วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2551

'My dog is stubborn, I have to train it': a mediation retreat at Bhavana Dhamma

Rating:★★★★★
Category:Other
ให้ห้าดาวสำหรับสถานปฏบัติธรรม Bhavana Dhamma

(ยืมภาพจากหน้า official website หน่อย)



วีคเอนด์ที่ผ่านมาเป็นช่วงที่จิตใจสงบที่สุด ตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษครั้งนี้ เพราะว่า...ที่ผ่านมาถึงจะยังไม่เจอช่วงเวลาแย่ๆ แต่ก็มักคิดโน่น คิดนี่ คิดเกี่ยวกับงานที่ต้องทำตลอดเวลา จนกระทั่งมีโอกาสไปปฏิบัติธรรมแบบวัดป่าที่สถานปฏิบัติธรรม ใกล้วัดไทยใน Warwick เดินทางไปตั้ง 3 ชั่วโมง แต่ว่าคุ้มนะคะ

ความสุขในใจ...
ไม่อาจเทียบได้ด้วยเวลา หรือทรัพย์สินเงินทอง

คงจะไม่เขียนยาว เพราะว่าจิตว่างๆ ไม่ค่อยได้คิดอะไรมาก ตอนนั้นก็พยายามอยู่กับปัจจุบัน และก็ไม่น่าเชื่อ ว่าเราจะไม่ฟุ้งซ่านเท่าที่คิด และสามารถนั่งได้สมาธิได้ 40 นาทีโดยไม่ทรมานกับอาการเหน็บกินเท่าไหร่ (อาจจะมีปวดหลังบ้าง ตามอายุที่มากขึ้น - -')

ตั้งแต่เล็กจนโต...เป็นคนที่ความคิดในหัวตีกันมาก ตอนเด็กๆ ก็ชอบคิดโน่นนี่ ถามโน่นถามนี่จนลูกพี่ลูกน้องชอบเอานิ้วมาจิ้มที่หน้าผากแล้วบอกว่า "คิดมากกกก"

2 วันครึ่งนี้..เคร่งครัดมากค่ะ ไม่ได้พูด ไม่ได้อ่านหนังสือ ใช้เวลาส่วนมากนั่งสมาธิ และเดินจงกรม ที่ผ่านมาไม่เคยทำเกินรอบละครึ่งชั่วโมง แต่ที่นี่เขานั่งกันอย่างต่ำ 40 นาที รอบที่ยาวที่สุดก็ 1 ชั่วโมง ธรรมะที่สอนก็ค่อนข้างเป็นอะไรที่ simple

แต่มันเป็นความ simple ที่ ฟังแล้วต้องพูดตามในใจว่า "เออ...จริงแฮะ"

โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า...ประเทศไทยเป็นประเทศที่ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก จริงๆ ก็อาจจะเหมาะกับคนที่ปฏิบัติได้ลึกๆ แล้ว แต่ตัวยิ้มเองต้องการแค่แสวงหาความสงบของจิตใจ ไปปฏิบัติธรรมทีไร ก็จะรู้สึกว่าเรากำลังทำอะไรที่ยากเกินตัวตลอด ในเวลาว่างนอกจากปฏิบัติแล้ว...บางทีก็จะเจอธรรมะประจำวัน เจอคำศัพท์บาลียากๆ เจอคำอธิบายลำดับขั้นที่ซับซ้อน บางครั้งก็ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไรเหมือนกัน ออกจะงุนงงว่าตกลงที่ไปปฏิบัติธรรมกันเนี่ย อยากได้ฌาณหรืออิทธิปาฏิหาริย์งั้นหรือ

ครั้งนี้...เป็นการเรียนรู้กับหลวงพ่อที่เป็นคนอังกฤษ หลวงพ่อสอนง่ายๆ สรุปใจความเอาไว้ง่ายๆ เหมาะแก่คนที่สนใจแก่น ไม่สนใจเปลือก ส่วนตัวเราซึ่งอยู่ในพุทธศาสนามาตั้งแต่มีสูติบัตรเป็นของตัวเอง ได้สัมผัสมาทั้งแก่นและเปลือกก็พลอยรู้สึกว่าซึมซับได้ง่ายดีด้วย เพราะว่า...มันเป็นคำสอนที่ไม่มีเปลือกแห่งอิทธิปาฏิหาริย์มารองรับ ทำให้คนปฏิบัติรู้สึกว่า สมถะ เรียบง่าย หากมีอะไรเกิดขึ้นไกลกว่านั้น ผู้ปฏิบัติก็พึงจะรู้ได้ด้วยตนเอง

มีคำพูดบางประโยคของพระอาจารย์ ที่ยิ้มชอบ

"Mind development is like training a dog. Once the lead is extending and your dog is starting to run around, far...far...away. You have to pull it and say 'heel'. He won't stop suddenly for the first times, but once he gets used to it, he will. And it's going to be effortless for you to control him"

(ประมาณนี้แหละ จำคำพูดตรงๆ ไม่ได้)

แต่หมาของข้าพเจ้าคงดื้อนัก...
หรือไม่...เจ้าของก็คงไม่ได้ใส่ใจที่จะฝึกมันมานานแล้ว
คงจะต้องกลับไปฝึกฝนกันยกใหญ่ ก่อนที่น้องหมาจะเตลิดไปไกลจนเชือกขาด ควบคุมไม่ได้

สุดท้ายพระอาจารย์บอกว่า "Keep it simple"

พระอาจารย์เองนั้นเริ่มต้นปฏิบัติธรรม เพราะพบหนังสือเล่มเล็กๆ เกี่ยวกับการกำหนดสมาธิแบบอานาปานสติแท้ๆ (กำหนดลมหายใจ) ไม่รู้จักคำว่า วิปัสสนากรรมฐาน หรือ สมถกรรมฐานอะไรเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ด้วยว่าศาสนาพุทธแบ่งออกเป็นหลายต่อหลายนิกาย

ก็จริงนะ...
หาความสงบในใจไปวันๆ ดีกว่า แค่นี้ก็ช่วยด้านสุขภาพจิตได้มากแล้ว นานๆ ทีจิตจะได้มีโอกาสสงบนิ่ง ไม่พัวพันยุ่งเหยิง

นี่เป็นเว็บไซต์ของวัดและสถานปฏิบัติธรรมนะคะ

http://www.foresthermitage.org.uk/bhavanadhamma/

นี่เป็นบล็อกสอนธรรมะของท่าน manapo ค่ะ

http://tahnmanapo.wordpress.com/

สนใจลองดูได้ บรรยากาศสงบ น่าไปมากจริงๆ

ป.ล. มีอีกที่หนึ่ง สายหลวงพ่อชาเหมือนกัน ใกล้ยอร์คมากกว่าด้วย แต่ว่า retreat ของเขาตอนนี้เต็มไปแล้วเป็นส่วนมาก และยังไม่เปิดให้มี Weekend retreat ถ้าเปิดเมื่อไหร่จะเอาข่าวสารมาฝากค่ะ

http://www.ratanagiri.org.uk/

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551

เสน่ห์ปลายจวัก (ที่ไม่ค่อยจะมี)

Rating:★★★★
Category:Other
คาดว่าช่วงนี้วิญญาณแม่บ้านแม่เรือนเข้าประทับแล้วยังไม่เสด็จออกไปไหน เพราะอยู่ดีๆ ศศิษยาก็มีอารมณ์อยากจะประดิดประดอยทำอาหารโน่นนี่ ผิดจากนิสัยเดิมที่ไม่ค่อยจะพิสมัยการทำอาหารเท่าไหร่นัก ในช่วงเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์มานี้ได้ทดลองทำซูชิ ข้าวซอย น้ำพริกอ่อง ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (และอย่างอื่นอีกที่ยังนึกไม่ออกอีกมากมาย) สงสัยว่าพอเพื่อนๆ ร่วมแฟลตกลับบ้านไปแล้ว ครัวมันว่างขึ้น สะอาดขึ้นแน่ๆ ก็เลยสามารถใช้เวลาคลายเครียดอยู่ในนั้นได้โดยไม่ต้องคอยหลบหลีกหม้อชามรามไหที่ใช้แล้ว และวางเกลื่อนกลาดไปหมด

วันนี้ไปต่อสูตร (คล้ายๆ ต่อเพลงน่ะค่ะ เพราะใช้วิธีจำเอา ไม่ได้จด อิอิ) ทำทิรามิสุ ขนมหวานสัญชาติอิตาเลียนจากน้องปุ๋มมา โดยมีการใส่ผงชาเขียวลงไปด้วยนิดหน่อย ทำให้ได้ผลผลิตออกมาเป็นทิรามิสุที่มีสีเขียวอ่อนๆ ได้กลิ่นชาเขียวนิดๆ ละมุนลิ้น (มันคือโฆษณาชวนเชื่อน่ะค่ะ พูดให้ฟังดูดี - จริงๆ ก็คงจะไม่ได้รสเลิศขนาดเบเกอรี่อย่างนั้นหรอก)

รสชาติจะเป็นยังไงยังไม่รู้ แต่ว่าหน้าตาออกมาสวยงามมาก ดังนี้



ส่วนนี่ น้องปุ๋มเจ้าของสูตรกับขนมเมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว



ออกมาสวยมั้ยล่ะ อิอิ แช่เย็นไว้คืนนึง เดี๋ยวก็รู้ว่าออกมาหมู่หรือจ่า
.
.
.
.
จากการเข้าครัวถี่ๆ ในช่วงนี้...ทำให้อยู่ดีๆ ก็นึกถึงประวัติการทำอาหารของตัวเองขึ้นมา เพราะว่าตั้งแต่จำความได้ การทำอาหารไม่เคยจะถูกรวบรวมเข้าไปในหมวดหมู่กิจกรรมยามว่างที่โปรดปรานเลย ทุกครั้งที่ต้องทำก็คือ...ทำเพื่อกินกันตายไปวันๆ เท่านั้น และถ้าให้เลือกระหว่างทำเองกับขี่จักรยานออกไปกินก๋วยเตี๋ยวหน้าหมู่บ้าน ยิ้มก็คงเลือกอย่างหลังมากกว่า

ประวัติการทำอาหารครั้งแรกสุด เกิดขึ้นในสมัย ป. 3 อายุประมาณ 8 ขวบ ตอนนั้นหัดทำอะไรง่ายๆ อาทิเช่น อาหารจานไข่ ผัดผักบุ้ง ต้มยำ รวมมิตร เออ...จริงๆ ทำอาหารกินเอง รสชาติมันก็อร่อยดีนะ ปรุงได้ตามใจอยาก แต่ว่ามันดันมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ยิ้มเกลียดวิชาทำอาหารมากเลย เรื่องมันมีอยู่ว่าพอเพื่อนร่วมกลุ่มทำอาหารเสร็จก็หนีไปกิน ไอ้เรากำลังจะเดินๆ ไปนั่งกินสบายใจเฉิบบ้าง ก็มักจะโดนครูเรียกใช้อยู่เสมอ

"ศศิษยา ช่วยครูเก็บอุปกรณ์ไปล้าง ทำความสะอาดโต๊ะด้วย" (สงสัยจะเห็นว่าเราใช้งานได้ เชื่อถือได้ล่ะมั้ง)

ก็เป็นคนดี ไปจัดการงานพวกนั้นเสียให้เสร็จก่อน จริงๆ แล้ว หน้าที่พวกนั้นมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรหรอกค่ะ แต่ว่าถ้าต้องทำทุกครั้งๆ มันก็นะ...เซ็งอ้ะ คนอื่นได้ไปนั่งกินสบายๆ ส่วนตัวเรารึ กว่าจะได้ไปนั่งกิน อาหารก็เกือบหมดเสียแล้ว ยังจำได้ดีอยู่เลย ว่าตอนทำผัดผักบุ้งเนี่ย ยิ้มกับเพื่อนอีกคนอุตส่าห์เป็นคนดี ไปล้างจานชามอุปกรณ์ก่อน พอกลับมาถึงโต๊ะที่เขากินข้าวกันอยู่ โอ้...ไม่ ผัดผักบุ้งชามเบ้อเริ่ม ตอนนี้เหลือแต่ก้านไว้ให้เรา...

กรี๊ดดดดด อิฉันชอบกินใบ ไม่ชอบกินก้านผักบุ้งเสียด้วย จะกลับไปกินข้าวที่โรงเรียนเลี้ยงก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะว่ามันเลยเวลาอาหารมานานโข เสียแรงหิ้วท้องกะจะกินอาหารฝีมือตัวเองเสียหน่อย

ฮือ ๆ ๆ แค้นว่ะ..

ตั้งแต่นั้นมาเลยพานไม่ชอบการทำอาหารไปเลย ฮือ...

พอเริ่มเติบโตขึ้น วิชางานบ้านก็เริ่มซับซ้อนขึ้นตามลำดับ จากอาหารจานไข่ ผัดผัก ของว่างง่ายๆ ก็เริ่มพัฒนาเป็นหมูแดดเดียว แกงคั่ว ปลาดุกฟู น้ำพริกอ่อง น้ำพริกกะปิ แล้วยิ้มก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนไปล้างอุปกรณ์อีกต่อไปแล้ว แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ความทรงจำแรกๆ มันฝังลึกจนยากจะลบเลือน มองเห็นการทำอาหารเป็นเรื่องยุ่งยาก เสียเวลา

สภาพสังคมที่อยู่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ยิ้มไม่ค่อยจะได้ทำอาหารด้วยค่ะ เพราะเมื่อพ่อจ๋ากับแม่จ๋ามีภาระมากขึ้น เราก็ไม่ค่อยจะได้ทำอาหารกินกันที่บ้านแล้ว เราเริ่มยังชีพด้วยอาหารปรุงสำเร็จจากร้านหน้าหมู่บ้าน กินกันอยู่หลายปี จนตอนนี้...แค่นึกชื่อเมนูก็รู้สึกได้ถึงรสชาติที่ปลายลิ้น และเจ้าของร้านก็ไม่คิดจะเปลี่ยนเมนู หรือหาอะไรใหม่ๆ มาสลับเพื่อแก้เบื่อเล้ยยยย T-T

ก็เพราะอย่างนี้แหละค่ะ...สิ่งที่เคยเรียนๆ มาในวิชางานบ้านก็เลยหลบหนีหาย ซ่อนเร้น กลับเข้าไปอยู่ในซอกหลืบแห่งความทรงจำ และสมองมันเลยบันทึกเอาไว้ว่า "ไอ้ยิ้ม แกทำอาหารไม่เป็นนะจ๊ะ" มาตลอด

อีกสาเหตุหนึ่งของการไม่ทำอาหารที่ไม่ค่อยอยากจะบอกใคร เพราะมันอาจจะดูไร้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับก็คือ...แม่จ๋าเคยเอาดวงไปให้หมอดูเขาดูให้ หมอดูก็ทายนิสัยข้าพเจ้าว่า

"อืม...ดวงเขาเป็นผู้หญิง แต่ข้างในเขาเหมือนผู้ชายนะ ภายนอกอาจจะอ่อนหวาน เรียบร้อย (เรอะ? ) แต่จริงๆ เขาใจร้อน อารมณ์รุนแรง ไม่ชอบหยุมหยิม นิสัยเหมือนผู้ชายเลยล่ะ ดังนั้นพวกงานบ้าน งานเรือนอะไรอย่างทำกับข้าวนี่ เขาจะไม่ถนัดเลย"

โอ้ว...พอได้ยินก็เหมือนโดนสะกดจิตซ้ำเข้าไปอีก

"งานบ้านงานเรือนอย่างทำกับข้าวนี่ เขาจะไม่ถนัดเลย เลย เลย เลย เลย เลย เลย"

เออ ไม่ถนัดก็ไม่ถนัดสิ...ไม่ทำก็ได้ (ฟะ)

จนกระทั่ง...ต้องระเห็จออกมาจากบ้าน

มาอยู่อังกฤษช่วงแรกๆ ก็บังเอิญได้อยู่บ้านเดียวกับสาวๆ เพื่อนคนไทยอีก 3 คน ที่พักเป็น boarding house ของโรงเรียน ซึ่งมีอาหารให้ เช้า - เย็น ไม่มีครัวให้นักเรียนใช้ มแต่ครัวของบ้าน เราก็เลยไม่ค่อยมีโอกาสจะได้ทำอาหารอีก แต่โชคยังดี ที่ house manager รู้สึกรักคนไทยมาก อาจจะเป็นเพราะเรา(ดูเหมือนว่าจะ)เรียบร้อย ความประพฤติดี มีวินัย ใส่ใจการเรียน พวกเราจึงได้รับโอกาสให้ทำอาหารไทยกินได้บางครั้ง ดังนั้น..ทักษะในการหั่นผักที่หายไปเลยเริ่มกลับมาอีกครั้ง

ใช่ค่ะ...แค่ทักษะหั่นผักเท่านั้นเอง - -' เพราะว่าเพื่อนผู้ชาย ลูกครึ่งไทย - ฮ่องกง คนหนึ่งที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกัน ประกาศก้อง

"ผู้หญิงพวกนี้อะไรวะ ทำอาหารไม่ได้เรื่อง สู้กูก็ไม่ได้"

พวกเราจึงมีบทบาทเป็นเพียงตัวประกอบในครัวเท่านั้น...

พอจบจาก A-level College ก็แยกย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยกัน ข้าพเจ้าก็ดันไปอยู่หอที่มีอาหารให้เช้า - เย็นอีก ก็เลยยังไม่มีโอกาสจะได้ทำอาหารจนแล้วจนรอด เวลาผันผ่านไป...จนขึ้นปีที่สอง เพื่อนสาวคนสนิทชาวญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มจะคุ้นเคยกันดีแล้ว(จึงไม่เหลือความเกรงใจอีกต่อไป) ก็ร้องขอ

เพื่อน: "ยิ้ม...เราชอบอาหารไทยมากเลย ทำให้กินหน่อยสิ"
ยิ้ม: "หืมมน์" (กลอกตาขึ้นเบื้องบน เพื่อขอพรสวรรค์ให้บอกดังๆ ว่าฝันไป)
เพื่อน: "หรือว่าทำไม่เป็น"
ยิ้ม: "เฮ้ย...เป็นดิ นัดเวลามาเลย" (กลัวเสียฟอร์ม - -' แต่ไม่ยักกลัวทำครัวเขาไหม้แฮะ)

เอาล่ะสิ...

ไม่ได้ทำอาหารมานานแค่ไหนกันนะ อื่ม รู้สึกว่าจะทำแบบเต็มยศครั้งสุดท้ายตอน ม. 1 ถ้าไม่นับการทอดไข่เจียวที่ไม่ต้องใช้ฝีมือ และไม่นับการทำอาหารรวมกันกับเพื่อนๆ ก่อนหน้านี้ ที่หน้าที่ประจำของอิฉันคือหั่นผัก หั่นเนื้อ

แม่เจ้าโว้ย...ทำไงดี ทำอะไรง่ายๆ ก่อนก็แล้วกัน และเมนูง่ายๆ ที่ตกลงทำตอนนั้นคือ แกงเขียวหวาน ไข่ยัดไส้ และหมูทอดกระเทียมสำหรับคน 5 คน เพราะโลโบคงไม่ทำให้ลูกค้าผิดหวังหรอกใช่มั้ยคะ หุ หุ หุ

สรุป: แกงเขียวหวานออกมารสชาติใช้ได้ทีเดียว แต่เผ็ดจนเหมือนรสชาติของคนไทยเลยวุ้ย ยิ้มน้อยที่น่ารักเลยจำต้องเสียสละอาหารจานอื่นๆ ให้เพื่อนกิน ตัวเองก็กินแกงไปไส้จะทะลุ ไข่ยัดไส้ขายออกหมด หมูกระเทียมก็หมด เออมันก็ไม่เลวร้ายเท่าที่คิดเนอะ

เพื่อนๆ อาจจะคิดว่า....

1. กินฟรี ได้แค่นี้ก็เอาแล้ว
2. อร่อยดีแฮะ ไม่เห็นเหมือนอาหารไทยตามร้านเลย (จริงๆ ก็อยากให้เหมือน แต่ทำได้แค่นั้น)
3. โอ้ อร่อยจริงๆ เห็นไอ้ยิ้มมันถึกๆ เหมาะกับการขุดดิน ไม่น่าเชื่อว่าจะทำอาหารได้ด้วย
4. ชมๆ ไว้ก่อน คราวหน้าจะได้มาทำให้อีก
5.ถูกทุกข้อ
6. อื่นๆ โปรดระบุ

ไม่รู้ว่าเพื่อนจะเลือกข้อไหน แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็ได้มีการร้องขอให้นางสาวศศิษยาไปทำอาหารไทยให้อยู่เนืองๆ และเมนูก็ได้สลับปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจ๊ๆ ได้มีโอกาสลิ้มรสแกงเผ็ด หรือที่แถวๆ นี้เรียกกันว่า red curry ข้าพเจ้าก็จำต้องทำเมนูนี้ซ้ำๆ ไม่มีโอกาสได้ทดลองฝีมือทำอาหารจานอื่นอีกเลย เพราะเจ๊ๆ ชอบกินแกงกันมากตามประสาคนญี่ปุ่น

การทำกับข้าวก็เริ่มกลายมาเป็นกิจกรรมพักผ่อนหลังเลิกเรียน และเป็นเวลาที่เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทั้งในเชิงวิชาการ ความเชื่อ วัฒนธรรม อาทิเช่น

เพื่อน: ล้า ลา หล่า ลา ล้า หล่า ลา (ความรู้เชิงดุริยางคศิลป์)
ยิ้ม: คนไทยมีความเชื่อว่าถ้าร้องเพลงตอนทำอาหาร จะได้สามีแก่แหละ รู้ป่าวว (ความเชื่อ - วัฒนธรรม)
เพื่อน: จริงเหรอ ทำไมวันก่อนยูก็ร้องเพลงในครัวล่ะ ยูไม่กลัวเหรอ (โต้แย้งด้วยเหตุผล)
ยิ้ม: ไอไม่กลัวได้สามีแก่หรอก ไอกลัวไม่มีสามีมากกว่า ไอเลยชอบร้องเพลงในครัวไง อย่างน้อยก็จะได้เป็นการรับประกัน ว่ายังหาสามีได้ล่ะวะ ถึงแก่ก็ยังดีกว่าไม่มี (วิเคราะห์และสังเคราะห์)

ฯลฯ

พอจบปริญญาตรี ก็ยุรยาตรขนย้ายข้าวของหนีออกจากลอนดอนมาลงเอยที่ยอร์ค โชคดี๊ โชคดี ได้แฟลตเมตเป็นแม่ศรีเรือน ทำให้ศศิษยาได้ใช้เวลาในครัวมากขึ้น นัยว่าเป็นการพบปะพูดคุยกระชับความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ไปในตัว จนท้ายปี พวกเราสนิทกันมากก - มากที่สุด

เพื่อนคนไทยก็ชอบชวนทำอาหารร่วมกัน เพราะว่าทำกินคนเดียวมันทำให้อลังการไม่ได้ ส่วนพี่ๆ ที่นี่...โอ้ววววว ไม่ต้องพูดถึง แต่ละคนมีวิชาการเรือนติดตัวมาประหนึ่งเรียนจบได้ปริญญาคหกรรมมาแล้วคนละใบหรือสองใบ จึงได้มีโอกาสลิ้มรสอาหารรสเลิศจำพวกผัดไทย ข้าวมันไก่ ไข่พะโล้ ปลาสามรส ส้มตำ หมูย่าง ฯลฯ อยู่เนืองๆ

เมื่อการณ์เป็นเยี่ยงนี้...จะชอบหรือไม่ชอบ ข้าพเจ้าก็ต้องเริ่มกลับมาทำอาหารอีกครั้ง เพราะจะไปเกาะกินพี่ๆ เขาเฉยๆ อย่างเดียวตลอดไป มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้

ปัจจุบัน...ก็ยังไม่ได้เป็นแม่ครัวที่ดีอยู่ดีแหละค่ะ เพราะว่าจะให้ไปตำน้ำพริกแกงส้มเอง ก็ทำไม่ได้ หรือจะให้ไปทำอาหารพื้นเมืองอย่างแกงอ่อม ผักกาดจอ แกงผักหวาน ห่อแอ็บ ไส้อั่ว ก็ยังทำไม่เป็นอยู่ดี แล้วเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ว่าต้องใส่อันโน้นในอันนี้ เพื่อให้ได้รสชาติแบบนั้นแบบนี้ ก็ไม่มีเลยสักนิด แต่ว่าอย่างน้อยก็ยังได้รับการพัฒนามาในระดับหนึ่ง ทุกวันนี้...เวลาเห็นสาวๆ ชาวอังกฤษทำอาหารไม่เป็น ยังชีพกับอาหารแช่แข็งที่เอามาใส่ไมโครเวฟ แต่มีเวลาแต่งหน้าได้เฉียบ ไว้เล็บเสียยาวเฟื้อย ก็จะแอบสงสารอยู่ในใจ โธ่..สาวสมัยใหม่

ขอขอบคุณสิ่งแวดล้อมที่บีบบังคับให้ทำอาหารเป็น อย่างน้อยก็ทำเลี้ยงตัวเองและคนรอบข้างได้ล่ะนะ
ตอนนี้ยิ้มตั้งใจเอาไว้ว่าถ้าได้กลับไปบ้านอีกครั้ง จะหัดทำอาหารพื้นเมืองที่กล่าวมาน่ะค่ะ เป็นการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ถ้าไม่มีคนสานต่อ อาหารพวกนี้คงค่อยๆ หายไปๆ จากความทรงจำ เพราะทุกวันนี้ อาหารที่ยิ้มทำกินอยู่ ก็เป็นอาหารภาคกลางทั้งนั้นเลย เราจะมิยอมให้อัตลักษณ์ทางด้านอาหารถูกกลืน

บ่นมานาน ขอลากลับไปทำงานด้วยประการฉะนี้ ชะเอิงเงย</ font>

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2551

วิธีทำตัวให้โดดเด่น เป็นที่กล่าวขวัญและจดจำในหมู่เพื่อน โดย ประธานชมรมคนโสดแสนสุข

Rating:★★★★
Category:Other
เรต ป (ประชดประชัน), น (ผู้ปกครองควรแนะนำ)

สารเก่าๆ จากประธานชมรมฯ

http://fahpraifon.multiply.com/reviews/item/23

http://fahpraifon.multiply.com/reviews/item/54


นั่งๆ อ่านหนังสืออยู่ดีๆ แรงบันดาลใจ แรงผลักดัน ที่พลุ่งพล่านจนเหมือนแรงถีบยันมากกว่า (ขอยืมคำพูดของน้องพิช วิชญ์วิสิฐ มาใช้) ก็มาเคาะประตูก๊อกๆ ๆ ถึงหน้าห้อง ทำให้ประธานอดรนทนไม่ไหวต้องลุกมาสร้างสรรค์บทความฮาว ทู กันแต่หัววันเลยทีเดียว...คิดถึงกันบ้างมั้ยคะ ช่วงหลังๆ นี้ประธานไม่ค่อยได้ทำ newsletter ถึงสมาชิกเท่าไหร่ เพราะสมรรถภาพในการจัดสรรเวลามันลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น (ทั้งๆ ที่ใบหน้ายังอ่อนเยาว์ใสกิ๊งเหมือนเดิม เฮ้อ กลุ้มใจจัง อายุแตะเบญจเพสแล้ว หน้าตายังเอ๊าะๆ ราวกับเด็ก 18 เด็กๆ ปีนเกลียวกันประจำ)

เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเสียที วันนี้ตั้งใจจะเขียนถึงวิธีการทำตัวให้เป็นที่กล่าวขวัญถึงหมู่เพื่อนจากนานาอารยประเทศ เคยมีสมาชิกรีเควสไว้นานแล้ว ว่าจะทำยังไงดีนะ...ให้ตัวเองป๊อบปูล่าร์ เป็นที่กล่าวถึง และเป็น 'ตำนาน' ของชีวิตมหาวิทยาลัย เพราะว่าช่างเบื่อเซ็งกับชีวิตที่ไร้คู่..

ถึงแม้จะฟังดูขัดหูที่บังอาจมาตำหนิติเตียนชีวิตแบบ independent ของชาวชมรมฯ แต่ประธานผู้แสนสวยๆ เริ่ดๆ เกิดมาพร้อมความมั่นใจก็ต้องคอยเป็นร่มโพธิ์ ร่มไทรให้สมาชิก เลยจำต้องรับปากว่าจะเขียนให้ หากตอนนั้นประธานยังไม่มีอารมณ์และข้อมูล จึงขอติดเอาไว้ก่อน

หลังจากซุ่มซ่อนเก็บข้อมูลลับจากแหล่งไม่ไกลตัวมานานนับ...อื่ม....เกือบๆ 2 เดือน ประธานก็คิดว่า ถึงฤกษ์งามยามดีที่จะคลอดบทความชิ้นนี้ออกมา เพราะว่า 'สารตัวอย่าง' ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าแม่เจ้าโว้ย...พฤติกรรมแบบนี้ มันทำให้ป๊อบปูล่าร์ จนใกล้ๆ กับระดับที่เรียกว่าเป็น ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ของสังคมจริงๆ ด้วย

เอาล่ะ...เพื่อความง่ายในการ 'ย่อย' ข้อมูล ประธานฯ ขอสมมติบริบทขึ้นมาบริบทหนึ่งก็แล้วกันนะ ว่าคุณคือนักศึกษาคนหนึ่ง ผู้ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย อาศัยอยู่ในแฟลตซึ่งเต็มไปด้วยนักเรียนนานาชาติ (จะได้ดูอินเตอร์ดี บทความของเราต้องไม่จำกัดอยู่ในบริบทของประเทศไทยเพียงแห่งเดียวนะเคอะ) วิธีที่จะทำให้คุณโดดเด่นจนเป็นที่กล่าวขวัญถึงนั้นก็คือ

1. Grand Opening

คุณจะต้องมีการเปิดตัวที่อลังการ ความประทับใจแรกพบนั้น...มีอิทธิพลความรู้สึกที่เขาจะมีต่อคุณมากมายในภายหลัง ประธานขอแนะนำให้คุณรู้จักวิเคราะห์จุดเด่นและจุดด้อยของตัวเอง...เช่นถ้าคุณมีร่างกายสูงเพรียวเรียวชะลูด สวยงาม คุณก็สามารถใช้ 'ลุค' ดึงดูดสายตาคน หรือถ้าคุณมีรอยยิ้มที่จริงใจ ใครมองเห็นก็สดชื่น...คุณก็จงใช้รอยยิ้มนั้นเป็นจุดที่จะทำให้มิตรใหม่ประทับใจด้วยการส่งรอยยิ้มกระชากสวาท ฉึบๆ หรือถ้าคุณมีเส้นผมที่าวสยายดุจเส้นไหม สะท้อนเป็นประกายใต้แสงไฟ..คุณอาจจะแสร้งสะบัดศีรษะให้ผมกระจาย เป็นเป้าสายตาของคนที่เพิ่งพบกัน จนเขาต้องตะลึงในคุณภาพของน้ำยา rebonding และ โคลนสำหรับทำ hair spa ของร้านที่คุณไปทำผมมาในสนนราคาหลายพัน

แต่ถ้าคุณไม่มีสิ่งที่กล่าวถึงในข้างต้นเลย...

ประธานขอแนะนำให้ใช้เสียงแทน (พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจาก ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ ยอร์ค) จะว่าไป..มันได้ผลกว่าการใช้รูปลักษณ์เป็นกอง เพราะคนสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง อาจจะซึมซับความงามของคุณได้ไม่เต็มที่ แต่คนหูไม่หนวก (ซึ่งมีมากกว่าคนสายตาปกติ ไม่สั้นไม่ยาวไม่เอียง) ย่อมจดจำน้ำเสียงอันทรงพลังของคุณได้แน่ๆ

Tips of the day: น้ำเสียงไพเราะ หวานซึ้ง มันไม่ตรึงใจเท่าน้ำเสียงแหลมเล็กเสียดแก้วหู

พอพบมิตรใหม่ คุณจงบีบน้ำเสียงให้แหลมเล็กขึ้นจมูกนิดหนึ่งขยับความดังขึ้นเป็น 80 เดซิเบลและเปล่งออกไปอย่างมั่นใจ

"สวัสดีค่ะ ฉันเป็นเพื่อนร่วมแฟลตของคุณค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก"

เขาอาจจะนิ่งไปนิดหนึ่ง เพราะความแปลกใจในเสียงที่แหลมและดัง อันแสดงออกถึงอำนาจและความมั่นใจของคุณ อย่าตกใจ...จงดำเนินการขั้นต่อไปทันที หลังจากนั้นอนุญาตให้ลดเดซิเบลลงมานิดหน่อย แต่คุณต้องไม่ปล่อยให้คนที่คุณเพิ่งพบตั้งตัวติด คุณต้องยิงคำถามรัวเข้าไปราวกับปืนอาร์ก้าไม่ว่าจะเป็น เรียนอะไรมา, บ้านอยู่ที่ไหน, ที่บ้านทำอะไร, รวยรึเปล่า, กินอะไรเมื่อเช้านี้, วันหนึ่งอาบน้ำกี่ครั้ง, เคยมีแฟนมาแล้วกี่คน, จูบกับแฟนครั้งแรกเมื่อไหร่ บลา บลา บลา

หากเขาทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ...คุณจะต้องไม่หลวมตัวเชื่อว่าเขากระอักกระอ่วนใจ เพราะในความเป็นจริง เขากำลังประทับใจในความมีอัธยาศัยของคุณต่างหาก คุณจะต้องมีจุดยืน ขุดหาคำถามที่ไม่มีใครในโลกนี้เขาถามกันเมื่อพบกันครั้งแรกมาถาม

'มีเพื่อนต่างชาติเยอะมั้ยเธอ, อ๋อ..แล้วเธอชอบคนชาติเดียวกันมั้ยนะ, ต๊าย ตาย ฉันไม่ชอบคนที่มหาลัยนี้เลยนะ โง๊ โง่ ที่เก่าของฉันดีกว่านี้เยอะ แล้วเธอล่ะจ๊ะ รู้สึกอย่างฉันบ้างไหม, อากาศที่นี่แย่เนอะ เมืองก็เงียบ, ฉันว่าลอนดอนน่าจะน่าอยู่กว่า อะไรนะ มันจะแพงกว่าเหรอ เป็นไปได้ยังไง เมืองใหญ่ คนเยอะ น่าจะมีทางเลือกมากกว่า, หืม เคยอยู่มาแล้วเหรอ แล้วมาอยู่เมืองเล็กๆ แบบนี้ทำไม บลา บลา บลา

แค่นี้...คุณก็มี Grand opening ที่ก่อให้เกิดความประทับใจแรกพบได้แล้ว
เพื่อนไม่มีทางลืมคุณได้แน่ๆ

2. ลบคำว่า 'เกรงใจ' ออกไปจากสารบบของคุณ

สมาชิกที่รักคะ...หากคุณรักที่จะโดดเด่นเป็นที่กล่าวขวัญในหมูประชาชี จงลบคำว่า 'เกรงใจ' ออกไปจากพจนานุกรมของคุณให้หมดเลย เพราะเจ้าคำคำนี้...มันจะเป็นตัวที่สร้าง 'ช่องว่าง' ระหว่างคุณกับกลุ่มเป้าหมาย วิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้ก็คือ...

2.1 หมั่นทักทายเขาบ่อยๆ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ถ้าเขากำลังทำกับข้าวอยู่ก็จงเข้าไปทักทาย คุยนานๆ ไม่ต้องสนหรอกว่าเขาจะพยายามใช้สมาธิเพราะกลัวเนื้อไก่ในกระทะจะไหม้ เขาแสดงออกอย่างนั้นเพราะเขายังมี 'ช่องว่าง' และ 'เขิน' คุณอยู่ คุณต้องแทรกตัวเข้าไปใกล้ชิด และถ้าเป็นไปได้...จงขอร่วมทานอาหารด้วยเลย

แต่ไม่..คุณจะต้องไม่ขอตรงๆ นะคะ มันจะทำให้ดูไม่มีสไตล์ คุณจะต้องขออ้อมๆ โดยการปรารภขึ้นมาลอยๆ
"เฮ้อ..เธอว่าฉันจะทำอะไรกันดีนะ ขี้เกียจจังเลย ต้องหุงข้าวอีกแระ"
หรือไม่คุณก็ต้องใช้เหยื่อเล็กๆ ล่อปลาใหญ่ เช่น...คุณอาจจะทำไข่เจียว เพื่อล่อเอาแกงส้มและหมูกระเทียมมาแลกเปลี่ยน
"นี่ๆ ฉันเจียวไข่อยู่...เธอจะกินกับฉันไหมจ๊ะ"

แน่นอน..เขาจะไม่กิน เพราะอาหารของเขาไฮโซกว่า แต่คุณก็ต้องไม่ยอมแพ้
"หอมจังเลย นี่เธอทำอะไรน่ะ น่ากินจัง"

แล้วถ้าแผนของคุณสำเร็จ เขาก็จะชวนคุณกินข้าวด้วย และคุณก็จะเป็นที่จดจำของเขามากขึ้นในอีกระดับหนึ่ง...แต่ถ้ายังไม่สำเร็จ เพราะเขาเป็นคนมีช่องว่างมากมาย คุณต้องใช้แผนถัดไป

2.2 ยืมของ
การเข้าไปยืมตรงๆ อย่างมีมารยาท ไม่สามารถทำให้คุณป๊อบปูล่าร์ หรือกลายเป็น 'ดาวดวงเด่น' ในวงสนทนาของเพื่อนๆ ได้ คุณจะต้อง...ใช้ก่อนแล้วค่อยยืม...หรือไม่ก็ยืมแล้วคืนเกินกำหนด เพราะว่าเพื่อนไม่ใช่ห้องสมุด คุณไม่ต้องเสียค่าปรับ จะกลัวอะไรกันเล่า จาน ชาม ช้อน ส้อม เนี่ย ยืมไป..ใช้แล้วก็ไม่ต้องล้าง หรือล้างแล้วก็ไม่ต้องเก็บ มันจะทำให้สูญเสียความเป็นกันเอง ดูเป็นพิธีรีตรองมากเกินไป เวลาเพื่อนเขาจะใช้คอมพิวเตอร์ทำงานคุณก็ต้องไปยืมมาใช้งาน อ้างว่าคอมของคุณเปิดโปรแกรมบางอย่างไม่ได้ แน่นอน...ว่าถ้าคุณทำหน้าตาว่ามันสำคัญจริงๆ เพื่อนไม่มีทางปฏิเสธคุณหรอก อ่อ..ไม่ต้องให้บอกซ้ำใช่ไหม..ว่าห้ามคืนตรงกำหนดนะ

สมมติว่าคุณบอกว่าจะคืนตอนบ่ายสามโมง คุณต้องยึดเอาไว้จนหกโมงเย็น รอให้เพื่อนมีท่าทีกระสับกระส่ายเล็กน้อย เพราะเขาจะโล่งอกมากกกก จนส่งสายตาซาบซึ้งแกมยินดีให้เมื่อคุณเอาของไปคืน แล้วต้องหัดสังเกตด้วยนะ...ว่าเขาใช้อะไรบ่อยๆ คุณก็ไปยืมของนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นที่เป่าผม ยืดผม เครื่องสำอาง ล้านแปด เพราะมันจะทำให้เขาเริ่มรู้สึกเป็นกันเอง เสมือนคุณเข้ามาเป็นหนึ่งในชีวิตของเขาเยี่ยงวัตถุเหล่านั้น

2.3 พยายามหาโอกาสใช้เวลากับเพื่อนเยอะๆ
หากวิธีที่ผ่านมายังไม่ทำให้คุณโดดเด่นพอ คุณจะต้องลงทุนมากกว่าเดิมแล้วล่ะ แค่ทักทายและยืมของคงยังไม่เวิร์คเหรอ ถ้าอย่างนั้นคุณจะต้องทำตัวให้ติดกับเขาเลย เช่น ถ้าเขากำลังอยู่ในห้อง คุณจะต้องหมั่นไปเคาะประตูเช็คดูว่าเขาทำอะไรอยู่ ถ้าเขาจะไปฟิตเนสเพื่อออกกำลังกาย คุณก็จะต้องขอติดสอยห้อยตามไปด้วย อ้อ...ห้องสมุด ห้องอ่านหนังสือ ซุเปอร์มาเก็ตด้วยนะ ถ้าเป็นไปได้ ห้องน้ำ ห้องส้วม เลย...ลากถุงนอนมานอนหน้าเตียงเลยก็ได้

ถ้าคุณรวย คุณซื้อเซนเซอร์มาติดหน่าประตูเขาเลยค่ะ จะได้ติดตามความเคลื่อนไหวได้ทุกท่วงท่า ลีลา

ผลลัพธ์ที่ได้มันคุ้มจนเกินจะคุ้มอยู่แล้ว
เพื่อนๆ จะรักคุณมากจนพูดถึงคุณได้ตลอดเวลาที่เขาเจอกันเลยทีเดียว


3. จงอย่ากลัวที่จะ 'แตกต่าง'

ช้างเผือก...มีคุณค่าเพราะว่าช้างเชือกที่เหลือเป็นสีดำ ดังนั้น...ถ้าคุณอยากโดดเด่นแบบช้างเผือก คุณจะต้อง 'แตกต่าง' หัดสร้างแบรนดิ้งให้ตัวเองหน่อยนะ

สมมติว่า...มีคนที่มาจากที่เดียวกับคุณอยู่ประมาณ 355 คนในมหาวิทยาลัย ถ้าคุณทำตัวเหมือนคนพวกนั้น เพื่อนใหม่จะไม่ให้ความสนใจกับคุณเป็นแน่ คุณจะถูกดูดให้จมหายไปในฝูงชนทันที ดังนั้น...คุณจะต้องมีจุดยืน และหมั่นยืนยันกับเพื่อนใหม่ๆ ของคุณว่า

"อ๊าย ฉันไม่คบหรอก เพื่อนๆ พวกนั้นน่ะ ไม่ไหวเลยจ้ะ ฉันน่ะ นิสัยไม่เหมือนกับคนพวกนั้นเลย ฉันว่าเขาชอบคบกันเองมากกว่า ฉันน่ะชอบความแตกต่าง ชอบความท้าทาย ชอบความแปลกใหม่ ชอบอะไรยากๆ เธอชอบเหมือนกันมั้ยจ๊ะ"

(เธอชอบเหมือนกันมั้ยจ๊ะ <---- data-blogger-escaped-br="br">
คุณจะต้องย้ำประเด็นนี้ให้กับเพื่อนใหม่ของคุณทุกๆ คน ย้ำทุกครั้งทีเจอหน้า เพราะคำพูดเหล่านั้นมันจะค่อยๆ ซึมลงสู่อนุสติของพวกเขาทีละนิดๆ ราวกับถูกสะกดจิตด้วย Subliminal advertisement ว่า

"กู แตก ต่าง, กู โดด เด่น"

ได้ผลจริงๆ นะ จะบอกให้

4. และอย่ากลัวที่จะแสดงความคิดเห็น เป็นตัวของตัวเอง

ความกล้าแสดงออกจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนเรามีเสน่ห์...คุณจะต้องไม่ลังเลที่จะแสดงความคิดของคุณให้เพื่อนใหม่ได้รับรู้ แม้ว่าเขาจะคิดไม่เหมือนกันเลยก็ตาม คุณจะต้องทำให้เขายอมรับความคิดของคุณ ถ้าเขาเถียงคุณต้องพยายามพูดเป็นคนสุดท้าย เพราะนั่นแปลว่า..เขายอมรับความคิดของคุณแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น

คุณ: นี่ A ฉันว่าเธอน่ะ ใช้เวลากับ B C D E F ให้น้อยลงได้แล้วนะ คบแต่กับพวกนั้น เธอจะไม่ได้คบคนใหม่ๆ เลย

A: ทำไมล่ะ คนพวกนั้นก็ไม่ได้ผิดอะไร และการใช้เวลากับเขาก็ไม่ได้ทำให้ฉันไม่มีเพื่อนคนอื่นนี่

คุณ: แหม...บางทีคนเราก็ต้องฉลาดหน่อยนะ เรามาอยู่ในสังคมที่กว้างขึ้น เธอจะคบกับคนที่เคยมาจากที่เดียวกับเธอตลอดไปหรือไง

A: จริงๆ แล้วฉันคบกับใครก็ได้ ขอให้เป็นคนดี จริงใจ ก็พอแล้ว

คุณ: ไม่จริงมั้ง..ฉันเห็นเธออยู่กับคนพวกนั้นบ่อยจะตาย

A: แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่จะทำให้ฉันไม่คบคนพวกนั้นล่ะ

(อย่ายอมแพ้...ทำให้เขายอมรับความคิดเห็นของคุณให้ได้)

คุณ: แหม ฉันก็แค่พูดเล่น แต่เธอดูนาย Z สิ เขาคบกับคนหลากหลายมากเลย เขาเป็นคนฉลาดมากนะ เธอว่ามั้ย

(ลงทุนหาตัวอย่างให้ขนาดนี้ ไม่ประทับใจก็ให้รู้ไปสิ อ่อ ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะคิดว่าคุณว่าเขาโง่ เพราะที่จริงแล้ว...คุณหวังดีกับเขาต่างหาก)

A: ........................

เย้...สำเร็จแล้ว เห็นมั้ย ในที่สุดเขาก็ยอมรับความคิดเห็นคุณ อาจจะมีผู้ไม่หวังดีบางคนมาบอกคุณว่า "นี่หล่อน นังชะนี ที่เค้าเลิกพูดกับหล่อนน่ะ ชั้นว่าเพราะเค้ารำคาญหล่อนนะยะ และถ้าหล่อนทำแบบนี้ต่อไป ชั้นว่า...เค้าจะเลิกคบหล่อนเข้าสักวันแล้วล่ะ"

คุณจะต้องยึดมั่น ไม่หวั่นไหว...พวกนั้นเขาหวังจะขโมยซีนคุณ เขาเลยมาเป็นบ่างช่างยุให้คุณล้มเลิกกระบวนการสร้างความโดดเด่นครั้งนี้

เพื่อนของคุณไม่มีทางเลิกคบคุณหรอก มีแต่จะแซ่ซร้องสรรเสริญ และกล่าวถึงด้วยความชื่นชมในหมู่สังคมล่ะไม่ว่า ก็คุณหวังดีกับเขา และเป็นตัวของตัวเองขนาดนี้แล้ว


5. สร้างเน็ตเวิร์ครูปดาวกระจาย (หรือดอกจัน) เพื่อให้คุณเป็นจุดศูนย์กลาง

การมีเพื่อน ก็เหมือนการสร้างเน็ตเวิร์ค แต่การสร้างเน็ตเวิร์คที่คุณจะโดดเด่นเป็นที่กล่าวขวัญ คุณจะต้องสร้างเน็ตเวิร์ครูปดาวกระจาย (หรือว่าดอกจันก็ได้) ไม่ใช่ใยแมงมุมนะ ลองนึกภาพตามซิ นึกออกมั้ย ใยแมงมุมเนี่ย...มันมีจุดศูนย์กลางก็จริง แต่ว่าจุดที่อยู่บนรัศมีต่างๆ เนี่ย มันก็ยังโยงใยถึงกัน และนั่นมันจะลดความสำคัญของตัวคุณลง

คุณจะต้องทำลายโยงใยระหว่างจุดต่างๆ เหล่านั้น

ทำยังไงล่ะ โอ๊ยยยย ง่ายนิดเดียว แต่คุณจะต้องอาศัยความช่างสังเกตหน่อยนะ

การจะทำลายโยงใยนั้น คุณต้องสังเกต 'ข้อด้อย' ของเพื่อนๆ คุณทุกคน จดบันทึกเอาไว้เลยก็ดี หลังจากนั้น...คุณก็จะต้องเข้าถึงตัวเพื่อนคนที่ 1 แล้วป้อนข้อมูลในด้านลบของเพื่อนคนที่ 2 3 4 5 ฯลฯ ลงไป และคุณก็จะต้องทำแบบเดียวกันกับคนอื่นๆ

ถ้าพูดภาษาบ้านๆ ไม่วิชาการอย่างที่เป็นอยู่ ประธานฯ ก็จะใช้คำว่า 'เสี้ยมเขาควายให้ชนกัน' ล่ะนะ

เข้าใจป่ะ...ถ้าไม่ จะลองยกตัวอย่างให้ดู

5.1
คุณ: A ว่าป่ะ ว่า B ที่อยู่ห้องนั้นน่ะ นิสัยไม่ดีเลยเนอะ เก็บเนื้อเก็บตัวไม่คบกับชาวบ้าน

A: จริงเหรอ เขาก็คุยกับฉันดีนะ เขาไม่คุยแต่กับเธอรึเปล่า

คุณ: แหม บ้า...ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องหนีฉันนี่่ ฉันว่าเขาเป็นคนขี้เก๊ก เห็นแก่ตัว ไม่ดูแลผู้หญิง ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย

A: ........ เออ แล้วแต่จะคิด

หลังจากนั้น...คุณก็ต้องรีบวิ่งไปหา B

คุณ: B ๆ ๆ ออกมากินข้าวด้วยกันหน่อยสิ เหงาว่ะ

B: เออ เหรอ อื่ม ก็ได้ ทำไมไม่ชวน A ล่ะ

คุณ: เฮอะ A น่ะเหรอ คิดว่าดี ที่แท้ก็พวกกบในกะลา คบกับคนเดิมๆ ยึดติดกับอะไรเดิมๆ ไม่แปลกใหม่ ไม่เปิดกว้างเลย

B: เฮ้...จริงเหรอ ฉันว่าเขาก็ปกติดีนะ คิดไปเองรึเปล่า เขาหลบหน้าแต่กับเธอมั้ง

คุณ: บ้า....จะมีเหตุผลอะไรล่ะ ที่เขาต้องหนีหน้าฉัน เอ๊ะ...ทำไมคำพูดของเธอมันฟังดูคุ้นๆ นะ เหมือนจะได้ยินมาแล้วหลายครั้ง

อะไรทำนองนี้น่ะค่ะ
โจมตีจุดอ่อนเข้าไป แค่นี้เพื่อนๆ เขาก็จะตาสว่าง...มองเห็นสัจธรรม ว่าคนอื่นมีข้อเสีย มีจุดอ่อนหมดเลย ยกเว้นคุณ ถ้าทำมาถึงตรงนี้แล้ว...คุณจะโดดเด่น เป็นที่รู้จัก กล่าวขวัญถึงไปอย่างน้อย 1 ปีแน่นอน เชื่อประธานสิคะ

เอาล่ะ ขออนุญาตไปทำงานต่อ..

ขอขอบคุณแรงบันดาลใจอันรุนแรงที่แวะเวียนมาหาถึงหน้าประตู และทะลุทะลวงเอ็มเอสเอ็น ที่ทำให้เกิดบทความบทนี้...

ได้เขียนแล้วสบายใจขึ้นล่ะ ทำงานต่อดีกว่า ลัลล้า

ประธานชมรมคนโสดแสนสุข
7 มีนา 2551

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551

Bathing moment

Rating:★★★★
Category:Other
นิสัยเดิมกลับมาแล้ว คือช่วงนี่ควรจะทำงานจะต้องมาอัพบล็อก หุหุ อีกไม่นานก็คงกลับไปเขียนนิยายยาวๆ ได้อย่างเดิม หลังจากสูญเสียความสามารถในการเขียนไประยะใหญ่ๆ (ประหนึ่งจอมยุทธ์สูญเสียวรยุทธ์ที่สั่งสมมาเนิ่นนาน)

บังเอิญวันนี้ไฟในห้องนอนเสีย ในห้องน้ำก็เสีย อากาศข้างนอกก็ขมุกขมัว ก็เลยจำต้องอาบน้ำในแสงสลัวๆ (พูดให้ฟังดูดี ที่จริงเรียกว่าอาบน้ำในความมืดเลยล่ะ) ชั่วขณะที่สายน้ำอุ่นๆ อาบไล้ลงตั้งแต่ปลายผมจรดปลายเท้า ยิ้มก็นึกถึง bathing moment ที่แสนประทับใจในชั่วชีวิตที่ผ่านมา อืม...จะว่าไปแล้วเราก็มีช่วงเวลาประทับใจในการอาบน้ำเยอะนะ ลองนึกถึงวันเก่าๆ ดูดีกว่า

1. อาบน้ำในห้องน้ำที่ไม่มีน้ำอุ่น ใต้ถุนเรือนไทย ใกล้เสาตกน้ำมัน

ช่วงอายุ 1-5 ขวบ ครอบครัวเช่าบ้านเรือนไทยอยู่ ซึ่งห้องน้ำมันไม่ได้อยู่บนบ้าน จะเข้าทีก็ต้องเดินลงมาด้านล่าง ยามกลางวันก็ปกติดี แต่เวลามืดๆ ค่ำๆ จะเห็นเงาต้นกล้วยหลังบ้านโบกไปมาคล้ายหัตถาแห่งความมืดมิด เสาตกน้ำมันอยู่ห่างไปเพียง 5 เมตร โอ้วววววว ได้อารมณ์มากค่ะ ไม่แปลกใจเลย...ที่ท่านแม่และท่านป้าจะเคี่ยวเข็นให้อิฉันอาบน้ำก่อนตะวันลับฟ้า (เพราะคนอุ้มลงไปคงกลัวน่ะนะ) โชคทีที่ตอนนั้นยังเด็กไม่ค่อยคิดอะไร เลยไม่หวั่นไหวมากนัก ถ้าเป็นตอนนี้ คงเป็นช่วงเวลาอาบน้ำที่เต็มไปด้วยความหลอนแน่ๆ

2. อาบน้ำในกะละมัง

อันนี้ได้อารมณ์สนุกสนาน ตอนเด็กๆ ยามปิดเทอมจะถูกเอาไปปล่อยไว้บ้านยาย ข้าพเจ้าก็ช่วยซักผ้าเป็นการแลกข้าวกิน (พูดเว่อร์ไปงั้นแหละ จริงๆ ก็ช่วยซักเป็นปกติอยู่แล้ว) ตอนนั้นไม่มีเครื่องซักผ้า ต้องใช้กะละมังเรียงกัน 3-4 ใบ ซักไปก็จะเล็งใบใหญ่ไว้ด้วย พอซักเสร็จหมดก็แก้ผ้า กระโดดแช่น้ำในกะละมัง เย็นๆ สบายๆ นอนหลับตาให้ยอดไผ่บรรเลงดนตรีกับสายลมให้ฟัง แช่น้ำจนตัวซีดตัวเซียว ก็มันสบายนี่นา (ตอนนั้นยังเด็ก ไม่อนาจาร ไม่อุจาดลูกตา ตอนนี้ทำไม่ได้ละ - -' คงดูน่าเกลียด และคงไม่สามารถยัดตัวลงในกะละมังได้ ถ้าไม่หั่นร่างกายเป็นชิ้นๆ ก่อน)

มันสุโขสโมสรจริงๆ นะคะ

3. อาบน้ำไดโว่ในสนาม + ลานซีเมนต์ข้างบ้าน

ปกติแล้วตาจะสูบน้ำใส่สวนลำไยเป็นระยะๆ พอรดน้ำในสวนนอกบ้านเสร็จ ก็จะย้ายมารดสวนในบ้าน ตามมาด้วยสนามหน้าบ้าน ซึ่งขั้นตอนสุดท้ายนี้ ชอบมาก...ต้องออกไปเล่นน้ำจนเปียกทุกครั้ง โดนตะขาบทายาทอสูรหนีน้ำไต่ข้ามเท้าก็ไม่เคยเข็ด ยังมีอารมณ์ไปคลุกอยู่ในปลักโคลน เอ๊ย หลุมโคลนอยู่เนืองๆ พอน้าขยับมารดน้ำมาถึงกอต้นไม้ใกล้ๆ ลานซีเมนต์ ก็จะแอบยึดสายยางขนาด 2 นิ้วครึ่ง เอามาวางตั้งไว้บนลานนั้น เพราะว่าบางจุดที่เขาฉาบพื้นไม่เนียนมันก็จะเป็นหลุม พอให้เราเกลือกกลิ้งได้ น้ำสูบขึ้นมาใหม่ๆ จากบ่อใส เย็น แสนสบาย เล่นบนลานคอนกรีตปลอดภัย ไม่มีสัตว์เลื้อยคลาน ยิ่งได้เล่นในช่วงหน้าร้อนยิ่งสวรรค์ นอนเล่นน้ำไปก็นึกว่าตัวเองเป็นนางเงือกไป (อิทธิพลของนิยายพื้นบ้านช่อง 3 ที่เคยออกช่วงเย็นๆ น่ะค่ะ)

ตอนนั้นเล่นเสียสนุกเชียว แต่ถ้าตอนนี้ทำคงคิดว่าเป็นพะยูนเกยตื้น เฮ้อ...เวลา ผ่านไปแล้วไม่หวนคืนจริงๆ เล้ยย...

4. อาบน้ำกระโจมอกในห้องน้ำวัดป่า ท้าสายตาน้องกวาง

เคยไปเข้าค่ายธรรมะที่วัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรมที่เชียงใหม่ 3-4 วัน ตอนนั้นเขาให้ใช้ชีวิตสมถะ ห้องพักก็ปูผ้านอนเรียงกันเป็นแถบๆ ห้องน้ำก็โบกฝาขึ้น 3 ด้าน อีกด้านเปิดโล่งให้น้ำไหลออกลงไปในป่า ตรงกลางมีอ่างซีเมนต์ขนาดใหญ่ มีขันห้อยอยู่ให้ตักน้ำ อาบรวมกันเป็นหมู่เหล่า สามัคคี

อากาศในป่ามันเย็นยะเยือกมากเลยค่ะ อาบรวมแบบนั้น ต้องนุ่งผ้าถุงด้วย - -' แล้วข้าพเจ้าก็ใช่ว่าจะได้นุ่งผ้าอาบน้ำเป็นกิจวัตรประจำวันนี่นา กลัวมันหลุดก็กลัว หนาวก็หนาว จะสาดโครมลงไปเลยก็ไม่กล้า น้ำในอ่างก็เขียวๆ ราวกับน้ำในบ่อน้ำนิ่ง มีตะไคร่ขึ้นอยู่ตรงโน่นนี่ ต้องมาระแวงอีกว่าใครจะโผล่หน้ามาตรงด้านที่เปิดโล่งอยู่มั้ย ไหนจะเพื่อนๆ ที่อาจเล่นพิเรนกระตุกผ้าถุงเราอีกล่ะ แต่ละคนนี่...ลิงกลับชาติมาเกิดทั้งนั้น อาบๆ ไปด้วยความทุลักทุเลอยู่ดีๆ เฮ้ยยยยย ตกใจ กวางตัวเบ้อเริ่มเขาโง้ง สวยสดงดงามมายืนมองตาแป๋วอยู่ หนูจะมาแอบมองทำไมคะเนี่ย ฮึ..

ตัวผู้ชัวร์ ดูได้ที่เขาโง้งสวยงาม เอิ่ม...คนละสปีชี่ส์กัน เจ๊ไม่สนหรอกนะคะน้องกวาง ปีนี้หนูเกิดในวัด(ป่า) ทำบุญทำกุศล ชาติหน้าฟ้าใหม่ได้เกิดเป็นคนค่อยว่ากันอีกที

5. อาบน้ำโอ่งใต้ท้องฟ้า ดารดาษด้วยดวงดาราส่องประกาย

พูดเว่อร์ไปงั้นแหละค่ะ จริงๆ มันคือลานโอ่งมังกรที่เคยซักผ้านั่นแหละ ต่างกันที่...ตอนนี้โตแล้ว ฮือ ๆ ๆ น่าจะประมาณ ม. 1 ได้ แต่ในห้องน้ำมันมีตุ๊กแกนี่คะ เกาะอยู่บนเพดานตรงกับหัวเด๊ะเลย เกิดเราอาบๆ ไปมันปล่อยขาให้ตัวเองตกลงมา ลอยละลิ่ว แป๊ะ....คงจะแลนดิ้งลงกลางหัวพอดี คนเฒ่าคนแก่เขายิ่งว่าๆ กันอยู่ว่าตุ๊กแกเกาะมันจะไม่ปล่อยจนฟ้าร้อง

กลัวอ่ะดิ...
ก็เลยต้องออกมาอาบน้ำกลางแจ้ง เพราะห้องน้ำอีกห้องบนบ้านกำลังชำรุด ถ้าอาบน้ำมันจะไหลตกลงมาในบ้าน โอว...ก็สุนทรีย์ไปอีกแบบนะคะ อาบน้ำโอ่งมังกร เบื้องบนคือผืนฟ้า เบื้องหน้าคือต้นมะม่วง ปิดไฟซะก็ไม่มีใครเห็นหรอก

6. น้ำร้อนจัดๆ ที่ Bamburgh

ตอนนี้...โตละ เป็นตอนไปลงภาคสนามที่ Bamburgh เมืองที่อยู่ใกล้กับชายแดนอังกฤษ - สก็อตแลนด์ การอาบน้ำในภาคสนามครั้งอื่นๆ ไม่ขอพูดถึง เพราะมันไม่ค่อยจะเกิดขึ้น แหะๆ ไม่ได้ซกมกนะ ก็มันต้องนอนเต๊นท์ ไม่มีห้องน้ำ จะให้ทำยังไง ไม่ได้เอาผ้าถุงมาด้วย ถึงเอามาจะมานั่งอาบน้ำในชุดกระโจมอกฝรั่งมันคงจะมองด้วยสายตาแปลกๆ ไหนๆ เขาไม่อาบกันทั้งคณะ เราก็ไม่อาบเป็นเพื่อนก็ได้ (รอดพ้นจากโรคกลากเกลื้อน และเชื้อราในร่มผ้ามาได้นี่...ถือว่าโชคดีนัก)

ที่ Bamburgh นี้ เรากางเต็นท์พักที่แคมป์ไซต์ ก็เลยมีห้องน้ำให้ประมาณ 5-6 ห้องค่ะ เป็นห้องน้ำซีเมนต์โบกลวกๆ มีฝักบัวโลหะเก่าๆ อยู่ คล้ายๆ ห้องน้ำให้บริการอาบน้ำจืดตามเกาะต่างๆ ห้องน้ำจำนวนเท่านี้ ต่อสมาชิกจำนวนเท่าไหร่นะ หืม...อ๋อ ต่อสมาชิกจำนวน 30 บวกสตาฟอีก ก็น่าจะ 40 กว่าๆ นี่ยังไม่นับนักท่องเที่ยวขาจรอีกนะ T-T

ศึกชิงห้องน้ำจึงเกิดขึ้นทุกเช้าเย็น เพราะว่าน้ำอุ่นจะมีเพียง 2 รอบเท่านั้น หลังจากนั้น boiler มันจะต้มไม่ทัน ต้องอาบน้ำเย็น หรือไม่ก็รอไปอีก 2-3 ชม. ซึ่งคงไม่ค่อยมีใครอยากรอเท่าไหร่ ทำงานเหนื่อยๆ เหม็นๆ มาทั้งวัน สิ่งแรกที่อยากทำก็คือการอาบน้ำ

แต่ศศิษยาโชคดีค่ะ มือไว ตืนไว วางแผนดี ลงจากรถปุ๊บ ก็คว้าเอาถุงอุปกรณ์อาบน้ำและเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนออกไปทำงาน ถอดบู๊ตยาง ถุงเท้า ใส่รองเท้าแตะฟองน้ำเร็วไว โกยตีนหมาวิ่งไปห้องน้ำทันที

ได้อาบก่อนนี่ถือว่าเป็นบุญ แต่การตัดหน้าตัดโอกาสเพื่อนๆ อาจจะเป็นบาป น้ำที่ได้อาบเลยน่าจะอุณหภูมิ 60 - 70 มั้ง ไม่รู้เหือนกันว่าร้อนแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คืออาบทีไรตัวแดงยังกะหมูถูกน่ำร้อนลวก คงไม่มีคนไทยหน้าไหนอาบน้ำร้อนแบบนั้นแน่ๆ ปรับอุณหภูมิก็ไม่ได้ ทางโน้นผสมมาให้เสร็จ ฮือ ๆ ๆ ๆ ๆ

ก็แหม...ร้อนขนาดนั้นสระผมทีก็กลัวหนังหัวถลก ทำอะไรก็ไม่ค่อยได้ เฮ้อ..หลังๆ เลยต้องใช้วิธีเอาขันรองทิ้งไว้ให้พอเย็น หรือไม่ก็เช็ดตัวเอา

ต้องทนอาบน้ำร้อนๆ อย่างนั้น 3 อาทิตย์อ่ะค่ะ T-T ไม่มีทางเลือก

นึกออกแค่นี้อยู่ค่ะ
เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ มี Bathing moment ที่น่าประทับใจมาแบ่งปันมั่งไหมคะ

วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2551

ความยากของการเรียนปริญญาเอก

Rating:★★★
Category:Other
เข้าใจละค่ะ สิ่งที่ยากที่สุดในการเรียนปริญญาเอกก็คือการบังคับใจตัวเองนี่เอง
การทำงาน วิจัย ค้นคว้าหาข้อมูล และอื่นๆ ก็ยากน่ะนะ แต่เราก็ย่อมฝ่าฟันทุกสิ่งไปได้ไม่ช้าก็เร็ว ถ้าจิตใจเราสู้เสียอย่าง

T-T ดังนั้น...ถ้าใจมันคอยจะว่อกแว่ก งานก็ไม่ค่อยเดิน เหมือนเช่นสัปดาห์นี้นี่เอง

กระซิก ๆ ๆ

แค่มาบ่นและส่งข่าวเฉยๆ ค่ะ จริงๆ อยากอัพอะไรบ้าง แต่ไม่มีเวลาเขียน ^ ^
ไว้เจอซุปแล้วจะกลับมาขีด ๆ เขียนๆ อะไรใหม่นะคะ

ไม่ได้ท้อๆ แค่บ่นเฉยๆ แหะๆ