให้อินเจ็บ นับแต่วันนี้ไป เราลืมเรื่องเก่าๆ แล้วมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ได้ไหมอิน พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำให้อินเสียใจด้วยคำพูดโง่ๆ ของพี่อีก”

“อินก็สัญญาว่าอินจะไม่เก็บความทุกข์ไว้ในใจคนเดียว แล้วคิดวุ่นวายไปเองอีกเหมือนกัน” อินทนิลหันไปสบดวงตาดำคมที่เริ่มเปล่งประกายเหมือนในยามปกติอีกครั้ง แววตาที่เธอฝันหา เม็ดนิลที่พราวแสงวับวาวคู่นั้นสะกดเธอเอาไว้ไม่ให้ถอยหนีไปไหน ชั่ววินาทีที่ตาสบตาความรู้สึกทั้งหลายราวกับถูกดูดให้หายไปในหลุมดำหลุมใหญ่ ดูดไปทั้งสติและสัมปชัญญะ นับว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาดอีกแล้ว เพราะเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง ริมฝีปากอุ่นจัดก็สัมผัสพลิ้วอยู่ข้างแก้มของเธอเสียแล้ว อ่อนหวาน อ่อนโยน แผ่วเบา หากอบอุ่นชวนให้หลอมละลาย

“พี่กานต์...อย่า...” ช้าไปเสียแล้ว...เสียงร้องห้ามขาดหายลงไปในลำคอเมื่อริมฝีปากถูกทาบทับ ความอ่อนหวานกำลังถ่ายทอดจากหัวใจสู่หัวใจโดยไม่ต้องอาศัยถ้อยคำใดๆ แม้ว่าอากาศภายนอกจะหนาวจัด หากไออุ่นแห่งความเข้าใจกลับแผ่ขยายไปทั่วห้องพักแห่งนี้ บทเพลงแห่งฤดูหนาวเริ่มบรรเลงแผ่วเบา หาได้ฟังดูเกรี้ยวกราดอย่างทุกทีไม่

อึดใจใหญ่ๆ อินทนิลถึงจะถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ใบหน้าขาวใสกลายเป็นสีแดงก่ำเช่นกันกับริมฝีปากเรื่อดุจกลีบดอกไม้บาง ร่างเพรียวขยับออกห่างจากร่างสูงที่เริ่มกลับมาแข็งแรงนั่น สองมือเริ่มรัวกำปั้นลงไป

“พี่กานต์ คนฉวยโอกาส รังแกกันอย่างนี้ได้ยังไง แกล้งกันอีกแล้ว”

“พี่ขอแค่เป็นคำสัญญาเท่านั้นแหละ ไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้หรอก” ท่อนแขนแข็งแรงรั้งร่างเธอให้กลับเข้าไปแนบชิด กอดรัดเอาไว้ไม่ให้ลงไม้ลงมือกับเขาอีก “อินไว้ใจพี่ชายคนนี้ได้เลย พี่ขอสัญญาด้วยเกียรติทั้งหมดที่มี” อินทนิลลืมความโกรธความอายไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดที่ฟัง ‘ไม่ค่อยเข้าที’ ในประโยคนั้น

“พี่กานต์ อินไม่ชอบคำว่าพี่ชายเลย มันดูเหมือน...เราจะไม่ไปถึงไหนกันเลย ขออินมองพี่กานต์เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งได้ไหมคะ ผู้ชายคนหนึ่งที่รักอิน และที่อินรัก”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ พี่เองก็รอเวลานี้มานานมากแล้วเหมือนกัน”

ดวงตาสองดวงประสานด้วยความเข้าใจ อินทนิลเผยรอยยิ้มสดใสแบบที่ไม่เคยยิ้มมานานแล้วอีกครั้ง เมฆสีเทาที่ลอยมาบดบังดวงอาทิตย์เริ่มลอยหายไป แสงแดดสดใสออกมาเยี่ยมเยียนแผ่นดินอีกครั้ง ฤดูหนาวครั้งนี้ไม่ได้หม่นเศร้าเป็นสีเทาตลอดเวลาอย่างที่คิดเลย วันฟ้าครึ้มมีไว้เพื่อให้เรารู้คุณค่าของแสงตะวันต่างหาก

“ตายแล้วพี่กานต์...แล้วเราจะบอกใบตองยังไงดี” อินทนิลอุทานด้วยน้ำเสียงตกใจเมื่อนึกขึ้นได้

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จัดการเอง” กานต์ตอบด้วยความมั่นใจ “เขาก็แค่กรี๊ดกร๊าดไปตามประสาวัยรุ่น เดี๋ยวก็ลืม ตอนก่อนไปเขาก็เริ่มไปกรี๊ดคนอื่นแล้วล่ะ พี่ก็พอจะดูออก” หากคำพูดต่อไปหนักแน่นมั่นคงนัก “ไม่เหมือนความรู้สึกของเราที่มีให้กัน แม้ว่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแค่ไหน...มันก็ยังคงอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลง” อินทนิลเอนซบลงบนอกกว้างนั่น เสียงหัวใจของเขาเต้นแรง...ไม่ต่างอะไรไปจากเสียงหัวใจของเธอ

พอกันที...ความทุกข์ทรมานจากความไม่เข้าใจ วันนี้...ความรู้สึกเจ็บปวดจากความไม่สมหวังหมดสิ้นไปพร้อมกับความรู้สึกโทษตัวเองว่าช่างเพ้อฝันคิดฟุ้งซ่านไปฝ่ายเดียวด้วย ในที่สุดรักครั้งที่แล้วกับรักครั้งนี้...ก็หลอมรวมเป็นรักครั้งเดียวกัน รัก...ที่ถึงแม้จะมีช่วงเวลาแห่งน้ำตาไปบ้าง แต่ช่วงเวลาแห่งรอยยิ้มก็ช่างแสนหวาน คุ้มค่าสมกับการรอคอย

จบละ...
จบห้วนๆ
แล้วก็ชิ่งหนีเหมือนเคย

3 ความคิดเห็น:

Chuleekorn Julpoon กล่าวว่า...

ให้อภัย เพราะคราวนี้ชิ่งหนีหลังจบจริงๆ ฮ่าๆๆๆ

Heathrow :D กล่าวว่า...

จะค่อยๆอ่านนะครับ อิอิ

Yim S. กล่าวว่า...

พี่จอย: แหะๆ ชิ่งไปเยย งื้ด ๆ >_<~

พี่คูน: ค่อยๆ อ่านก็ได้ค่ะ แหะๆ