วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Hello Santorini !!




1-2 October 2008

พอพี่เต่าอัพรูปแล้ว เราก็อัพต่อมั่ง ^ ^' ไม่ใช่อะไรหรอก จะได้ใส่ link บล็อกพี่เขาให้ไปดูรูปเพิ่มเติมได้ด้วยน่ะค่ะ แหะๆ พี่เต่าบันทึกรูปไว้ละเอียดดี

ในที่สุดก็มาถึง Santorini จนได้...

ประโยคข้างบนไม่ได้หมายถึงความยากลำบากในการเล่าเรื่องประกอบแต่ละอัลบั้มเรื่อยๆ มาจนถึงอัลบั้มนี้อย่างเดียวนะคะ ยิ้มหมายถึงการเดินทางข้ามจาก Kusadasi (เมืองของตุรกี) มา Samos จาก Samos ต่อมาถึง Piraeus (ที่ Athens) แล้วจาก Piraeus มาถึง Santorini ซึ่งใช้เวลา 2 + 8 + 8 ชั่วโมงด้วย

อื่ม... ขอเรียกการเดินทางส่วนนี้ว่า Ferry Experience ก็แล้วกัน เพราะใช้เวลานานมาก..มากเสียจนไม่อยากนั่งเรืออีกในระยะเวลาปี - สองปีนี้ เพราะแค่ 2 วันนี่ เราก็นั่งมาตั้งแต่เรือข้ามฟาก(ขนาดประมาณเรือประมงข้ามไปเกาะเสม็ด) เรือเฟอรี่ขนาดกลาง และเรือเฟอรี่ขนาดใหญ่อลังการ ยิ้มไม่ได้ถ่ายรูปช่วงนั้นไว้เลย คงต้องไปดูรูปจากบล็อกพี่เต่า (เช่นเคย) ที่ http://tktao.multiply.com/photos/album/34 และรวดชมภาพสวยๆ บนเกาะ Santorini ที่ http://tktao.multiply.com/photos/album/35

อ่อ พอมีรูประหว่างเดินทางให้เห็นเป็นน้ำจิ้มนิดหน่อยนะคะ



บ๊าย บาย Kusadasi นั่งเรือออกมาจากตุรกี


ประสบการณ์แบบเรือๆ ของเรา มาถึงจุดพีคในช่วงที่ต้องขึ้นเฟอรี่ขนาดใหญ่จาก Samos ไป Piraeus เพราะเราจองตั๋วแบบถูก เนื่องจากตั๋วนอนราคาสูงปรี๊ดด...แตะ 100 กว่ายูโร ตอนซื้อคนขายก็รับคำมั่นเหมาะว่าไม่หนาวแน่นอน ถึงจะเป็น upper deck แต่ก็มีหลังคาปิดมิดชิด เราก็วางใจ ลากกระเป๋าเดินขึ้นเรือหรูหรา กว่าจะถึงห้องโดยสารชั้นบนก็ต้องเดินขึ้นบันไดเลื่อนตั้ง 2 ชั้น ก็เลยคิดไปว่าถ้าเรือหรูแบบนี้ ที่นั่ง upper deck ก็คงไม่แย่มากนักหรอก

แต่พอมาถึงจุดตรวจตั๋ว...เค้าชี้ให้พวกเราออกไปอยู่นอกห้องโดยสารค่ะ ท่านผู้อ่าน ออกไปตรงส่วนท้ายและส่วนระเบียงเรือ = =

upper deck มันมีหลังคาปิดก็จริง แต่ที่นั่งที่เขาจัดให้แบบว่า เอ่อ...เหมือนไม่ได้ทำมาให้คนโดยสารเลย รู้สึกเข้าใจ Jack Dawson แห่ง Titanic ขึ้นมาทันที เกิดอารมณ์อยากออกไปเดินเล่นที่หัวเรือ กู่ร้องตะโกน "I'm the king of the world" ให้เหมือนในหนังด้วย โชคร้าย..เขากั้นเอาไว้ไม่ให้คนเข้าไปที่หัวเรือ หุหุหุ แต่ก็ดีแล้วแหละ..น่ากลัวจะตาย แค่ยืนตรงระเบียงตรงส่วนข้างของเรือ มองลงไปข้างล่างยังขาสั่นเลย มันสูงมากกก สูงเหมือนตึกหลายชั้น แล้วน้ำที่มากระทบข้างเรือก็แรงจนยิ้มไม่แน่ใจว่าถ้าตกลงไปจะรอดมั้ย ผืนน้ำก็ลึกล้ำดำมืดจนมองไม่เห็นอะไร ดำ...จนเหมือนกับหลุมลึกที่ดูดเอาชีวิตของใครก็ได้ที่เข้าไปใกล้ บรื๋อ...

แต่กระนั้นก็ดี พอดึกๆ ไปแล้ว เราก็พากันเสด็จเข้าไปนอนในห้องโดยสารอย่างไม่กลัวฟ้าดิน แหม...ก็ห้องโดยสารมันว่างออกขนาดนั้น ถ้าจะไล่ให้คนออกไปนอนข้างนอกมันก็ใจร้ายไปหน่อยแล้วล่ะ

รุ่งเช้าเรือก็เข้าเทียบท่า Piraeus เราก็วิ่งๆ ๆ ๆ จากท่าหนึ่งไปขึ้นเรือที่อีกท่าหนึ่ง เหงื่อออกซ่กๆ แต่ก็ได้อารมณ์ดี ที่นั่งเป็น upper deck เหมือนเดิม แต่เดินทางกลางวัน..ไม่เป็นไร อากาศยังไม่หนาวมาก พอเรือแล่นออกจากท่า แสงสีส้มก็เริ่มทอทาบท้องฟ้าพอดี



ฟ้าสางที่ Piraeus



พอผ่านช่วง Ferry Experience เราก็ล่องเข้ามาในส่วนที่เรียกว่า lagoon (เดี๋ยวค่อยอธิบายการเกิด lagoon ข้างล่างนะคะ) จากบนเรือมองไปสองข้างจะเห็นทิวทัศน์ต่างกัน มองไปทางซ้ายจะเห็น Oia (อ่านว่าเอียร์) เป็นหมู่บ้านที่อยู่ปลายปลายแหลมของเกาะ มีบ้านเล็กบ้านน้อยแบบกรีกลดหลั่นเกาะอยู่ตามหน้าผา น่ารัก สวยงาม ส่วนทางขวามือจะเป็นเกาะภูเขาไฟดำทะมึนแปลกตาแต่น่าเกรงขาม



พอเรือเทียบท่า..พวกเราก็กระโดดขึ้นรถตู้ของโรงแรมซึ่งบริการได้ดีจริงๆ เจ้าของโรงแรมออกมารอถึงหน้าปากซอย แล้วก็พาเราเดินลัดเลาะลงไปตามตรอกเล็กๆ เราก็เดินตามเขาไปงุดๆ เพราะว่าเหนื่อยบวกกับอยากอาบน้ำเต็มแก่ พอมาถึงหน้าห้องแล้วก็เงยหน้าขึ้นจากกระเป๋าลาก แล้วก็..
.
.

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด........
.
.
สวยมาก มันสวยมากจริงๆ ค่ะ สวยจนบรรยายไม่ถูก เลนส์กล้องคงไม่สามารถซึมซับความสวยได้เท่าเลนส์ตา และ Memory Card ก็คงไม่สามารถบันทึกความทรงจำและบรรยากาศได้ดีเท่ากับการรับรู้ของมนุษย์ (จริงๆ ถ้าเป็นคนถ่ายรูปเก่งก็คงทำได้หรอกนะ แต่ข้าพเจ้าไม่ถนัด เลยหันไปเก็บภาพใส่กล่องความทรงจำดีกว่า)

โรงแรมที่พักชื่อ Irini's เกาะอยู่บนหน้าผาเกือบจะถึงส่วนยอด ใต้ห้องพักของเรามีอาคารอื่นๆ ลดหลั่นลงไปอีกหลายชั้น มองลงไปเห็นน้ำสีเขียวอยู่เบื้องล่าง และเห็นหมู่บ้านสีขาวๆ แบบกรีกอยู่ใกล้ๆ และไกลออกไป เกาะภูเขาไฟตั้งอยู่ตรงหน้าเด๊ะเลย แถมโรงแรมเรายังมีระเบียงยื่นออกไปไว้รับลมชมวิว มีอ่างจากุชชี่น้อยๆ น่ารักให้แช่เล่นอีก (แต่น้ำเย็นเป็นบ้าเลย) โอ...พี่เต่าเลือกโรงแรมได้ดีจริงๆ เลยค่ะ ไม่พลุกพล่านด้วย เพราะอยู่ในเขตที่ไม่ใช่ Fira (ศูนย์กลางของเกาะ) และ Oia (จุดที่คนชอบไปดูพระอาทิตย์ตก) ความเหนื่อยล้ามลายหายไปทันใด เมื่ออยู่ในบรรยากาศแบบนั้น ล้างหน้าล้างตานิดหน่อยก็พร้อมจะออกไปลุยต่อได้



เอาล่ะ..อัลบั้มนี้เราหลบออกมาจากบรรยากาศโบราณคดีนิดนึงละกัน ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วเกาะ Santorini ก็เป็นเกาะที่มีประวัติมายาวนานน้า...ที่นี่มีไซต์แหล่งอารยธรรม Minoan อยู่ (อารยธรรมกรีกที่รุ่งเรืองมาก่อนอารยธรรมแบบ Classical และ Hellenistic ที่พวกเราคุ้นเคยกันดี - ก็พวก column, capital อะไรนั่นไงคะ) แต่ด้วยความที่พวกเราปฏิบัติต่อ Santorini ประหนึ่งเป็นสถานท่องเที่ยวทางทะเล ก็เลยลืมๆ ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ไปบ้าง เอ้า..พักผ่อนสบายๆ มั่ง

สิ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนมากอยากจะเห็นก็คือ..ตะวันตกดินที่ Oia ซึ่งต้องนั่งรถไปอีกหน่อย พวกเราไปถึงประมาณเกือบๆ หกโมง พอมีเวลาเดินเล่น ถ่ายรูป ชมของที่ระลึกอีกนิดหน่อย หมู่บ้านของเขาน่ารักมาก อาคารแต่ละหลังจะออกแนวเรียบๆ ทาสีสว่างๆ รูปร่างคล้ายกล่อง ดูคล้ายกันหมดทั้งหมู่บ้าน เป็นระเบียบ ขนาดกะทัดรัด น่ารักเหมือนบ้านตุ๊กตามากกว่าจะเป็นบ้านคนอยู่จริงๆ

พอใกล้จะถึงปลายแหลมที่ Oia ดวงอาทิตย์ที่หายไปทั้งวันก็โผล่ออกมาให้เราเห็นนิดหน่อย แม้ฟ้าจะไม่ใสนัก แต่ก็เพียงพอที่จะให้เราได้เห็นภาพแสงสีทองที่อาบไล้หมู่บ้านสีขาว และลำแสงสีส้มที่สะท้อนแผ่นน้ำก่อนที่จะจางหายไป (หลังก้อนเมฆ)





แล้วนั่นก็ทำให้วันของเรามีคุณค่าขึ้นอีกมากเลย...ในที่สุดพวกเราก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนและรอยยิ้มบนใบหน้า...เฮ้อ...16 ชม. บนเรือจาก Samos ไม่เสียหลายจริงๆ ค่ะ

เช้าวันใหม่เริ่มต้นที่อาหารเช้าที่เสิร์ฟตรงถึงหน้าห้อง ตอนเช้าๆ อากาศขะมุกขมัวนิดหน่อย แต่พอเริ่มย่างเข้าเก้าโมงเช้า พระอาทิตย์ก็ฉายแสงออกมาให้พวกเราได้ไปนั่งทานอาหารบนระเบียง ชมบรรยากาศ อาบแดดอ่อนๆ สบายเหลือเกิน (ยังไม่กลับอังกฤษได้มั้ยเนี่ยยย อยากอยู่อย่างนี้นานๆ)



หลังจากนั้นเราก็จัดการซื้อทัวร์ไปชมเกาะภูเขาไฟ โรงแรมจัดสรรให้ 17 ยูโรเอง แวบแรกที่ได้ยิน อื่ม....ถูกดีจัง แต่เอาเข้าจริงเราก็ต้องเสียค่ารถเคเบิลขึ้นลงท่าเรืออีก 8 ยูโร และค่าขึ้นไปดูปล่องภูเขาไปอีก 2 ยูโร รวมแล้วทั้งหมดตกราคา 27 ยูโร แต่ก็คิดว่าคุ้มอยู่นะคะ เป็นประสบการณ์ที่ดี ได้นั่งเรือกระโดงออกไปด้วย

พอเราขึ้นเรือ ก็จ๊ะเอ๋กับคณะทัวร์คนจีน ขึ้นช้าไปหน่อย คนจีนไปจับจองหัวเรือแล้ว แต่เราก็ยังได้นั่งใกล้ๆ อยู่ดี ขาไปผู้คนออกมารับลมชมวิวกันมากมาย ตื่นเต้นน่ะนะ เรือมันดูคลาสสิค เก๋าดี



นั่งเล่นสบายใจไปเลย


และแล้ว...ก็มาถึงส่วนวิชาการของบล็อกนี้กันนะคะ หุหุหุ (หนีไม่พ้นหรอก - -' ) วันนี้ขอนำเสนอวิชา Geology/Geography นะจ๊าา...

Santorini และเกาะยิบย่อยๆ ใกล้ๆ กัน เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟครั้งใหญ่เมื่อสามพันกว่าปีมาแล้ว สมัยครั้งอารยธรรม Minoan ยังรุ่งเรือง (เขาตั้งชื่อการระเบิดครั้งนี้ว่า the Minoan Eruption) ทำให้เกาะที่เคยเป็นเกาะใหญ่ๆ เกาะเดียวกลายเป็นเกาะย่อยๆ แบบนี้ พอแมกมา (หินหลอมเหลวใต้ภิภพ) ไหลออกมา พื้นที่ตรงกลางก็ถล่มลงไปเป็นหลุมๆ ทีนี้บางส่วนของวงแหวน (เหมือนโดนัทน่ะค่ะ นึกออกมั้ย) ก็ถล่มลงไปด้วย (เหมือนมีคนกัดโดนัทกินไป 1 คำอ่ะค่ะ นึกออกป่าว) ก็จะทำให้หลุมลึกข้างใน เชื่อมต่อกับทะเลด้านนอก เกิดเป็น Lagoon ที่เรือเฟอรี่ของเราแล่นเข้าไปดังนี้แล ลักษณะแบบนี้เขาเรียกว่า Caldera แต่ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่ต้องจำหรอกค่ะ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเดินทางของเราเลย แหะๆ ๆ

ดังนั้น...สรุปเลยดีกว่า ว่าหน้าผาสูงประมาณ 300 เมตรที่เห็นก็เกิดจากการถล่มของผืนดินจากการระเบิดของภูเขาไฟ (ด้านนอกของเกาะถึงเป็นหาดทรายธรรมดา ไม่ได้ดูอลังการและ extreme แบบด้านใน) และ Lagoon ที่เชือมต่อกับทะเลด้านนอกนั้น...เขาว่าลึกถึง 400 เมตรเชียวค่ะ เอิ๊กกกกก มิน่าล่ะ น้ำมันถึงได้สีเข้มขนาดนั้น...

พอมาถึงเกาะภูเขาไฟก็ประมาณ 11 โมงครึ่งเข้าไปแล้ว..อืม จะว่าไป 11 โมง 40 ด้วยซ้ำมั้ง คนขับเรือบอกว่าให้มาเจอกันที่เรืออีกทีตอนบ่ายโมง จะพาไป Hot Spring กรี๊ดดด มีเวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ เองเหรอ ที่จะเดินไปให้ถึงปล่องภูเขาไฟ ยิ้มเงยหน้าต้านแดดขึ้นไปเบื้องบน พระเจ้า สูงนะเนี่ย...แล้วมันไม่เหมือนเดินบนทางธรรมดาๆ นะคะ เกาะภูเขาไปมันมีแต่หินตะปุ่มตะป่ำ ถึงเขาจะกรุยทางเอาไว้เป็นทางเดินแล้ว แต่หินก้อนเล็กๆ ก็ขยันกระเด็นเข้ามาในรองเท้า(แตะ) ให้เจ็บจี๊ดๆ เป็นระยะเสียจริงๆ รองเท้าคู่ชีพที่ใช้งานมา 7-8 ปี ก็ไม่ค่อยจะมีดอกยางแล้ว แต่เอาวะ...สู้โว้ย...ไหนๆ มาถึงนี่แล้วก็ต้องขึ้นไปให้ถึงปล่องภูเขาไฟให้ได้

"โหย มีเวลาแค่ชั่วโมงกว่าเอง สงสัยจะต้องเลือกเอาว่าจะเห็นปล่องภูเขาไฟ หรือเห็น Hot Spring" เสียงน้องโน้ตลอยแว่วมา อื่ม...จริงแฮะ ถ้าเราเอาแต่เดินไปดูปล่องภูเขาไฟ เราอาจจะตกเรือและอดไปดู Hot Spring ก็ได้ ฮ่า ๆ (แอบคิดไม่ได้แฮะ ว่าถ้าเราตกเรือกัน การเดินทางคงจะตื่นเต้นได้กว่านี้อีก)

"แต่เราต้องได้เห็นทั้งปล่องและ Hot Spring สิ" พอโน้ตพูดจบก็ก้าวสวบๆ ๆ ๆ ขึ้นไปทันที เฮ้ยยยย รอด้วยดิ เจ๊แก่แล้ว T-T

ก็เลยเดินขึ้นไปกันด้วยความมานะบากบั่น แวะถ่ายรูปบ้างพอเป็นกระสาย ตั้งเวลาเอาไว้ว่าเที่ยงครึ่งควรถึงยอด แล้วที่เหลือก็เดินกลับลงมาเก็บตกวิวตามรายทาง โอย...แดดร้อนมากค่ะวันนี้ ศศิษยาดำลงไปอีก 20% (รวมกับอีกวันที่ Ephesus ตอนนี้ก็เปลี่ยนสีไปอย่างเห็นได้ชัดแล้ว) อยากเอาเนื้อหมูมาตากทำหมูแดดเดียวจังเลยอ้ะ ร้อนแบบนี้ วันเดียวก็เอาไปทอดกินได้แล้วมั้ง

พอไปถึงก็บันทึกภาพกันไปตามระเบียบ



พอใกล้จะถึงบ่ายโมงเราก็เดินลงไปขึ้นเรือ เพื่อที่เขาจะพาไปว่ายน้ำที่ Hot Spring กรี๊ดดดด ข้าพเจ้าอยากว่ายน้ำ....แต่เนื่องจากตอนแรกคิดว่าอยู่ Santorini แค่วันนิดๆ คงไม่มีโอกาสหรอก ก็เลยไม่ได้เอาชุดว่ายน้ำไป พี่เต่าก็ยุให้ใส่กางเกงขาสั้นลงไปเลย แต่นะ...มันก็ลำบากนี้ดดด นึงง่ะ เลยอาสาเป็นคนถ่ายรูปให้ดีกว่า เรือน้อยแล่นไปจอดที่อีกมุมหนึ่ง แล้วก็ให้นักท่องเที่ยวกะโดดลงไปเล่นน้ำเลย โอว...พระเจ้า...น้ำมันดูลึกมากเลย พี่เต่าและน้องโน้ตเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นเรียบร้อยก็เตรียมจะลงน้ำ แต่ไม่ทันพวกคนจีน ซึ่งแก้ผ้าแล้วกระโดดตูมมม ลงไปเลย

พี่เต่าก้าวลงบันไดไปข้างเรือ แล้วทิ้งตัวลงน้ำอย่างละม่อม

"เฮ้ย มันลึกมาก"

จริงเหรอคะ หุหุหุ งั้นยิ้มก็คิดถูกแล้วล่ะ ที่ไม่ได้ตัดสินใจลงไปว่ายน้ำด้วย โน้ตลงบันไดตามไปติดๆ แล้วสักพักทั้งสองก็พากันว่ายน้ำหายไปเลย ส่องหาอยู่นาน...ในที่สุดก็เห็นพี่เต่าโผล่ที่อีกฟากของเรือพลางชูสองนิ้วเป็นแบบให้ถ่ายรูป พี่เต่าโผล่พ้นน้ำอยู่ได้นานมาก ส่วนโน้ตกลับขึ้นเรือมาแล้ว และบอกว่าน้ำมันลึกจริงๆ ต้องลอยตัวตลอดเวลา เลยขอขึ้นดีกว่า

เวลาผ่านไปสองนาที พี่เต่ายังโผล่พ้นน้ำเหมือนเดิม และยังชูสองนิ้วได้ตลอด เอ...ทำไมลอยคอได้อึดจังแฮะ

"พี่ยืนอยู่บนหินประการังน่ะ"

อ๋อ...นี่เอง ความลับของพี่เต่า แต่ก็ดีแล้วค่ะ จะได้ปลอดภัย ยิ่งพอได้รู้ว่ามันเกิดจากปล่องภูเขาไฟถล่มยิ่งกลัวนะเนี่ย โอ ไม่อยากนึกภาพตามเลย มันคงลึกมาก ๆ ๆ ๆ ๆ จริงๆ ล่ะ

"แต่มันไกลมากเลยนะ ดูจากเรือเห็นอยู่ใกล้ๆ แค่นี้ แต่กว่าจะว่ายไปถึงตรงโน้นได้ เกือบแย่ โชคดีนะที่พี่ไปว่ายน้ำมาทุกวันๆ ก่อนหน้านี้ เลยมีแรง"

พระเจ้า...โชคดีแค่ไหน ที่ศศิษยาไม่ได้ลงไป ไม่งั้นคงหมดแรงที่ 20 เมตรแรกแน่ๆ เอาล่ะ...เอารูปคนจีนที่ว่ายน้ำคล่องอย่างกับเขียดมาฝาก อย่างไรก็ตาม...ถือว่าพี่เต่าและน้องโน้ตใช้เวลาได้คุ้มค่ามากค่ะ ได้ว่ายน้ำในปล่องภูเขาไฟและทะเล Aegean ด้วย เย่ ๆ ๆ



หลังจากกลับมาจากทัวร์เราก็ไปหาอะไรกิน และเดินเล่นจาก Fira กลับไปทีโรงแรม จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้อยู่ห่างกันมากนี่นา ระหว่างทางก็ถ่ายรูปไปด้วย อืม....สวย ไม่อยากไปเลย...อยากอยู่นานๆ แต่ในที่สุดก็ถึงเวลาที่รถจากโรงแรมจะพาไปส่งที่สนามบิน

ถ้ามีโอกาส ยิ้มคงจะกลับมาเยือนอีกแน่นอน ทุกเวลานาทีที่ Santorini เหมือนหลุดเข้าไปในโลกแห่งความฝันชั่วขณะ และเป็นการเติมแบตชาร์จไฟให้กับชีวิต ก่อนที่จะกลับมาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้งได้เป็นอย่างดี

34 ความคิดเห็น:

ipanpook p กล่าวว่า...

เออว่ะ ไปฮันนีมูนมั่งดีกว่า....... ลัลล้า

:D

ipanpook p กล่าวว่า...

เหมือนบ้านตุ๊กตาจริงๆ แฮะ

ipanpook p กล่าวว่า...

อือ สวยดี

ipanpook p กล่าวว่า...

agree!

ipanpook p กล่าวว่า...

นึกถึง Mama Mia

I'm ^x^ ... กล่าวว่า...

สวยจังเลยครับ...เห็นแล้วอยากไปเที่ยว

Yim S. กล่าวว่า...

สมควรอย่างแรง...
ไปไหนมาไหนเห็นแต่เดินกันเป็นคู่ๆ

Yim S. กล่าวว่า...

ฮ่าๆ แอบนึกถึงเป็นระยะๆ เหมือนกัน
บรรยากาศมันน่ารักอ้ะ

เข้าใจได้ ว่าทำไมป้าเมอรีลถึงจะเผลอใจได้มากขนาดนั้น

Yim S. กล่าวว่า...

^ ^

recommend เลยค่ะ
ใครไปก็ต้องชอบแน่ๆ

Som Thaksa-on P. กล่าวว่า...

พี่ปอยจะไปฮันนีมูนกะใครเหรอออออ อิอิ
อยากกลับไปอีกเหมือนกัน คราวนี้ขอไปเป็นคู่บ้าง แต่ดูไปทริปนี้ยิ้มก็เกือบเป็นทริปฮันนีมูนละนะ เพราะมีสองหนุ่มประกบ เหอๆๆๆ

Yim S. กล่าวว่า...

^ ^' อ่านะ เหอๆ

เออ เราก็อยากกลับไปอีกเหมือนกัน

Thanit Lim กล่าวว่า...

เมืองสวยดีจริงๆ สวรรค์บนดินชัดๆ
กรีซนี่ยังไงก็ต้องไปเที่ยวเนอะ เวลาได้ไปดูของที่เห็นแต่ในสไลด์นี่คงมีความสุขเนอะ
บางอันมันต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

Yim S. กล่าวว่า...

เดี๋ยวสักพักคงลงอัลบั้ม Athens ล่ะพี่ขนุน
พี่ขนุนต้องชอบแน่ๆ เลย มีแต่โบราณสถานทั้งนั้น

shine allnight กล่าวว่า...

สวยนะเรา

shine allnight กล่าวว่า...

พอเห็นรูปจากน้องยิ้มแล้วอยากกลับไปอีกอะ

Yim S. กล่าวว่า...

เนอะ...

กลับไปป่าวๆ ๆ
ถ้ากลับไป ยิ้มไปด้วย อยากไปอีกจังเลยอ้ะ

shine allnight กล่าวว่า...

ไปดิ ไว้ไปกัน

Heathrow :D กล่าวว่า...

Santorini นี่เหมือนเมืองในเทพนิยายเลยเนอะ เป็นที่เดียวกับที่เห็นเป็นหลังคาโดมแล้วมีไม้กางเขนข้างบนไหมครับ แต่จำกังหันนั้นได้ น้องยิ้มใช้ชีวิตได้คุ้มค่ามากครับ ท ชื่นชมๆ นะ

ถ้าเลือกได้ พี่อยากไปมากกว่าที่จะมีกล้องดีๆ ถ่ายรูปสวยๆครับ ประสบการณ์ที่ได้มันล้ำค่าจริงๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะไปบ้างครับ :D

Heathrow :D กล่าวว่า...

สวยมากๆ แสงทอจากขอบฟ้า

Heathrow :D กล่าวว่า...

อ้อ ตรงนี้นี้เอง

มองเห็นทะเล อีเจียน ด้วย ความฝันพี่เลยนะครับ

Heathrow :D กล่าวว่า...

ขาวไปหมดเลย หุหุ ชอบอะไรขาวๆครับ :D

Heathrow :D กล่าวว่า...

สวยมากๆเลย

ขอบคุณน้องยิ้มมากๆเลยครับ ที่เอาข้ออมูลที่เป็นประโยชน์และบันทึกการเดินทางมาลง เพราะว่าเป็นประโยชน์มากต่อคนที่อยากไปครับ จะได้นำเอาเป็นแนวทาง ครับ

Yim S. กล่าวว่า...

ถ้ามาเรียนฝั่งยุโรป ก็ไปง่ายค่ะพี่คูณ...หุหุหุ

(เริ่มยุแยง)

Yim S. กล่าวว่า...

ฮ่ะ ๆ ๆ ๆ

แหมๆ ๆ ๆ ชอบเหมือนผู้ชายไทยเลยนะคะ ขาว หมวย สวย อึ๋ม

Yim S. กล่าวว่า...

^ ^'

พอดีชอบบันทึกน่ะค่ะ แหะๆ จดไดอารี่ทุกวัน ก็เลยรวดเอามาเขียนเสียเลยนะ เวลาทางบ้านมาอ่านจะได้เหมือนตามเราไปด้วย

whoami * กล่าวว่า...

เกาะในฝันของพี่เลยล่ะ
อยากไปมากมาก อยากไปฮันนี่มูนน
ฮ่าๆ แล้วเมื่อไหร่จะได้ไปล่ะเนี่ย ^ ^"

รูปสวยมากเลยน้องยิ้ม
เดี๋ยวตามไปดูที่อัลบั้มพี่เต่าอีก
ชอบ ชอบความน้ำเงินขาวของเกาะนี้จริงๆ

Yim S. กล่าวว่า...

ถูกเป๋งเลยค่าพี่เวีย เหมาะกับเป็นเกาะฮันนีมูนอ้ะ (นักท่องเที่ยวมากันเป็นคู่ๆ ให้อิจฉา)

ตอนแรกยิ้มมองๆ ลูเซินไว้ (เพราะชอบความสงบ เย็น คลาสสิค ของประเทศสวิตฯ) แต่ตอนนี้เริ่มมองมาทางนี้ละ อิอิ บรรยากาศมันชิลๆ มากเลย (ถูกกว่าสวิตฯ ด้วย)

แต่ที่สำคัญที่สุด...ต้องเล็งคนที่จะไปด้วยก่อน 555 - -'

Santi Santiago กล่าวว่า...

ม่วงงาม คือ ความสดใส ดั่งมาลัยจากวิมานแมน ^^

Santi Santiago กล่าวว่า...

โอย..เห็นน้ำแล้วอยากลงไปว่ายจัง..

Santi Santiago กล่าวว่า...

ถ้า Santi มาอยู่ Santorini คงต้องชื่อ Santiago
ฮะๆๆ

Yim S. กล่าวว่า...

อิอิ ใช่ มันดูน่าว่ายมาก
(แต่ข้าพเจ้ากลัว มันลึกง่ะ)

Yim S. กล่าวว่า...

เออ ดูเข้ากันดีเนอะ Santorini Santiago

Pitipat Srichairat กล่าวว่า...

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
สาวแตกในบัดดล

Yim S. กล่าวว่า...

ยินดีด้วย ที่ภาพนี้ทำให้ค้นพบตัวตน
.
.
พูดเล่น
.
.
มันแจ่มมากเลย ^ ^ ต้องไปนะ ต้องไป