วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Autumn leaves: เคว้งคว้างดุจใบไมร่วง




ยิ้มว่าจะแต่งกลอนใบไม้ร่วง แต่ตอนนี้ง่วงจัง
ไปไม่รอด ติดไว้ก่อนนะคะ วันหลังค่อยเอามาอัพ

ช่วงนี้เดินไปไหน มาไหน ก็เจอแต่ใบไม้ร่วงเป็นทิวแถว ที่นี่มันไม่เปลี่ยนเป็นแดง เหลือง ส้ม เหมือนในแถบยุโรปหรืออเมริกา นานๆ จะมีสีสวยๆ โผล่มาที ส่วนมากเหลือง น้ำตาล แล้วก็โกร๋นเลย..ยิ้มกะว่า เจอต้นสวยๆ จะแอบถ่ายเก็บไว้ ปีอื่นๆ จะได้เอามาเทียบ ว่าเหมือนหรือต่างยังไง...

รู้สึกดีเหมือนกันนะ เห็นใบไม้เปลี่ยนสีด้วย ตอนอยู่ลอนดอน แทบจะไม่เคยเห็นเลยน่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Athens: The city of Myths and legends




3 October 2008

อัลบั้มนี้มาช้าไปหน่อย ^ ^' พอดีแอบอู้ ขี้เกียจไปตามประสา

ชมภาพแบบละเอียดได้ที่บล็อกพี่เต่า เช่นเคยนะค้า

http://tktao.multiply.com/photos/album/36

ในที่สุดเราก็เดินทางออกจาก Santorini มาถึง Athens ด้วยความอาลัยบรรยากาศเบาๆ สบายๆ ผ่อนคลายตามแบบทะเล แต่ก็จริงของพี่เต่าที่ว่า "ถ้าไม่ไป Athens ก็เหมือนยังไม่สมบูรณ์นะ" แหม..มาถึงกรีซแล้ว จะไม่ไปดูสถานที่อันเป็นต้นแบบรากฐานของศิลปะตะวันตกที่ลือเลื่องไปทั่วโลกได้ยังไงกัน เราก็เลยเรียกความกระฉับกระเฉงกลับมาแล้วเดินทางกันต่อ

Athens ก็เป็นเหมือนเมืองหลวงของประเทศอื่นๆ นะคะ เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง คนเยอะ ค่อนข้างวุ่นวาย แต่ที่ตั้งอยู่เหนือไปจากความสับสน พลุกพล่านของเมืองใหญ่ ก็คือ..Acropolis ซากปรักหักพังของเมืองเก่าที่ตั้งอยู่บนภูเขาหิน (Acropolis Rock) เด่นเป็นสง่า เปรียบประหนึ่งมงกุฎของเมือง เหนือความวุ่นวายและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ใดๆ



แล้วเราก็เดินขึ้นเนินไปกัน (เมือง Athens ถึงจะดูใหญ่ๆ แต่พอเดินจริงๆ มันก็ต่อเนื่องถึงกันหมด แล้ว Acropolis ก็เด่นซะจนไม่มีทางหลงเป็นอันขาด) ระหว่างทางก็เห็นซากปรักหักพังบนดินบ้าง อยู่ในหลุมบ้าง เมืองที่เก่าแก่แบบนี้ก็ย่อมมีรอยอารยธรรมหลงเหลืออยู่เยอะมากเป็นธรรมดา

เอ แต่จะว่าไปแล้ว...ยิ้มคิดว่าสถานที่ใดก็ตามที่เป็น 'เมือง' ต่างก็โอบอุ้มสิ่งก่อสร้าง และร่องรอยของการดำรงชีวิตของมนุษย์ในสมัยก่อนเหมือนๆ กันทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นเมือง Athens York กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ หรือลอนดอน แต่ละที่ล้วนมีเรื่องราวความเป็นมา มีการซ้อนทับทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นทั้งนั้น

ประเด็นอยู่ที่ว่า...

1. ลักษณะของวัฒนธรรมแบบไหนจะหลงเหลือร่องรอยอารยธรรมมาถึงชนรุ่นหลัง และ

2. สภาพสังคมแบบไหนจะโอบอุ้มการ 'คงอยู่' ของร่องรอยอารยธรรมเหล่านั้นได้ดีกว่ากัน

ในแต่ละสังคม ปรัชญาการอนุรักษ์โบราณสถานและโบราณวัตถุไม่เหมือนกันเลยนะคะ บางทีอาจจะเน้นการอนุรักษ์วัตถุและสถานที่ที่ทรงคุณค่า บางที่อาจจะรณรงค์ให้อนุรักษ์สิ่งที่เป็นอยู่โดยไม่ต้องบูรณะปฏิสังขรณ์ (preseved as found) บางที่อาจจะต้องการให้สถานที่อันมีความหมายต่อจิตใจและความเชื่อของคนในท้องถิ่นดู "ใหม่" และ "มีชีวิตชีวา" อยู่เสมอ จนต้องซ่อมแซมด้วยวัสดุใหม่ๆ ตลอดเวลา (อย่างสังคมตะวันออกของเรา)

สิ่งก่อสร้างบน Acropolis ที่หลงเหลืออยู่นี้ เป็นลักษณะศิลปะแบบ Classical (หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่าในยุคก่อนหน้านี้ก็มีสิ่งก่อสร้างอยู่บ้าง เช่นในสมัย Minoan หรือ Mycenaean แต่หลักฐานที่มีไม่แน่นพอที่จะบอกได้ว่าสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นหน้าตาเป็นยังไง แค่รู้ว่ามีเฉยๆ) ซากวิหารต่างๆ บนเนิน Acropolis นี้จัดเป็นมรดกโลก มรดกยุโรป มรดกบลา บลา บลา อีกมากมาย เรียกได้ว่า...โปรไฟล์ความสำคัญแน่นเอี๊ยดดดด น่ะ

แล้วเราก็ขึ้น Acropolis กัน ทันทีที่เท้าเหยียบไปถึง Propylaea ซึ่งเป็นเหมือนประตู (gateway) เข้าไปสู่เมืองศักดิ์สิทธิ์ อา...ขนลุกเยือก ไม่ใช่เพราะความอลัง แต่เป็นเพราะโครงเหล็กมากมายที่ค้ำยันสิ่งก่อนสร้างไว้อยู่น่ะค่ะ - -'

Under Construction นี่หว่าาาาา.....แง.......

จริงๆ แล้วรูปภาพจากหนังสือหรือโปสการ์ดที่เคยเห็นมา ก็พอจะเห็นโครงเหล็กค้ำยันอยู่ จนคิดไปว่า เอ...หรือบางทีมันอาจจะเป็นการเสริมความแข็งแรงแบบถาวร (เอาออกไม่ได้ เดี๋ยวถล่ม) เลยก็ได้ ก็พอจะเข้าใจว่าโครงสร้างที่เหลืออยู่มันเปราะบาง ต้องค้ำยันบ้าง ซ่อมโน่นนิดนี่หน่อยอยู่ตลอดเวลา แต่ครั้งนี้โครงเหล็กมันออกจะเยอะไปหน่อย (เยอะพอๆ กับนักท่องเที่ยวเลย) มองดูแล้ว เอิ่ม...แทบไม่มีส่วนที่ไม่ถูกค้ำยัน

แต่ก็เอาเหอะ...พอจะมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปได้ ด้วยการมองไปถึงความสำคัญระดับโลก และการจัดการที่ยอดเยี่ยมแทน (ชนิดที่ว่าทำสะพานไม้ หรือทางหินอัดให้คนเดิน กันการสึกกร่อนของหินอ่อนและยังมีพนักงานคอยเป่านกหวีดห้ามคนป่ายปีนหินด้วย)

จริงๆ ในฐานะที่ก็ร่ำเรียนมาในวงการนี้พอสมควร ก็รู้นะคะว่านักท่องเที่ยวไม่ควรสัมผัสโบราณสถานหรือวัตถุอย่างใกล้ชิดมาก (นักท่องเที่ยว 100 คนก็โดนลูบ 100 ครั้ง - นานๆ เข้าหินมันก็สึกหรือมันแผล็บได้เหมือนกันนะ) แต่แหะๆ พอไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ เข้าใจเลย ว่าใครๆ ก็อยากใกล้ชิด ยิ้มเองก็อดใจไม่ไหวไปจับๆ หรือปีนๆ บ้างเหมือนกัน จากการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำให้คิดว่า ถ้าข้าพเจ้าต้องไปจัดการไซต์ไหน จะลองหาวัตถุที่ไม่ได้สำคัญสุดยอด หรือมีของแบบเดียวกันหลายๆ ชิ้น จับได้ไม่แตกหักมาให้คนชมลูบๆ คลำๆ สัมผัสอย่างใกล้ชิดบ้าง เพราะการเรียนรู้ของคนเรามันมีหลายทาง บางคนเรียนรู้ด้วยการมอง (visual) บางคนด้วยการฟัง(auditory) บางคนด้วยการอ่าน(reading) บางคนด้วยการกระทำ(kinesthetic) และพวกหลังเนี่ย จะชอบจับๆ แตะๆ มากกว่าพวกอื่น (ตัวยิ้มเองเป็น visual learner มากกว่าอย่างอื่น แต่ก็มีความเป็น kinesthetic ไม่น้อยไปกว่ากันนัก และไม่ใช่ audotorial learner เลย เวลาไปเที่ยวก็เลยชอบดู ของอ่าน ชอบจับมากกว่าจะชอบซื้อ audio guide มาฟัง)

นอกเรื่องอีกแล้วเรา...กลับ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

สถานที่สำคัญๆ บน Acrolpolis Rock ก็คือ วิหาร Pathenon, วิหาร Erechtheion, วิหาร Athena Nike (เล็กๆ) แต่ละที่ก็..หลงเหลืออยู่บ้างในระดับหนึ่ง จริงๆ แล้ว...ถ้าอยากเห็นหินอ่อนแกะสลักแห่งวิหาร Pathenon ก็สามารถไปดูที่ British Museum ได้นะคะ ที่นั่นลัก เอ๊ย...นำเอาหินประดับเหนือประตูของที่นี่ไปจัดแสดงอยู่เป็นร้อยๆ ปีละ ( เขาเรียกว่า frieze อ้ะ จะแปลว่าอะไรดีเนี่ย ทับหลังเหรอ สงสัยจะไม่ใช่ - -' อันนั้นมัน lintel )



นี่คือวิหาร pathenon


ส่วนวิหาร Erechtheion ที่มีเสาเป็นรูปผู้หญิง (นัยว่านางเหล่านั้นเป็นเทพปกปักรักษาวิหาร) ก็สามารถดูอะไรที่คล้ายๆ กันได้ที่โบสถ์ St. Pancras ในลอนดอน ละม้ายมาก (ขนาดใหญ่กว่าของจริงที่ Athens อีก)



อันนี้ของจริง


จะว่าไปแล้ว โบราณสถานส่วนมากก็เป็นพวก Temple หรือว่าอะไรก็ตามที่ถวายเป็นบรรณาการแก่องค์เทพล่ะค่ะ

จาก Acropolis เราก็ลงมาเดินด้านล่าง ซึ่งเป็น Market area หรือที่เรียกว่า 'Agora' เป็นส่วนของเมืองที่...ผู้คนได้ใช้งานจริงหน่อย ไม่ได้เป็นส่วนของสถานที่สำคัญทางศาสนาและการปกครองเหมือน Acropolis แถวๆ Agora นี้ก็เป็นที่นักปราชญ์ชาวกรีกเดินไปเดินมาแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร สนทนากันน่ะค่ะ อู๊ย ตื่นเต้นเนอะ เราได้เดินอยู่ในที่ที่ Socrates, Plato หรือ Aristotle เคยเดิน อืม...อดนึกย้อนจินตนาการไม่ได้ ว่าเขาจะทำอะไรขณะที่อยู่ตรงนั้น แล้วที่ที่เราเดินอยู่ เขาจะเคยเหยียบย่ำไว้เป็นเทือกหรือเปล่า



Agora มองเห็น Temple of Hephaestus อยู่ลิบๆ




นี่สร้างขึ้นมาใหม่ เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุที่พบในแถบนี้ กะให้เหมือนของเดิม สถานที่ที่คนกรีกจะมาเดินไปมา ชุมนม พบปะ สังสรรค์


พอเดินเที่ยวหมด เราก็หมดแรงกันพอดี...ไปหาอะไรกินแก้หิว โน้ตก็เตรียมจะแยกไปเที่ยวอิตาลีต่อ ส่วนยิ้มและพี่เต่าก็เตรียมจะกลับอังกฤษ

2 อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอะไรที่...คุ้มค่าจริงๆ ค่ะ เห็นมาทุกแบบทั้งแบบธรรมชาติและแบบที่สร้างโดยน้ำมือมนุษย์ ทะเลสาบ เกาะ ป่าเขา โบราณสถาน เมืองที่ยังมีคนอยู่ ทะเล ภูเขาไฟ

ถ้าจะถามว่า...ชอบที่ไหนที่สุด พระเจ้า...ถามอะไรยากจังเลย เอามีดมาแทงให้ตายกันเลยดีกว่ามั้ย ยิ้มคงจะต้องตอบว่าชอบไปคนละแบบล่ะค่ะ (ตอบแบบนี้มีคนเคยแย็บๆ ว่าตอบได้แบบนักการเมืองจริงๆ) มันเลือกไม่ได้จริงๆ นะ คือแต่ละที่ก็มีข้อดี ข้อเสียของมัน สุดท้ายแล้วก็มีแต่ความทรงจำดีๆ ที่โดดเด่นออกมา ส่วนอะไรที่ไม่ค่อยดี...นานๆ เข้าก็กลายเป็นเรื่องโจ๊กเรื่องขำขันไป เมื่อเราผ่านจุดนั้นมาแล้ว

คงไม่ลืมไปอีกนานเลยทีเดียว...

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Hello Santorini !!




1-2 October 2008

พอพี่เต่าอัพรูปแล้ว เราก็อัพต่อมั่ง ^ ^' ไม่ใช่อะไรหรอก จะได้ใส่ link บล็อกพี่เขาให้ไปดูรูปเพิ่มเติมได้ด้วยน่ะค่ะ แหะๆ พี่เต่าบันทึกรูปไว้ละเอียดดี

ในที่สุดก็มาถึง Santorini จนได้...

ประโยคข้างบนไม่ได้หมายถึงความยากลำบากในการเล่าเรื่องประกอบแต่ละอัลบั้มเรื่อยๆ มาจนถึงอัลบั้มนี้อย่างเดียวนะคะ ยิ้มหมายถึงการเดินทางข้ามจาก Kusadasi (เมืองของตุรกี) มา Samos จาก Samos ต่อมาถึง Piraeus (ที่ Athens) แล้วจาก Piraeus มาถึง Santorini ซึ่งใช้เวลา 2 + 8 + 8 ชั่วโมงด้วย

อื่ม... ขอเรียกการเดินทางส่วนนี้ว่า Ferry Experience ก็แล้วกัน เพราะใช้เวลานานมาก..มากเสียจนไม่อยากนั่งเรืออีกในระยะเวลาปี - สองปีนี้ เพราะแค่ 2 วันนี่ เราก็นั่งมาตั้งแต่เรือข้ามฟาก(ขนาดประมาณเรือประมงข้ามไปเกาะเสม็ด) เรือเฟอรี่ขนาดกลาง และเรือเฟอรี่ขนาดใหญ่อลังการ ยิ้มไม่ได้ถ่ายรูปช่วงนั้นไว้เลย คงต้องไปดูรูปจากบล็อกพี่เต่า (เช่นเคย) ที่ http://tktao.multiply.com/photos/album/34 และรวดชมภาพสวยๆ บนเกาะ Santorini ที่ http://tktao.multiply.com/photos/album/35

อ่อ พอมีรูประหว่างเดินทางให้เห็นเป็นน้ำจิ้มนิดหน่อยนะคะ



บ๊าย บาย Kusadasi นั่งเรือออกมาจากตุรกี


ประสบการณ์แบบเรือๆ ของเรา มาถึงจุดพีคในช่วงที่ต้องขึ้นเฟอรี่ขนาดใหญ่จาก Samos ไป Piraeus เพราะเราจองตั๋วแบบถูก เนื่องจากตั๋วนอนราคาสูงปรี๊ดด...แตะ 100 กว่ายูโร ตอนซื้อคนขายก็รับคำมั่นเหมาะว่าไม่หนาวแน่นอน ถึงจะเป็น upper deck แต่ก็มีหลังคาปิดมิดชิด เราก็วางใจ ลากกระเป๋าเดินขึ้นเรือหรูหรา กว่าจะถึงห้องโดยสารชั้นบนก็ต้องเดินขึ้นบันไดเลื่อนตั้ง 2 ชั้น ก็เลยคิดไปว่าถ้าเรือหรูแบบนี้ ที่นั่ง upper deck ก็คงไม่แย่มากนักหรอก

แต่พอมาถึงจุดตรวจตั๋ว...เค้าชี้ให้พวกเราออกไปอยู่นอกห้องโดยสารค่ะ ท่านผู้อ่าน ออกไปตรงส่วนท้ายและส่วนระเบียงเรือ = =

upper deck มันมีหลังคาปิดก็จริง แต่ที่นั่งที่เขาจัดให้แบบว่า เอ่อ...เหมือนไม่ได้ทำมาให้คนโดยสารเลย รู้สึกเข้าใจ Jack Dawson แห่ง Titanic ขึ้นมาทันที เกิดอารมณ์อยากออกไปเดินเล่นที่หัวเรือ กู่ร้องตะโกน "I'm the king of the world" ให้เหมือนในหนังด้วย โชคร้าย..เขากั้นเอาไว้ไม่ให้คนเข้าไปที่หัวเรือ หุหุหุ แต่ก็ดีแล้วแหละ..น่ากลัวจะตาย แค่ยืนตรงระเบียงตรงส่วนข้างของเรือ มองลงไปข้างล่างยังขาสั่นเลย มันสูงมากกก สูงเหมือนตึกหลายชั้น แล้วน้ำที่มากระทบข้างเรือก็แรงจนยิ้มไม่แน่ใจว่าถ้าตกลงไปจะรอดมั้ย ผืนน้ำก็ลึกล้ำดำมืดจนมองไม่เห็นอะไร ดำ...จนเหมือนกับหลุมลึกที่ดูดเอาชีวิตของใครก็ได้ที่เข้าไปใกล้ บรื๋อ...

แต่กระนั้นก็ดี พอดึกๆ ไปแล้ว เราก็พากันเสด็จเข้าไปนอนในห้องโดยสารอย่างไม่กลัวฟ้าดิน แหม...ก็ห้องโดยสารมันว่างออกขนาดนั้น ถ้าจะไล่ให้คนออกไปนอนข้างนอกมันก็ใจร้ายไปหน่อยแล้วล่ะ

รุ่งเช้าเรือก็เข้าเทียบท่า Piraeus เราก็วิ่งๆ ๆ ๆ จากท่าหนึ่งไปขึ้นเรือที่อีกท่าหนึ่ง เหงื่อออกซ่กๆ แต่ก็ได้อารมณ์ดี ที่นั่งเป็น upper deck เหมือนเดิม แต่เดินทางกลางวัน..ไม่เป็นไร อากาศยังไม่หนาวมาก พอเรือแล่นออกจากท่า แสงสีส้มก็เริ่มทอทาบท้องฟ้าพอดี



ฟ้าสางที่ Piraeus



พอผ่านช่วง Ferry Experience เราก็ล่องเข้ามาในส่วนที่เรียกว่า lagoon (เดี๋ยวค่อยอธิบายการเกิด lagoon ข้างล่างนะคะ) จากบนเรือมองไปสองข้างจะเห็นทิวทัศน์ต่างกัน มองไปทางซ้ายจะเห็น Oia (อ่านว่าเอียร์) เป็นหมู่บ้านที่อยู่ปลายปลายแหลมของเกาะ มีบ้านเล็กบ้านน้อยแบบกรีกลดหลั่นเกาะอยู่ตามหน้าผา น่ารัก สวยงาม ส่วนทางขวามือจะเป็นเกาะภูเขาไฟดำทะมึนแปลกตาแต่น่าเกรงขาม



พอเรือเทียบท่า..พวกเราก็กระโดดขึ้นรถตู้ของโรงแรมซึ่งบริการได้ดีจริงๆ เจ้าของโรงแรมออกมารอถึงหน้าปากซอย แล้วก็พาเราเดินลัดเลาะลงไปตามตรอกเล็กๆ เราก็เดินตามเขาไปงุดๆ เพราะว่าเหนื่อยบวกกับอยากอาบน้ำเต็มแก่ พอมาถึงหน้าห้องแล้วก็เงยหน้าขึ้นจากกระเป๋าลาก แล้วก็..
.
.

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด........
.
.
สวยมาก มันสวยมากจริงๆ ค่ะ สวยจนบรรยายไม่ถูก เลนส์กล้องคงไม่สามารถซึมซับความสวยได้เท่าเลนส์ตา และ Memory Card ก็คงไม่สามารถบันทึกความทรงจำและบรรยากาศได้ดีเท่ากับการรับรู้ของมนุษย์ (จริงๆ ถ้าเป็นคนถ่ายรูปเก่งก็คงทำได้หรอกนะ แต่ข้าพเจ้าไม่ถนัด เลยหันไปเก็บภาพใส่กล่องความทรงจำดีกว่า)

โรงแรมที่พักชื่อ Irini's เกาะอยู่บนหน้าผาเกือบจะถึงส่วนยอด ใต้ห้องพักของเรามีอาคารอื่นๆ ลดหลั่นลงไปอีกหลายชั้น มองลงไปเห็นน้ำสีเขียวอยู่เบื้องล่าง และเห็นหมู่บ้านสีขาวๆ แบบกรีกอยู่ใกล้ๆ และไกลออกไป เกาะภูเขาไฟตั้งอยู่ตรงหน้าเด๊ะเลย แถมโรงแรมเรายังมีระเบียงยื่นออกไปไว้รับลมชมวิว มีอ่างจากุชชี่น้อยๆ น่ารักให้แช่เล่นอีก (แต่น้ำเย็นเป็นบ้าเลย) โอ...พี่เต่าเลือกโรงแรมได้ดีจริงๆ เลยค่ะ ไม่พลุกพล่านด้วย เพราะอยู่ในเขตที่ไม่ใช่ Fira (ศูนย์กลางของเกาะ) และ Oia (จุดที่คนชอบไปดูพระอาทิตย์ตก) ความเหนื่อยล้ามลายหายไปทันใด เมื่ออยู่ในบรรยากาศแบบนั้น ล้างหน้าล้างตานิดหน่อยก็พร้อมจะออกไปลุยต่อได้



เอาล่ะ..อัลบั้มนี้เราหลบออกมาจากบรรยากาศโบราณคดีนิดนึงละกัน ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วเกาะ Santorini ก็เป็นเกาะที่มีประวัติมายาวนานน้า...ที่นี่มีไซต์แหล่งอารยธรรม Minoan อยู่ (อารยธรรมกรีกที่รุ่งเรืองมาก่อนอารยธรรมแบบ Classical และ Hellenistic ที่พวกเราคุ้นเคยกันดี - ก็พวก column, capital อะไรนั่นไงคะ) แต่ด้วยความที่พวกเราปฏิบัติต่อ Santorini ประหนึ่งเป็นสถานท่องเที่ยวทางทะเล ก็เลยลืมๆ ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ไปบ้าง เอ้า..พักผ่อนสบายๆ มั่ง

สิ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนมากอยากจะเห็นก็คือ..ตะวันตกดินที่ Oia ซึ่งต้องนั่งรถไปอีกหน่อย พวกเราไปถึงประมาณเกือบๆ หกโมง พอมีเวลาเดินเล่น ถ่ายรูป ชมของที่ระลึกอีกนิดหน่อย หมู่บ้านของเขาน่ารักมาก อาคารแต่ละหลังจะออกแนวเรียบๆ ทาสีสว่างๆ รูปร่างคล้ายกล่อง ดูคล้ายกันหมดทั้งหมู่บ้าน เป็นระเบียบ ขนาดกะทัดรัด น่ารักเหมือนบ้านตุ๊กตามากกว่าจะเป็นบ้านคนอยู่จริงๆ

พอใกล้จะถึงปลายแหลมที่ Oia ดวงอาทิตย์ที่หายไปทั้งวันก็โผล่ออกมาให้เราเห็นนิดหน่อย แม้ฟ้าจะไม่ใสนัก แต่ก็เพียงพอที่จะให้เราได้เห็นภาพแสงสีทองที่อาบไล้หมู่บ้านสีขาว และลำแสงสีส้มที่สะท้อนแผ่นน้ำก่อนที่จะจางหายไป (หลังก้อนเมฆ)





แล้วนั่นก็ทำให้วันของเรามีคุณค่าขึ้นอีกมากเลย...ในที่สุดพวกเราก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนและรอยยิ้มบนใบหน้า...เฮ้อ...16 ชม. บนเรือจาก Samos ไม่เสียหลายจริงๆ ค่ะ

เช้าวันใหม่เริ่มต้นที่อาหารเช้าที่เสิร์ฟตรงถึงหน้าห้อง ตอนเช้าๆ อากาศขะมุกขมัวนิดหน่อย แต่พอเริ่มย่างเข้าเก้าโมงเช้า พระอาทิตย์ก็ฉายแสงออกมาให้พวกเราได้ไปนั่งทานอาหารบนระเบียง ชมบรรยากาศ อาบแดดอ่อนๆ สบายเหลือเกิน (ยังไม่กลับอังกฤษได้มั้ยเนี่ยยย อยากอยู่อย่างนี้นานๆ)



หลังจากนั้นเราก็จัดการซื้อทัวร์ไปชมเกาะภูเขาไฟ โรงแรมจัดสรรให้ 17 ยูโรเอง แวบแรกที่ได้ยิน อื่ม....ถูกดีจัง แต่เอาเข้าจริงเราก็ต้องเสียค่ารถเคเบิลขึ้นลงท่าเรืออีก 8 ยูโร และค่าขึ้นไปดูปล่องภูเขาไปอีก 2 ยูโร รวมแล้วทั้งหมดตกราคา 27 ยูโร แต่ก็คิดว่าคุ้มอยู่นะคะ เป็นประสบการณ์ที่ดี ได้นั่งเรือกระโดงออกไปด้วย

พอเราขึ้นเรือ ก็จ๊ะเอ๋กับคณะทัวร์คนจีน ขึ้นช้าไปหน่อย คนจีนไปจับจองหัวเรือแล้ว แต่เราก็ยังได้นั่งใกล้ๆ อยู่ดี ขาไปผู้คนออกมารับลมชมวิวกันมากมาย ตื่นเต้นน่ะนะ เรือมันดูคลาสสิค เก๋าดี



นั่งเล่นสบายใจไปเลย


และแล้ว...ก็มาถึงส่วนวิชาการของบล็อกนี้กันนะคะ หุหุหุ (หนีไม่พ้นหรอก - -' ) วันนี้ขอนำเสนอวิชา Geology/Geography นะจ๊าา...

Santorini และเกาะยิบย่อยๆ ใกล้ๆ กัน เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟครั้งใหญ่เมื่อสามพันกว่าปีมาแล้ว สมัยครั้งอารยธรรม Minoan ยังรุ่งเรือง (เขาตั้งชื่อการระเบิดครั้งนี้ว่า the Minoan Eruption) ทำให้เกาะที่เคยเป็นเกาะใหญ่ๆ เกาะเดียวกลายเป็นเกาะย่อยๆ แบบนี้ พอแมกมา (หินหลอมเหลวใต้ภิภพ) ไหลออกมา พื้นที่ตรงกลางก็ถล่มลงไปเป็นหลุมๆ ทีนี้บางส่วนของวงแหวน (เหมือนโดนัทน่ะค่ะ นึกออกมั้ย) ก็ถล่มลงไปด้วย (เหมือนมีคนกัดโดนัทกินไป 1 คำอ่ะค่ะ นึกออกป่าว) ก็จะทำให้หลุมลึกข้างใน เชื่อมต่อกับทะเลด้านนอก เกิดเป็น Lagoon ที่เรือเฟอรี่ของเราแล่นเข้าไปดังนี้แล ลักษณะแบบนี้เขาเรียกว่า Caldera แต่ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่ต้องจำหรอกค่ะ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเดินทางของเราเลย แหะๆ ๆ

ดังนั้น...สรุปเลยดีกว่า ว่าหน้าผาสูงประมาณ 300 เมตรที่เห็นก็เกิดจากการถล่มของผืนดินจากการระเบิดของภูเขาไฟ (ด้านนอกของเกาะถึงเป็นหาดทรายธรรมดา ไม่ได้ดูอลังการและ extreme แบบด้านใน) และ Lagoon ที่เชือมต่อกับทะเลด้านนอกนั้น...เขาว่าลึกถึง 400 เมตรเชียวค่ะ เอิ๊กกกกก มิน่าล่ะ น้ำมันถึงได้สีเข้มขนาดนั้น...

พอมาถึงเกาะภูเขาไฟก็ประมาณ 11 โมงครึ่งเข้าไปแล้ว..อืม จะว่าไป 11 โมง 40 ด้วยซ้ำมั้ง คนขับเรือบอกว่าให้มาเจอกันที่เรืออีกทีตอนบ่ายโมง จะพาไป Hot Spring กรี๊ดดด มีเวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ เองเหรอ ที่จะเดินไปให้ถึงปล่องภูเขาไฟ ยิ้มเงยหน้าต้านแดดขึ้นไปเบื้องบน พระเจ้า สูงนะเนี่ย...แล้วมันไม่เหมือนเดินบนทางธรรมดาๆ นะคะ เกาะภูเขาไปมันมีแต่หินตะปุ่มตะป่ำ ถึงเขาจะกรุยทางเอาไว้เป็นทางเดินแล้ว แต่หินก้อนเล็กๆ ก็ขยันกระเด็นเข้ามาในรองเท้า(แตะ) ให้เจ็บจี๊ดๆ เป็นระยะเสียจริงๆ รองเท้าคู่ชีพที่ใช้งานมา 7-8 ปี ก็ไม่ค่อยจะมีดอกยางแล้ว แต่เอาวะ...สู้โว้ย...ไหนๆ มาถึงนี่แล้วก็ต้องขึ้นไปให้ถึงปล่องภูเขาไฟให้ได้

"โหย มีเวลาแค่ชั่วโมงกว่าเอง สงสัยจะต้องเลือกเอาว่าจะเห็นปล่องภูเขาไฟ หรือเห็น Hot Spring" เสียงน้องโน้ตลอยแว่วมา อื่ม...จริงแฮะ ถ้าเราเอาแต่เดินไปดูปล่องภูเขาไฟ เราอาจจะตกเรือและอดไปดู Hot Spring ก็ได้ ฮ่า ๆ (แอบคิดไม่ได้แฮะ ว่าถ้าเราตกเรือกัน การเดินทางคงจะตื่นเต้นได้กว่านี้อีก)

"แต่เราต้องได้เห็นทั้งปล่องและ Hot Spring สิ" พอโน้ตพูดจบก็ก้าวสวบๆ ๆ ๆ ขึ้นไปทันที เฮ้ยยยย รอด้วยดิ เจ๊แก่แล้ว T-T

ก็เลยเดินขึ้นไปกันด้วยความมานะบากบั่น แวะถ่ายรูปบ้างพอเป็นกระสาย ตั้งเวลาเอาไว้ว่าเที่ยงครึ่งควรถึงยอด แล้วที่เหลือก็เดินกลับลงมาเก็บตกวิวตามรายทาง โอย...แดดร้อนมากค่ะวันนี้ ศศิษยาดำลงไปอีก 20% (รวมกับอีกวันที่ Ephesus ตอนนี้ก็เปลี่ยนสีไปอย่างเห็นได้ชัดแล้ว) อยากเอาเนื้อหมูมาตากทำหมูแดดเดียวจังเลยอ้ะ ร้อนแบบนี้ วันเดียวก็เอาไปทอดกินได้แล้วมั้ง

พอไปถึงก็บันทึกภาพกันไปตามระเบียบ



พอใกล้จะถึงบ่ายโมงเราก็เดินลงไปขึ้นเรือ เพื่อที่เขาจะพาไปว่ายน้ำที่ Hot Spring กรี๊ดดดด ข้าพเจ้าอยากว่ายน้ำ....แต่เนื่องจากตอนแรกคิดว่าอยู่ Santorini แค่วันนิดๆ คงไม่มีโอกาสหรอก ก็เลยไม่ได้เอาชุดว่ายน้ำไป พี่เต่าก็ยุให้ใส่กางเกงขาสั้นลงไปเลย แต่นะ...มันก็ลำบากนี้ดดด นึงง่ะ เลยอาสาเป็นคนถ่ายรูปให้ดีกว่า เรือน้อยแล่นไปจอดที่อีกมุมหนึ่ง แล้วก็ให้นักท่องเที่ยวกะโดดลงไปเล่นน้ำเลย โอว...พระเจ้า...น้ำมันดูลึกมากเลย พี่เต่าและน้องโน้ตเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นเรียบร้อยก็เตรียมจะลงน้ำ แต่ไม่ทันพวกคนจีน ซึ่งแก้ผ้าแล้วกระโดดตูมมม ลงไปเลย

พี่เต่าก้าวลงบันไดไปข้างเรือ แล้วทิ้งตัวลงน้ำอย่างละม่อม

"เฮ้ย มันลึกมาก"

จริงเหรอคะ หุหุหุ งั้นยิ้มก็คิดถูกแล้วล่ะ ที่ไม่ได้ตัดสินใจลงไปว่ายน้ำด้วย โน้ตลงบันไดตามไปติดๆ แล้วสักพักทั้งสองก็พากันว่ายน้ำหายไปเลย ส่องหาอยู่นาน...ในที่สุดก็เห็นพี่เต่าโผล่ที่อีกฟากของเรือพลางชูสองนิ้วเป็นแบบให้ถ่ายรูป พี่เต่าโผล่พ้นน้ำอยู่ได้นานมาก ส่วนโน้ตกลับขึ้นเรือมาแล้ว และบอกว่าน้ำมันลึกจริงๆ ต้องลอยตัวตลอดเวลา เลยขอขึ้นดีกว่า

เวลาผ่านไปสองนาที พี่เต่ายังโผล่พ้นน้ำเหมือนเดิม และยังชูสองนิ้วได้ตลอด เอ...ทำไมลอยคอได้อึดจังแฮะ

"พี่ยืนอยู่บนหินประการังน่ะ"

อ๋อ...นี่เอง ความลับของพี่เต่า แต่ก็ดีแล้วค่ะ จะได้ปลอดภัย ยิ่งพอได้รู้ว่ามันเกิดจากปล่องภูเขาไฟถล่มยิ่งกลัวนะเนี่ย โอ ไม่อยากนึกภาพตามเลย มันคงลึกมาก ๆ ๆ ๆ ๆ จริงๆ ล่ะ

"แต่มันไกลมากเลยนะ ดูจากเรือเห็นอยู่ใกล้ๆ แค่นี้ แต่กว่าจะว่ายไปถึงตรงโน้นได้ เกือบแย่ โชคดีนะที่พี่ไปว่ายน้ำมาทุกวันๆ ก่อนหน้านี้ เลยมีแรง"

พระเจ้า...โชคดีแค่ไหน ที่ศศิษยาไม่ได้ลงไป ไม่งั้นคงหมดแรงที่ 20 เมตรแรกแน่ๆ เอาล่ะ...เอารูปคนจีนที่ว่ายน้ำคล่องอย่างกับเขียดมาฝาก อย่างไรก็ตาม...ถือว่าพี่เต่าและน้องโน้ตใช้เวลาได้คุ้มค่ามากค่ะ ได้ว่ายน้ำในปล่องภูเขาไฟและทะเล Aegean ด้วย เย่ ๆ ๆ



หลังจากกลับมาจากทัวร์เราก็ไปหาอะไรกิน และเดินเล่นจาก Fira กลับไปทีโรงแรม จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้อยู่ห่างกันมากนี่นา ระหว่างทางก็ถ่ายรูปไปด้วย อืม....สวย ไม่อยากไปเลย...อยากอยู่นานๆ แต่ในที่สุดก็ถึงเวลาที่รถจากโรงแรมจะพาไปส่งที่สนามบิน

ถ้ามีโอกาส ยิ้มคงจะกลับมาเยือนอีกแน่นอน ทุกเวลานาทีที่ Santorini เหมือนหลุดเข้าไปในโลกแห่งความฝันชั่วขณะ และเป็นการเติมแบตชาร์จไฟให้กับชีวิต ก่อนที่จะกลับมาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้งได้เป็นอย่างดี

The edge of Anatolia: Pergamum and Ephesus




อัลบั้มที่สามตามมาไม่ช้าไม่เร็ว พอภาระทางการเรียนซาๆ ลง ก็มาเล่าเรื่องกันต่อดีกว่านะคะ

หลังจากออกจาก Istanbul ทางเรือเฟอรี่ข้าม Marmara Sea กว่า 2 ชม. ในที่สุดเราก็เข้ามาสู่ดินแดนอนาโตเลีย (Anatolia) หรือ Asia Minor กัน

ใครที่รู้จักยิ้มมานานหลายปีหน่อย ย่อมได้ยินยิ้มพูดๆ บ่นๆ มาบ้าง ว่า “ชอบคำว่า Anatolia จัง อยากไปๆ” ที่อยากไปหนักหนาก็ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก ตอนอยู่ปี 1 ระดับปริญญาตรี ยิ้มได้เรียนวิชา World Archaeology ตอนนั้นก็ได้รับรู้ว่ามีโบราณสถานสำคัญอยู่ในแถบ Anatolia นี้หลายไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเมืองทรอย หรือหมู่บ้านก่อนประวัติศาสตร์ชื่ออ่านยาก ‘Catalhoyuk’ (ชา ตาล โฮ ยุค) ที่อาจารย์ที่คณะโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัย UCL ชอบไปขุด และพูดถึงบ่อยๆ (เหลือเกิน)

วันนี้ได้มาเหยียบ Anatolia แล้ว!! เย้ !! ถึงหนังสือท่องเที่ยวจะจัดกลุ่มให้เป้าหมายของเราอยู่ในเขต Aegean Coast แต่แหม...อย่างไรเสียมันก็ยังอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า Anatolia แหละน่า Northwest Anatolia ไง ถือว่าข้าพเจ้าประสบความสำเร็จแล้ว ย้าฮู้ !!

ดินแดนนี้เป็นดินแดนในแถบเอเชียที่ได้รับอิทธิพลจากกรีกและโรมันอย่างยิ่งยวด จากการขยายฐานอำนาจของอาณาจักรใหญ่ในยุโรปในสมัยก่อนโน้น ดังนั้น...สิ่งที่เราจะได้เห็นจนเจนตาก็คือ

1. Theatre หรือโรงมหรสพที่มีรูปร่างกลมๆ มีที่นั่งเป็นขั้นบันได ถึงเราจะเรียกสิ่งก่อสร้างนี้ว่า Theatre แต่มันไม่ได้ใช้ในการบันเทิงอย่างเดียวนะคะ แต่เขามีไว้เป็นที่ชุมนุมทางการเมืองด้วย ในแถบนี้มีให้ดูทั้งแบบกรีก และแบบโรมันกันเลยทีเดียว




2. Column คือเสากลมๆ ที่บนยอด (เรียกว่า capital) จะมีลักษณะต่างๆ กันไป บ้างก็ดูเหลี่ยมๆ ธรรมดา (แบบดอริก) บ้างก็ม้วนลง (แบบไอออนิก) หรือบ้างก็เป็นลวดลายดอกไม้อ่อนช้อยงดงาม (แบบโครินเธียน) เนื่องด้วยมันมีเยอะมากกกกกก จนถ่ายรูปมุมไหนก็มักจะติด column มา เราจึงเกือบจะรวมรูปที่ถ่ายมาทั้งหมดเป็น Column Collection ได้อยู่แล้ว



3. Arch คือส่วนที่อยู่ระหว่างเสาหรือบนช่องประตู ใช่ค่ะ..ที่เห็นโค้งๆ กลมๆ นั่นแหละค่ะ ซึ่งเราก็มีหลายแบบต่างๆ กันไป แบบมนๆ ไม่มีเหลี่ยมเลยก็เรียกว่าแบบ Romanesque (ได้รับอิทธิพลมาจาก Roman) แบบแหลมๆ นิดหน่อย (ที่แพร่หลายในอังกฤษ) ก็เรียกว่าแบบ Gothic หรือ Early English แต่ในอนาโตเลียนี่มีแต่แบบโรมันอย่างเดียวแหละนะ



4. acropolis

ตอนเรียนๆ มาเขาก็ไม่นิยามด้วยว่า acropolis คืออะไร เพราะพอพูดว่า acropolis นักเรียนก็อ๋อออออ...เข้าใจในคอนเซ็ปต์ (แล้วจะอธิบายยังไงดีฟะ) ยิ้มเข้าใจเอาเองว่าเป็น 'เมืองสูง' ที่เป็นวัด เป็นสถานที่สำคัญ เป็นอาคารศูนย์กลาง เป็นส่วนสำคัญของเมือง แล้วก็มีบ้านเรือนคนธรรมดารายล้อมอยู่เบื้องล่าง

เอาล่ะ...อารัมภบทมายาวพอละ บล็อกนี้ตัวหนังสือเยอะนะคะ ถ้าเบื่อก็ลากลงข้างล่างโลด รูปที่ข้าพเจ้าถ่ายมาก็มีไม่เยอะ เอาเป็นว่าถ้าสนใจดูภาพทุกเหตุการณ์โดยละเอียด ขอเชิญที่บล็อกพี่เต่าเจ้าเก่าตาม link ด้านล่างนี้ค่ะ

http://tktao.multiply.com/photos/album/33 ---- Burgama and Foca

http://tktao.multiply.com/photos/album/34 --- Ephesus - Kusadasi - Samos

เมืองที่เราจะไปเที่ยวกันในเวลา 2 วันที่เหลือนี้ เป็นเมืองเก่า ชื่อ Pergamum เมืองใหญ่ในสมัยกรีก (บางตำราก็เรียก Pergamon น่ารักดีอ้ะ ฟังดูคล้ายๆ การ์ตูนโปเกมอนเลย) และ Ephesus (อ่านว่า ef-fes) เมืองใหญ่ในสมัยโรมัน ซึ่งโบราณสถานทั้งสองแห่งนี้ ตั้งอยู่ใกล้กับเมือง Burgama และ Selcuk (อ่านว่า เซล - ชุค) ของประเทศตุรกีตามลำดับ

จะว่าไปแล้วก็ไม่สามารถนิยามลงไปเลยว่า Pergamum เป็นกรีก หรือ Ephesus เป็นโรมันนะ คือจริงๆ มันก็เริ่มต้นจากสมัยกรีกหมดแหละ แต่ pergamum ยังดูเป็นกรีกอยู่มาก แต่ Ephesus โดนความเป็นโรมันครอบลงไปหมดแล้ว

พอลงมาจากเฟอรี่ ลัดเลาะผ่านถนนใหญ่มอเตอร์เวย์ได้พักใหญ่ อยู่ดีๆ เราก็ต้องมาผ่านถนนเล็กถนนน้อยที่เผยให้เห็นความเป็น ‘ตุรกี’ แท้ๆ หลายต่อหลายสาย เพราะถนนแต่ละเส้นผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ที่ให้เราเห็นวิถีชาวบ้าน และทิวทัศน์แบบที่จะหาไม่ได้ตามโปรแกรมทัวร์ใดๆ

ดูไปดูมา อื่ม...รู้สึกว่าคล้ายๆ ต่างจังหวัดในประเทศไทยมากเลย ออกจะแออัดและไร้ระเบียบกว่าด้วยซ้ำ

ภูเขาในแถบนี้แห้งแล้งมาก จากการสังเกตคร่าวๆ ยิ้มว่ามันเป็นหินหรือดินแห้งๆ นะ ดูท่าทางร่วนเหมือนทราย ไม่รู้จะกักเก็บน้ำได้ดีแค่ไหน ต้นหมากรากไม้ก็ต้นเล็กๆ แกร็นๆ แพะ แกะ วัว ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ก็ผอมมาเชียว...แม่เจ้า...นี่ขนาดอยู่ใกล้ทะเล น่าจะได้รับอิทธิพลจากมรสุมบ้างนะ ยังดูแห้งแล้งได้ขนาดนี้ แล้ว inland ลึกๆ เข้าไปมันจะไม่แย่ไปกว่านี้เหรอ

คิดไปคิดมา เออ...ย่านสมบูรณ์มันอาจจะอยู่แถวๆ ตอนใต้ แถบฝั่ง Mediterranean หรอไม่ก็แถบ Black Sea ก็ได้นะ เอาเหอะ..อย่างไรเสียมันก็ต้องมีวิธีให้เขาทำมาหากินได้แหละ เติบโตเป็นประเทศกันมาได้นานขนาดนี้แล้ว

มาๆ เข้าเรื่องกันต่อค่ะ แล้วเราก็มาถึงเมือง Burgama ซึ่งเป็น Market Town ของแท้ ตัวเมืองทั้งแออัด ยัดเยียด แต่ก็ทำเมินๆ มองข้ามไป เพื่อไปให้ถึงจุดหมายหลักแห่งแรก ก็คือ Acropolis หรือเมืองสูง ซึ่งต้องขับรถขึ้นดอยไปหน่อย รถแล่นขึ้นไปเรื่อยๆ บนถนนลาดยางที่บางจนเหมือนรถวิ่งอยู่บนลูกรัง มองไม่เห็น Public Transport ใดๆ เลย เห็นแต่นักท่องเที่ยวแบบ Backpacker 2 คนเดินอยู่บนถนนหัวแดงเพราะฝุ่นคลุ้งกระจาย คุณพระคุณเจ้า นี่โชคดีนะ ที่เรามีคนอนุเคราะห์ยานพาหนะ ไม่อย่างนั้น...กว่าจะเดินขึ้น Acropolis ได้ กล้ามขาคงอักเสบกันพอดี

จากการประเมิน Acropolis ของเมือง Pergamum แบบคร่าวๆ อื่ม ใช้ได้นะ ถึงจะดูเหมือนไม่ค่อยได้รับการดูแลเอาใจใส่เท่าไหร่ แต่ว่าความอลังและความสำคัญของเมืองก็มีไม่น้อย และการตั้งอยู่บนภูเขาสูง (สูงกว่า acropolis ในเอเธนส์อีก) ทำให้ทิวทัศน์ออกมาดูดีขึ้นมากเลยทีเดียว ตอนที่ยืนมองลงมาจาก Theatre ชั้นบนสุดอ้ะ ขาสั่นพับๆ เลยค่ะ



จาก Acropolis เราก็ข้ามสถานที่สำคัญอื่นๆ แล้วไปที่ Asclepeion ซึ่งเป็นสถานที่ในการรักษาพยาบาล อา....แต่ไม่ใช่ในลักษณะโรงพยาบาลนะคะ แต่ที่นี่เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งการรักษามากกว่า เขาให้นิยามว่า 'healing temple' น่ะค่ะ คนป่วยก็จะมานอน มาบวงสรวงให้เทพมาเข้าฝันว่าต้องรักษายังไง พอหายก็เอาของมาถวาย อะไรทำนองนั้น เราเดินชมกันได้นิดหน่อยฝนก็เทลงมาๆ ๆ เลยไม่ได้ชื่นชมและบันทึกภาพเท่าไหร่ แต่ก็มีเรื่องพอให้ได้ฮานิดๆ หน่อยๆ ค่ะ คือมีน้องหมาตัวเมียสีขาวตัวหนึ่ง ชีชอบเข้ากล้องมาก พอพวกเราถ่ายรูปกัน ชีก็เดินมานอนโพสต์ท่าโน่นนี่ แล้วก็ล้มตัวลงนอนขวางวิถีกล้องของพวกเราไปซะ พอบอกให้นอนหงายก็หงายขึ้นมาแล้วยกสองขาทันที ราวกับเป็นนางแบบมืออาชีพ บอกให้เก็กท่าก็เก๊ก ว่านอนสอนง่ายจัง (จริงๆ แล้วหมาตัวนี้มันอาจจะนอนท่าแปลกๆ อยู่แล้วก็ได้แฮะ มันอาจจะคิดในใจว่า "คนพวกนี้เป็นอะไรวะ ถ่ายรูปอยู่ได้ เกิดมาไม่เคยเห็นหมานอนหรือไง")



จาก Pergamum เราก็ไปค้างคืนกันที่ Foca (ฟอร์ - ช่า) เมืองที่ (เขาอ้างว่า) เป็นเมืองเมืองรีสอร์ตสำหรับชนชั้นกลาง อยู่ติดทะเล วิวสวย พอไปถึงจริงๆ แล้วก็อืม... ก็น่ารักดีนะ แต่ห่างไกลจากคำว่าเมืองรีสอร์ตอ้ะ เหมือนเมืองประมงมากกว่า เพราะมีเรือจอดเต็มไปหมด แล้วก็มีร้านอาหารทะเลเรียงรายทั่วทั้งฝั่ง ได้โอกาสสั่งอาหารทะเลมากินแล้ว ปลาท้องถิ่นทอด (ที่ไม่รู้ชื่อ เพราะเจ้าบ้านเป็นคนสั่ง) อร่อยมากค่ะ เนื้อมันนุ่มๆ หวานๆ ฉ่ำพอดี ไม่แห้งเกินไป สั่งมา 2 ตัว กินกันไม่หวาดไม่ไหวทีเดียว

เช้าวันถัดไป เราก็เดินทางออกจาก Foca ตรงต่อไปที่ Ephesus ซึ่งลงใต้ไปอีกหน่อย เมืองนี้ได้รับอิทธิพลโรมันอย่างเห็นได้ชัด ดูจากการวางผังเมือง สภาพบ้านเรือน หรือศิลปะ และดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ได้รับความนิยมมากกว่า Pergamum เพราะได้รับการดูแลมากกว่า มีนักท่องเที่ยวเยอะกว่า และดูสะอาดสะอ้านกว่า



วันนี้ฟ้าใสมากกกก มากจนทำให้ศศิษยาต้องควักเอาครีมกันแดด SPF 60 ออกมาทา ซึ่งก็ถนอมรักษาผิวไม่ให้ไหม้แดด (แต่ไม่ได้ช่วยรักษาความขาวเลย วันเดียวดำลง 20%) ให้ตายสิ...แต่กระนั้นก็ดี ก็ยังเดินไปได้เรื่อยๆ ไม่เบื่อ เพราะว่าเมืองมันสวยทุกอณูจริงๆ

สิ่งที่เราไม่ได้เห็นก็คือ The Temple of Artemis ซึ่งเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ตอนนั้นก็หากันใหญ่ เพราะ Lonely Planet แนะนำไว้ แต่หายังไงก็ไม่เจอ..พอมาค้นคว้าทีหลัง อ๋อ....มันอยู่แถวๆ ขอบเมือง selcuk โน่น ไม่ได้อยู่ในตัว Ephesus แต่ถึงไปก็ไม่มีอะไรเหลือแล้วล่ะ เพราะว่า...พวกรูปสลักที่เจอในการขุดค้นที่ได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษ ก็ระเห็จไปอยู่ใน British Museum ณ "Ephesus Room" เรียบร้อยโรงเรียนบริเตน

Ephesus เป็นเมืองท่าที่สำคัญ ตอนนั้นระดับน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นมาถึง Selcuk เลยมีท่าเรืออยู่ใกล้ๆ พอมีท่าเรือ เศรษฐกิจก็เจริญ ทำมาค้าขึ้น ขยายเมืองออกได้เรื่อยๆ แต่พอถึงช่วงน้ำทะเลลงต่ำ เมืองนี้ก็ค่อยๆ ล่มสลายลง... (ระดับน้ำทะเลมันเปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ อยู่แล้ว เพราะแผ่นทวีปของเราบางด้านก็ยกตัว บางด้านก็ยุบตัว ทางฝั่งอ่าวไทยของเรานี่ เมื่อก่อนระดับน้ำก็ต่ำกว่านี้เหมือนกัน)

จริงๆ คำว่าล่มสลายมันก็ฟังดูแรงไปหน่อย...เรียกว่าค่อยๆ หายไปจากประวัติศาสตร์น่าจะฟังดูดีกว่านะคะ (เขาใช้คำว่า decline ซึ่งยิ้มว่ามันไม่เชิงล่มสลายนะ ไม่ได้เกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วนขนาดนั้น)

พวกเราเดินอยู่เกือบๆ 4 ชั่วโมงก็ทั่วไซต์ (แต่จริงๆ คงมีซากปรักหักพังที่ยังอยู่ใต้ดินอีกมาก) ตั้งแต่ 11.30 ถึงบ่ายสาม และ...แน่นอนค่ะ เราอดข้าวกลางวันอีกตามเคย เพราะในไซต์ไม่มีร้านอาหารเลย (แหงล่ะ ถ้าใครไปตั้งภัตตาคารกลางเมืองโบราณสมัยโรมันอย่าง Ephesus อิฉันก็จะเขียนจดหมายไปร้องเรียนให้เพิกถอนเหมือนกัน)

โชคดีนะ ที่เอาขนมติดไปด้วย หุหุหุ กินไปก่อนกันตาย

และแล้ว..เราก็จาก Ephesus มาด้วยรอยคล้ำบนผิวกาย รอยยิ้มบนใบหน้า และรอยความทรงจำที่ย้ำเตือนไว้ในใจ ชอบมากๆ เมืองโบราณใกล้ฝั่งทะเล Aegean 2 เมืองนี้ ในที่สุดก็ถึงเวลาจากลา Theirry แล้ว เพราะเราต้องนั่งเรือข้ามฝั่งจาก Kusadasi ไป Samos ซึ่งเป็นเกาะของประเทศกรีซ ขอบคุณมากค่ะ สำหรับการดูแลที่ดีเลิศ หากมีโอกาสจะพาเที่ยวไทยตอบแทน

บ๊าย บาย...ตุรกี ไม่เสียใจเลยที่ได้มา..และถ้ามีเวลา จะไปตามเก็บให้ครบทั่ว Anatolia นะจ๊ะ...

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551

หลากสีสัน กับ 2 วัน ใน Istanbul




27-30 September 2008

อัลบั้มที่สองมาแล้วค่ะ...ไวกว่ากำหนดนิดนึง เนื่องจากทางบ้านรอดูรูปอยู่ แหะๆ ^ ^'

Istanbul เป็นเมืองหลวงของประเทศตุรกี เป็นเมืองที่ถูกแบ่งออกป็น 2 ส่วน คือส่วนเอเชียและส่วนยุโรปโดยช่องแคบ Bosphorus (อ่านว่า บอส - ฟอร์) โดยส่วนตัวแล้วเป็นเมืองที่ยิ้มชอบมากเลยค่ะ มีความเป็น 'วัฒนธรรม' ดี เป็นเมืองที่มีคาแรกเตอร์เด่นชัด รวมทั้งความเป็นตะวันตกกับตะวันออกมาผสมผสานกันอย่างกลมกลืนบ้าง ไม่กลมกลืนบ้าง แต่มีสีสันในตัวอย่างน่าอัศจรรย์





ไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบายดีนะ สงสัยจะต้องเป็น หลากหลายทางวัฒนธรรม, colourful, vibrant, vivid, emotional, และอื่นๆ อีกมากมาย

เมืองอิสตันบูลนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาตั้งแต่สมัย ก่อนประวัติศาสตร์ แต่ว่าเริ่มนับตั้งแต่สมัยสำคัญๆ ดีกว่าเนาะ เรียกว่านับว่ามีความสำคัญมาตั้งแต่สมัย Byzantine, Constantinople (อิทธิพลจากโรมัน) และสมัย Ottoman (เข้าสู่ความเป็นอิสลามเต็มตัว)

ในเวลา 2 วัน โปรแกรมอัดแน่นเต็มที่ ได้เห็นสถานที่สำคัญๆ ของเมืองเกือบครบเลยทีเดียว ต้องขอขอบคุณเจ้าบ้าน คุณ Thierry เพื่อนของพี่เต่าที่ให้ความอนุเคราะห์ทั้งที่อยู่อาศัยและยานพาหนะ พร้อมทั้งโปรแกรมทัวร์อันละเอียด อัลบั้มนี้..คงเป็นแค่น้ำจิ้ม หรือ Appetiser เท่านั้น เนื่องจากเจ้าของบล็อกต้องการบันทึกไว้เตือนความจำ หากต้องการชมภาพอย่างละเอียด ขอเชิญที่บล็อกของพี่เต่าตาม link ข้างล่างนี้ได้เลยค่ะ ได้ทั้งปริมาณและคุณภาพแน่นอน

http://tktao.multiply.com -- โฮมเพจ
http://tktao.multiply.com/photos/album/31 --- อัลบั้ม Istanbul ที่ 1
http://tktao.multiply.com/photos/album/32 --- อัลบั้ม Istanbul ที่ 2


ขอแบ่งการเล่าเรื่องเป็นส่วนๆ ตามสถานที่ที่ได้ไปมาดังนี้นะคะ

1. Hagia Sophia ในภาษากรีก หรือภาษาท้องถิ่นคือ Aya Sofya



ในยุคแรกๆ สิ่งก่อสร้างแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นโบสถ์ค่ะ (หรือเรียกว่ามหาวิหารดี ใหญ่โตซะขนาดนี้) สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้า Justinian ประมาณ ค.ศ. 500 กว่าๆ และคงความยิ่งใหญ่ในอาณาจักรแห่งคริสตศาสนามาเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกอาณาจักร Ottoman เอาชนะในปี 1453 เจ้าบ้านบอกว่า..สิ่งก่อสร้างนี้ แรกเริ่มเดิมทีมีแต่โดมค่ะ เหมือนมหาวิหารอื่นๆ ทั่วไปนั่นแหละ แต่พออาณาจักร Byzantine ล่มสลาย ก็มีเสาแหลมๆ โผล่มาอีก 4 เสา กลายเป็นมัสยิดไปเลย

ก้าวแรกที่เดินเข้าไปใน Aya Sofya รู้สึกขนลุกวาบบบบบ ไม่ได้เป็นเพราะมีสัมผัสที่หกแล้วรู้สึกว่ามีอะไรรอเราอยู่ (เหมือนที่เคยรู้สึกที่ยอร์ค) หรอกนะ แต่ขนลุกเพราะความอลังการน่ะ อย่างตอนที่ไปเที่ยววาติกัน นั่นก็ตื่นตาตื่นใจกับความใหญ่โตมากพอแล้ว มาที่นีมันรู้สึก...ตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่ากับความมลังเมลืองของการตกแต่ง (ที่ใช้ทองประดับประดา)

ที่สำคัญก็คือเราจะมองเห็นร่องรอยของความยิ่งใหญ่ในสมัย Christendom ของอาณาจักร Byzantine จากสถาปัตยกรรม รอยโมเสคที่ยังเหลืออยู่ รอยไม้กางเขน และอื่นๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มองเห็นการถูกดัดแปลงใช้เป็นมัสยิดด้วย เราก็จะเห็นทั้งอักษรจากอัล กุรอาน และโมเสครูป Virgin Mary, พระเยซู หรือทูตสวรรค์ กาเบรียลไปในคราวเดียวกัน ดูแปลกตาดี

ชอบมาก...มองเห็นการซ้อนทับทางวัฒนธรรม ขอเรียกสิ่งก่อสร้างแบบนี้ว่า "สถานที่เล่าเรื่อง" น่ะนะ

เสียอย่างหนึ่งก็คือ ตอนเดินชมสถานที่นั้น ข้าพเจ้าหิวไปหน่อย ^ ^' ลงจากเครื่องบินตอนเที่ยง หลังจากนั้นเราก็รวดไปเที่ยวเลย ยังไม่ได้แวะกินข้าวที่ไหน นอกจากข้าวโพดที่ขายหน้า Aya Sofya ในสนนราคา 1 Lira (ประมาณ 50 cent ของ euro) โอย...ข้าวโพดอะไรเนี่ย...แข็งเป็นบ้า หรือว่าคนตุรกีจะกินข้าวโพดแก่ๆ หว่า...ไม่ได้กินข้าวโพดอ่อนๆ อย่างเรา อืม เอาเหอะ...กินกันกระเพาะเปื่อยไปได้ล่ะนะ

2. Basilica Cistern



Cistern คือที่เก็บน้ำ และ Basilica Cistern ถูกเรียกขานตามนี้ เพราะว่าเคยมี Basilica (แปลว่าโบสถ์สำคัญ หรือสิ่งก่อสร้างสาธารณะในยุคโรมัน) อยู่ข้างบน ที่เก็บน้ำนี้ตั้งอยู่ติดๆ กับ Aya Sofya เลย ไม่กว้างใหญ่มาก แต่มีสะพานก่อสร้างให้นักท่องเที่ยวลงไปเดินชมได้ทั่วๆ มีการติดไฟสีแดงๆ ส้มๆ เอาไว้ เสริมความขลัง และความสวยงามให้บรรยากาศ ละม้ายๆ Roman Bath ที่เมือง Bath ประเทศอังกฤษ

เสียดายไม่มีนิทรรศการ หรือพิพิธภัณฑ์มาให้ความรู้เพิ่มเติมเหมือนที่บาธ กะจะหลอกขายไกด์บุคให้อิฉันใช่ไหมคะ ^ ^' กินยากหน่อยนะจ๊ะ เพราะว่าอิฉันชอบมา research หาความรู้ทีหลัง ถ้าไม่เข้าใจอะไร หรือมีข้อสงสัยเวลาเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ

ใน cistern นี้มีเสาสลักเป็นรูปนางเมดูซาอยู่ 2 ต้น (นางในตำนานกรีกที่มีหัวเป็นงู ใครจ้องตาแล้วจะกลายเป็นหิน) ต้นแรกนางกลับหัว อีกต้นตะแคงๆ ยังไม่มีใครรู้ว่าตั้งไว้ทำไม ก็คงต้องปล่อยเป็นปริศนาลึกลับดำมืดต่อไป ไม่รู้เป็นความเชื่อเรื่องโชคลางอะไรรึเปล่าเนอะ

3. Grand Bazaar



ตลาด Grand Bazaar นี้ก็เรียกได้ว่าหลากสีสันอีกละ เพราะว่ามีของขายหลายๆ แบบมาก ทั้งของที่ระลึก ของกิน ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ เหมือนเดินจตุจักรเลย เดินไปก็กลัวหลงกัน ก็เลยต้องรอๆ กันหน่อย การซื้อของนี่ก็ต่อราคาได้เหมือนเมืองไทยเลยค่ะ แต่ต่อได้มากบ้าง น้อยบ้างต่างๆ กันไป

4. Blue Mosque



Blue Mosque เป็นสถานที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองอีกแห่งของ Istanbul สร้างขึ้นในสมัย Ottoman ละ หนังสือไกด์บุคบอกให้สุภาพสตรีเตรียมผ้าไปคลุมหัวด้วย ศศิษยาก็เลยพกผ้าพันคอติดกระเป๋าไป ไม่อยากใช้ของสาธารณะ เพราะคิดว่าคงผ่านมาแล้วหลายมือ และหลายหัว ช่วงนี้อยู่ในช่วงใกล้จะออกรอมฎอนแล้ว (ถือศีลอด) พวกเราก็เลยแอบอินเทรนด์กันนิดนึงด้วยการอดอาหารตามด้วย

555 พูดเล่นนะคะ จริงๆ แล้วโปรแกรมเที่ยวมันอัดแน่นจนแทบไม่มีเวลากินต่างหาก เพราะเราอยู่ใน Istanbul แค่ 2 วัน สิ่งที่รองท้องไปในช่วงกลางวันของแต่ละวันนั้นก็คือข้าวโพดต้ม และขนมปังโรยงาแบบท้องถิ่น T-T

ตอนเข้า Blue Mosque เราแอบมองเห็นความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม ผู้ชายสามารถเข้าไปสวดมนต์ได้ถึงกลางมัสยิด แต่ผู้หญิงจะต้องอยู่รอบนอก หรือไม่ก็ชั้นบน ซึ่งอยู่หลังบริเวณที่กันไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวเข้ามานั่งชมเสียอีก

อืม..ก็ไม่รู้จะว่ายังไงนะคะ เพราะที่เมืองไทยผู้หญิงก็ขึ้นองค์พระธาตุไม่ได้เหมือนกัน (จนเป็นเหตุให้คุณระเบียบรัตน์ออกมาโวยทีนึงแล้ว แต่ขอร้องเถอะค่ะ เรื่องของวัฒนธรรมและความเชื่อ อย่าหักล้างกันง่ายๆ เลย มันจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสังคม) เอาเป็นว่า...ยิ้มเชื่อว่าคงเป็นกุศโลบายของคนโบราณอย่างใดอย่างหนึ่งกระมัง อาจจะเป็นเพราะ...เขาไม่อยากให้หญิงชายเข้าใกล้กัน เกรงจะเกิดเรื่องไม่ดี หรืออะไรๆ ก็ว่ากันไป เดากันไปละกัน

5. Dolmabahce Palace



พระราชวังนี้เป็นการผสานเอาความเป็นตะวันตกเข้ามาเต็มตัว สถาปัตยกรรมจะออกแนว Baroque หรือ Neo-classic พระราชวังนี้สร้างเสร็จในปี 1856 ออกมาได้ตะวันตกสมใจ เพราะยิ้มเดินไปเดินมา ก็เกือบลืมไปแน่ะ ว่าเดินอยู่ในเมืองมุสลิม เผลอคิดไปว่าเดินอยู่แถวๆ แวร์ซาย...วินด์เซอร์ หรืออะไรทำนองนั้น มีช่วงเวลาเปลี่ยนการ์ดเหมือนกันด้วยนะ เท่ห์ชะมัด

ทำเลที่ตั้งพระราชวังนี้สวยดีนะคะ อยู่ติด Bosphorus เลย น้องโน้ตเลยถือโอกาสเดินชม + ถ่ายรูปไป เพราะว่าไม่มีเวลาลงไปล่องเรืออย่างที่ตั้งใจไว้

6. Topkapi Palace



นี่ก็เป็นอีกสถานที่ ที่ใครๆ ก็แนะนำให้ไป เพราะเป็นพระราชวังให้องค์สุลต่านมานมนาน ความอลังและสวยงามคงไม่เท่า Dolmabahce แต่ว่าความเก่า ความมีเอกลักษณ์ก็ไม่ได้แพ้กัน ในพระราชวังนี้จะแยกออกเป็นตำหนักๆ ไม่ได้รวมกันหนึ่งเดียวเหมือนพระราชวังแบบตะวันตก ส่วนที่โดดเด่นที่สุดก็คือ Harem หรือ ราชฐานชั้นในนั่นเอง



คำว่าฮาเร็ม คนไทยจะเอาไปใช้ในความหมายทางลบ คล้ายๆ กับแหล่งบันเทิงที่เต็มไปด้วยสาวสะคราญห้อมล้อมชายหนุ่ม จริงๆ แล้วมันก็ถูกอยู่นะ แต่ไม่ได้ถูกไปทั้งหมดเสียทีเดียว จริงๆ แล้ว ฮาเร็มน่าจะเรียกได้ว่าเป็นราชฐานชั้นในที่มี Queen Mum (พระมารดาของสุลต่าน), เจ้าชาย เจ้าหญิงองค์น้อยๆ และนางสนมอยู่มากกว่า ไม่ได้เป็นคลังสตรีโดยหน้าที่หลัก

อื่ม..แต่กระนั้นก็ดี...พอเดินมาถึงหอพักของสาวๆ แล้วก็เกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจขึ้นมานิดๆ เพราะว่าอ่านป้ายข้อมูลแล้วได้ความว่า..สาวๆ ที่ถูกส่งมาบรรณาการจะต้องเริ่มจากเป็นทาส หากพระมารดาพอใจก็จคัดไว้ให้สุลต่าน ถ้ามีลูกก็ได้ยศได้เงินกันไป "แต่" ทั้งนี้ทั้งนั้น...นางบำเรอเหล่านั้นต้องไม่ใช่มุสลิม คริสต์ หรือ ยิว เพราะตามกฎแล้ว...ใช้คนเหล่านั้นเป็นทาสไม่ได้

อ้าวววววววว งั้นก็เหลือชาวพุทธ เต๋า ขงจื๊อ ชินโต พราหมณ์ ซิกข์ และคนนอกศาสนาสิ ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะคะ เฮ้อ...ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรเหมือนกันนะ ก็แหม...สัตว์โลก...ย่อมรักพวกพ้องของตนมากกว่าพวกอื่นอยู่แล้ว

7. อาหาร

อาหารตุรกีแบบ traditional อร่อยมากค่ะ ที่นี่กินแกะกันเป็นล่ำเป็นสัน กินกันเพลินไปเลย (เพราะคนตุรกีเขาไม่กินหมู ส่วนยิ้มไม่กินเนื้อ ไม่มีตัวเลือกให้มากนักหรอก)

วันที่สองเจ้าบ้านพาไปเลี้ยงอาหารแบบ traditional มื้อนึง โอ...อลังการงานสร้างมาก เพราะอาหารเรียกน้ำย่อยเขาคือซุปไก่ รสชาติออกนมๆ เนยๆ นิดหน่อย คล้ายของตะวันตกดี ส่วนจานเล็กจานน้อยก็เป็นพวกชีส น้ำผึ้ง แยมผลไม้ ลูกอินทผลัม ไส้กรอก แฮม (ทำจากเนื้อ) มะกอก ขนมปัง อาหารที่คล้ายๆ พายแต่ไส้ชีสและผักโขมอะไรพวกนั้น ซึ่งส่วนมากจะหวาน เลยไม่ค่อยได้กิน

อาหารหลักเป็นแกะอบ...นุ่มละมุนลิ้น รสชาติเหมือนขาหมูมาก นึกอยากได้น้ำจิ้มสีส้มๆ เผ็ดๆ เปรี้ยวๆ เอามากินกับข้าวแฮะ ส่วนของหวานเป็นขนมประจำถิ่นเป็นแผ่นแป้งบางๆ ทับกัน ราดด้วยนม และเม็ดทับทิม อร่อยแบบแปลกๆ ดี

เครื่องดื่มก็รสดีไม่แพ้กันค่ะ ชา...มาเสิร์ฟในลักษณะหม้อกลั่น ต้มให้เดือดตลอดเวลา เทหัวชาใส่แก้วนิดหน่อย ผสมน้ำเยอะๆ เพราะว่าชาเขาแรงมาก (แต่กลิ่นหอมดี ไม่เหมือนชาแถวๆ อินเดีย หรือจีนแฮะ) ส่วนน้ำผลไม้ที่เขาเสิร์ฟกับอาหารเป็นน้ำทับทิม ใส่น้ำผึ้ง น้ำมะนาว ปรุงรสได้กลมกล่อม โอ....อร่อยมากค่ะ จัดการไปเลย 2 แก้ว

สรุป: อยู่แค่ 2 วัน แต่ใช้เวลาได้คุ้มทุกดอกเลยนะจ๊ะ

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Scottish Highlands แดนขุนเขาและทะเลสาบ




20 - 25 September 2008
ฤดูร้อนนี้มีโอกาสไปท่องเที่ยวอยู่หลายที่ด้วยกันภายในเวลา 2 สัปดาห์ค่ะ แต่ละที่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ซ้ำกัน มีเสน่ห์ไปคนละแบบเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ทะเลสาบ แหล่งประวัติศาสตร์ ทะเล เกาะ

กลับมาแล้วยังอารมณ์ค้างๆ อยู่ แต่ก็ต้องพยายามทำงาน (กรี๊ด...) กระนั้นก็ดี ขอทยอยลงภาพทีละอัลบั้มนะคะ

สถานที่แรกที่ไปก็คือ Scottish Highlands ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนของ Scotland ตอนเหนือที่เป็นภูเขา และที่ราบสูง ซึ่งในสมัยก่อนการปกครองแบ่งออกเป็นเผ่า (Clan) ต่างๆ หลายเผ่า ดินแดนแถบนี้เป็นแถบที่ยิ้มชอบมากๆ เลยนะคะ เพราะว่า..เสน่ห์ของภูมิประเทศ บวกกับเสียงดนตรีปี่สก๊อตที่ลอยมาตามลม ผสานกับหนุ่มสก็อตที่มีดวงตาและผมสีเข้ม รูปร่างสูงใหญ่ กรี๊ดดดดด ดินแดนในฝันเลยล่ะ (แต่ขอไม่อยู่ตอนหน้าหนาวนะ เพราะท่าทางจะหนาวมากๆๆ)

จุดหมายในการเดินทางครั้งนี้คือ Inverness, Lochness และ Isle of Skye แต่ละที่ก็มีลักษณะเด่นแตกต่างกันไปค่ะ

1. Inverness

Inverness เป็นเมืองหลวงของ Scottish Highlands เป็นเมืองเล็กๆ น่ารัก ที่มีครบทุกอย่าง ขนาดก็...น่าจะพอๆ กับยอร์คนะ เล็กๆ แต่มีครบเครื่อง เป็นเมืองศูนย์กลางที่หมู่บ้านเล็กๆ ภายนอกมักจะเข้ามาจับจ่ายซื้อของและสรรหาความบันเทิง เมืองนี้...ไม่เชิงจะมีอะไรโดดเด่น แต่เป็นเมืองที่เป็นฐานที่ตั้งในการท่องเที่ยวใน highand อย่างดีเยี่ยม เพราะมีทุกอย่างทั้งที่พักแบบ Hostel, Bed and Breakfast แล้วก็ โรงแรมหรูๆ รวมถึงร้านอาหารรสเยี่ยมด้วย ที่นี่ทำปลาซีบาส และซาลมอนอร่อยมากกกกกกก ค่ะ และราคาต่ำกว่าในอังกฤษ ถ้ายามบ่ายมีเวลาว่างๆ ก็มีสวนสาธารณะริมน้ำ กับทางเดินเลียบแม่น้ำ Ness ให้เดินเล่นๆ เย็นๆ ใจ ถ้าโชคดีจะเห็นคนมาตกปลาซาลมอน และเห็นปลาซาลมอนว่ายทวนน้ำมาวางไข่ (อ้าว เฮ้ย...แล้วไปจับเค้ามา เค้าก็ใกล้สูญพันธุ์น่ะสิ)

เรียกเมืองนี้ว่าเป็น Gateway to the Scottish Highlands ละกันนะคะ

2. Isle of Skye

เกาะสกายนี้...มีชื่อภาษา Gaelic (ภาษาสก็อตโบราณ)ว่า An t-Eilean Sgitheanach (Eilean ไม่ได้อ่านว่า เอเลี่ยน แต่อ่านว่า อี - ลั่น แปลว่า Island) คนท้องถิ่นบอกว่าแปลว่า Isle of Mist หรือ เกาะแห่งเมฆหมอก ซึ่งก็ดูเหมือนจะจริง เพราะวันแรกที่ไปถึงฝนตก เมฆลงต่ำ เห็นเกาะตามตามปลายยอดภูเขาทึบทะมึน หมอกลงเป็นสีเทาเลยทีเดียว แต่โชคดี ที่ในที่สุดแดดก็ออกมาให้เห็นตอนเย็นๆ ผู้คนในเกาะสกายนี่ เคร่งคัดศาสนากันใช้ได้ทีเดียวค่ะ มีโบสถ์หลายแห่งทั้งๆ ที่มีหมู่บ้านอยู่ไม่กี่หมู่บ้านเองเช่น Portree (ใหญ่สุดแล้ว), Broadford, Kyleakin

หากไม่มีรถ จะเที่ยวบนเกาะลำบากมากค่ะ เพราะไม่มี Public Transport เลย มีแต่รถนักเรียนคันเล็กๆ ถ้าวันไหนอากาศดีๆ บรรยากาศที่นี่สวยสุดใจ สวย ขลัง แบบบอกไม่ถูก สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ แบ่งออกเป็นส่วนเหนือและส่วนใต้ของเกาะ ก็จะมี Kilt Rock (น้ำตกลงทะเล ดูได้ในอัลบั้ม), ซากปราสาทเก่าๆ ชื่ออะไรหว่า...จำไม่ได้ สงสัยจะ Dunhulme = =', ปราสาท Dunvegan ที่เปิดให้เข้าแบบเสียเงิน, เส้นทางเดินเขาแถวๆ เทือกเขาชื่อ The cuillin' และหาดทรายอีกนิดๆ หน่อยๆ

เรียกว่า...ไปแล้วรู้สึกได้ถึงความลำบากในการทำมาหากินของคนบนเกาะ (ก็อากาศมันหนาว ดินก็ดูไม่ค่อยอุดม เพราะมีหินเยอะ) ความสวยงามก่อให้เกิดจินตนาการในการเขียนนิยายและบทกวี และได้ความสงบทางใจ

สรุปว่าชอบมากค่ะ แต่ขอใส่หมายเหตุไว้ด้วยว่า "ถ้าอากาศดี แดดออก"

3. Loch Ness, Drumnadrochit

ทะเลสาบ Lochness ยาวกว่า 20 ไมล์ ดังนั้นจึงมีหลายหมู่บ้านตั้งอยู่บนฝั่งทะเลสาบนี้ ซึ่งหมู่บ้านที่เป็นศูนย์กลางและมี Exhibition Centre อยู่ 2 แห่งชื่อ Drumnadrochit อ่านว่า ดรัม นา ดร็อค คิด

หมู่บ้านนี้เป็นหมู้่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างจาก Inverness แค่ครึ่งชั่วโมง ดังนั้นจึงขอแนะนำว่า หากใครอยากจะมาเที่ยว Lochness แล้วค้างคืน จงค้างใน Inverness เถิด ถ้ามีรถ เพราะว่าหมู่บ้านนี้เล็กมาก หาของกิน และหากิจกรรมทำยาก (ยกเว้นท่านจะชอบขี่ม้าชมเขา ซึ่งข้าพเจ้าไม่มีความสามารถ หรือเดินลัดเลาะในป่าลงไปเหยียบน้ำในทะเลสาบ ดังที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว)

หมู่บ้านนี้เล็กๆ น่ารัก และอยู่ห่างปราสาทชื่อ 'Urquhart' อ่านว่า เออร์ - คาร์ต แค่ไมล์กว่าๆ เดินไปพอได้เหงื่อก็ถึงละ ปราสาทนี้..ตอนนี้เหลือแต่ซาก เพราะว่าผ่านมือชนเผ่าไฮแลนด์ต่างๆ มาหลายเผ่าเหลือเกิน บ้างก็ถูกปล้นสะดมภ์ บ้างก็ถูกดัดแปลง ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงเท่านี้ แต่คลาสสิคมากค่ะ

ซากปราสาทริมทะเลสาบ นี่คือสิ่งที่อยู่คู่ Scottish Highland เลยนะ คิดว่า...ปราสาทใน Scotland นี่ มีหลายร้อยแห่ง ของหัวหน้าเผ่าบ้าง ของกษัตริย์จากที่ราบบ้าง แต่เป็นการทำให้ประเทศของเขามีจุดขาย มีเสน่ห์ มนต์ขลัง ดูมีอดีต ที่มาที่ไป หรูหรา ไฮโซอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว

หากมา Loch ness ต้องพูดถึง Nessie เจ้าสัตว์ประหลาดกึ่งไดโนเสาร์ที่มีคน (อ้างว่า) เห็นในต้นศตวรรษที่ 20 หลังจากที่ข่าวแพร่สะพัด การท่องเที่ยวแถวๆ นี้ก็บูมขึ้นทันตาเห็น ยิ่งหน้าร้อนนี่... busy สุดๆ พอมาดูด้วยตาชัดๆ แล้ว อื่ม...ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อย่างนั้นเล้ย...ขนาดปลาเล็กปลาน้อยยังไม่เห็นมี แต่ก็เข้าใจว่าชาวบ้านต้องผลักดันให้ Urban Legend เรื่อง Nessie นี้มีต่อไปเรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจก็ล่มพอดี เพราะด้วยตัวของ Loch Ness เองแล้ว สวยงามไม่เท่าทะเลสาบอื่นๆ เลย ถ้าไม่มีกรณีเนสซี่...คงเป็นได้แค่เมืองผ่านเท่านั้นเอง

สรุป...ทริปเล็กๆ นี้ เป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนอีกทริปหนึ่งได้ดีทีเดียวค่ะ ได้บรรยากาศสบายๆ ชมทิวทัศน์สวยๆ แบบที่ชอบ เป็นการเติมเต็มให้วันเวลาที่ต้องเด้งออกจากหอได้อย่างน่าประทับใจ

กับอีกวันที่ผันไป...


Rating:★★★★
Category:Other
ห่างหายจาก multiply ไปนานพอสมควร ด้วยต้องร่อนเร่ไม่มีที่อยู่ ตอนนี้กลับมาแล้วค่ะ

เวลาผ่านไปไวจังนะคะ...

ไม่ทันไรก็ผ่านไป 1 ปีแล้ว...ในช่วงเวลานี้ของปีก่อน ยิ้มคงกำลังกลับบ้าน เตรียมตัวเตรียมใจเรียนป.เอกต่อ วันนี้เดินไปเรื่อยๆ ในแคมปัส อากาศดีๆ แดดสวยๆ โผล่ออกมาให้เห็นพักหนึ่ง ก่อนที่จะกลับไปเป็นสีเทาเหมือนเดิม แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ใจรู้สึกโหวงๆ ถวิลหาบางสิ่งบางอย่าง และอาบอิ่มด้วยบางสิ่งบางอย่าง เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า พี่ๆ น้องๆ หลายคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา สนิทสนม มีปฏิสัมพันธ์กันดี บ้างก็กลับเมืองไทยไปแล้ว บ้างก็ย้ายไปที่อื่น มีพี่ๆ น้องๆ คนใหม่ๆ มา กลายเป็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิต...แล้วคนที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างข้าพเจ้า ก็อดที่จะรู้สึกวูบไหวไปตามบรรยากาศไม่ได้

ออกจากบ้านมา 7 ปีแล้ว ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมยังไม่รู้สึกชินชา วันนี้ย้ายกลับมาอยู่ห้องพักเดิมที่เคยอยู่ตอนปริญญาโท ทั้งแฟลตเงียบสนิท...ห้องเดิม...แต่ความรู้สึกไม่ค่อยจะเหมือนเดิม ในใจคิดถึงแฟลตเมตเก่าที่เคยทำอาหารด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน ยิ้มแย้ม หัวเราะ หยอกล้อกันด้วยดี

นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ยิ้มขอย้ายกลับมาห้องนี้...ทั้งที่อยู่ห้องเดิมต่อก็ได้ ยิ้มอยากซึมซับความรู้สึกดีๆ ความทรงจำดีๆ ที่เคยมี

แฟลตเมตชุดใหม่ยังไม่ได้ย้ายเข้า เลยยังไม่มีอะไรมาดึงข้าพเจ้าออกจากความคิดที่จมจ่อมอยู่กับความทรงจำวันก่อนเก่า

ก็เลยคิดว่า...รีบๆ จัดของเข้าที่ อ่านหนังสือเตรียมพบกรรมการ ทำงานที่ควรต้องทำ แล้วมาอัพรูปที่ไปเที่ยวมาดีกว่า (ซึ่งก็คงเป็นเวลาอีกหลายวันอยู่) รอด้วยนะคะ

ใบไม้ร่วง...ใบไม้หล่น...บนพื้นหญ้า
ฟากฟ้าปรายน้ำตาหลั่งเป็นฝน
ตะวันขึ้นตะวันลาต่างเวียนวน
ชีวิตคน..หนีไม่พ้นทนต่อไป...

เฮ้ออออออออออ