วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2549

ชีวิต (ไม่) ธรรมดาของนักขุด: Primtech ตอนที่ 2


Rating:★★★★★
Category:Other
26-09-03

วันนี้ตื่นขี้นด้วยอารมณ์ที่ไม่ปลอดโปร่งนัก เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนยังฝังใจ ริธูแสดงตนอย่างชัดแจ้งว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม...แต่ฉันไม่ใช่ ฉันไม่เคยคิดว่าจะเล่นบทเป็นนางเอกที่ต้องมีนางอิจฉาคอยรังควาน ทำตัวเป็นนางสาวแสนดีที่น่าสงสารยอมทนโดนโขกสับเพื่อให้ชนะใจเธอ แต่ครั้นจะให้ทำตัวเป็นนางเอกที่แข็งแกร่ง สู้ยิบตาในทุกรูปแบบ ก็เห็นว่าเสียเวลาเปล่าๆ

ถ้าไม่ต้องการจะเป็นเพื่อนกันก็พร้อมจะฉากหนีและไปสร้างมิตรกับคนที่ต้องการมิตรภาพจากฉันดีกว่า

“ยิ้ม เช้านี้จะลงกิจกรรมอะไรหรอ” ลอรี่ถามอย่างมีอัธยาศัย เลอมานกำลังก้ม ๆ เงย ๆลงชื่อบนแผ่นกระดาษจึงไม่ได้ทักทาย หากแต่ริธูพูดแทนทุกคนว่า “เราสามคนคิดว่าจะลงกิจกรรมตีเหล็กน่ะ เธอล่ะ จะลงอะไร”

ถ้าฉันบอกไปอีกว่าลงตีเหล็ก เธอก็คงจะอุทาน “ต๊ายเลียนแบบ” หรือไม่ก็ “คิดอะไรไม่ออกแล้วหรือเธอ มาตามพวกฉันน่ะ” สายตาเธอมันฟ้องอย่างนั้น เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนไว้ว่า “long walk ” ก็เลยตอบส่ง ๆไป “กะว่าจะไป Long walk น่ะ ” สาวจากเมืองพุทธศาสนาในชมพูทวีป ผู้ที่ฉันยังมองไม่เห็นว่าจะมีธรรมะในใจที่ตรงไหนตอบกลับมา

“ต๊าย เลือกอะไรง่าย ๆ นะ” น้ำเสียงดูถูกสุดพิกัด อดทนเอาไว้..... เข้มแข็ง....ให้อภัย ...แผ่เมตตาให้สัตว์โลก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม พุท-โธ ฉันพยายามข่มใจเอาไว้สุดความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถตอบอะไรที่ดีไปกว่ายิ้มให้อย่างฝืน ๆ แค่น ๆ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าอยากจะกรีดร้องใส่หน้าเธอแล้วตะโกนดัง ๆ ว่า “ก็เพราะเธอนั่นแหละ ฉันถึงได้อยากไปให้พ้นไงล่ะ ”

ขณะที่เริ่มเตรียมอาหารไปทานยามเที่ยง ซึ่งก็ได้แก่แซนด์วิชทาแยมราคาถูก และน้ำต้มกรอกใส่ขวดใจฉันก็เริ่มเย็นลง ถ้าทนไม่ได้กับเรื่องจุกจิกกวนใจเพียงเท่านี้ ฉันจะผ่านหนทางอีกยาวไกลจนกว่าจะจบปริญญาโทได้อย่างไร คิดแล้วก็เดินไปร่วมกลุ่มกับคนที่จะเดินทางไกลด้วยกัน ด้วยความซุ่มซ่ามส่วนตัวทำให้เดินชนกับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินอยู่ข้างหน้า

“โอ๊ะขอโทษค่ะ” ชายคนนั้นหน้าตาดูเหมือนชาวเอเชียยังไงบอกไม่ถูก แต่สำเนียงของเขาฟังดูราวกับเจ้าถิ่น
“ไม่เป็นไรฮะ ผมเข้าใจ ผมขวางทางคุณด้วยล่ะ คุณไม่ผิดหรอก” ไม่ต้องตอบมายาวอย่างนั้นก็ได้ รู้แล้วว่าไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร
“เออ คุณมาจากประเทศไหนในเอเชียรึเปล่า” ฉันรีบถามไปอย่างใคร่รู้
“เปล่าฮะ ผมน่ะลูกครึ่งไทย – สวีเดน แต่มาอยู่ที่นี่นานแล้ว”
“เฮ้ ฉันก็มาจากเมืองไทยเหมือนกันนะ” ยังไม่ทันพูดมากกว่านี้อาจารย์ก็เรียกรวมกลุ่ม

“เอ้า ๆ มารวมกันที่นี่ก่อน เห็นภูเขาข้างหน้าโน่นไหม” สุดปลายนิ้วที่ชี้คือภูเขาที่เห็นมีขนาดเล็กแค่ปลายก้อย “เราจะเดินไปที่นั่นกัน ไปแล้วกลับนะ ก็ราว ๆ 20 ไมล์เห็นจะได้ ใครจะถอนตัวก็ยังทันนะ”

สายไปเสียแล้ว เดินออกมาถึงปากทางจะให้เดินกลับก็ขายหน้าแย่ จะยอมได้อย่างไร ก็เลยจำต้องเลยตามเลย “เราไปกันทั้งวันนะ ไม่ใช่แค่ครึ่งวัน” อ้าว มิน่าล่ะถึงให้ห่ออาหารกลางวันมาด้วย คิดว่าจะเป็นงานง่าย ๆ สบาย ๆ สงสัยจะไม่ใช่เรื่องเบา ๆ เสียแล้ว

ผู้นำเดินทางคือ Dr. Peter Drewett และ Dr. Sue Hamilton รายแรกมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการโบราณคดีในฐานะผู้เชี่ยวชาญวิธีการในการขุดค้น เขียนหนังสือมาแล้วหลายเล่ม รายหลังไม่เคยได้ยินชื่อเป็นพิเศษแต่ดูท่าทางเป็นหญิงเหล็กที่หายใจเข้าและออกเป็นPhenomenology ซึ่งเป็นวิชาที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของภูมิศาสตร์และมนุษย์ รวมถึงทัศนคติของมนุษย์ที่มีต่อภูมิศาสตร์ ฉันเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้ซาบซึ้งถึงความหมายจริง ๆ จัง ๆ เท่าไรนัก หรือฉันจะเป็นนักโบราณคดีที่ดีไม่ได้

“พวกเธอต้องระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะด้วยปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือด้วยน้ำมือมนุษย์ สิ่งที่เธอเห็นทุกวันนี้อาจจะไม่ใช่สภาพสิ่งแวดล้อมในอดีตเลยก็ได้” อาจารย์ซูกล่าวด้วยแววตาฝัน ๆ เพ้อ ๆ มองดูเหมือนพวกศาสตราจารย์สติเฟื่องทั่วไป

เราหยุดที่โบสถ์เล็ก ๆ ริมทาง ในหมู่บ้านห่างไกลผู้คน “ดูโบสถ์หลังนี้ซิ เราจะบรรยายได้ว่าอย่างไร” ทุกคนนิ่งเงียบ ฉันยิ่งสับสนในจิตใจมากขึ้น
“นี่ฉันทำอะไรอยู่นี่”
ฉันไม่รู้สักนิดว่าจะเริ่มต้นบรรยายอย่างไร ไม่ใช่ว่าดูไม่ออกว่าโบสถ์มีลักษณะอย่างใด เพียงแต่ว่าคำถามมันกว้างเสียจนฉันไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เพื่อน ๆ ก็คงตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันเพราะไม่มีใครเปิดปากพูด

“เริ่มจากขนาด รูปร่าง และวัตถุดิบก่อน” อาจารย์ซู แนะแนวทางให้
“ก่ออิฐถือปูน เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า”
“ใช้ฟลินต์เป็นวัตถุดิบหลัก”
“มีไม้ที่วงกบประตูด้วย” เริ่มมีเสียงตอบดังออกมา

วัตถุดิบที่ใช้ในการสร้างโบสถ์ในอังกฤษ มักจะเป็นหินที่ภายนอกมีสีเทาขุ่น แต่ถ้ากระเทาะออกมาแล้วจะพบว่า ข้างในเป็นสีดำมันวาวที่เรียกว่า ฟลินต์ ฉันดูออกอยู่บ้างว่าหินแบบไหนจัดเป็นฟลินต์ แต่คำถามต่อมาทำให้ฉันพบว่าแค่นั้น ยังไม่เพียงพอสำหรับการเป็นนักโบราณคดี

“แล้วฟลินต์ที่ใช้ทำอาคารหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยเดียวกันหรือเปล่า” ฉันขอยอมรับว่าดูไม่ออกจริง ๆ “ดูตรงนั่นสิ เห็นไหมรอบ ๆ ฟลินต์แต่ละก้อนจะมีรอยขีดอยู่รอบ ๆ ดูคล้าย ๆ ตาราง ดูสิว่าตรงส่วนนั้น กับส่วนนั้น ความถี่ของการฝังฟลินต์เอาไว้ในผนังไม่เท่ากัน ส่วนนั้นจะคล้ายกันส่วนบนโน้น เดาได้ว่าโบสถ์นี้ต้องมีการบูรณะอยู่หลายครั้ง”

เราเดินชมรอบ ๆ โบสถ์ และเดินเข้าไปชมภายใน อาจารย์ทั้งสองได้เปิดมุมมองและวิธีคิดในแบบที่ฉันไม่เคยนึกมาก่อน ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะยังไม่ชำนาญวิธีคิดแบบนี้เท่าไรนัก แต่ฉันคิดว่าการฝึกฝน และ ตั้งใจศึกษาอยู่เสมอคงพอจะช่วยฉันได้บ้าง แม้จะท้อใจนิด ๆ แต่ก็พยายามปลุกปลอบตัวเองสุดกำลัง

เส้นทาง 20 ไมล์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบโดยตลอด เราเดินผ่านถนนลาดยาง ทางเดินเล็ก ๆ ที่ตัดผ่านทุ่งหญ้า ทุ่งหญ้าที่ไม่มีใครบุกมาก่อน และ ทางเดินขึ้นเนินเขา ด้วยความที่ฉันเดินมากับเพื่อนผู้หญิงที่มาจากสาธารณรัฐเชคมาตลอด เมื่อต้องป่ายปีนขี้นที่สูงแล้วเธอเดินรั้งท้าย ฉันก็ต้องหยุดรอเป็นเพื่อนเธอ

“ไหวไหม มาเรียน่า”
“ไม่ไหวแล้ว จะตายแล้ว”
“พักสักครู่ก็ได้” ฉันพูดพลางมองไกลลงไปข้างล่าง มองเห็นร่างสองร่างเดินอยู่ลิบ ๆ พอมองออกว่าเป็น เจสัน เพื่อนชาวอังกฤษคนหนึ่ง และ มิเกล เพื่อนลูกครึ่งไทย สวีเดนที่เจอกันตอนเช้า ยังโชคดีที่ไม่ได้เป็นคู่สุดท้ายในกลุ่ม

ที่จุดสูงสุดของเนินเขาเป็นหลุมฝังศพของชุมชนโบราณสมัยหินใหม่ และ สมัยสำริด ถ้าอาจารย์ทั้งสองไม่บอก ฉันก็คงก็ดูไม่ออก มองเห็นเป็นแค่เนินดินเล็ก ๆ กระจาย ๆ กันออกไป ทะเลสีเงินที่สะท้อนแดดทองยามบ่ายออกไปไกลลิบ ๆ สิ่งนั้นต่างหากที่ดึงดูดความสนใจของฉันไปเสียเป็นส่วนมาก ถ้าไม่ติดที่ว่าฉันทั้งเหนื่อย ทั้งร้อน ทั้งคันยิบ ๆ ตามลำตัวเพราะอาจจะแพ้ดอกหญ้าหรือเกสรดอกไม้ ฉันก็คงร่ายบทกลอนออกมาสักบทแล้ว เพราะการเป็นกวี ก็คือความฝันอันสูงสุดของฉันอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน แต่จนบัดนี้ ฉันก็ยังไม่ได้เข้าใกล้ความฝันเลยแม้แต่น้อย ยังห่างไกลจากคำว่ากวีมากนัก ฉันคงเป็นได้แต่เพียง “คนเขียนกลอน” อยู่เรื่อยไป แต่ฉันก็พอใจแล้ว ที่สิ่งที่อัดอยู่ลึก ๆ ข้างในมีหนทางระบายออก และระบายออกในทางที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อใคร

“Sussex ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษเป็นแนวหินปูน หน้าดินที่อยู่ในบริเวณนั้นจะบางกว่าหน้าดินปกติ ทำให้ต้นไม้ขนาดใหญ่ไม่สามารถเจริญงอกงามได้ พืชพันธุ์ในเขตเนินเขาหินปูนนี้จึงเป็นประเภทหญ้าสั้น ๆ หรือดอกเฮเตอร์สีม่วงที่ขึ้นได้ดีในสภาพดินเป็นกรด และ กอร์ซ ดอกไม้สีเหลืองที่งอกได้ดีในบริเวณที่ดินบางเช่นกัน”

แว่วนึกไปถึงคำบรรยายในห้องเรียนวิชาภูมิศาสตร์เมื่อสมัยเรียน A-level ที่เทียบเท่ากับชั้นมัธยมปลายของไทยก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย คงได้ใช้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย มิเสียแรงที่สู้ทนกัดฟันเรียนมาจนจบ ต้องท่องหนังสือ ต้องรวบรวมความคิด ความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์มากมายรวมทั้งความสามารถทางภาษาด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเด็กสายวิทย์เก่าอย่างฉัน

มองทิวทัศน์จากที่สูงนี่ช่างสวยงามดีเหลือเกิน เห็นฝูงแกะอยู่เป็นจุดขาว ๆ อยู่ข้างล่าง ที่อังกฤษมักจะมีการล้อมรั้วหินเพื่อป้องกันไม่ให้ฝูงสัตว์หลบหนีจากบริเวณทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของเจ้าของ ได้ยินเสียงอาจารย์ดังมาแว่ว ๆ ว่าการล้อมเขตกำแพงแบบยุคโลหะ และ แบบยุโรปยุคกลางก็แตกต่างกัน และร่อยรอยเก่า ๆ ยังสามารถมองเห็นได้จากภาพถ่ายทางอากาศ นั่งคิดอะไรเล่นอยู่เพลิน ๆ มิเกลก็เดินมาทักทาย

“บ้านยิ้มอยู่ที่ไหนนะ แม่ผมบ้านอยู่ลพบุรี” แล้วก็หย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ หลังจากนั้นเรื่องราวของเมืองไทยทั้งหลายทั้งแหล่ก็หลั่งไหลออกจากปากฉัน จนกระทั่งถึงเวลาเดินกลับ

“รีบ ๆ หน่อยนะนักเรียน เดี๋ยวจะไม่ทันอาหารเย็น” โธ่เอ๋ย ยังได้นั่งพักเหนื่อยไม่ทันไร เหงื่อยังไม่ทันแห้งก็ต้องเดินทางต่ออีกแล้วหรือ ทั้งวันนี้จะได้หยุดนั่งพักจริง ๆ ก็แค่ตอนทานอาหารเที่ยงเป็นเวลาไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้นเอง

ตลอดเวลาที่เดินกลับเราเดินคุยกับมาเรียน่า มิเกล และเจสันไปตลอดทาง ไม่เสียหายหรอก ที่อุตส่าห์หนีสังคมมาเดินทางไกลกับคณะนี้ อย่างน้อยฉันก็ได้เพื่อนมาเพิ่มอีกหลายคน แต่เพราะคุยเพลินทำให้กลุ่มขอพวกเรารั้งท้าย และห่างออกจากกลุ่มใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเดินเลี้ยวโค้งกลุ่มนักเรียนด้านหน้าทั้งกลุ่มก็อันตรธานหายไป พวกเราสุดจะเดาได้ว่าหมู่คณะเดินไปทางไหนเพราะกว่าจะเดินมาถึงทางแยกนั้น เพื่อน ๆ และอาจารย์ก็เดินหายลับไปแล้ว ทิ้งให้พวกเรายืนงง ๆ กับทางสามแยกบริเวณวงเวียนที่ว่างเหล่าไร้ผู้คน เดินไร้ทิศทางกันอยู่หลายนาทีจนในที่สุดต้องยินยอมกดกริ่งบ้านคนข้างทางเพื่อถามทางกลับค่ายพักแรม อีกไม่เกิน 100 เมตรก็จะเดินถึงที่หมายอยู่แล้ว ดอกเตอร์ ปีเตอร์ ดริววิด ก็ขับรถกลับมา

“ตามหาพวกเธอแทบแย่” สีหน้าอาจารย์แสดงอาการโล่งใจ “คิดว่าหายตัวไปเสียแล้ว นี่หลงทางกันได้อย่างไร ไม่เคยมีคนหลงมาก่อนเลยนะ” แน่นอน พวกเราไม่ชอบทำอะไรซ้ำแบบใคร เราจะได้เป็นประวัติศาสตร์ของคณะนี้กันอย่างไรเล่า

เย็นวันนั้นจบลงด้วยความเหนื่อย ทานอาหารเย็นแล้วฉันก็หมดแรงจะทำอะไรต่อ แต่อย่างน้อยเวลาหน้ากองไฟที่ ริธู ยึดตัวลอรี่ และเลอมานไว้คุยด้วยนั้น ฉันก็เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างมิตรภาพกับเพื่อนใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนฝูงเพิ่มขึ้นกว่าเดิมไม่ว่าจะเป็น

แอนโทนี่ หนุ่มแสกนดิเนเวียผู้เคยผ่านการเกณฑ์ทหารมาแล้ว
พอล หนุ่มอังกฤษผมทองผู้ตั้งใจเรียนและพลาดการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง oxford เพราะทำเกรดไม่ถึงที่เขากำหนดไว้ (ไม่เหมือนยิ้ม -_-" โดน Cambridge reject มาแต่สัมภาษณ์เลย)

คาร่า สาวผมทองผู้พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม
เนลลี่ สาวญี่ปุ่นที่โตมาในอเมริกา และคนอื่นอีกมากมาย

“พวกเราต้องเป็นกลุ่มที่ปฏิเสธสังคมมากที่สุดแน่ ๆ เลยล่ะ เรามัวแต่คุยกันเองอยู่อย่างนี้น่ะ” ริธูเอ่ยขี้นมาลอย ๆ แต่หันไปมองสบตากับลอรี่และ เลอมาน ฉันก็เป็นเพียงส่วนเกินอีกตามเคย“เราไม่ค่อยรู้จักเพื่อน ๆ คนอื่นเลยนะ” ฉันซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ แอบได้ยินก็เลยยิ้มออกมานิดหนึ่งอย่างไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกแบบใดดี เพราะฉันค่อนข้างมั่นใจว่าฉันรู้จักกับเพื่อนๆ ในคณะนี้มากกว่าที่กลุ่มสาว สาว สาวรู้จักแน่นอน

ขอบคุณนะริธู ที่เปิดโอกาสให้ฉันมีเพื่อนมากขึ้น แต่ลึก ๆ ลงไปแล้วก็รู้สึกเสียใจกับพวกเธอเหล่านั้นด้วย



27-28 .09.03

“วันนี้จะไม่ทำอะไรที่เหนื่อยยากลำบากเหมือนเมื่อวานอีกแล้ว” ฉันบอกกับตัวเองไว้อย่างนั้น และเพื่อทำตามปณิธานที่ตั้งไว้ จึงลงทะเบียนทำกิจกรรมที่ดูผู้หญิง ผู้หญิง ซึ่งก็คืองานเบาๆ แต่อาศัยความประณีตแทน เช่น งานทอผ้าและ เครื่องปั้นดินเผา

เนลลี่สาวญี่ปุ่นเธอก็ลงกลุ่มทอผ้าในตอนเช้าเช่นกัน “นี่แหละที่ฉันชอบทำ” เธอแอบกระซิบบอก “ไม่ใช่ว่าอยากทำอะไรเบา ๆนะ แต่ดูสิ เดี๋ยวตอนท้ายชั่วโมงเขาต้องให้เราลองทอผ้าผืนเล็ก ๆ แล้วเราก็จะได้ของที่ระลึกกลับบ้านไงล่ะ ไหน ๆ เราก็จ่ายเงินค่าเข้าค่ายมา 30 กว่าปอนด์ แถมยังเงินก้อนส่วนที่เราสมควรจะเบิกไปใช้ในภาคปฏิบัติปลายปีตั้งอีก 72 ปอนด์ เราก็ต้องเอาคืนให้ได้มากที่สุดสิ”

เออ จริงของเธอแฮะ

“เดี๋ยวบ่ายนี้ฉันจะลงกิจกรรมนี้อีก ตอนเช้าทำเข็มขัด ตอนเย็นทำผ้าโพกหัว ดีจังเลย ” ตามใจก็แล้วกัน บ่ายนี้ฉันขอทำอะไรอย่างอื่นดีกว่า

การทอผ้าของคนในสมัยก่อนใช้อุปกรณ์ง่าย ๆ มีทั้งเครื่องทอผ้าใหญ่ ๆ สำหรับทอผ้าผืนใหญ่ ลักษณะดูเป็นเหมือนกรอบสี่เหลี่ยม มีเส้นเชือกแบ่งออกเป็น 2 ชุดแขวนอยู่ และมีตุ้มถ่วงน้ำหนัก หรือที่ชาวไทยเรียกว่า แว มัดอยู่ด้านล่างเชือกแต่ละกลุ่มที่ทำเป็นเส้นแนวตั้ง โดยมีอุปกรณ์ไม้อีกชิ้นหนึ่งแยกกลุ่มเชือกทั้งสองชุดนี้ออกจากกัน ดูคล้าย ๆ กับกี่ทอผ้าของไทยอยู่มาก แต่เป็นกี่แบบที่ยังไม่พัฒนาเต็มขั้น ฉันไม่ได้ลองทอผ้าด้วยเครื่องทอแบบนี้ เพราะฉันเคยลองทอด้วยกี่ของยายมาก่อน คิดว่าน่าจะใช้หลักเดียวกัน ถึงแม้วิธีจะแตกต่างกันบ้างก็ตาม

แล้วเวลาที่เนลลี่รอคอยก็มาถึง อาจารย์ส่งอุปกรณ์ทอผ้าเล็ก ๆ มาให้คนละอัน แล้วให้เราเลือกกลุ่มด้ายสีที่ต้องการแล้วเอามาทอเป็นแถบผ้าโพกหัว หรือ คาดเอวก็ได้แล้วแต่ชอบใจ ฉันเลือกสีขาว เขียว ชมพู เพราะ สีชมพูอมส้มดูหวานน่ารัก ใจจริงแล้วฉันอยากได้สีฟ้าแบบไล่โทนสีมากกว่า แต่หาสีที่ต้องการได้ไม่ครบก็เลยเปลี่ยนใจ

“ทำอะไรน่ะ” เด็กหญิงอังกฤษผมทองน่ารักก้มลงมาทักทาย
“อ๋อ พี่ว่าจะถักผ้าคาดผมจ้ะ ถ้าทำได้นะ ไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อยน่ะสิ” หนูน้อยเอียงคอมองอย่างสนใจ
“ได้สิคะ พี่ทอเร็วออก ดูสิได้ยาวคืบหนึ่งแล้ว คนอื่นยังได้ 2 นิ้วอยู่เลย” จริงด้วยสินะ เราก็สังเกตเห็นว่าเราไม่ได้ดึงเชือกให้แน่นเท่าที่ควรแถบผ้าที่เราได้จึงมีขนาดใหญ่ และยาวกว่าของคนอื่น แต่มันก็เป็นการย้ำให้เห็นถึงลวดลายผ้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดูเก๋ไปอีกแบบ เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ อีกคนเข้ามาชวนสนทนาต่ออย่างไม่ยอมปล่อยให้ฉันได้เงียบเสียง ไม่เกิน 20 นาทีฉันก็ได้ผ้าโพกผมมาหนึ่งผืนลวดลายตาข่ายเรียบ ๆ แต่สวยคลาสสิค (ชมตัวเองก็ได้วุ้ย....) เวลายังเหลือเฟือก็เลยจึงตัดเชือกมาอีกชุด พร้อมถักผ้าคาดผมอีกผืนโดยใช้เทคนิคเดียวกับที่สาวไทยใช้ถัก Friendship bracelet ให้หนุ่มๆ แต่เป็นขนาดยักษ์ ลวดลายเหมือนเป็นรูปตัววีดูแปลกตาสำหรับคนที่นี่ จนอาจารย์มาหยุดดูด้วยความสนใจ

“สวยดีนี่จ๊ะ นี่เธอไม่ได้ใช้อุปกรณ์ทอผ้าเลยใช่ไหม”
“อ๋อไม่ใช้หรอกค่ะ พอดีใช้วิธีถักเอา”
“ดูเก๋ดีมากจ้ะ เอ๊ะ พึ่งเห็นว่าลวดลายเป็นรูปตัววีด้วย เรียนมาจากที่ไหนนี่” การถักสายสร้อยข้อมือแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดามากในประเทศไทย หรือในแถบภูมิภาคเอเชีย แต่ว่าเรื่องละเอียดอ่อนแบบตะวันออกนี้ไม่ใช่สิ่งธรรมดาสำหรับชาวตะวันตก ฉันจึงตกเป็นเป้าสายตาไปโดยปริยาย
“เรียนมาจากเพื่อนที่เมืองไทยค่ะ สอนต่อ ๆ กันมา” ฉันแอบคิดในใจว่า เอาไว้วันหลังจะแสดงฝีมือสลักผักให้ดูสักรอบ ถึงแม้ว่าฉันจะทำลวดลายวิจิตรพิสดาร หรือแกะเป็นอัตถชีวประวัติแบบในเรื่องสังข์ทองไม่ได้ แต่ตอนแกะสลักส่งครูตอนประถม ก็ไม่เคยได้ต่ำกว่า 9 ส่วน 10 ซักทีสิน่า

อะฮ้า...จับจุดได้แล้วว่าจะเอาอะไรมาสร้างมิตรภาพและความประทับใจ ความเป็นแม่ศรีเรือนนั่นเอง...แย่หน่อย ที่เป็นสิ่งที่ฉันไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ รู้อย่างนี้ฝึกเอาไว้บ้างก็คงจะดี นอกจากจะได้เอาไว้ปรนนิบัติใครสักคนในอนาคตแล้วยังสามารถเอามาเป็นความสามารถพิเศษในต่างแดนได้อีก

เด็กน้อยผมทองยังเดินวน ๆ เวียน ๆ อยู่ใกล้ตัว แม้กระทั่งตอนเราเดินมานั่งใกล้ ๆ กับลอรี่ เลอมาน และ ริธูแล้ว “พี่ไม่เอาเชือกมาโพกหัวหรอ อุตส่าห์ถักตั้งนาน เอามาสิ เดี๋ยวผูกให้” แล้วหนูน้อยก็จัดการเอาเชือกมาคาดหน้าผากให้ฉันตามแบบอินเดียนแดง เลอมานมองมาด้วยสายตาเอ็นดู ริธูเหลือบตามองแล้วเมินหน้าหนีไปอย่างไม่สนใจ

เมื่อเราไม่ยึดติดกับสิ่งใด เราก็จะพบแต่สิ่งดี ๆ คำกล่าวนี้เป็นจริงเสียด้วย ถ้าฉันยังยึดมั่นจะเอาชนะเอาตัวเข้าไปแข่งขันกับริธูก็คงจะรุ่มร้อนใจและเฝ้าหาวิธีดึงเพื่อนมาอยู่ข้างตัวเองให้ได้จนหลงลืมสร้างมิตรภาพกับคนอื่น ๆ และคงไม่มีโอกาสได้รับความอบอุ่นจากเพื่อนร่วมค่ายตัวเล็ก ตัวน้อยอย่างนี้

คืนวันสุดท้ายของค่ายมักจะเป็นคืนที่มีการฉลอง ในที่สุดความจริงก็เปิดเผยว่าถุงขยะพลาสติกสีดำที่ถูกสั่งให้เอามานั้น ความจริงแล้ว...รุ่นพี่ต้องการให้นำมาแต่งเป็นเครื่องแต่งกายแบบโรมันต่างหาก ซึ่งก็คือผ้าพาดบ่าพันตัว แล้วรัดตรงเอวเหมือนเข็มขัด วันนี้เรามีงานปาร์ตี้บาบีคิวแบบโรมันกัน นักศีกษาปี 1 ได้รับเกียรติให้นั่งโต๊ะ ส่วนพี่ๆ ปี2 ที่เป็นสมาชิก SAS จะบริการเอง และสิ่งที่ทุกคนเฝ้ารอก็มาถึง อาหารมื้อนี้พวกสวัสดิการลงทุนนั่งรถเข้าไปซื้อเบอร์เกอร์แผ่นและไส้กรอกหมูจากในเมืองเพื่อให้มื้อสุดท้ายมีเนื้อเป็นส่วนประกอบของอาหาร

“เข้าไปดูที่โต๊ะได้เลยนะคะ ว่าใครนั่งที่ไหน พี่เอารูปน้อง ๆ วางไว้บนโต๊ะอาหารแต่ละที่แล้ว” ฉันเดินวนหาที่นั่งของตัวเองอยู่พักใหญ่แต่ก็หาไม่เจอ จึงต้องติดต่อสอบถามพวกคณะกรรมการ SAS จึงทราบว่า ที่นั่งของฉันตกหล่นไป

เอาอีกแล้วเรอะ...ทำไมต้องเป็นฉันด้วย แอบท้อใจนิด ๆ ตั้งแต่มาถึงค่ายนี้ฉันยังไม่เคยได้อย่างใจเลยสักครั้ง ต้องมีอะไรมาให้ทดสอบความมั่นคงของจิตใจได้ทุกทีสิน่า

“นั่งตรงหัวโต๊ะนี่ก็แล้วกันนะคะ ขอโทษจริง ๆ ค่ะ พอดีนักเรียนมีหลายคน พี่เลยสับสน”

ฉันก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร เพราะอยากให้คืนสุดท้ายของที่นี่เป็นคืนที่มีความสุข เพื่อนๆ ที่นั่งล้อมรอบฉันในครั้งนี้เป็นเพื่อนใหม่เสียส่วนมาก จึงได้มีโอกาสสร้างมิตรเพิ่มขึ้นอีก ใกล้ๆ ตัวมีเศษเชือกหล่นอยู่ ฉันเก็บขึ้นมาแล้วย้อนคิดไปถึงมายากลเชือก ที่พ่อเคยสอนเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว

“แอนโทนี่ ดูนี่สิ ทำได้ไหม” กลง่าย ๆ แต่สร้างความทึ่งให้พ่อหนุ่มจาก แสกนดิเนเวียมากมายเลยทีเดียว คนหลายๆคนเริ่มเข้ามาดู “กลเส้นเชือก” ของฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะดึงดูดคนด้วยวิธีนี้ ฉันเพียงแต่อยากชวนแอนโทนี่หาอะไรเล่นเพื่อฆ่าเวลา ผลพลอยได้เกินคุ้มจริง ๆ

ตกดึกสมาชิกในเต๊นท์รวมหายไปมากกว่าครึ่ง ตอนนั้นฉันนั่งคุยอยู่กับ คลาร่า สาวผู้มั่นใจอยู่เสมอ
“คนหายไปไหนหมดน่ะ คลาร่า เงียบจัง” คลาร่ามองหน้าฉันด้วยสายตาที่อ่านได้ว่า “เธอนี่ ช่างไร้เดียงสาเสยจริง” แต่เธอก็โน้มตัวลงมากระซิบว่า “ในเต็นท์นี่มันมืดใช่ไหม” “ใช่” ฉันตอบอย่าง งง ๆ “ในความมืดน่ะ จะทำอะไรก็ได้ไม่มีใครเห็นหรอก เข้าใจหรือยัง” นัยน์ตาคลาร่าฉายแววเจ้าเล่ห์ ฉันทำได้เพียงผงกหัว เพราะปากยังอ้าค้างอยู่ ในใจก็คิด “จริงหรือ ในเต๊นท์เลยหรือ” คลาร่าเลยเสริมต่อ “เมื่อวาน ทอม ประธาน SAS ก็ควงสาวเข้าเต๊นท์ไปตั้ง 4 คน อ้าวไม่รู้อะไรเลยหรือ” ฉันลืมคิดไปว่าฉันกำลังอยู่ในสังคมที่เปิดกว้างสำหรับเรื่องเหล่านี้ ความอิสระ และ สิ่งมึนเมา ทั้งคู่ล้วนเป็นสิ่งล่อใจที่มีประสิทธิภาพสูง คงจะต้องคอยบอกตัวเอง คอยเตือนตัวเองให้มีสติอยู่เสมอ ไม่ด่วนตัดสินใจทำอะไรด้วยฤทธิ์เครื่องดื่มอัลกอฮอล์ หรือ ฤทธิ์แรงอารมณ์ก่อนที่จะต้องเสียใจในภายหลัง

12.00 นาฬิกา 28/10/03

เต๊นท์หลากสีที่เรียงรายอยู่บนสนามหญ้าเขียวก็เป็นเพียงอดีต อีกไม่นานนักรถโดยสารก็จะมารับเหล่านักศึกษากลับมหาวิทยาลัย ซึ่งหลังจากนั้นแต่ละคนก็คงจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปในที่สุด

ฉันนั่งพิงกองสัมภาระของตัวเองบนสนามหญ้าด้วยความอ่อนเพลีย 3-4 วันที่ต้องตากแดด และ ขาดอาหารโปรตีนทำให้ฉันหมดความกระตือรือร้นไปอักโข คันตัวยิบๆ เพราะไม่ได้อาบน้ำเลยตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ในเมื่อไม่มีห้องน้ำให้ จะลงอาบในสระบัวก็กระไรอยู่

นับแต่วันนี้ไปฉันจะฝึกฝนตัวเองให้มองโลกในมุมของนักโบราณคดีอยู่เสมอ ๆ เป็นการสร้างทักษะโดยการปฏิบัติจริง ฉันอาจจะเริ่มต้นได้ไม่สวยงามเท่าไรนัก แต่มันก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เส้นทางสายนี้ยังอีกยาวไกล แม้ฉันจะเริ่มก้าวแรกได้อย่างไม่มั่นคงและสง่างามนัก แต่ฉันก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังใจที่จะก้าวต่อไปบนทางสายนี้ ทางที่ฉันเลือกเดิน

ป.ล. ภาพประกอบเอามาจาก http://mikopi.image.pbase.com/u23/richday/small นะคะ พอดีตอนไปไม่ได้เอากล้องไป ต้องนอนเต๊นท์ กลัวจะหายง่ะ บริเวณกางเต็นท์อยู่ถัดไปทางซ้ายมือของในรูป เป็นสนามหญ้าเขียวๆ สวยงามน่าอยู่ (แต่ตอนนั้นแอบคิดถึงบ้าน)


วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2549

เรื่องของแสง...


แสงสีต่างๆ กันก็ให้อารมณ์ต่าง ๆ กันไปนะคะ...บางทีจ้องมองดวงอาทิตย์ลดต่ำลงไปเรื่อยๆ จนฟ้าเริ่มเป็นสีฟ้าเข้ม...น้ำเงินแก่..ม่วง จนถึงมืดค่ำ ก็ให้ความเพลิดเพลินมากเหมือนกัน

ปล่อยใจให้สงบ อยู่ในห้วงความคิดของตัวเองเงียบๆ แค่มองแสงที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปเฉย ๆ ก็บ่งบอกถึงสัจธรรมได้หลายๆ ประการ



Beneath the last gleams of daylight,

I wish I had someone to hold me tight,

Sadly there is no one here but me,

That is what it’s really meant to be

ปกติยามเย็น...จะถูกโยงไว้กับอารมณ์เศร้า...แต่ยิ้มว่าบางทีมันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบเงียบๆได้เหมือนกันนะ ส่วนความรู้สึกที่สัมผัสได้บ่อยที่สุดเวลามองดวงอาทิตย์ยามสนธยา...ก็คงเป็นความเหงานั่นเอง ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกเสียดาย ที่ดวงตาแห่งยามกลางวัน กำลังจะลับหายไป



Beneath the burning afternoon light,

The only eye of the day melts down my might,

So lonesome, like getting lost in the crowd.

Would you help me? Or would you let me drown?



ท่ามกลางแสงแดดร้อนแรงของยามบ่าย น้อยคนคงจะรู้สึกเดียวดาย เนื่องเพราะความสว่างและไอร้อน แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ...คนทุกคนย่อมมีช่วงที่จิตใจอ่อนแอ และในยามที่จิตใจตกต่ำที่สุดนี่เอง ต่อให้อยู่กลางฝูงชนและแสงแดดจ้า ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคล้ายกับหลงทาง...รู้สึกเหมือนถูกดึงดูดลงไปในสายน้ำวนแห่งความเหงา เวลาที่เห็นใครสักคนคนเดินเข้ามาอยู่ใกล้ๆก็อาจจะเกิดความรู้สึกอยากจะถามไปว่า "จะช่วยดึงเราออกไปจากที่นี่ได้ไหม..."  ความหวังอาจจะไม่มีหรือมีน้อยนิด แต่ถ้าไม่ถาม...เราก็คงจะจมหายไปกับกระแสแห่งความอ้างว้างจนหาทางออกไม่ได้





Beneath the dimming light of the night,

I wish there was a flame glowing inside,

To warm me up and give me cheers,

But all that I have is drops of tears….



เมื่อแสงอาทิตย์ลับหายไปแล้ว...ความเย็นของอากาศก็เข้ามาแทนที่ ลมอุ่นๆของยามบ่ายก็อาจกลายเป็นลมที่เย็นบาดผิว แสงสีสุดท้ายของวันค่อยๆจางลง ความเหงา โดดเดี่ยว ที่ต้องเผชิญมาทั้งวัน อาจจะทำให้รู้สึกฮึกเหิม...อยากลุกขึ้นต่อสู้กับมันบ้าง

เมื่อนั้น...ความเข้มแข็งที่ยังเหลืออยู่ ก็เป็นเหมือนเปลวไฟดวงเล็กๆ แต่ให้ความอบอุ่นกับหัวใจ (ที่อ้างว้าง..ดังเดิม)

เหมือนจะหลอกตัวเองได้สักพักใหญ่...ว่าเราก็เป็น Independent woman อยู่ได้ด้วยตัวเองและมีความสุขกับปัจจุบัน แต่เมื่อลุกขึ้นจากจุดที่นั่งมองดวงอาทิตย์เพื่อเตรียมที่จะเดินกลับที่พักก็จะเริ่มระลึกได้....

ยังไงๆ ก็ต้องอยู่คนเดียวเหมือนเดิม...
ความเหงาก็ถูกพับเก็บไว้ที่เดิม
ชีวิต...ต้องก้าวต่อไป
แล้ววันหน้า...ค่อยกลับมาเหงาใหม่


วันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2549

นิราศลอนดอน 2001


ตอนแรกตั้งใจจะใช้ส่วนนี้เล่าถึงสถานที่ที่เคยเที่ยวมาน่ะค่ะ ^ ^ ก็มีทั้งในและนอกประเทศ แต่ว่าก็คงจะเริ่มต้นจากประเทศอังกฤษก่อน เพราะทุกอย่างเริ่มต้นที่นี่...เรียกว่าออกมาจากอ้อมอกพ่อแม่ก็เริ่มเดินที่นี่ก่อนเลย พอดีเคยแต่งกลอนเอาไว้แล้วเป็น นิราศ uk แต่ว่า ท่าทางคงจะไม่ได้เขียนถึงเมืองอื่นๆ แน่ๆ เลย ช่วงนี้หมดไฟเขียนกลอนแล้วล่ะ ขอลงไปก่อนนะคะ

ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว ตั้งใจว่าจะเอาไว้เขียนกลอนแทน ที่เที่ยวเขียนด้านบนดีกว่า มีรูปด้วย

หมายเหตุ: บังเอิญว่า นิราศลอนดอน เคยมีแล้วเสียด้วยสิ...คงต้องเติมปีที่เขียนเอาไว้ แล้วตอนต่อ ๆ ไปจะเริ่มขยับขยายไปเมืองอื่น ๆ ออกแนวหนังสือท่องเที่ยวค่ะ

ส่วนรูปที่ลง ไม่ได้พูดถึงในนี้เลย -_-   แปะไปก่อน ง่วงๆอยู่ตอนนี้ ไว้ค่อยไปค้นหารูปที่เกี่ยวทีหลังนะค้า....

เมื่อนกเหล็กทะยานลู่สู่เวหาบนฟากฟ้าสุกสกาววาวดาราพสุธาก็พร่างพราวดาวบนดิน

 มองไม่เห็นดวงดาวในดวงตา

ความเหนื่อยล้าคงกลบลบเสียสิ้น

เพลานี้ต้องพลัดไปถึงไกลถิ่น

สู่แดนดินนามเลื่องเมืองผู้ดี



นั่งสับสนข้างในให้ไหวหวั่น

จะทำอย่างไรกันใจฉันนี้

อยากลิ้มรสอิสรภาพความเสรี

เป็นสิ่งที่ไม่เคยมี ตลอดมา



อีกใจหนึ่งให้เศร้าเฝ้าพะวง

ด้วยพ่อแม่ท่านคงถวิลหา

เมื่อลุกนกบินไกลจนสุดหล้า

บินไปจนลับตาขอบฟ้าคราม



ไม่อาจข่มตาลงให้หลับได้

ด้วยข้างในระดมไปด้วยคำถาม

ด้วยอยากมีอนาคตที่งดงาม

ด้วยครั่นคร้ามต่อเส้นทางข้างหน้าเรา



Heathrow ช่างคลาคล่ำด้วยผู้คน

ช่างวุ่นวาย สับสน ในยามเช้า

แต่ไม่อาจลบเลือนเกลื่อนความเหงา

และไม่อาจลบเงาเศร้าทรวงใน



เพียงไม่นานก็พบกับเจ้าหน้าที่

ผู้แสนดีจัดการเรื่องกระเป๋าให้

สำนักงาน ก.พ. อยู่เสียไกล

นั่งเหม่อมองออกไปตามรายทาง



จะมัวนั่งทุกข์ระทมก็ใช่ที่

ยิ่งเผาไหม้ฤดีให้อ้างว้าง

นั่งสังเกตพุ่มพฤกษ์ตามทุ่งกว้าง

แล้วปล่อยวางความหมองหม่นบนทางจร



อีกไม่นานก็ถึง สำนักงาน

เปรียบเหมือนบ้านนักเรียนไทยในวันก่อน

ณ วันนี้ก็ยังเป็นเช่นรังนอน

เหล่านักเรียนได้พักผ่อนหย่อนอารมณ์

  

ปล่อยความคิดล่องลอยไปใน Hyde Park

มวลดอกไม้หลายหลากช่างงามสม

เดินเลียบฝั่ง Serpentine กลางสายลม

มองกระรอกตา-กลมวิ่งลับไป





มองหงส์ห่านในลำธารว่ายเป็นคู่

คนที่ฝันไม่รู้อยู่หนไหน

มองผิวน้ำเรื่อแดดแผดเผาใจ

เดินต่อไปบนทางเปลี่ยวทนเดียวดาย





Albert memorial ตั้งตระหง่าน

สูงตระการคู่สวนกว้างไม่ห่างหาย

อยากมีคนคอยอยู่คู่เคียงกาย

ยังไม่วายย้อนมาเหงาเศร้าในทรวง



China town แออัดด้วยฝูงชน

ยังมากล้นแม้เวลาจะเลยล่วง

ยามราตรีสว่างไสวไฟทุกดวง

แสนเป็นห่วงแมลงหลงแสงไฟ



เดินท่องไปถึง Covent Garden

ดูโดดเด่นน่าเดินเล่นเป็นไฉน

แด่ผู้มีศิลปะในหัวใจ

สาขาใดแสดงได้ไม่ว่ากัน



เมื่อตกดึกได้เวลาสนทนา

เรื่องมากมายสรรหามาสร้างสรรค์

บ้างค้นหา topic ประจำวัน

บ้างก็ดูเพ้อฝันจำนรรจา





อยู่ไกลบ้านมีเพื่อนกันเพียงเท่านี้

คุณภาพดี ๆ สำคัญกว่า

ปริมาณมากเท่าไหร่ไม่นำพา

อีกไม่นานต้องจากลาสู่ทางตน



ยิ่งคิด มากเท่าไรให้ใจสั่น

ยิ่งใกล้วันต้องจากไกลให้สับสน

มิตรภาพหยั่งรากไว้ในใจคน

อีกไม่นานคงงอกต้นบนผืนดิน



ชีวิต (ไม่) ธรรมดาของนักขุด: บทนำ


Rating:★★★★★
Category:Other
เรื่องแรกเลย ^ ^ ใส่ 5 ดาวไว้ก่อน จริง ๆ แล้ว ดาวก็ไม่ได้มีความหมายอะไร อิอิ เพราะว่าไม่ได้ตั้งใจจะใช้เขียน review อยู่แล้ว ตั้งใจจะเอาไว้เขียนเล่าเรื่องต่างหากล่ะ


20-06-2004

“หนูมากับพวกนักขุดหลุมศพรึเปล่าจ๊ะ”

เสียงร้องทักทายจากผู้ดูแลพื้นที่พักแรมที่ฉันต้องฝากชีวิตเอาไว้เกือบหนึ่งเดือนเต็มตลอดการขุดค้นครั้งหนึ่งในประเทศอังกฤษทำให้ฉันเกือบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เพราะแกใช้คำว่า Grave digger ซึ่งแปลได้ตรงตัวว่า “นักขุดหลุมศพ” ที่ฟังดูน่ารักน่าชัง

ในสายตาของคนทั่วไป ภาพพจน์ของพวกเราคงไม่ต่างอะไรจากนักล่าสมบัติสุดขอบฟ้า ตามแบบตัวเอกภาพยนตร์ดังหลายเรื่องหลากรส ที่วันหนึ่งๆก็ไม่ทำงานทำการอะไร นอกจากเดินตามลายแทง ผ่านป่าดงดิบต่อสู้ฝ่าฟันกับสัตว์ดุร้ายและชนเผ่าพื้นเมืองเพื่อหวังจะค้นพบโบราณวัตถุล้ำค่าและมาไว้ในครอบครอง

ไม่อยากจะบอกเลยว่าเป็นความคิดที่ผิดถนัด

ชีวิตนักโบราณคดีที่แท้จริงไม่คล้ายชีวิตของตัวเอกภาพยนต์เหล่านั้นแม้แต่นิดเดียว
ทุกๆครั้งที่ฉันเอ่ยว่าฉันเรียนโบราณคดี คนรู้จักคุ้นเคยแทบทุกคนก็มักจะถามกลับว่า

“อยากไปขุดสมบัติหรอ”

“จะไปคุ้ยหาอะไรล่ะ กรุสมบัติถูกขโมยไปไม่เหลือแล้ว”

และทุกครั้งที่ฉันบอกว่าฉันพึ่งลงสนามภาคปฏิบัติมา ทุก ๆ คนจะต้องถามกลับว่า
“แล้วขุดเจอของอะไรบ้างล่ะ”

จริงอยู่ที่ว่าการค้นพบโบราณวัตถุที่สำคัญ ๆ เป็นความต้องการอันสูงสุดของนักโบราณคดี แต่คำว่าโบราณคดีนั้นมิได้หมายถึงการขุดค้นเพื่อให้ได้มาเพื่อวัตถุเพียงอย่างเดียว งานของพวกเรารวมถึงภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติและ วิธีการพิเศษต่าง ๆ มากมาย ก่อนที่หน้าดินแต่ละชั้นจะถูกเปิดออกมานั้น นักวิชาการต้องค้นคว้า วิจัยจนมีหลักฐานยืนยันแน่นอนแล้วว่าบริเวณนั้นๆ มีแนวโน้มที่จะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ซึ่งผลจากการวิจัยก็จะนำมาซึ่งการสำรวจจากระยะไกล เช่นภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถ่ายจากดาวเทียม การสำรวจด้วยเรดาร์และการสำรวจสภาพทางภูมิศาสตร์และทางธรณีวิทยา แม้จะได้ผลสำรวจที่ทำให้แน่ใจแล้วว่ามี “อะไร” ซ่อนอยู่ใต้ผืนแผ่นดินนี้ แต่นักโบราณคดีก็ยังไม่สามารถ “ขุด” เพื่อค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ทันที เรื่องของตัวบทกฎหมาย และ กรรมสิทธิ์ของที่ผืนนั้นๆ ก็ยังเป็นปัญหาให้เหล่านักขุดต้องเก็บมาขบคิด และถึงแม้ว่าจะได้รับอนุมัติให้ขุดค้นได้แล้วก็ยังไม่สามารถเปิดหน้าดินออกมาได้ทั้งหมด เพราะกระบวนการขุดค้นเป็นกระบวนการที่ย้อนกลับไม่ได้ หลักฐานทางโบราณคดีสามารถถูกทำลายได้เพียงพริบตา และนั่นหมายถึงอดีตที่สั่งสมยาวนานนับพันปีอาจถูกเก็บเป็นความลับชั่วนิรันดร์ การขุดหลุมทดสอบขนาดเล็กเพื่อตรวจหาลักษณะทางโบราณคดีจึงเป็นการสร้างความมั่นใจครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเริ่มการขุดจริง

ทุกครั้งที่ปลายเกรียง (อุปกรณ์ในการขุดขนาดเล็กเหมือนช้อนพรวนแต่ปลายแหลม) เจาะลงไปในดิน เหล่านักโบราณคดีมิได้หวังจะให้เจอซากมนุษย์ดึกดำบรรพ์ เครื่องปั้นดินเผา หรือ อาวุธหินใดๆ ทั้งสิ้น พวกเราต่างหวังที่จะได้เรียนรู้เรื่องราวแห่งอดีต จากการทับถมของดินและซากปรักหักพังพร้อมทั้งการเปลี่ยนแปลงในดินทุกอย่างที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ และ ธรรมชาติ การละทิ้งพื้นที่บริเวณใด บริเวณหนึ่ง การทิ้งขยะ การสร้างอาคารบ้านเรือน ล้วนทำให้เกิดชั้นแห่งการสะสมของวัสดุทางธรรมชาติ วัสดุที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งจัดว่าเป็นหลักฐานทางโบราณคดีทั้งนั้น

แม้การขุดค้นจะเสร็จสิ้น แต่งานของเราก็ยังไม่เสร็จสิ้น เมื่อพบโบราณสถาน นั่นก็หมายถึงงานขุดแต่งที่จะตามมา โบราณวัตถุกองโตก็หมายถึงงานในการแยกหมวดหมู่ ขัดล้าง อนุรักษ์ และส่งมอบให้พิพิธภัณฑ์ มิใช่เรื่องสนุก และเรียบง่าย เหมือนนักผจญภัยตามล่าลายแทงอย่างที่ภาพภายนอกบ่งบอกเอาไว้แม้แต่น้อย

ฉันโชคดีที่ได้มีโอกาสข้ามน้ำข้ามทะเลมาศึกษาวิชาโบราณคดี ณ ประเทศอังกฤษ เพราะอย่างน้อยก็มีโอกาสได้ร่วมงานขุดค้น และ งานโบราณคดีในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่เพียงการขุดที่ล้วนน่าสนใจอยู่หลายครั้ง ฉันยังจำคำปาฐกถาก่อนที่จะได้ลงภาคสนามอย่างจริง ๆ จัง ๆ ได้ดี

“เมื่อพวกเธอมีอาวุธประจำกายแล้ว ก็เริ่มเป็นมืออาชีพแล้วนะ เป็นนักโบราณคดีก็หมั่นค้นคว้าหาความรู้เอารอบตัว ใช่ว่าเราจะเรียนได้ทุกสิ่งทุกอย่างเสียเมื่อไหร่ วิชาชีพใด ๆ ก็ตามต้องการการเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น โบราณคดียิ่งเป็นศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอดังนั้นเราจะนิ่งนอนใจถือว่าตัวเองรู้ดีที่สุดไม่ได้ ประสบการณ์น่ะ ดูกันที่ขนาดของเกรียงนะจ๊ะ ยิ่งเล็กยิ่งถือว่ามากด้วยประสบการณ์ ก็ปกติพวกนักโบราณคดีจะพกเกรียงแค่อันเดียวจนกว่ามันจะกร่อนสลายไป หรือว่าจนกว่ามันจะหักกลาง ถ้าซื้อของดี ๆ ก็อยู่ได้เป็นสิบปี อาจารย์ก็ใช้ตั้งแต่อันขนาดเท่าของเธอ จนเล็กขนาดนี้ไงล่ะ”

แล้วอาจารย์ผู้สอนภาคปฏิบัติคนแรกของฉันก็งัดอุปกรณ์ของตัวเองมาเทียบขนาด ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อว่าขนาดมันต่างกันแบบครึ่งต่อครึ่ง ฉันก็คงได้แต่เฝ้ารอเวลาว่าเมื่อมื่อไหร่ฉันจะได้ผันตัวเองจากหนอนคลานเชื่องช้า เป็นผีเสื้อตัวงามในวงการโบราณคดีนี้บ้าง

พวกอาจารย์สอนผู้วิชาโบราณคดีมักจะเป็นกันเอง ไม่ถือเนื้อถือตัวว่าตัวเองเป็นอาจารย์ ไม่ว่าตำแหน่งจะสูงเป็นถึงดอกเตอร์หรือโปรเฟสเซอร์ก็ไม่เคยติดทำเนียบเจ้ายศเจ้าอย่าง ถึงเวลาต้องลงปฏิบัติก็คลุกดินคลุกทรายด้วยกัน ฉลองยามค่ำคืนด้วยกัน เจ็บปวดจากอาการเมาค้างด้วยกันด้วยกันเสมอ ๆ

“จำเอาไว้นะ พวกเรานักโบราณคดี ต้องอยู่ง่ายกินง่าย ไม่มีน้ำอาบก็อย่าบ่น อาจารย์เคยแม้กระทั่งพกแปรงสีฟัน ยาสีฟันติดกระเป๋ามาแล้ว เข้าผับ หรือร้านอาหารที่ไหนก็แอบไปล้างหน้าแปรงฟันเข้าห้องน้ำที่นั่น พวกเราสบายแค่ไหน เดี๋ยวนี้น้ำไฟ ห้องน้ำเข้าถึงเกือบหมดแล้ว จะรู้รสชาตินักขุดที่แท้จริงได้ยังไง”

อยากจะบอกอาจารย์เหลือเกินว่าเราเกิดคนละยุคคนละสมัยกัน ก็สมัยที่อาจารย์ไปขุดฉันอาจจะยังไม่ตั้งไข่เสียด้วยซ้ำ นักขุดยุค 70 หรือ 80 จะเทียบเทียมกับยุคสหัสวรรษใหม่ได้หรือ พวกเราเกิดมาพร้อมกับวิทยาการและสาธารณูปการที่นับวันก็จะยิ่งพัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไป อาจารย์กล่าวปิดท้ายได้น่าฟัง

“ไม่ว่าจะเลวร้ายยังไง ต้องจำไว้นะ ว่าชีวิตนักโบราณคดีจริง ๆนี่มันต่างจากในหนังอย่าง Indiana Jones หรือ Lara Croft มาก พวกนั้นน่าจะเรียกว่านักล่าสมบัติมากกว่า พวกเรามีหน้าที่ขุดเพื่อศึกษา ทุกๆ ครั้งที่พวกเธอแซะหน้าดินออกพวกเธอต้องเข้าใจว่ามันอาจจะกระทบกระเทือนและส่งผลต่อหลักฐานทางโบราณคดีได้ เราจะรบกวนสิ่งเหล่านั้นให้น้อยที่สุด เราขุดดินเพียงเพื่อต้องการศึกษาว่าที่ตรงนั้น ๆ เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาบ้างเกิดขึ้นซ้อนทับกันหรือเปล่า หรือที่เรียกกันว่า ศึกษา Stratigraphyของดิน วัตถุที่ได้ก็เป็นเพียงผลพลอยได้ เราศึกษาแล้วเราอาจจะฝังคืนที่เดิม หรือส่งให้พิพิธภัณฑ์ ถ้าพวกเธอเก็บของเหล่านั้นไว้เองอย่างพวกนักล่าสมบัติ เธอก็ไม่ต่างอะไรจากโจรปล้นวัตถุที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีอย่างไม่มีวันให้อภัยได้”

คำเทศนายาวเหยียดเปี่ยมไปด้วยความจริงจัง ต่างจากอาจารย์คนเดิมที่มักจะแฝงแววอารมณ์ดีอยู่เสมอในทุกคำพูด โสตประสาทของฉันก็ซึมซับเอาหลักการนี้ในทุกอณู ฉันยอมรับว่าครั้งหนึ่งฉันก็อยากมีชีวิตผจญภัย ออกตามล่าหาสิ่งมีค่ามาเติมความหมายให้ชีวิตอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนบุคคลในนิยายพวกนั้นเช่นกัน แต่ตอนนี้ฉันอยู่ในโลกแห่งความจริง ฉันต้องมีจรรยาบรรณ มีความรับผิดชอบในหน้าที่ที่ฉันต้องทำ

เพื่อนที่เรียนโบราณคดีคนหนึ่งเคยกล่าวว่า “โบราณคดีคืออากาศ ขาดไม่ได้” เมื่อฉันได้ยินก็หัวเราะด้วยความชอบใจ เข้าใจคิดเหลือเกิน ทั้งสัมผัส และ โวหาร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประโยคนี้ก็กลับมาตอกย้ำในความรู้สึกอยู่เสมอ ๆ แม้ว่าตอนอยู่ที่ไซต์ขุด สภาพความเป็นอยู่จะเลวร้ายเพียงไหน ไม่ว่าตอนนั้นฉันจะอยากกลับบ้านมากเท่าไร แต่ไม่เคยเลยที่ฉันจะไม่ใจหายเวลาหันหลังเดินออกมาจากที่เหล่านั้น ใจหายหรือ คำนี้ยังใช้บรรยายได้ไม่ลึกซึ้งพอด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเหมือนชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งมันหลุดออกไปจากภาพที่ประกอบจนสมบูรณ์แล้ว

ยิ่งลองมองย้อนไปถึงภาคปฏิบัติทั้งหลายที่ผ่านมา....

จริง ๆ ด้วย... ถ้าฉันไม่ได้เรียนโบราณคดี ชีวิตนี้คงไม่มีความหมายอีกแล้ว

(tbc)

Scotland (February 2004)


Loch Lomand

สก็อตแลนด์ทริปนี้...พาเพื่อนสาวไปเที่ยวค่ะ เพื่อนแวะมาหาถึงที่ก็ต้องเอาใจหน่อยเนอะ...อิอิ สก็อตแลนด์เป็นเมืองที่มีเสน่ห์แบบแปลกๆ เหมือนกัน...ลองจินตนาการอะไรที่ห้าวหาญแต่อ่อนหวาน นั่นแหละค่ะ นิยามของมัน

เมือง Edinburgh เมืองหลวงของสก็อตแลนด์จะมีสถาปัตยกรรมที่แข็งๆ ถ้าเทียบกะ England แต่ว่าปี่สก็อตที่บรรเลงอยู่ทั่วไป กับความงามของธรรมชาติ (เนินเขา แสงอาทิตย์) ทำให้ทุกอย่างดูอ่อนโยนลง...บรรยายไม่ถูกเลย

ส่วน Highland หรือ สก็อตแลนด์ส่วนที่เป็นเผ่าต่างๆ นั่นยิ่งน่าลึกลับค้นหาค่ะ ลักษณะภูมิประเทศแบบเทือกเขาสูง เต็มไปด้วยทะเลสาบ ยิ่งหนุ่มไฮแลนเดอร์ ยิ่งน่าค้นหาไปใหญ่ ก็แหม ฝรั่งผมสีเข้มตาสีออกเขียวๆ เทาๆ สำเนียงพลิ้วไหว (แต่ฟังยาก) น่าค้นหาจะตาย แล้วพวกนี้ก็ แข็งแรง (ล่ำ) และ คอแข็ง (ทนทานต่อ Scotch Whisky) และมีอารมณ์ขัน น่าร้ากกกกก