วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เขาว่าปู่หนูเป็นผู้มีอิทธิพล

Rating:★★★★★
Category:Other

ตั้งใจจะเขียนบล็อกนี้มาตั้งแต่วันแรกที่กลับมาแล้วค่ะ ดังจะเห็นได้จากวันที่ publish บอกไว้ว่าเป็นวันที่ 23 แต่เป็นบล็อกที่เขียนได้ยากที่สุดในชีวิต เพราะตอนแรกเริ่มเขียน...ความรู้สึกมันตีบตันไปหมด รู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นๆ ท่วมเข้าไปในอกในใจจนหายใจไม่ออก ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ปล่อยใจไปตามความรู้สึกหลากหลายที่พุ่งเข้าหา บล็อกนี้เลยเพิ่งเสร็จเมื่อวันที่ 28 นี่เอง

วันนี้ (วันที่ 23 Dec 2008 ) เป็นวันแรกที่ยิ้มกลับมาสู่มาตุภูมิอีกครั้ง แล้วก็เป็นวันแรกที่ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับครอบครัวมากมายเหลือเกินจน...จนไม่อยากจะเชื่อว่าเราจะไม่มีโอกาสได้รับรู้เรื่องเหล่านี้เลยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ข่าวสารเหล่านั้นทำให้มึนๆ งงๆ ตั้งตัวไม่ค่อยถูก ทั้งที่ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของสัจธรรมแห่งชีวิตธรรมดานี่เอง...เกิด แก่ เจ็บ ตาย...แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทั้งห่วงคนที่ยังอยู่และอาลัยคนที่จากไป จะแสดงความรู้สึกออกมากก็ไม่ได้ จนต้องค่อยๆ มาเขียนระบายเพื่อให้อารมณ์เย็นลง

การเขียนบล็อกยังเป็นมิ่งมิตรของข้าพเจ้าเสมอ...

หนึ่งในเรื่องที่ทำให้อึ้งก็คือยิ้มกลับมาไม่ทันลาปู่ของยิ้มอีกแล้ว T-T ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่อยู่ดีๆ เราก็ต้องจากคนที่เรารักไปชั่วนิรันด์ โดยที่ยังไม่ทันได้พูดจาสั่งเสียกันก่อน เมื่อตอนยิ้มอยู่ ม. 5 ต้องลงไปงานสัมมนาเรื่องสิทธิมนุษยชนกับทางโรงเรียนที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นตาไม่สบายหนัก แต่ยิ้มก็ยังคิดว่ายิ้มจะกลับมาทันคำพูดสุดท้ายของตา ผลปรากฏว่า...กลับมาช้าไปแค่คืนเดียว เสียใจจริงๆ ตั้งแต่นั้นมายิ้มก็แอบตั้งใจไว้ลึกๆ ว่าจะไม่ยอมให้ใครจากไปโดยที่ไม่มีโอกาสได้ร่ำลาอีก และหมั่นเช็คข่าวคราวของญาติผู้ใหญ่อยู่เนืองๆ

กลับบ้านมาครั้งนี้อึ้งไปมิใช่น้อยกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดโดยไม่ได้ตั้งตัว โชคยังดี...ที่ยังมีบันทึกของแม่จ๋าถึงวันที่เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นให้ได้อ่าน นับว่าเป็นวิธีการบอกที่ชาญฉลาด เพราะข่าวสารแทรกซึมเข้าไปทางการอ่านได้ช้ากว่าทางการฟัง ระหว่างอ่านไป...เราก็ได้คิดไปด้วย เลยไม่เกิดปรากฏการณ์สึนามิทางอารมณ์อย่างที่ควรจะเป็น ในบันทึกกล่าวไว้ว่า..สาเหตุที่ไม่บอกให้เรารู้ตั้งแต่แรก เป็นเพราะช่วงที่เหตุการณ์ทั้งหลายแหล่มันประเดประดังเข้ามานั้น สนามบินยังปิดอยู่ แถมยิ้มก็ยังมีงานที่ต้องส่งอาจารย์ค้ำคออย่างนั้น บอกไปก็กลับไม่ได้อีกเป็นสัปดาห์ ถ้ารู้ก็จะยิ่งเครียด กังวล ทำตัวไม่ถูก ซึ่งก็จริง เพราะถ้าข่าวสารทั้งหลายแหล่มาถึงยิ้มในตอนนั้น ยิ้มคงจะเก็บข้าวของ ดร็อปเรียน หาตั๋วใหม่ พยายามเข้าประเทศทางลาว เวียดนาม มาเลย์ สิงคโปร์ อะไรก็ว่ากันไป

วันนี้นั่งอ่านบันทึกของแม่ ที่เขียนถึงวันวุ่นวายในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีข้อความบางข้อความเขียนไว้ว่า

"ผู้ประพฤติธรรม ต้องมีจิตแน่นิ่ง ไม่หวั่นไหวกับสิ่งทีมากระทบจิตใดๆ ปล่อยวาง มองทุกสิ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ"

"คนยังยึดติดกับความมีอยู่ เป็นอยู่ อยู่ร่ำไป หากยังสำนึกได้ก็คงวางใจได้ในทุกเรื่อง หากปล่อยวางไม่ได้ก็ให้เป็นทุกข์อยู่เสมอๆ"
.
.
ยิ้มก็เลยพยายามจะลืม...ว่าการกลับมาครั้งนี้มันสายไปมากมาย มันผ่านมาแล้วคงแก้ไขอะไรไม่ได้ หันมารำลึกถึงภาพดีๆ ภาพที่น่าประทับใจของปู่ของยิ้มแทนดีกว่า และยิ่งแสดงความเศร้าเสียใจออกมาเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลเสียต่อสภาพครอบครัวในตอนนี้มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น...ข้าพเจ้าจะไม่ร้องไห้ ไม่เสียใจ จะไม่เจ็บ ส่วนคนที่อยู่...ก็ต้องสู้กันต่อไป

ดังนั้น...ข้าพเจ้าจะยิ้มไว้และเขียนด้วยจิตที่เป็นบวก นึกถึงแต่ภาพดีๆ ในความทรงจำ และขอให้ดวงจิตของข้าพเจ้าในขณะที่เขียนนั้น สื่อไปถึงปู่ในอีกภพหนึ่ง และบอกให้ท่านรู้ว่า...ยิ้มก็ยังรักและคิดถึงปู่เหมือนกัน ถึงยิ้มจะไม่มีโอกาสแสดงออกเท่าไหร่ และไม่มีโอกาสแสดงออกอีกแล้วก็ตาม

บล็อกนี้ยิ้มขออุทิศให้กับคุณปู่ของยิ้ม ที่เพิ่งก้าวพ้นไปจากโลกที่สับสนวุ่นวาย สู่โลกที่สงบกว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้ แทนความรัก ความเคารพ และความรู้สึกดีๆ ของหลานคนหนึ่งที่กลับมาลาปู่ก่อนการเดินทางไกลไม่ทัน






...................................................................................................................

ก่อนที่จะเล่าเรื่องต่อไป ก็ขอแนะนำ vocabulary คำเมืองเสียหน่อยนะคะ วันนี้ขอแนะนำคำว่า "พ่อหลวง" คำว่าพ่อหลวงนั้น คนไทยอง (คนเมืองด้วย) ใช้เป็นคำเรียกขานผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งปู่ของยิ้มได้รับตำแหน่งนี้มายาว...นาน....จนคนในอำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูนในสมัยสิบกว่าปีถึงยี่สิบปีก่อนค่อนข้างรู้จัก "พ่อหลวงหวัน" กันเป็นอย่างดี สังคมในชนบทก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ ใครเป็นที่ยึดเหนี่ยว หรือศูนย์กลางในชุมชนก็มักจะเป็นอยู่เรื่อยไป

ปู่ของยิ้มเป็นชาวบ้าน เป็นคนยองดั้งเดิมแท้ๆ ที่มีชีวิตต้องดิ้นรน ฝ่าฟัน ปู่เป็นคนมุ่งมั่น เอาจริงเอาจัง ขยันขันแข็ง สร้างเนื้อสร้างตัวจากการเป็นคนตัวเปล่ากับมีดพร้าในมือ ทำทุกอย่างตั้งแต่ขายถ่าน ทำสวน ทำไร่ ตอนยิ้มยังเป็นเด็กๆ พ่อจ๋าเคยขับรถพาขึ้นไปในป่า ที่ตอนนี้กลายเป็นเรือกสวน ตอนนั้นถนนยังเป็นลูกรังอยู่เลย พ่อจ๋าบอกว่านี่เป็นสวนที่พ่อจ๋าเคยอยู่ ตอนเด็กๆ ต้องอยู่ที่นั่นเพื่อหาหน่อไม้ หาของป่ากินไปตามเรื่อง ตอนที่เราไปเยี่ยมเยือนเป็นครั้งแรก ที่ดินผืนนั้นก็ถูกหักร้างถางไปในระดับหนึ่งแล้ว แต่รอบข้างของเรามีแต่ป่า ป่าล้อมสวนจริงๆ ตอนนั้นยิ้มมองสภาพกระท่อมเล็กๆ ยกพื้นใต้ถุนสูงด้วยความทึ่ง จากคนทำงานในป่าในดง ปู่ย่า และลูกๆ พากันก้าวมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ถึงจะเป็นจุดที่ไม่ใหญ่ ไม่มีทรัพย์สินเงินทองล้นฟ้า แต่ก็บอกได้ว่าในยุคสมัยหนึ่ง...ครอบครัวของปู่เป็นยุคทองที่ไม่ได้ขาดแคลนทั้งทรัพย์สินและอำนาจเทียบกับผู้คนทั่วไปในตัวจังหวัดเล็กๆ อย่างลำพูน

ปู่ริเริ่มทำสัมปทานศิลาแลงเป็นเจ้าแรกๆ และปู่ก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่ขุดเอง ขายเอง แต่ปู่รับซื้อจากคนในเครือแล้วเป็นคนกลางขายต่ออีกที เริ่มจากเล็กๆ จนในที่สุดร้านวัฒนศิลาก็มีลูกค้าใหญ่ๆ หลายแห่ง เช่นอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ศรีสัชณาลัยที่ต้องใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุในการก่อสร้างอย่างมากมาย ตอนนั้นพื้นที่ สปก. ที่เป็นสัมปทานหลุมศิลาแลงของปู่ในจังหวัดลำพูนมีอยู่หลายร้อยไร่ ขยายไปเปิดที่แม่แตงอีก บางช่วงทั้งปู่และย่าต้องขึ้นล่องๆ กับรถขนหินสิบล้อระหว่างบ้านที่ลำพูนและหลุมศิลาแลงที่แม่แตงอยู่บ่อยครั้ง บางทีก็นั่งมากับรถสิบล้อแวะมาหาที่บ้านในตัวเมือง ดูทะมัดทะแมงเหมือนคนงานขนหินเลยทีเดียว

ตอนนั้นจำได้ว่า...ปู่ของยิ้มเป็นคนของสังคมจริงๆ นอกจากงานของตัวเองแล้ว ยังวิ่งรอกทำงานคนอื่นด้วยตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นงานวัดงานวา งานหมู่บ้านตำบล อำเภอ จนทำให้เปนที่รู้จักมักคุ้น เวลาปู่จัดงานทำบุญบ้าน งานวันเกิด ทอดผ้าป่าทีไร ลูกหลานหัวหมุนเพราะคนมาร่วมงานเยอะ ต้องต้อนรับกันไม่หวาดไม่ไหว และต้องทำงานกันตัวเป็นเกลียว ยิ่งตอนที่บ้านมีงานบุญที่เรียกว่า 'ปอยหลวง' ที่แต่ละบ้านที่เป็นศรัทธาของวัดนั้นๆ จะเลี้ยงอาหารแขกและญาติพี่น้องที่มาร่วมทำบุญกัน 3-4 วันติดๆ กัน ยิ้มเคยไปนั่งช่วยเขาทำงานอยู่ในครัว โอว...ทอดปลากันทีเป็นร้อยๆ ตัว ซื้อผักมาทำแกงป่าเลี้ยงแขกว่ากันเป็นเข่งๆ (จริงๆ ต้องเรียกว่า หลายๆ เข่ง) ยามมีอำนาจผู้คนก็เข้าออกบ้านไม่ว่างไม่เว้นจนลานศิลาแลงหน้าบ้านมันวับ
.
.
ก็ตามประสาบ้าน 'พ่อหลวง' ในตำบลเล็กๆ จังหวัดเล็กๆ แหละค่ะ
.
.
ปู่เป็นคนกระฉับกระเฉง ว่องไว มีความมั่นใจในตัวเองสูง ยามที่ยังแข็งแรงดีอยู่ไม่ค่อยจะเห็นอยู่ติดบ้านเท่าไหร่ ว่างก็ออกไปทำงานโน่นนี่ ในบ้าน นอกบ้าน ไม่ไปเช็คดูหลุมศิลาแลงก็ไปทำสวนลำไย ไร่กระเทียมไปตามเรื่อง ปู่เป็นคนกว้างขวางตอนนั้นพวกเราจะทำอะไรก็เหมือนจะได้ connection มาจากทางปู่อยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นสั่งไม้ซ่าว (ไม่ไผ่) มาค้ำต้นลำไยในสวน สั่งขี้วัวหลายๆ ลำรถมาใส่สวนลำไย เจาะน้ำบาดาล กิจกรรมทางการเกษตรอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน หรือแม้กระทั่งตอนย้ายบ้านปู่ก็นั่งติดมากับรถสิบล้อเพื่อช่วยขนย้ายของด้วย เรียกได้ว่ากิจกรรมใดๆ ปู่ช่วยได้หมด ทำนองนั้นเลยทีเดียว ภาพที่ติดตายิ้มคือภาพปู่ใส่เสื้อลายๆ เหมือนคนงานหิน + คนสวน...ภาพปู่ในเสื้อยืดขาวกางเกงสะดอยามอยู่บ้าน....ภาพปู่ในเสื้อพระราชทานเวลาเดินสายไปงานบุญงานราชการในจังหวัด เรียกได้ว่าเป็นเหมือนหลายๆ คนในคนเดียวจริงๆ

พ่อหลวงหวันเป็นคนที่ดูดุ (ในสายตาของชาวบ้าน) แต่ปู่เป็นปู่ที่ใจดีในสายตาของหลานๆ อยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งน้ำท่วมเอ่อล้นจากอ่างเก็บน้ำเล็กๆ ในสวนปู่ออกมาเชื่อมกับอ่างเก็บน้ำใหญ่ของทางการที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน ปลาในอ่างเก็บน้ำของปู่ว่ายทวนน้ำออกมายังแหล่งน้ำที่ใหญ่กว่า ชาวบ้านออกมาจับปลาเพื่อไปทำอาหาร แต่พอรถของปู่(ซึ่งยิ้มนั่งไปด้วย) กรายผ่านไป แต่ละคนตาเหลือก ทำท่าตกใจราวกับเห็นอะไรที่น่ากลัวมากมาย ปล่อยปลาและอุปกรณ์จับปลา ยกมือไหว้แทบไม่ทัน พอตรวจสอบสภาพสวนเสร็จวกกลับมาที่เดิม ชาวบ้านก็เปิดแน่บไปแล้ว ปู่หัวเราะ..บอกว่าจริงๆ แล้วก็ไม่ได้คิดจะหวงห้ามอะไร ปลาพวกนั้นก็เลี้ยงไว้เฉยๆ ใช่ว่าพวกเราจะจับไปทำอาหารกินเองเสียเมือไหร่ ให้เป็นทานก็ย่อมได้

เล่ามาตั้งนาน..ยังไม่ถึงประโยคที่เป็นหัวเรื่องเลย ประโยคนี้เกิดขึ้นในหัวตอนที่ที่ดินของปู่กำลังจะถูกรวมเข้าในโครงการอนุรักษ์ป่าแม่อาว ก็เข้าใจอยู่ว่าโครงการนี้เป็นโครงการเพื่อการอนุรักษ์ป่าไม้ แต่นั่นแปลว่าเราจะเสียที่ดินประมาณ 200 ไร่ไปเลย >_< ช่วงนั้นพ่อจ๋า แม่จ๋า วิ่งเข้าออกกรมป่าไม้เพื่อขอคำปรึกษากันเป็นว่าเล่น มีอยู่ครั้งหนึ่งแม่จ๋าเข้าไปปรึกษาเรื่องที่ดินกำลังจะถูกรวมในโครงการ ว่าพอจะทำอย่างไรให้เก็บที่เอาไว้ได้บ้างเพราะว่าจับจองกันมานานแล้ว ยิ้มก็เข้าไปนั่งในห้องทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นเพื่อนแม่จ๋าด้วย ตอนนั้นก็ยังเด็ก ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เจ้าหน้าที่ก็พูดถึงที่ดินของคนโน้นคนนี้ ยกกรณีตัวอย่างมาอธิบายประกอบ และได้พูดถึงที่ดินของ "นายหวัน แสงผึ้ง" ตอนนั้นแม่ก็ทำเนียน ถามเขาไปว่าแล้วนายหวันนี่เป็นใคร ไม่ได้แสดงตนว่าเกี่ยวข้องอันใดกับบุคคลที่กล่าวมา เจ้าหน้าที่ตอบมาว่า "เป็นผู้มีอิทธิพลในท้องที่" มือที่กำลังเล่นอะไรไปเรื่อยๆ ของยิ้ม ชะงักทันที

"หา...ปู่หนูเนี่ยนะ เป็นผู้มีอิทธิพล - -' บ้าหรือเปล่า" <---- data-blogger-escaped-br="br">
"เป๋นอะหยังนะเจ้า" <---- data-blogger-escaped-br="br">"เป๋นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นครับ" <---- data-blogger-escaped-br="br">
โอ้..นี่เค้าคิดกันอย่างงี้เหรอ ยิ้มนึกขำในใจ

ตอนนั้นสมองเด็กๆ เชื่อมโยงคำว่า 'ผู้มีอิทธิพล' กับพวกมาเฟีย นักเลงท้องถิ่น ซึ่งปู่ของข้าพเจ้าก็ยังห่างไกล แต่หลังจากนั้นมา...ยิ้มก็เริ่มรับฟังข่าวสารที่ชาวบ้านพูดถึงครอบครัวเรามากขึ้น ทำให้พบว่า...ในสังคมแบบท้องถิ่น (ชนบทนั่นแหละ) ข่าวสารถูกขยายให้ฟังดูเกินจริงได้มากกว่าในเมือง หรืออาจจะพอๆ กับสื่อวงการบันเทิงพวกซุบซิบดารากันเลยทีเดียว ข่าวที่ลือกันไปปากต่อปากนั้นมีมากมายหลายแขนงเช่น

- พ่อหลวงหวันก็ใกล้ๆ มาเฟียนั่นแหละ มีมือปืน พกปืนด้วย ใครอย่าไปทำให้โกรธเน้อ (จริงๆ แล้วปู่ก็มีไว้ป้องกันตัวกระบอกเดียวอ้ะแหละ = =' ตอนได้ยินข่าวขำก๊ากกันทั้งบ้าน)

- พ่อหลวงหวันขายที่ได้หลายล้าน รวยนะเนี่ย รวยไม่แบ่งปัน ทำซุ่มเงียบ ( = =' ได้ข่าวว่าเพิ่งสูญที่ที่จับจองมาเป็นสิบๆ ปี จนมีเอกสารเรียบร้อยให้โครงการหลวงไป ตอนที่ข่าวลือนี้แพร่สะพัด ปู่ยังเฮิร์ตไม่หายเลย)

- และอื่นๆ อีกมากมาย จำรายละเอียดไม่ได้ จำได้แค่ว่าได้ยินทีไร ปู่อิฉันจะใกล้เคียงคำว่ามาเฟียเข้าไปทุกทีๆ แล้ว
.
.
ซึ่งมันห่างไกลจากภาพที่เราคุ้นเคยกันมากมาย แต่พวกเราก็ไม่ได้สนใจว่าข่าวจะออกมาเป็นยังไง เพราะเรารู้ดีว่าความจริงเป็นยังไง ข่าวมาทีไรก็หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง แต่ก็เป็นธรรมดาของสังคมชนบท ข่าวเล่าปากต่อปากผ่านมา...แล้วก็ผ่านไป ไม่มีอะไรอยู่นาน
.
.

ในวันหยุดที่ไปนอนบ้านปู่ บ้านย่า ปู่จะขนเอาพระเครื่อง ของสะสมออกมาวางตั้ง แล้วเล่านิทาน ตำนานเก่าๆ ให้หลานๆ ฟัง เวลาถูกใจอะไรปู่ก็จะหัวเราะดังๆ แสดงถึงความเป็นคนอารมณ์ดี แล้วเวลาอารมณ์ดีหลานๆ ก็ได้ค่าขนมติดมือไปด้วยบ่อยครั้ง ตอนเด็กๆ ที่พ่อจ๋าต้องออกนิเทศก์ตามต่างจังหวัดในภาคเหนือบ่อยๆ ยิ้มต้องอยู่กับแม่จ๋าและป้าจ๋าที่มาช่วยดูแลกันตามประสาผู้หญิงสามคน ปู่เคยขับรถมาจากลำพูนเข้ามาในเชียงใหม่พร้อมกับย่า แล้วสัญญาว่าจะพายิ้มไปกินข้าวนอกบ้านตามร้านอาหารในเชียงใหม่ให้ครบร้านที่ดังๆ ในยุคนั้น ถึงจะเป็นการดูแลนิดๆ หน่อยๆ แต่ตอนนั้นก็ทำให้โลกเหงาๆ ของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งสดใสขึึ้น และมีช่วงเวลาที่ตั้งตารอคอย
.
.

แต่โลกนี้ไม่เที่ยง...ปู่ที่แข็งแรง กระฉับกระเฉง อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ก็ต้องพบกับวงจรธรรมชาติชีวิต มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ แล้วก็สูญสิ้นแตกดับไปตามวันเวลา ช่วงเวลาในปีสุดท้ายของปู่ ปู่คนที่ใจแข็ง มั่นใจมากมายพร้อมรอยยิ้มสุกใส ประกายตามุ่งมั่นหายไป เหลือเพียงคนธรรมดาที่รอคอยการกลับมาของลูกหลานอย่างเหงาๆ ปู่นั่งเงียบๆ อ่อนแรง รอการดูแล สองเท้าที่เคยเดินฉับๆๆ กลับต้องค่อยๆ ก้าวย่างทีละนิดๆ อาหารที่เคยกินได้หลากหลาย ก็กลายเป็นข้าวต้ม หรือข้าวสวยกับอาหารอ่อนๆ อย่างเนื้อปลา บ้านที่เคยคึกคักมีคนเข้าออกไปมาหาสู่ตลอดเวลากลับเงียบเหงา ลานศิลาแลงที่เคยมันวับ ตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงที่ปลิวมาจากถนนใหญ่

ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเกิดขึ้นในระยะเวลาแค่ 10 ปี ชีวิตของคนเรานี้คือความไม่เที่ยงจริงๆ แม่จ๋าบอกว่า...เมื่อประมาณเดือนก่อนปู่ถามถึงยิ้ม แม่จ๋าบอกว่ายิ้มสบายดีไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยิ้มเอาตัวรอดได้เสมอ

ปู่พยักหน้ารับเบาๆ ด้วยท่าทีอ่อนแรง

เพราะปู่จะเป็นคนที่ห่วงยิ้มมากเป็นพิเศษ ปู่บ่นที่พ่อกับแม่ยอมให้ยิ้มเดินทางคนเดียว ปู่ถามข่าวคราวทุกครั้งที่ดูข่าวทางหน้าจอโทรทัศน์แล้วทราบข่าววินาศกรรมและภัยธรรมชาติทางอังกฤษ (หรือแม้กระทั่งยุโรป)
.
.
หลับให้สบายนะจ๊ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้เลยจริงๆ ยิ้มอาจจะไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากที่สุด เพราะยิ้มไม่มีทางที่จะมีความกระตือรือร้น หรือความพยายามได้มากเท่าปู่ แต่ยิ้มก็ไม่มีทางยอมให้ชีวิตตัวเองตกอับหรอก ประเด็นนี้ปู่มั่นใจได้เลย
.
.
และแม้ว่าภาพสุดท้ายที่ยิ้มเห็นในปีก่อน จะไม่ใช่ 'พ่อหลวงหวัน' คนแรกที่รู้จักเมื่อครั้งยังเด็ก แต่ภาพในใจของยิ้มก็ยังคงจะถูกพิมพ์ไว้ด้วย 'พ่อหลวง' คนหนึ่ง ที่มีแววตาสุกใส เข้มแข็ง เสียงหัวเราะก้องกังวาน ท่าทีกระฉับกระเฉง ไม่กลัวใคร คนนั้น ตลอดไป...

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2551

บันทึกวันขาดน้ำ 5/12/2008 - บันทึกไร้สาระ

Rating:★★★★★
Category:Other
งานชิ้นที่ 1 หลุดจากมือกระเด็นไปหาซุปแล้วก็ทำซ่า มาเขียนบล็อกเชียวนะ
แต่เอาเหอะ...แก้เครียดๆ ช่วงที่่ผ่านมาความเครียดจุกอกยิ่งกว่าไขมันอีกค่ะ คุณผู้อ่าน

สิ่งที่มีอยู่ใกล้ตัว บางทีเราก็มองไม่เห็นคุณค่า ทิ้งๆ ขว้างๆ พอถึงวันที่ไม่มีของสิ่งนั้น เอาล่ะสิ...ทรมานทรกรรมเหลือเกิน ภาพวันเก่าๆ ที่เคยมีของสิ่งนั้นย้อนกลับมาชวนให้น้ำตาไหล...

วันนี้อิฉันก็น้ำตาไหลเหมือนกันค่ะ...T_T
แต่น้ำตาไหลให้ตาย น้ำก็ไม่ยอมไหล ฮือๆ ๆ ๆ
ใช่แล้วค่ะ วันนี้ไม่มีน้ำใช้..หวนให้นึกถึงวันก่อนๆ ที่เราเปิดน้ำใช้อย่างฟุ่มเฟือย..

10.30 น. นาฬิกาปลุกรอบที่ 2 จะตบให้มันเงียบอีกทีก็ดูกระไรอยู่ เมื่อวานกว่าะข่มตาให้หลับได้ก็ตั้งเกือบตีสี่ เพราะแหกตาปั่นงานถึงตีสองกว่าๆ ลุกขึ้นมา ลัลล้า เข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัว กว่าจะเสร็จสิ้นออกมาก็ 11 โมง

11.30 นั่งอืดๆ หน้าคอม เปิดหน้าจองานขึ้นมา แม่เจ้า...ไม่มีอารมณ์ทำเลย ง่วงง่ะ เอาซีเรียลออกมานั่งกิน + สาหร่ายอัดเม็ด 3 เม็ด มื้อเย็นค่อยกิน 5 เม็ดละกัน ช่วงนี้ท้องผูก ต้องอาศัยสาหร่ายเม็ดช่วยแล้วล่ะ กินทีไรทำธุระคล่องมาก...

12.00 นึกได้ว่ามีนัดต้องไปเอาจักรยานที่อดีตแฟลตเมตทิ้งให้ไว้ก่อนกลับญี่ปุ่น ก่อนออกไปจากบ้าน เอ๊า....น้ำไม่ค่อยไหลแล้ว อื่ม แต่คงไม่นานหรอก วันก่อนก็ปิดน้ำแค่ 2 ชม. เอง คงไม่ต้องตวงน้ำกระมัง ว่าแล้วก็แล่นรุดออกไปในทันที วันนี้เดินเข้าเมืองดีกว่า สำรวจทางจักรยานไปด้วยในตัว เวรกรรม หิมะที่ตกวันก่อนยังไม่ละลาย ขี่จักรยานกลับมาจะล้มหัวฟาดมั้ยเนี่ย รถก็เยอะอีก

13.00 ไม่น่าเดินเข้าเมืองสำรวจเส้นทางให้เสียเวลาเลยตู - -' จักรยานยางแบนเชียว ขี่แทบไม่ได้

14.00 ไปยืมสูบลมพี่เต่ามา...โอ ขนาดเล็กกระชับจับถนัดมือ ไม่เคยใช้สูบเล็กขนาดนี้มาก่อนเลย แบบว่าที่บ้านเป็นแบบเอาเท้าเหยียบแล้วเอามือสูบขึ้นลงๆ ๆ ไหนลองหน่อยซิ เฮ้ย...ทำไมลมมันออกมาหมดเลยล่ะ ฮือๆ ๆ ๆ จากที่แบนแต๊ดแต๋ ตอนนี้แบนแต๊ดดดดดดดดด แแแแแแแแแแแแต๋ต๋ต๋ต๋ต๋ เลย

15.00 ก็เพราะไม่เคยใช้ เลยปลุกปล้ำนานไปหน่อย กว่าจะสูบเสร็จก็นาน - -' แถมมือยังเลอะไปหมดเสียอีก ก็แหม..ฝนตกพรำๆ มาตั้งแต่หัวบ่าย โคลนงี้ เต็มไม้เต็มมือ เข้าห้องน้ำ เปิดก๊อก

กรี๊ดดดดดดด น้ำไม่ไหล

เอาวะ เอาน้ำดื่มที่มีในห้องมาล้างมือไปก่อน ยังไงเสียเขาก็คงปิดท่อไม่นาน

17.00 เช็คเมลก่อนซิ ซุปเมลมาทวงงานหรือยัง ยังทำไม่เสร็จเลย ฮือๆ ๆ ผลปรากฏว่า เมลของซุปไม่มี มีแต่เมลของ College Admin ส่งมาว่าท่อเสียหายมากกว่าที่คิด ยังเปิดน้ำไม่ได้ ถ้าต้องการใช้ด่วนให้ไปที่ College ข้างเคียง สงสัยอะไรให้ถามคุณพนักงานรักษาความปลอดภัยเอา อ้าวววว ไหงทำอย่างนี้ล่ะคะ

18.30 งานขยับไปนิดนึง หิวแล้ว...แต่ไม่มีน้ำดื่ม เดินออกไปซื้อน้ำมา 5 ลิตร เพราะดูท่าแล้วน้ำไม่มีทีท่าว่าจะมาเลย ระหว่างทางก็แวะเข้าห้องน้ำที่ Vanburgh College 1 รอบ

19.00 น้ำยังไม่มา แต่ยังไงก็ต้องทำกับข้าวกินละ เอาวะ เอาของแบบที่โยนๆ เข้าเตาอบละกัน จะได้ไม่ต้องเปลืองหม้อไหมาก ไม่มีน้ำล้าง เผลอๆ อาจจะซ่อมไม่เสร็จในวีคเอนนี้ก็ได้ ฮือๆ ๆ ๆ ๆ ตอนแรกจะเทสาหร่ายอัดเม็ด 5 เม็ดลงปาก แต่ชักกลัวๆ ว่าถ้าหายท้องผูกแล้วดันคล่องปรู๊ดตามสรรพคคุณที่เขาโฆษณาไว้ อิฉันซวยแน่นอน ว่าแล้วก็เทกลับใส่ขวดเหมือนเดิม

21.54 ส่งเมลไปหาซุป เย่ๆ ๆ ๆ ๆ งานพ้นมือไปแล้ว ดีใจจัง

22.00 ทางบ้านโทรมา คุยไปสักพักก็เริ่มอยากเข้าห้องน้ำอีกรอบ..จริงๆ หมักไว้ในห้องน้ำในห้องก็ได้ เราใช้คนเดียว แต่เป็นคนโรคจิต...ยอมเดินไปเข้าห้องน้ำไกลๆ ดีกว่าจะให้ห้องน้ำสกปรก ก็เลยเดินออกไปจนได้

22.15 หาห้องน้ำใน Goodricke คอลเลจที่อยู่ใกล้ๆ ไม่เจอ เดินเลยไป Vanburgh ก็ได้ฟะ ไกลออกไปอีกนิด...หนาวก็หนาว ทางเดินก็แฉะ เฮ้อ

22.30 เกิดสงสัยขึ้นมา ว่าเขาซ่อมท่อไปถึงไหนกันแล้ว ผู้คนที่เดินมางานคอนเสิร์ตที่ Vanburgh เข้างานไปหมด ทางเดินริมทะเลสาบเงียบสงัด ลมโบกโบยพัดวิลโลว์แกว่งไหวเหมือนนิ้วปีศาจกรีดกราย เหวยๆ ก็น่ากลัวเหมือนกันแฮะตอนนี้เรามี 2 ทางเลือก

1. กลับห้อง อย่าทำตัวให้เหงื่อออกมาก เผื่อน้ำไม่มา จะได้ไม่ต้องทนหมักตัวเองนานๆ

2. เดินไปดูเขาซ่อมท่อ ถ้าหน้าไม่บางก็ถามไปตรงๆ เลยว่าเมื่อไหร่จะซ่อมเสร็จ

ว่าแล้วต่อมอยากรู้อยากเห็นก็ชนะ อิฉันเดินฝ่าความมืดไปในถนนเปลี่ยว ไร้ผู้คน ผิดจากธรรมชาติวันศุกร์นัก เดินผ่านหลังแลบไบโอ อื่ม...เงียบดี เหมาะแก่การลากเหยือมาฆาตกรรม หรือไม่ก็ดูดเลือดเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย (หากคุณเป็นแวมไพร์)

พระเจ้า...นี่เราทำอะไรลงไปเนี่ย คิดๆ ไปขณะเดินผ่านเนินหญ้าหน้า Department of Music วันนี้เงียบจัง คนหายไปไหนหมด ต้องหาเรื่องมาคิดๆ ๆ ๆ ๆ ในหัวให้ไม่รู้สึกหวิวๆ เลยคิดไปว่า.....

ทำตัวอยากรู้อยากเห็นไม่เข้าเรื่องแบบนี้..ถ้าอยู่ในหนังจะเป็นตัวละครตัวไหนน้า...

1. ตัวประกอบเกรด B อยากรู้อยากเห็นไม่เข้าท่า แล้วก็ตายก่อนด้วย เดินมาเปลี่ยวๆ มืดๆ เดี๋ยวก็โดนฆาตรกรต่อเนื่องลากไปหั่นเป็นชิ้นๆ

2. นางเอกสิคะ ความอยากรู้อยากเห็นเป็นคุณมบัติของนางเอก อยู่ในห้องดีๆ ไม่ชอบ ต้องลงมาเดินท่อมๆ คนเดียวมืดๆ เพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง เช่น...คนซ่อมท่อน้ำจะซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ เดี๋ยวคนซ่อมท่ออาจจะกลายเป็นซอมบี้ขึ้นมาจากหลุมไล่ฆ่า แต่ยังไงก็ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวพระเอกก็มาช่วยทัน

3. มันคือ...ฆาตรกรโรคจิตเป็นโรคบุคลิกซ้อนทับหรืออะไรทำนองนั้น..จริงๆ เป็นคนซ่อมท่อบึกบึน แต่ก็คิดว่าตัวเองเป็นนักเรียนในหอสาวสวยที่ทรมานเพราะขาดน้ำ เดี๋ยวพอมองเห็นอุปกรร์ขุดท่อก็จะนึกออกเองว่าชาติกำเนิดคืออะไร เป็นหนังแนวหักมุมเกรด C นักวิจารณ์ด่าเพียบ

22.45 หยุดคิดฟุ้งซ่านแล้วชะโงกดูในหลุมขุด พระเจ้า..เค้าทำงานหนักกันจริงๆ ด้วย ไม่กล้าถามเลยว่าจะเสร็จกี่โมง เดี๋ยวจะเหมือนไปเร่งเขา อ้ะๆ ๆ ๆ เรากลับหอไปนั่งรออย่างสงบดีกว่า ตราบใดที่เขายังไม่หยุดทำงาน เราก็โอเค ไม่ควรจะบ่นมาก นี่เขาทำงานล่วงเวลานะเนี่ย...

23.15 กลับมาถึงห้อง..พยายามแปรงฟัน + ล้างหน้าด้วยน้ำ 2 ถ้วย (ชา) ทำได้ด้วยแฮะ เดี๋ยวจะปรับระดับวิชาให้ advance ขึ้นด้วยการอาบน้ำ 5 ขัน..

23.25 กรี๊ดดดด น้ำมาแล้ว T-T พ่อเจ้าประคุณทูนหัวพนักงานซ่อมท่อของอิฉัน คุณทำได้...คิดว่าต้องซักแห้งซะแล้ว

.
.
.
หนีไปเอนจอยกับชีวิตทีมีน้ำใช้ก่อนดีกว่า

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สาวเหนือ

Rating:★★★★★
Category:Other


แสดงความยินดีกับยิ้มหน่อยนะคะ

แรงบันดาลใจที่มันหายหน้าหายตาไปนาน...เริ่มเดินทางกลับมาเข้าสู่ตำแหน่งเดิมแล้วค่ะ จะเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานหรือไม่ ตัวยิ้มเองก็ยังไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้มีแรงเขียนบล็อกแล้ว ก็เป็นการเริ่มต้นอันดี เพราะจากการเก็บสถิติจากสิ่งที่ผ่านมา พอเริ่มมีแรงเขียนบล็อก งานการอื่นๆ ก็จะตามมาในไม่ช้า ว่าแล้วก็มาเขียนบล็อกด้วยความสุขใน multiply เช่นเคย เย้ ๆ ๆ

บังเอิญวันนี้อ่านอะไรเล่นๆ ไปตามเวบบอร์ดในอินเตอร์เนต เริ่มจากข่าวสารบ้านเมือง ข่าวบันเทิง ประวัติศาสตร์ บอร์ดพลังจิต แล้วก็มาจบลงที่บอร์ด Lannaworld (ได้ยังไงก็ไม่รู้) อ่านมาหลายเรื่องก็ชวนให้ความคิดแตกแขนงไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆ ก็นึกถึงคำพูดที่เคยได้ยินมาจนเจนหูเช่น "หนุ่มใต้สาวเหนือ" "หนุ่มใต้ใจดำ" และอื่นๆ ที่ฟังดูแล้วพอจะทำให้คนฟังสรุปได้ว่า "หนุ่มใต้" ช่างดูไม่น่าพิศวาสสำหรับสาวเหนือผู้บอบบาง อ่อนแอเอาเสียเลย

อารัมภบทมายืดยาว สรุปใจความได้ว่าวันนี้จะพูดถึงสาวเหนือ และรักข้ามวัฒนธรรมน่ะค่ะ

แต่คงต้องใส่หมายเหตุเอาไว้หน่อยนะคะ ว่าหนุ่มใต้ในบริบทนี้..ไม่ได้หมายถึงภาคใต้ของประเทศไทย The Land of Smile ในปัจจุบันนี้ หากแต่หมายถึงหนุ่มที่พูดภาษา "กลาง" ที่มาจากจังหวัดที่อยู่ใต้ "สุโขทัย" ไปเลยต่างหากล่ะ

ล้านนา และสยาม (อาจจะรวมถึงล้านนาและอยุธยา หรือล้านนาและสุโขทัยด้วยก็ได้) มีปฏิสัมพันธ์กันมาแต่เนิ่นนานมาแล้ว เนื่องเพราะความสัมพันธ์ทางการทูตของกษัตริย์หรือพ่อเมือง (ไม่ว่าจะเป็นแบบมิตร หรือแบบประเทศราช) ดังนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาชนก็ย่อมจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กันอยู่เนืองๆ ไปด้วย

แม้ว่าบริบททางสังคม ความเชื่อ รากเหง้าของขนบธรรมเนียมจะแตกต่างกันอย่างค่อนข้างเห็นได้ชัด แต่ความรักระหว่างหนุ่มสาวสองสังคมก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่เนืองๆ คู่ที่ประสบความสำเร็จคงไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงนัก แต่คู่ที่ล่มสลายลงจบด้วยด้วยร้าวรานก็ถูกนำมายกตัวอย่างให้ลูกหลานได้รับรู้ และตัวอย่างเหล่านั้นก็ถูกนำมาแต่งเสริมเติมสีให้ดู 'ดราม่า' และ 'จัดจ้าน' ขึ้นด้วยการแต่งเป็นบทละคร บทกวี และตำนานต่างๆ

เรื่องราวความรักแต่ละครั้งที่ถูกนำมาเล่าสืบต่อกันมาก็ไม่ได้เป็นรักที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเลยสักนิด บางเรื่องเล่าก็ว่าสาวเหนือน่าสงสาร ด้วยความซื่อ ความจงรักภักดี สาวๆ เลยโดนทำร้ายจิตใจโดยหนุ่มใต้อยู่เนืองๆ บ้างก็ว่าสาวเหนืออันตราย เพราะคนแถวนี้มีความเชื่อเรื่อง'ผีกะ' ที่สืบทอดจากรุ่น สู่รุ่น จีบสาวเหนือสุ่มสี่สุ่มห้าอาจได้ทายาทผีกะ (ละม้ายๆ ความเชื่อเรื่องปอบ) มาเป็นคู่ก็ได้

โอ๊ย...มากมายร้อยแปด จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ยิ้มก็คิดว่าอาจจะเป็นกุศโลบายของคนโบราณที่ไม่อยากให้เกิดรักข้ามวัฒนธรรม ให้ลูกหลานต้องมาเจ็บช้ำกันภายหลังก็ได้มั้ง

ยิ้มเองก็ไม่ได้รู้เรื่องราวความรักระหว่างหนุ่มใต้สาวเหนือมากมายเท่าไหร่ แต่ใคร่ขอรวบรวมเรื่องเล่าความรักข้ามพรมแดนฮีต - ป๋าเวณีมาเล่าสู่กันฟังดังนี้เน้อเจ้า...

1. นางสร้อยฟ้า + พระไวย



จริงๆ ท่านพ่อของพระไวย(พลายงาม) คือขุนแผนก็มีสัมพันธ์กับสาวเหนือคือนางลาวทองมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าโฟกัสของเรื่องราวตอนนั้นจะไปลงที่แม่หญิงพิมพิลาไลย ก็เลยไม่ค่อยเน้นให้เห็นถึงความต่างรีตต่างรอยกันเท่าไหร่ มาถึงรุ่นลูก บทกลอนนั้นแสดงให้เห็นถึง 'ความไม่เข้ากัน' มากกว่า

เรื่องราวเล่าว่าพระไวยได้หมั้นหมายกับนางศรีมาลาลูกของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อยู่แล้ว ส่วนนางสร้อยฟ้าเป็นธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ ถูกกวาดต้อนลงมาเป็นเชลยและพระพันวษาทรงยกให้พระไวยไปตบแต่งเป็นอีกเมียหนึ่ง

ตอนนี้ก็ให้นึกเห็นใจนางสร้อยฟ้าไม่หยอก อยู่เชียงใหม่ได้เป็นถึงธิดาเจ้าเมืองแต่มาถึงกรุงอโยธยากลับกลายเป็นแค่เมียของข้าราชการในยศ 'จมื่น' แถมยังไม่ได้เป็นเมียเอกด้วย จริงๆ พระไวยก็ไม่ได้ยศต่ำต้อยอะไรหรอกนะคะ แต่เลือดขัตติยะนารีที่โลดแล่นอยู่ในร่าง สมควรจะทำให้เธอได้เป็น 'เจ้าสร้อยฟ้า' หากชะตากลับทำให้ต้องกลายมาเป็นแค่ 'นางสร้อยฟ้า' ธรรมดาๆ

ที่มาของเรื่องราววุ่นวายมีอยู่ว่าวันนั้นสาวๆ ในบ้านพระไวยทำขนมเบื้องกัน ด้วยความต่างรีตต่างรอย...นางสร้อยฟ้าจึงทำขนมเบื้องได้ไม่บางกรอบเท่าคนอื่น(ถ้าให้ทำขนมอย่างอื่นคงถนัดกว่าเนอะ อย่างหนมจ๊อก หนมเกลือ หนมปาด ^ ^' ) พลายชุมพลน้องของพระไวยจึงหัวเราะ ล้อเลียนว่าขนมของนางดูเหมือนแป้งจี่มากกว่า นางสร้อยฟ้าก็นึกอายเลยโต้เถียงทะเลาะกัน นางทองประศรีผู้เป็นย่าก็เข้าข้างหลานอีกตามเคย นางสร้อยฟ้าก็เลยน้อยใจ แถมมีเรื่องทะเลาะกันทีไร พระไวยก็ตบตีนางเข้าข้าง 'คนไทย' ด้วยกันทุกที นางเลยอาศัยมนต์ดำทำให้พระไวยหลงรักเสียเลย (อันนี้ก็ไม่ดี เข้าสู่ด้านมืดเกินไปแล้ว - -')

เรื่องเลยจบลงด้วยความร้าวราน พลายชุมพลออกโรงแก้ไขไสยดำ นางทั้งสองต้องมาลุยไฟพิสูจน์ความบริสุทธิ์กัน นางสร้อยฟ้าก็โดนไฟลวกไปตามระเบียบ ถูกสั่งประหารแต่ท้ายที่สุดก็ได้ลดโทษเป็นส่งกลับเชียงใหม่ไป (แต่นางอาจจะพอใจก็ได้นะ เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องทนอยู่ให้ใครรังแก)

ก็เข้าใจว่าในบทละครต้องมีตัวร้าย ในบทกลอนก็เล่าเสียให้เห็นภาพว่านางสร้อยฟ้านี่เลวจริงๆ ดูหนังไทยเรื่องขุนช้างขุนแผนยุคอำภา ภูษิต นางสร้อยฟ้าก็ถูกนำมาสร้างให้ดูร้ายยยยย ร๊ายยยยยย ร้ายยยยยยยยยยย แบบไม่มีเหตุผล

แต่เราสงสารนางสร้อยฟ้านะ ทำไมไม่มีใครนำบทกวีมาตีความใหม่เลยอ้ะ ความนัยที่ซ่อนไว้ไม่มีใครสนใจเลยเหรอเนี่ย ถ้าลองเอาใจตัวเองไปใส่ในตำแหน่งของนางสร้อยฟ้าคุณจะรู้สึกยังไงคะ จากที่เป็นถึงเจ้าหญิงถูกตีจนเมืองแตก ลดขั้นมาเป็นเมียน้อยสามัญชนแถมโชคร้ายไม่มีคนรักคนเข้าใจอีก แม่ผัวก็รักสะใภ้เอกมากกว่า ผัวก็รับไว้ด้วยเห็นว่าเป็นบรรณาการมากกว่าจะรักจริงๆ เฮ้อ....แต่นางก็ทำไม่ถูกแหละ ที่ตัดสินใจเข้าหาด้านมืด แทนที่จะเอาความดี ความอดทนเข้าสู้ เลยกลายเป็นตัวร้ายไปตามระเบียบ

เรื่องนี้...สาวเหนือเลยถูกทำให้ดูเป็นพวกคลั่งมนต์ดำ ไสยเวทย์ นอกรีต นอกศาสนาไปเสีย เฮ้อ..

2. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี



คู่นี้ยิ้มเคารพค่ะ ไม่เขียนบรรยายมากก็แล้วกันเพราะส่วนมากกน่าจะรู้จักกันดี คู่นี้ต่างจากคู่อื่นๆ ที่กล่าวถึงเพราะเป็นคู่ที่มีจริงๆ มีบันทึกยืนยัน

สมัยที่พระราชชายา เจ้าดารารัศมีถูกส่งไปบางกอกนั้น เป็นสมัยที่สยามกับล้านนากำลังจะถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งฟ้าดินเดียว (อ่านนวนิยายเรื่องหนึ่งฟ้าดินเดียวของคุณกฤษณา อโศกสิน จะได้เข้าถึงอารมณ์มากขึ้น) เจ้าดารารัศมีจึงถูกส่งไปเป็นพระชายาในองค์พระเจ้าอยู่หัว

ช่วงแรกๆ ก็มีหนังสือ สิ่งตีพิมพ์ต่างๆ ที่เขียนตามคำบอกเล่าของคนในสมัยนั้นเหมือนกัน ว่าช่วงที่พระราชชายาฯ ไปถึงใหม่ๆ ก็โดนกลั่นแกล้ง กระแนะกระแหนไม่น้อย เพราะความ 'ต่าง' ทางวัฒนธรรม การแต่งกาย ทรงผม การกินอยู่ และอะไรต่างๆ แต่ด้วยความอดทนจึงทำให้ผ่านพ้นมาได้ ยังดีนะคะ ที่จบด้วยดี พระราชชายาฯ ได้รับการยกย่องตามสมควร พอพ่ออยู่หัวฯสวรรคต พระราชชายาฯ ก็กลับมาพัฒนาเชียงใหม่ต่อไป

อาจจะไม่ใช่ความรักที่โรแมนติกหรือเป็นละครที่จัดจ้าน แต่เป็นการใช้ชีวิตคู่ข้ามพรมแดนประเพณีที่เกิดขึ้นจริงๆ ด้วยกลการเมือง

3. สาวเครือฟ้า/สาวบัวบาน



สองเรื่องนี้ดราม่าสุดๆ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ได้รับการกล่าวถึงอยู่เนืองๆ

เริ่มต้นด้วยร้อยตรีพร้อมมาหลงรักเครือฟ้า ได้สาวเจ้าจนมีลูกชายแล้วก็ต้องกลับไปทำธุระที่กรุงเทพฯ หายหน้าไปนาน กลับมาอีกทีก็พาเมียตบเมียแต่งมาด้วย ปล่อยให้เครือฟ้าต้องช้ำใจ ร้องไห้ รู้สึกสิ้นศักดิ์ศรีจนต้องใช้มีดประจำตระกูลเชือดคอตัวเองตายล้างอาย

เรื่องของสาวบัวบานก็ไม่ต่างกันนัก แต่เป็นเรื่องจริงที่เล่าต่อกันมา บัวบานรักกับหนุ่มใต้ ได้เสียกันจนตั้งท้อง แต่กลับถูกทิ้งไปไม่ใยดี ครั้นจะอุ้มท้องคนเดียวก็ต้องอับอายชาวบ้าน เรื่องเล่าจบท้ายลงด้วยบัวบานกระโดดน้ำตกห้วยแก้วฆ่าตัวตาย จนน้ำตกชั้นนั้นถูกเรียกว่าวังบัวบาน

สองเรื่องนี้โด่งดังเป็นตำนานเลยทีเดียว เอ...แต่มีที่มาที่ไปอย่างไรกันนะ จริงๆ แล้วสาวเครือฟ้าเป็นบทประพันธ์ของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ค่ะ ดัดแปลงมาจากเรื่อง Madame Butterfly หรือ โจโจ้ซัง สาวญี่ปุ่นที่หลงรักนายพลพิงก์เคอร์ตันนายทหารอเมริกัน และจบลงด้วยความสูญเสีย เพียงแต่นำมาดัดแปลงให้เป็นสาวเหนือก็แล้วกัน

ส่วนสาวบัวบานนั้นเป็นเรื่องจริงค่ะ เกิดเมื่อประมาณปี 2400 ปลายๆ ใกล้ๆ จะ 2500 ว่ากันว่าบัวบานเป็นครูที่โรงเรียนดาราวิทยาลัย หลุมฝังศพของบัวบานก็ยังมีอยู่จริงที่สุสานบ้านเด่น


4. เจ้าหญิงชมชื่น/ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม พระโอรสในรัชกาลที่ 5 และที่มาของเพลงลาวดวงเดือน

"โอ้ละหนอ....ดวงเดือนเอย...พี่มาเว้า รักเจ้าสาวคำดวง
โอ้ว่าดึกแล้วหนอ...พี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นห่วง รักเจ้าดวงเดือนเอย"

เพลงที่หวานซึ้งติดตรึงหูนี้ เกิดขึ้นจากรักที่ไม่สมหวังของกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมและเจ้าหญิงชมชื่น ราชวงศ์เจ้าทางฝั่งเชียงใหม่ เรื่องของเรื่องมาจากกรมหมื่นฯ ทรงชอบพอ แต่ถูกผู้ใหญ่กีดกันเพราะความต่าง นัยว่าก่อนหน้านี้มีเจ้าทางเหนือเข้าพิธีสมรสกับเจ้าทางบางกอก แต่เอาไปเอามาก็ดันมีเมียแต่งอยู่ที่โน่นแล้ว ทำให้เจ้านางทางเหนือต้องเป็นแม่ร้าง เหมือนมีศักดิ์เป็นแค่นางบำเรอ โดยเจ้าพ่อของเจ้าหญิงชมชื่นได้ให้ข้อแม้ว่า ขอให้เจ้าหญิงมีพระชนมายุครบ 18 ก่อน และขอให้พระเจ้าอยู่หัวแห่งสยามมีพระบรมราชานุญาต แต่ข้อแม้เหล่านั้นก็ไม่อาจถูกทำให้เป็นจริง เพราะว่าพระญาติทางบางกอกก็มิได้เห็นด้วยกับความรักครั้งนี้เท่าไหร่นัก

เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายไม่เป็นใจ สุดท้ายก็ต้องคลาดแคล้วกันไปไม่ได้สมรสกัน ทำให้กรมหมื่นทรงพระนิพนธ์เพลงนี้ขึ้น (เดิมชื่อลาวดำเนินเกวียน เพราะทรงเสด็จประพาสเชียงใหม่ทางเกวียน) ว่ากันว่าเมื่อนึกถึงเจ้าหญิงชมชื่น ก็จะทรงเล่นเพลงนี้ หรือให้คนเล่นให้ฟังตลอดพระชนม์ชีพ

เศร้าจังหนอ...แต่จะทำยังไงได้เนอะ

ส่วนมากคนจะขับขานเพลงนี้แค่ท่อนแรกรึเปล่าคะ ไม่แน่ใจนะ อย่างน้อยยิ้มก็เคยได้ยินแค่ท่อนแรกมาตลอดแหละ พอมาเห็นท่องที่สองแล้วก็ให้ทอดถอนใจ

โธ่....

"โอ้ละหนอนวลตาเอย พี่นี้รักแสนรักดังดวงใจ
โอ้เป็นกรรมต้องจำจากไป อกพี่อาลัยเจ้าดวงเดือนเอย
เห็นเดือนแรมเริศร้างเวหา เฝ้าแต่เบิ่งดูฟ้า(ละหนอ)เห็นมืดมน
พี่ทนทุกข์ทุกข์ทนโอ้เจ้าดวงเดือนเอย
เสียงไก่ขันขานเสียงหวานเจื้อยแจ้ว หวานสุดแล้วหวานแจ้วเจื้อยเอย
ถึงจะหวานเสนาะหวานเพราะกระไรเลย บ่แม้นทรามเชยเราละเหนอ"
.
.
.
.
.

ที่เล่าๆ มามีแต่รักที่ไม่สมหวังนะคะ และที่สำคัญก็คือเรื่องสาวเครือฟ้าและตำนานสาวบัวบานทำให้ ความเข้าใจและความเชื่อที่ว่าสาวเหนืออ่อนแอ บอบบาง ซื่อสัตย์ จงรักภักดี เชื่อคำคนง่ายก็แพร่หลาย ยิ่งมีกรณีของหมู่บ้านดอกคำใต้ที่หญิงสาวหลายนางถูกหลอก ถูกลวงให้ต้องมาทำอาชีพมิชอบในเมืองใหญ่แล้ว ภาพลักษณ์ของสาวหนือยิ่งถูกมองว่าช่างเป็นอะไรที่...เปราะบาง ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมใครเขา และรักของสาวเหนือกับหนุ่มใต้ก็คงจะต้องจบลงด้วยความร้าวรานอยู่เรื่อยๆ (โถ...)

จะว่าไปแล้ว..เท่าที่ลองทบทวนดูหลังจากเริ่มเขียนไปนะคะ ยิ้มว่า...ความรักมันไม่ได้พังลงเพราะความ "แตกต่าง" เท่าไหร่หรอกนะ สถานการณ์มันแย่ลงเพราะ "ความเชื่อว่าแตกต่าง" ต่างหากล่ะ

ดูกรณีนางสร้อยฟ้า...ความแตกต่างมันมีจริงทั้งฐานันดร ทั้งวัฒนธรรม แต่สถานการณ์มันย่ำแย่ลงเพราะแทนที่คนในครอบครัวจะเห็นใจ ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากัน ถ้าเขาทำอะไรไม่เป็นเพราะเขาเป็นเจ้าเป็นนายมา ไม่เคยทำมาก่อน ก็น่าจะเข้าใจสักหน่อย ให้เวลาปรับตัวสักนิด คำว่าครอบครัวอบอุ่นคงไม่ห่างไกล แต่นี่ - -'

หรืออย่างกรณีอื่น ที่ญาติวงศ์ของฝ่ายชายรังเกียจสะใภ้สาวเหนือ หาเมียใหม่ให้ หรือไม่ก็คอยจะเหน็บแนม ชี้หาข้อแตกต่าง โอว...งี้ก็ล่มสิคะ

แต่จะว่าไป...คนเราสมัยก่อนยึดถือความเป็นอัตลักษณ์สูงมากๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เนอะ รับใครมาร่วมวงศ์ด้วยแล้วก็คงอยากเปลี่ยนให้ 'เขา' มาเป็นแบบ 'เรา' ทีนี้ต่างฝ่ายต่างก็ต้องการรักษาความเป็นตัวตนของตน ฝ่าย 'เขา' ก็ไม่อยากลืมชาติกำเนิด เรื่องราวมันเลยจบลงอย่างร้าวรานเสียเป็นส่วนมาก

แต่สาวเหนือก็ไม่ได้อ่อนแอไปเสียทุกคนนะคะ มันเป็นอะไรที่ไม่ยุติธรรมที่จะยัดเยียดภาพเหล่านั้นให้สาวเหนือ เพศหญิงเป็นเพศที่มีความสำคัญในภาคเหนือไม่ได้ด้วยไปกว่าเพศชาย และธรรมเนียมหลายๆ อย่างก็สืบทอดผ่านผู้หญิงจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง (Hereditary through the matrilineal line) เอ่อ...ไม่ได้มาปลุกกระแสเฟมินิสต์นะ ^ ^' แต่พูดจากความเป็นจริง

สาวเหนือที่ได้รับการเชิดชูว่าเด็ดขาด เฉลียวฉลาดก็เช่น

1. พระนางจามเทวี

ขอย้อนกลับไปประมาณ 1400 ปีก่อน ก่อนล้านนาจะก่อตัวเป็นอาณาจักรเสียอีก

มีไม่มากนักหรอกนะคะ ที่สตรีจะถูกเชิดชูขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ และเป็นปฐมกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดขยายนครรัฐเป็นอาณาจักรได้ อืม...จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกพระนางว่าเป็นสาวเหนือได้ไหม เพราะกำเนิดของพระนางก็ยังสับสนกันอยู่ แต่ก็มีหลักฐานพวกมุขปาฐะและตำนานธรรมบอกเล่าไว้ว่าพระนางเป็นคนเหนือ ที่ถูกส่งไปเป็นธิดาบุญธรรมของเจ้าเมืองละโว้

พระนางอภิเษกกับพระรามราช เป็นพระญาติของพระบิดาเจ้าเมืองละโว้ แต่ถึงจะทรงอภิเษกแล้ว ก็ยังมีเจ้าเมืองอื่นๆ ขออภิเษกซ้ำเพื่อท้าทายชวนทำสงครามอยู่เนืองๆ พระนางก็นำทัพออกไปรบ ได้ชัยชนะกลับมาทุกคราไป จนกระทั่งต้องมาปกครองนครหริภุญชัย พระเจ้ากรุงละโว้ก็คงจะเห็นว่าเป็นการขยายฐานพระราชอำนาจด้วย พระสวามีของพระนางต้องทำหน้าที่เป็นพระอุปราชอยู่ที่ละโว้ พระนางจึงต้องจากพระสวามีมาเลย จากเป็นๆ ไม่ใช่จากตาย จากทั้งที่ยังทรงพระครรภ์ แต่พระนางก็มิได้ทรงท้อแท้แก่โชคชะตา ขยายเขตนครหริภุญไชย สร้างเมืองเขลางค์เป็นเมืองลูก มีเมืองหน้าด่านเลยมาถึงท่ากานและเวียงกุมกาม (ซึ่งในยุคหลังกลายมาเป็นหน้าด่านของล้านนา) สร้างบ้านแปงเมืองจนเป็นเมืองทองแลเมืองศาสนาแห่งลุ่มแม่น้ำระมิงค์ในสมัยนั้น

ด้วยสองมือแม่นี้ ที่สร้างโลกจริงๆ

2. เจ้านวลสวาท ลังกาพินธุ์

คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเราคงได้มีโอกาสรู้จัก คุณนวลสวาท เปาโรหิต หรือนามเดิม เจ้านวลสวาท ลังกาพินธุ์ เจ้าสายลำพูนที่โด่งดังเป็นนางสาวถิ่นไทยงามของเชียงใหม่ และเป็นรองนางสาวไทยอันดับ 1 ในปี 2496 และเปิดร้านผ้าฝ้าย ผ้าไหม ม่อฮ่อมจนเลื่องลือ

คุณนวลสวาทสมรสกับนายประโพธ เปาโรหิต (คนภาคกลาง) และได้ทำหน้าที่ต่างๆ เพื่อ สังคมมากมาย เช่น เป็นกรรมการสมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทย สมาคมสตรีภาคพื้นแปซิฟิกเอเชียอาคเนย์ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นนายกสมาคมชาวลำพูน กรุงเทพฯ และสมาคมชาวเหนือ

จะว่าไป...คุณนวลสวาท เป็นที่มาของความป๊อบปูล่าร์ของ 'สาวงามป่าซาง' (บ้านเกิดของคุณนวลสวาทอยู่ที่อำเภอป่าซาง จ. ลำพูน) เลยล่ะมั้ง เพราะหลังจากคุณนวลสวาทได้ตำแหน่งนั้น...หนุ่มๆ ชาวใต้ก็เริ่มมองเห็นความงามของสาวป่าซาง และแวะเวียนมาหยอดคำหวานให้สาวทอผ้าที่นั่งหน้าสวยอยู่ตามหน้าร้านของผ้า กระตุ้นเศรษฐกิจของป่าซางอยู่เนืองๆ ยิ่งเส้นทางเดินทางจากกรุงเทพฯ มาเชียงใหม่ในสมัยนั้นต้องผ่านถนนพหลโยธินที่ตัดตรงผ่านใจกลางอำเภอด้วยแล้ว เขาว่ากันว่าวันหยุดยาวทีไร รถจอดเต็มสองข้างทางทุกที แถมหนุ่มๆ เมืองใต้ก็พากันจับจ่ายแวะซื้อของที่ระลึกพร้อมกับสอดส่ายสายตา มองหาสาวงามแห่งป่าซางกันคึกคัก

งามไม่งามก็ดูนี่สิคะ มีเพลงกล่าวถึงสาวป่าซางไว้เยอะแยะมากมายเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นเพลง ป่าซาง ลาแล้วป่าซาง เดือนหงายที่ป่าซาง ป่าซางกลางใจ ฯลฯ แต่ละเพลงก็ขับร้องโดยนักร้องแนวหน้าทั้งนั้น เช่นสุรพล สมบัติเจริญ หรือ ชรินทร์ นันทนาคร

"โอ โอ๊โอ ป่าซาง ดินแดนความหลังนี้ช่างมีมนต์
ใครได้ไปเยือนยากที่เลือนลืมได้สักคนคล้ายว่าป่านี้มีมนต์ดลหัวใจให้พี่ใฝ่ฝัน
เพียงได้เห็นสาวเจ้าเพียงครั้งเดียว
หัวใจโน้มเหนี่ยวรักเดียวแต่เจ้าเท่านั้น
ยามเอ่ยอ้างน้ำคำเจ้าช่างฉ่ำหวาน
นางเคยพร่ำสาบานว่าจะฮักกันบ่จืดจาง
ลืมไม่ลง ลืมไม่ลง ลืมไม่ลงป่าซาง
แม้นว่าดวงวิญญาณจะออกจากร่าง ถึงกายจะถูกดินฝัง ก็ลืมป่าซางไม่ลง..."

อ่า จริงๆ ยังมีสาวเหนือเก่งๆ อีกเยอะค่ะ แต่คนเขียน เขียนมาถึงนี่ก็หน้ามืดแล้ว ถึงกับต้องคว้ายาดมมาดมกันเลยทีเดียว คงต้องขอลาไปในอีกไม่กี่นาทีนี้ และขอฝากไว้ว่า

1. สาวเหนือทั้งหลายก็อย่าทำให้ภาพลักษณ์เสียไปล่ะ ภายนอกหวานๆ เนิบๆ แบบนี้ ออกแนวคมในฝักนะจ๊า...ผู้ใหญ่ก็ชมชอบ แถมยังมีโอกาสได้เห็นลีลาลวดลายของผู้ชาย ที่คิดว่าสาวเหนือตามไม่ทันอีก หุหุ ดีจะตาย

'อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่ไว้ในฝัก สงวนคมสมนึกใครยึกยัก จึงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย'

2. หนุ่มใต้ทั้งหลายก็อย่าคิดว่าสาวเหนือเหมือนสาวเครือฟ้า สาวบัวบานอยู่ล่ะ เท่าที่ผ่านมา สาวเหนือหักอกหนุ่มใต้ยับเยินก็มีให้เห็นไม่น้อยแล้วนะจ๊า

3. ตอนนี้เมืองเหนือค่อนข้างถูก centralised ไปมากแล้ว กำแพงรีต ประเพณีอาจจะยังพอมีอยู่บ้าง แต่คงไม่มากเหมือนเดิม เปิดใจให้กว้างเข้าไว้..อย่างน้อยยังง่ายกว่าคบฝรั่ง ^ ^' พื้นฐานเรายังมาจากพุทธศาสนา และความเชื่อเรื่องผีเหมือนกัน

4. นึกไม่ออกแล้วอ้ะ (ควักยาดมมาดมอีกรอบ) ใครมีประสบการณ์ก็...มาเล่าแลกเปลี่ยนกันด้วยนะค้า...

ไปละ บายๆ

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ชีวิต (บ่นเรื่องเดิมๆ ในบริบทใหม่ - -')

Rating:★★★★
Category:Other

พฤศจิกายน 2544

ข้าพเจ้านั่งอยู่ในห้องนอน แหงนหน้ามองพระจันทร์ที่เกือบเต็มดวงที่ลอยเด่นอยู่นอกหน้าต่าง เงียบเหงา โดดเดี่ยว ช่างไม่ต่างอะไรไปจากข้าพเจ้าในยามนี้เลย ลมหนาวแรกของปีพัดโบกโบย เสียงใบมะม่วงใกล้บ้านเสียดสีกันดังซู่ซ่า โมบายที่แขวนอยู่ใต้ชายคาส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง ฟังดูให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็นในระดับหนึ่ง

ระดับไหนน่ะเหรอ...ระดับที่ความเย็นของสายลมเริ่มกลายเป็นความหนาว...หนาว...จนกลายเป็นเหงาลึกๆ ในใจน่ะสิ

ข้าพเจ้าลองคิดดูถึงเหตุผลเพื่ออธิบายว่าเพราะเหตุใดข้าพเจ้าถึงได้ชอบนั่งมองพระจันทร์วันเพ็ญนัก คิดไปคิดมาจนสมองที่เรียบลื่นเริ่มล้าไปเพราะไม่เคยทำงานหนักเท่านี้มาก่อน ในที่สุดก็นึกออกว่าข้าพเจ้าคงกำลังจะ (พยายาม) หาจุดเชื่อมโยงระหว่างตัวข้าพเจ้าเองกับเจ้าดวงตาสีทองโสมส่องฟ้าแน่ๆ และข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจนักว่าข้าพเจ้าทำสำเร็จหรือไม่ เพราะถึงแม้ว่าจะนั่งคิดมานานขนาดนี้ นอกจากความโดดเดี่ยวเดียวดายแล้ว ข้าพเจ้าก็นึกไม่ออกว่าตัวเองจะมีคุณลักษณะใดๆ ที่ละม้ายดวงจันทร์อีกเลย ไม่ว่าจะเป็นความสวยเด่นเหนือวัตถุส่องแสงอื่นใด บนฟากฟ้าสีเข้ม หรือแสงสีทองที่ส่องนวลตาขับให้โลกยามราตรีดูน่าพิสมัยขึ้นอีกหลายเท่า

ลอยกระทงปีนี้ข้าพเจ้าก็ต้องหมกตัวอยู่แต่ในบ้านอีกแล้ว เพราะไม่มีใครออกไปเที่ยวชมงานแสงสีเสียงเป็นเพื่อน พ่อกับแม่บอกว่าขี้เกียจออกไปเที่ยว ออกไปเดินในงานยี่เป็งก็กลัวโดนจุดประทัดโยนใส่ นึกๆ มาถึงตอนนี้ก็อยากจะมีพี่น้อง เวลาจะทำกิจกรรมอะไรจะได้ชวนกันออกไปได้โดยไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ เขาผ่านโลกมามากแล้ว เรื่องบางเรื่องที่เรายังอยากดู อยากเห็น ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาที่เห็นมาแล้วเป็นสิบๆ ครั้ง ข้าพเจ้ารีบจดเอาความรู้สึกขมขื่นนี้ไว้ในใจ...เผื่อวันใดที่ข้าพเจ้ามีลูก ข้าพเจ้าจะได้ไม่เผลอทำให้เขาต้องสะเทือนใจด้วยคำว่า "โฮ้ย...ไม่ต้องไปหรอก งานไม่มีอะไรเลย เคยไปมาแล้วหลายครั้ง" เพราะคนพูดคงลืมไป ว่าคนที่มองอยู่ด้วยสายตาละห้อย เคยไปมาแค่ไม่กี่ครั้ง เมื่อสมัยยังเด็กมากกกกก จนจำอะไรแทบไม่ได้เลย

ทุกครั้งที่มองพระจันทร์ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีพลังลึกลับบางอย่างถ่ายทอดลงมาจากดวงจันทร์สีทอง ส่องลงไปกลางใจของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็จะรู้สึกสดชื่น มีกำลังใจ กระปรี้ประเปร่า ข้าพเจ้าจึงให้ความสำคัญกับวันลอยกระทงมาก เพราะเป็นวันที่ดวงจันทร์สวยที่สุด โตที่สุด ที่สำคัญก็คือ...ข้าพเจ้าไม่ต้องชมดวงจันทร์เงียบๆ เหงาๆ คนเดียวอย่างที่เป็นอยู่เสมอมา เพราะผู้คนต่างออกมาพบปะกันในงานรื่นเริง และชื่นชมความงามของพระจันทร์พร้อมๆ กัน มันทำให้รู้สึกว่า...อย่างน้อย ข้าพเจ้าก็ไม่ได้โดดเดี่ยว

อยากออกไปข้างนอกจัง ถ้าออกไปได้เองก็คงจะดี แต่จะทำยังไงได้ ขับรถยนต์ก็ไม่เป็น มอเตอร์ไซค์ก็ไม่มี ครั้นจะออกไปขึ้นรถสองแถวก็ต้องเดินออกไปถึงหน้าหมู่บ้าน แล้วสี่แยกที่หมู่บ้านเราตั้งอยู่นี่ก็ช่างเงียบ น่ากลัว รอรถอยู่โดนอาจจะโดนฉุดลากลงไปในทุ่งว่างๆ ใกล้ๆ หมู่บ้านก็เป็นได้

เฮ้อ....

สมัครสอบชิงทุนก.พ. ไปได้พักใหญ่แล้ว เมื่อไหร่จะมีจดหมายตอบรับมานะ เผื่อจะฟลุกสอบได้ ข้าพเจ้าจะได้โบยบินออกไปให้ไกลแสนไกล ข้าพเจ้าอยากบินไปเผชิญร้อน เผชิญหนาวด้วยตัวเอง อยากออกไปเรียนรู้โลกกว้าง อยากแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น อยากหัวเราะและร้องไห้กับสิ่งต่างๆ ที่เลือกได้ และได้เลือกโดยอิสระ

เมื่อเวลามาถึง...ข้าพเจ้าจะบินๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จนกว่าจะอ่อนแรง
ความหอมหวานของอิสรภาพมันช่างเย้ายวนนัก...
.
.
.
.
พฤศจิกายน 2549

ข้าพเจ้าคงไม่มีเวลาจะเล่าอะไรมากมายนัก เพราะข้าพเจ้าเพิ่งกลับมาจากเยี่ยมเพื่อนที่อยู่เมืองใกล้ๆ และกำลังจะต้องลงไปพบเพื่อนๆ ตามนัด

ปีนี้คือปีการศึกษาสุดท้ายที่ข้าพเจ้าจะได้อยู่ในประเทศอังกฤษแล้ว ต้องเก็บเกี่ยวความสุขให้ได้มากที่สุด และต้องตระเวนเยี่ยมเพื่อนให้ได้มากที่สุด

โอ๊ะ...จะถึงเวลาแล้ว ข้าพเจ้าต้องรีบเอาขนมปังตากแห้งหนึ่งแถวลงไปข้างล่างพร้อมกับเทียนขี้ผึ้งที่ถูกตัดเป็นท่อนเล็กๆ พวกเราจะลอยกระทงขนมปังกัน แสงเทียนบนแผ่นขนมปังที่ลอยบนผิวทะเลสาบหน้าหอพักคงดูสวยงาม และหวังว่าน้องเป็ดจะไม่เผลอกินเทียนไขเข้าไปนะ

ปีนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกดีจังเลย...
ปีสุดท้าย ปีทองอันแสนสุข
เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นนับแต่ออกมาจากบ้านก็ทำให้เกิดทั้งรอยยิ้ม น้ำตา เสียงหัวเราะ ข้าพเจ้าอยากกลับไปเริ่มต้นชีวิตเต็มที ออกจากบ้านมานาน..ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องกลับบ้าน พ่อแม่ ญาติพี่น้องคงรอข้าพเจ้ากันจนเหนื่อยที่จะรอ ปู่ ย่า ยาย ก็อายุมากกันเต็มทีแล้ว ทุกครั้งที่ทางบ้านเล่าว่าแต่ละท่านถามถึงก็แทบจะน้ำตาไหล ในที่สุดก็จะได้กลับไปสู้อ้อมอกของบ้านเกิดเสียที

ประสบการณ์ทุกๆ วินาทีที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่มีค่าทั้งนั้น ต่อให้มีคนถามว่า ถ้าย้อนกลับไปในอดีตได้จะเลือกเดินทางเดิมไหม
.
แม้จะรู้ว่ามันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดมา แต่ข้าพเจ้าก็คงตอบว่าจะเลือกทางเดิมนี่แหละ
.
.
.
.
.

พฤศจิกายน 2550

ข้าพเจ้านั่งอยู่หน้าจอแลปทอปเครื่องเดิม นั่งแปลเอกสารประกอบการขุดค้นบ้านดอนตาเพชรให้อาจารย์ท่านหนึ่งที่พบกันในงานสัมนาวิชาการที่มหาวิทยาลัย อาจารย์คงเกลียดข้าพเจ้าแน่ๆ ที่เอางานของเขามาหมักดองไว้นานเป็นปี แต่ชีวิตนักเรียนปริญญาโทของข้าพเจ้ามันช่างมีเวลาว่างน้อยเหลือเกิน ตลอดสองเทอมแรกของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าต้องไปเรียนทุกวัน จากเช้าจดเย็น อาทิตย์ละ 4 วัน แถมวันศุกร์ยังต้องฝึกงานอีก ช่วงแรกๆ ก็ยังมีไฟ แต่ผ่านไปได้ 3 เดือน ข้าพเจ้าก็เริ่มล้า...

แต่ก็เป็นความล้าบนความสุขล่ะนะ จนกระทั่งข้าพเจ้าค้นพบว่า มันไม่มีทางให้ข้าพเจ้าได้กลับบ้านแล้วจริงๆ สมองข้าพเจ้ามึนๆ ชาๆ ไปพักใหญ่...ความฝันที่จะได้กลับบ้านพังครืนไม่มีชิ้นดี และเส้นทางที่ต้องเดินต่อ ทอดยาวไปอีกเกินครึ่งของเส้นทางที่เดินผ่านมา

เหตุผลเดียวที่ทำให้ก้าวเดินต่อไปได้ก็คือ...
ข้าพเจ้าย้อนกลับไม่ได้

ถ้าข้าพเจ้าเป็นนก นกตัวนี้มันก็บินออกมาจากบ้าน 6 ปีกว่าแล้ว ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านประสบการณ์ต่างๆ ที่เดินหน้าเข้ามาในชีวิต ข้าพเจ้ารู้...ว่าในโลกนี้ยังมีอะไรให้ได้เรียนรู้อีกมาก และนกตัวนี้ก็ยังมีแรง สามารถบินไปต่อได้อีก

แต่มันเริ่มห่วงหน้าพะวงหลัง...

นกมันรู้ว่ามันยังมีใครต่อใครอีกมากมายรอมันกลับมาด้วยใจจดจ่อ ดวงตาฝ้าฟางของนกแก่ๆ ที่อยู่เบื้องหลัง แทบจะทำให้ปีกของมันอ่อนแรงลงไปเพียงแค่ได้นึกถึง นกแก่ๆ หลายตัวรั้งสังขารตัวเองเอาไว้เพียงเพื่อรอนกตัวนี้บินกลับรัง มันเริ่มรู้ตัวว่า..มันรู้จักถิ่นฐานใหม่ที่มันโบยบินไปดีเสียกว่าภูมิลำเนาของมันเสียอีก...แล้วอีกหน่อยมันจะกลับมาหากิน ณ ถิ่นฐานบ้านเกิดของมันได้อย่างไร

แต่นกมันไม่มีทางเลือก คงต้องบินต่อไป เพื่อให้สำเร็จวิชาจับหนอนขั้นสุดยอด...โดยที่ตัวมันเองก็ยังไม่รู้ว่า เมื่อมันต้องกลับคืนรัง ประชากรนกที่นั่นเขาจะกินหนอนเหมือนที่มันกำลังกินอยู่หรือว่ากินเมล็ดพืชกันแน่ แล้วสิ่งที่มันไขว่คว้ามา..จะกลายเป็นภาพมายาของอากาศธาตุหรือเปล่า

ลอยกระทงปีนี้...ข้าพเจ้าไม่อยากออกไปไหนเลย อยากมีเวลาส่วนตัวไว้คิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากกว่า ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจเหตุผลที่ว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงรู้สึกเหนื่อยหน่าย และขี้เกียจพาข้าพเจ้าออกไปเที่ยวข้างนอกเมื่อถึงช่วงเทศกาลทั้งหลายแหล่

คนเราย่อมมีอะไรให้คิด ให้ทำ ให้กังวล และคงไม่สามารถทำให้คนอื่นมีความสุขได้ตลอดเวลาหรอกนะ ถ้าเขาเหล่านั้นไม่ได้เกิดมาเพื่อทำหน้าที่สร้างความสุขให้กับคนอื่นจริงๆ

ตอนนี้ข้าพเจ้าก็ให้นึกเบื่อหน่ายงานเทศกาลอะไรต่างๆ ขึ้นมาบ้าง แต่ข้าพเจ้าก็ยังขอยืนยันว่าจะจดจำความรู้สึกเหงา อยากออกไปข้างนอก อยากเปิดหูเปิดตาอย่างที่เคยรู้สึกเมื่อหลายปีก่อนเอาไว้ให้ดี จดลึกลงไปในเนื้อหัวใจ เพราะวันใดวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า...ข้าพเจ้าก็คงจะอยากให้ความสุขเล็กๆ น้อยๆ นี้แก่ลูกหลาน เพราะข้าพเจ้าคงไม่รู้ว่าเขาจะมีจิตใจที่เปี่ยมสุข ไร้กังวลไปได้นานแค่ไหน

ในยามนี้...ข้างนอกบ้านคงพลุกพล่านน่าดู...
ในเวลาไม่กี่ปี ที่โล่งๆ ใกล้หมู่บ้านกลายสภาพเป็นอาคารที่พักของการเคหะ ทุ่งร้างๆ ก็ถูกถม และคงกลายเป็นตึกแถวในเร็ววัน โชคยังดี ที่มีแนวสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านพื้นที่นาใกล้หมู่บ้านของข้าพเจ้าบางส่วน ทำให้ยังพอมีพื้นที่สีเขียวที่ไม่กลายเป็นอาคารห้างร้านอยู่บ้าง รถสองคันจอดนิ่งในโรงรถ...พ่อกับแม่นอนหลับไปแล้วด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการทำงาน ข้าพเจ้านอนหลับดึกขึ้นมากจนกลายเป็นคนที่นอนดึกที่สุดในบ้าน จริงๆ แล้ว ข้าพเจ้าจะหยิบกุญแจขับรถออกไปชมเมืองนิดหน่อยก็ไม่เกินความสามารถ

แต่ไม่เอาล่ะ...
ขี้เกียจ

เสียงประทัด ดอกไม้ไฟ ดังลอดเข้ามาจากหน้าต่าง ลมหนาวแรกของปีพัดโบกโบย...เสียงโมบายกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋งฟังดูไพเราะ เพราะเป็นเสียงที่ข้าพเจ้าไม่ได้ยินมานานแสนนาน ใบมะม่วงต้นใกล้บ้านเสียดสีกันดังซู่ซ่า แม้ว่าจะเบากว่าเมื่อ 5-6 ปีก่อนมาก แต่ก็ยังก่อให้เกิดความรู้สึกประหลาดในใจได้เหมือนเคย

ข้าพเจ้าไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิดเดียว...เพราะข้าพเจ้าเคยผ่านความหนาวเย็นมามากกว่านี้
สิ่งที่เกิดขึ้นลึกลงไปในใจ...คงเป็นความถวิลหาและโหยหาอย่างรุนแรงกระมัง
.
.
.
.
.
.
.
พฤศจิกายน 2551

ข้าพเจ้าเดินกลับลงมาจากเนินเขาเตี้ยๆ เพื่อที่จะกลับไปสู่ที่พักของตน หลังจากเพิ่งไปพบปะกับเพื่อนเก่ามาเมื่อบ่ายนี้ อีกไม่นาน...เธอก็จะกลับประเทศของเธอแล้ว แล้วจิ๊กซอว์อีกตัวหนึ่งของปีทองอันแสนสุขของข้าพเจ้าก็คงจะหายไปอีกครั้ง ก็คงจะเหมือนกับชิ้นอื่นๆ ที่อันตรธานไป ก่อให้เกิดช่องว่างอยู่ในใจมากมายถึงเพียงนี้

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าทุกวันนี้ข้าพเจ้าเหมือนหุ่นยนต์...มีชีวิตไปวันๆ ด้วยหน้าที่ ยากเหลือเกินที่จะมีสิ่งใดที่ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขสุดๆ หรือมีความทุกข์สุดๆ ได้เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ไฟฝันที่เคยลุกโชติช่วง บัดนี้...คงเหลือแค่เปลวไฟอ่อนๆ ที่แม่จะยังให้ความอบอุ่น แต่ก็ช่างห่างไกลจากการกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจเสียเหลือเกิน

ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เป็นวันลอยกระทง
ลอยกระทง...แล้วไง???

ก็แค่วันวันหนึ่งที่มีคนสมมติให้ประชาชนออกมาสักการะพระแม่คงคา และพบปะสังสรรค์กัน
สังสรรค์กัน...แล้วไง???

ไม่กี่วันที่ผ่านมาที่ก็เป็นวัน Bonfire night ด้วย
Bonfire Night ที่เขาจุด Fireworks กันสวยงามน่ะเหรอ...แล้วไง?

วันที่เธอเคยไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ มากมายที่เคมบริดจ์ไง
สังสรรค์อีกแล้ว....แล้วไง??


ใบไม้แห้งร่วงหล่นบนทางเท้า...กองใบไม้สีน้ำตาลกรอบแตกร่วนออกเป็นผุยผงเมื่อรองเท้าบู้ตสีดำของข้าพเจ้าบดขยี้ลงไป แสงสุดท้ายของวันส่องใบไม้สีเหลืองทองที่ยังค้างอยู่บนต้นให้ดูสว่าง กระจ่างกว่าที่เป็นมา ข้าพเจ้าหวังให้แสงนี้มันลอดลงไปถึงข้างในของข้าพเจ้าบ้าง แต่หัวใจของข้าพเจ้าในยามนี้มันเป็นเหมือนหลุมดำ...หลุมดำที่ดูดกลืนทุกอย่างให้หายไปแม้กระทั่งแสงสว่าง

เส้นทางข้างหน้ายังทอดยาวอีกไกลนักกว่าจะถึงที่พัก รองเท้าบู้ตส้นสูงสองนิ้วที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นปัญหา เริ่มเสียดสีกับเนื้ออ่อนๆ ที่ด้านนอกของเท้า เพราะการเดินแบบทิ้งน้ำหนักเมื่อลงเนิน ปกติเดินบนทางราบคงไม่มีปัญหาอะไร พอมาเดินลงจากเนินถึงได้รู้ว่าอะไรที่แสนธรรมดา ก็ทำให้คนเป็นทุกข์ได้

แล้วเจ็บไหม...เป็นทุกข์ไหม
เจ็บสิ...แต่ก็แค่เจ็บ...แล้วไง?

บางที...เจ็บก็ดี หนาวก็ดี จะได้รู้สึกรู้สาบ้าง
แต่ทำไม..ความเจ็บ ความหนาว มันไม่อาจทำให้ข้าพเจ้ารู้สึก 'มีชีวิตชีวา' เหมือนเคย

ลมหนาวพัดมา พร้อมกับอาการทอดถอนใจ
ก็แค่อีกวันที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป...

แล้วก็หวังว่าสักวันหนึ่ง...ไฟที่มอดดับลงไป จะกลับมาเหมือนเดิม เพราะนกตัวนี้มันก็ยังต้องบินไปอีกไกล บินไป บินไป บินไป
.
.
แม้ว่าวิชาจับหนอนขั้นสุดยอดที่ไขว่คว้า อาจจะใช้ไม่ได้กับสังคมกินเมล็ดพืชเลยก็ตาม
.
.
.

ขอบพระคุณที่กรุณาอ่านถ้อยคำเพ้อเจ้อไร้สาระของข้าพเจ้ามาจนถึงตรงนี้
สวัสดีค่ะ


วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Autumn leaves: เคว้งคว้างดุจใบไมร่วง




ยิ้มว่าจะแต่งกลอนใบไม้ร่วง แต่ตอนนี้ง่วงจัง
ไปไม่รอด ติดไว้ก่อนนะคะ วันหลังค่อยเอามาอัพ

ช่วงนี้เดินไปไหน มาไหน ก็เจอแต่ใบไม้ร่วงเป็นทิวแถว ที่นี่มันไม่เปลี่ยนเป็นแดง เหลือง ส้ม เหมือนในแถบยุโรปหรืออเมริกา นานๆ จะมีสีสวยๆ โผล่มาที ส่วนมากเหลือง น้ำตาล แล้วก็โกร๋นเลย..ยิ้มกะว่า เจอต้นสวยๆ จะแอบถ่ายเก็บไว้ ปีอื่นๆ จะได้เอามาเทียบ ว่าเหมือนหรือต่างยังไง...

รู้สึกดีเหมือนกันนะ เห็นใบไม้เปลี่ยนสีด้วย ตอนอยู่ลอนดอน แทบจะไม่เคยเห็นเลยน่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Athens: The city of Myths and legends




3 October 2008

อัลบั้มนี้มาช้าไปหน่อย ^ ^' พอดีแอบอู้ ขี้เกียจไปตามประสา

ชมภาพแบบละเอียดได้ที่บล็อกพี่เต่า เช่นเคยนะค้า

http://tktao.multiply.com/photos/album/36

ในที่สุดเราก็เดินทางออกจาก Santorini มาถึง Athens ด้วยความอาลัยบรรยากาศเบาๆ สบายๆ ผ่อนคลายตามแบบทะเล แต่ก็จริงของพี่เต่าที่ว่า "ถ้าไม่ไป Athens ก็เหมือนยังไม่สมบูรณ์นะ" แหม..มาถึงกรีซแล้ว จะไม่ไปดูสถานที่อันเป็นต้นแบบรากฐานของศิลปะตะวันตกที่ลือเลื่องไปทั่วโลกได้ยังไงกัน เราก็เลยเรียกความกระฉับกระเฉงกลับมาแล้วเดินทางกันต่อ

Athens ก็เป็นเหมือนเมืองหลวงของประเทศอื่นๆ นะคะ เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง คนเยอะ ค่อนข้างวุ่นวาย แต่ที่ตั้งอยู่เหนือไปจากความสับสน พลุกพล่านของเมืองใหญ่ ก็คือ..Acropolis ซากปรักหักพังของเมืองเก่าที่ตั้งอยู่บนภูเขาหิน (Acropolis Rock) เด่นเป็นสง่า เปรียบประหนึ่งมงกุฎของเมือง เหนือความวุ่นวายและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ใดๆ



แล้วเราก็เดินขึ้นเนินไปกัน (เมือง Athens ถึงจะดูใหญ่ๆ แต่พอเดินจริงๆ มันก็ต่อเนื่องถึงกันหมด แล้ว Acropolis ก็เด่นซะจนไม่มีทางหลงเป็นอันขาด) ระหว่างทางก็เห็นซากปรักหักพังบนดินบ้าง อยู่ในหลุมบ้าง เมืองที่เก่าแก่แบบนี้ก็ย่อมมีรอยอารยธรรมหลงเหลืออยู่เยอะมากเป็นธรรมดา

เอ แต่จะว่าไปแล้ว...ยิ้มคิดว่าสถานที่ใดก็ตามที่เป็น 'เมือง' ต่างก็โอบอุ้มสิ่งก่อสร้าง และร่องรอยของการดำรงชีวิตของมนุษย์ในสมัยก่อนเหมือนๆ กันทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นเมือง Athens York กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ หรือลอนดอน แต่ละที่ล้วนมีเรื่องราวความเป็นมา มีการซ้อนทับทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นทั้งนั้น

ประเด็นอยู่ที่ว่า...

1. ลักษณะของวัฒนธรรมแบบไหนจะหลงเหลือร่องรอยอารยธรรมมาถึงชนรุ่นหลัง และ

2. สภาพสังคมแบบไหนจะโอบอุ้มการ 'คงอยู่' ของร่องรอยอารยธรรมเหล่านั้นได้ดีกว่ากัน

ในแต่ละสังคม ปรัชญาการอนุรักษ์โบราณสถานและโบราณวัตถุไม่เหมือนกันเลยนะคะ บางทีอาจจะเน้นการอนุรักษ์วัตถุและสถานที่ที่ทรงคุณค่า บางที่อาจจะรณรงค์ให้อนุรักษ์สิ่งที่เป็นอยู่โดยไม่ต้องบูรณะปฏิสังขรณ์ (preseved as found) บางที่อาจจะต้องการให้สถานที่อันมีความหมายต่อจิตใจและความเชื่อของคนในท้องถิ่นดู "ใหม่" และ "มีชีวิตชีวา" อยู่เสมอ จนต้องซ่อมแซมด้วยวัสดุใหม่ๆ ตลอดเวลา (อย่างสังคมตะวันออกของเรา)

สิ่งก่อสร้างบน Acropolis ที่หลงเหลืออยู่นี้ เป็นลักษณะศิลปะแบบ Classical (หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่าในยุคก่อนหน้านี้ก็มีสิ่งก่อสร้างอยู่บ้าง เช่นในสมัย Minoan หรือ Mycenaean แต่หลักฐานที่มีไม่แน่นพอที่จะบอกได้ว่าสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นหน้าตาเป็นยังไง แค่รู้ว่ามีเฉยๆ) ซากวิหารต่างๆ บนเนิน Acropolis นี้จัดเป็นมรดกโลก มรดกยุโรป มรดกบลา บลา บลา อีกมากมาย เรียกได้ว่า...โปรไฟล์ความสำคัญแน่นเอี๊ยดดดด น่ะ

แล้วเราก็ขึ้น Acropolis กัน ทันทีที่เท้าเหยียบไปถึง Propylaea ซึ่งเป็นเหมือนประตู (gateway) เข้าไปสู่เมืองศักดิ์สิทธิ์ อา...ขนลุกเยือก ไม่ใช่เพราะความอลัง แต่เป็นเพราะโครงเหล็กมากมายที่ค้ำยันสิ่งก่อนสร้างไว้อยู่น่ะค่ะ - -'

Under Construction นี่หว่าาาาา.....แง.......

จริงๆ แล้วรูปภาพจากหนังสือหรือโปสการ์ดที่เคยเห็นมา ก็พอจะเห็นโครงเหล็กค้ำยันอยู่ จนคิดไปว่า เอ...หรือบางทีมันอาจจะเป็นการเสริมความแข็งแรงแบบถาวร (เอาออกไม่ได้ เดี๋ยวถล่ม) เลยก็ได้ ก็พอจะเข้าใจว่าโครงสร้างที่เหลืออยู่มันเปราะบาง ต้องค้ำยันบ้าง ซ่อมโน่นนิดนี่หน่อยอยู่ตลอดเวลา แต่ครั้งนี้โครงเหล็กมันออกจะเยอะไปหน่อย (เยอะพอๆ กับนักท่องเที่ยวเลย) มองดูแล้ว เอิ่ม...แทบไม่มีส่วนที่ไม่ถูกค้ำยัน

แต่ก็เอาเหอะ...พอจะมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปได้ ด้วยการมองไปถึงความสำคัญระดับโลก และการจัดการที่ยอดเยี่ยมแทน (ชนิดที่ว่าทำสะพานไม้ หรือทางหินอัดให้คนเดิน กันการสึกกร่อนของหินอ่อนและยังมีพนักงานคอยเป่านกหวีดห้ามคนป่ายปีนหินด้วย)

จริงๆ ในฐานะที่ก็ร่ำเรียนมาในวงการนี้พอสมควร ก็รู้นะคะว่านักท่องเที่ยวไม่ควรสัมผัสโบราณสถานหรือวัตถุอย่างใกล้ชิดมาก (นักท่องเที่ยว 100 คนก็โดนลูบ 100 ครั้ง - นานๆ เข้าหินมันก็สึกหรือมันแผล็บได้เหมือนกันนะ) แต่แหะๆ พอไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ เข้าใจเลย ว่าใครๆ ก็อยากใกล้ชิด ยิ้มเองก็อดใจไม่ไหวไปจับๆ หรือปีนๆ บ้างเหมือนกัน จากการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำให้คิดว่า ถ้าข้าพเจ้าต้องไปจัดการไซต์ไหน จะลองหาวัตถุที่ไม่ได้สำคัญสุดยอด หรือมีของแบบเดียวกันหลายๆ ชิ้น จับได้ไม่แตกหักมาให้คนชมลูบๆ คลำๆ สัมผัสอย่างใกล้ชิดบ้าง เพราะการเรียนรู้ของคนเรามันมีหลายทาง บางคนเรียนรู้ด้วยการมอง (visual) บางคนด้วยการฟัง(auditory) บางคนด้วยการอ่าน(reading) บางคนด้วยการกระทำ(kinesthetic) และพวกหลังเนี่ย จะชอบจับๆ แตะๆ มากกว่าพวกอื่น (ตัวยิ้มเองเป็น visual learner มากกว่าอย่างอื่น แต่ก็มีความเป็น kinesthetic ไม่น้อยไปกว่ากันนัก และไม่ใช่ audotorial learner เลย เวลาไปเที่ยวก็เลยชอบดู ของอ่าน ชอบจับมากกว่าจะชอบซื้อ audio guide มาฟัง)

นอกเรื่องอีกแล้วเรา...กลับ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

สถานที่สำคัญๆ บน Acrolpolis Rock ก็คือ วิหาร Pathenon, วิหาร Erechtheion, วิหาร Athena Nike (เล็กๆ) แต่ละที่ก็..หลงเหลืออยู่บ้างในระดับหนึ่ง จริงๆ แล้ว...ถ้าอยากเห็นหินอ่อนแกะสลักแห่งวิหาร Pathenon ก็สามารถไปดูที่ British Museum ได้นะคะ ที่นั่นลัก เอ๊ย...นำเอาหินประดับเหนือประตูของที่นี่ไปจัดแสดงอยู่เป็นร้อยๆ ปีละ ( เขาเรียกว่า frieze อ้ะ จะแปลว่าอะไรดีเนี่ย ทับหลังเหรอ สงสัยจะไม่ใช่ - -' อันนั้นมัน lintel )



นี่คือวิหาร pathenon


ส่วนวิหาร Erechtheion ที่มีเสาเป็นรูปผู้หญิง (นัยว่านางเหล่านั้นเป็นเทพปกปักรักษาวิหาร) ก็สามารถดูอะไรที่คล้ายๆ กันได้ที่โบสถ์ St. Pancras ในลอนดอน ละม้ายมาก (ขนาดใหญ่กว่าของจริงที่ Athens อีก)



อันนี้ของจริง


จะว่าไปแล้ว โบราณสถานส่วนมากก็เป็นพวก Temple หรือว่าอะไรก็ตามที่ถวายเป็นบรรณาการแก่องค์เทพล่ะค่ะ

จาก Acropolis เราก็ลงมาเดินด้านล่าง ซึ่งเป็น Market area หรือที่เรียกว่า 'Agora' เป็นส่วนของเมืองที่...ผู้คนได้ใช้งานจริงหน่อย ไม่ได้เป็นส่วนของสถานที่สำคัญทางศาสนาและการปกครองเหมือน Acropolis แถวๆ Agora นี้ก็เป็นที่นักปราชญ์ชาวกรีกเดินไปเดินมาแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร สนทนากันน่ะค่ะ อู๊ย ตื่นเต้นเนอะ เราได้เดินอยู่ในที่ที่ Socrates, Plato หรือ Aristotle เคยเดิน อืม...อดนึกย้อนจินตนาการไม่ได้ ว่าเขาจะทำอะไรขณะที่อยู่ตรงนั้น แล้วที่ที่เราเดินอยู่ เขาจะเคยเหยียบย่ำไว้เป็นเทือกหรือเปล่า



Agora มองเห็น Temple of Hephaestus อยู่ลิบๆ




นี่สร้างขึ้นมาใหม่ เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุที่พบในแถบนี้ กะให้เหมือนของเดิม สถานที่ที่คนกรีกจะมาเดินไปมา ชุมนม พบปะ สังสรรค์


พอเดินเที่ยวหมด เราก็หมดแรงกันพอดี...ไปหาอะไรกินแก้หิว โน้ตก็เตรียมจะแยกไปเที่ยวอิตาลีต่อ ส่วนยิ้มและพี่เต่าก็เตรียมจะกลับอังกฤษ

2 อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอะไรที่...คุ้มค่าจริงๆ ค่ะ เห็นมาทุกแบบทั้งแบบธรรมชาติและแบบที่สร้างโดยน้ำมือมนุษย์ ทะเลสาบ เกาะ ป่าเขา โบราณสถาน เมืองที่ยังมีคนอยู่ ทะเล ภูเขาไฟ

ถ้าจะถามว่า...ชอบที่ไหนที่สุด พระเจ้า...ถามอะไรยากจังเลย เอามีดมาแทงให้ตายกันเลยดีกว่ามั้ย ยิ้มคงจะต้องตอบว่าชอบไปคนละแบบล่ะค่ะ (ตอบแบบนี้มีคนเคยแย็บๆ ว่าตอบได้แบบนักการเมืองจริงๆ) มันเลือกไม่ได้จริงๆ นะ คือแต่ละที่ก็มีข้อดี ข้อเสียของมัน สุดท้ายแล้วก็มีแต่ความทรงจำดีๆ ที่โดดเด่นออกมา ส่วนอะไรที่ไม่ค่อยดี...นานๆ เข้าก็กลายเป็นเรื่องโจ๊กเรื่องขำขันไป เมื่อเราผ่านจุดนั้นมาแล้ว

คงไม่ลืมไปอีกนานเลยทีเดียว...

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Hello Santorini !!




1-2 October 2008

พอพี่เต่าอัพรูปแล้ว เราก็อัพต่อมั่ง ^ ^' ไม่ใช่อะไรหรอก จะได้ใส่ link บล็อกพี่เขาให้ไปดูรูปเพิ่มเติมได้ด้วยน่ะค่ะ แหะๆ พี่เต่าบันทึกรูปไว้ละเอียดดี

ในที่สุดก็มาถึง Santorini จนได้...

ประโยคข้างบนไม่ได้หมายถึงความยากลำบากในการเล่าเรื่องประกอบแต่ละอัลบั้มเรื่อยๆ มาจนถึงอัลบั้มนี้อย่างเดียวนะคะ ยิ้มหมายถึงการเดินทางข้ามจาก Kusadasi (เมืองของตุรกี) มา Samos จาก Samos ต่อมาถึง Piraeus (ที่ Athens) แล้วจาก Piraeus มาถึง Santorini ซึ่งใช้เวลา 2 + 8 + 8 ชั่วโมงด้วย

อื่ม... ขอเรียกการเดินทางส่วนนี้ว่า Ferry Experience ก็แล้วกัน เพราะใช้เวลานานมาก..มากเสียจนไม่อยากนั่งเรืออีกในระยะเวลาปี - สองปีนี้ เพราะแค่ 2 วันนี่ เราก็นั่งมาตั้งแต่เรือข้ามฟาก(ขนาดประมาณเรือประมงข้ามไปเกาะเสม็ด) เรือเฟอรี่ขนาดกลาง และเรือเฟอรี่ขนาดใหญ่อลังการ ยิ้มไม่ได้ถ่ายรูปช่วงนั้นไว้เลย คงต้องไปดูรูปจากบล็อกพี่เต่า (เช่นเคย) ที่ http://tktao.multiply.com/photos/album/34 และรวดชมภาพสวยๆ บนเกาะ Santorini ที่ http://tktao.multiply.com/photos/album/35

อ่อ พอมีรูประหว่างเดินทางให้เห็นเป็นน้ำจิ้มนิดหน่อยนะคะ



บ๊าย บาย Kusadasi นั่งเรือออกมาจากตุรกี


ประสบการณ์แบบเรือๆ ของเรา มาถึงจุดพีคในช่วงที่ต้องขึ้นเฟอรี่ขนาดใหญ่จาก Samos ไป Piraeus เพราะเราจองตั๋วแบบถูก เนื่องจากตั๋วนอนราคาสูงปรี๊ดด...แตะ 100 กว่ายูโร ตอนซื้อคนขายก็รับคำมั่นเหมาะว่าไม่หนาวแน่นอน ถึงจะเป็น upper deck แต่ก็มีหลังคาปิดมิดชิด เราก็วางใจ ลากกระเป๋าเดินขึ้นเรือหรูหรา กว่าจะถึงห้องโดยสารชั้นบนก็ต้องเดินขึ้นบันไดเลื่อนตั้ง 2 ชั้น ก็เลยคิดไปว่าถ้าเรือหรูแบบนี้ ที่นั่ง upper deck ก็คงไม่แย่มากนักหรอก

แต่พอมาถึงจุดตรวจตั๋ว...เค้าชี้ให้พวกเราออกไปอยู่นอกห้องโดยสารค่ะ ท่านผู้อ่าน ออกไปตรงส่วนท้ายและส่วนระเบียงเรือ = =

upper deck มันมีหลังคาปิดก็จริง แต่ที่นั่งที่เขาจัดให้แบบว่า เอ่อ...เหมือนไม่ได้ทำมาให้คนโดยสารเลย รู้สึกเข้าใจ Jack Dawson แห่ง Titanic ขึ้นมาทันที เกิดอารมณ์อยากออกไปเดินเล่นที่หัวเรือ กู่ร้องตะโกน "I'm the king of the world" ให้เหมือนในหนังด้วย โชคร้าย..เขากั้นเอาไว้ไม่ให้คนเข้าไปที่หัวเรือ หุหุหุ แต่ก็ดีแล้วแหละ..น่ากลัวจะตาย แค่ยืนตรงระเบียงตรงส่วนข้างของเรือ มองลงไปข้างล่างยังขาสั่นเลย มันสูงมากกก สูงเหมือนตึกหลายชั้น แล้วน้ำที่มากระทบข้างเรือก็แรงจนยิ้มไม่แน่ใจว่าถ้าตกลงไปจะรอดมั้ย ผืนน้ำก็ลึกล้ำดำมืดจนมองไม่เห็นอะไร ดำ...จนเหมือนกับหลุมลึกที่ดูดเอาชีวิตของใครก็ได้ที่เข้าไปใกล้ บรื๋อ...

แต่กระนั้นก็ดี พอดึกๆ ไปแล้ว เราก็พากันเสด็จเข้าไปนอนในห้องโดยสารอย่างไม่กลัวฟ้าดิน แหม...ก็ห้องโดยสารมันว่างออกขนาดนั้น ถ้าจะไล่ให้คนออกไปนอนข้างนอกมันก็ใจร้ายไปหน่อยแล้วล่ะ

รุ่งเช้าเรือก็เข้าเทียบท่า Piraeus เราก็วิ่งๆ ๆ ๆ จากท่าหนึ่งไปขึ้นเรือที่อีกท่าหนึ่ง เหงื่อออกซ่กๆ แต่ก็ได้อารมณ์ดี ที่นั่งเป็น upper deck เหมือนเดิม แต่เดินทางกลางวัน..ไม่เป็นไร อากาศยังไม่หนาวมาก พอเรือแล่นออกจากท่า แสงสีส้มก็เริ่มทอทาบท้องฟ้าพอดี



ฟ้าสางที่ Piraeus



พอผ่านช่วง Ferry Experience เราก็ล่องเข้ามาในส่วนที่เรียกว่า lagoon (เดี๋ยวค่อยอธิบายการเกิด lagoon ข้างล่างนะคะ) จากบนเรือมองไปสองข้างจะเห็นทิวทัศน์ต่างกัน มองไปทางซ้ายจะเห็น Oia (อ่านว่าเอียร์) เป็นหมู่บ้านที่อยู่ปลายปลายแหลมของเกาะ มีบ้านเล็กบ้านน้อยแบบกรีกลดหลั่นเกาะอยู่ตามหน้าผา น่ารัก สวยงาม ส่วนทางขวามือจะเป็นเกาะภูเขาไฟดำทะมึนแปลกตาแต่น่าเกรงขาม



พอเรือเทียบท่า..พวกเราก็กระโดดขึ้นรถตู้ของโรงแรมซึ่งบริการได้ดีจริงๆ เจ้าของโรงแรมออกมารอถึงหน้าปากซอย แล้วก็พาเราเดินลัดเลาะลงไปตามตรอกเล็กๆ เราก็เดินตามเขาไปงุดๆ เพราะว่าเหนื่อยบวกกับอยากอาบน้ำเต็มแก่ พอมาถึงหน้าห้องแล้วก็เงยหน้าขึ้นจากกระเป๋าลาก แล้วก็..
.
.

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด........
.
.
สวยมาก มันสวยมากจริงๆ ค่ะ สวยจนบรรยายไม่ถูก เลนส์กล้องคงไม่สามารถซึมซับความสวยได้เท่าเลนส์ตา และ Memory Card ก็คงไม่สามารถบันทึกความทรงจำและบรรยากาศได้ดีเท่ากับการรับรู้ของมนุษย์ (จริงๆ ถ้าเป็นคนถ่ายรูปเก่งก็คงทำได้หรอกนะ แต่ข้าพเจ้าไม่ถนัด เลยหันไปเก็บภาพใส่กล่องความทรงจำดีกว่า)

โรงแรมที่พักชื่อ Irini's เกาะอยู่บนหน้าผาเกือบจะถึงส่วนยอด ใต้ห้องพักของเรามีอาคารอื่นๆ ลดหลั่นลงไปอีกหลายชั้น มองลงไปเห็นน้ำสีเขียวอยู่เบื้องล่าง และเห็นหมู่บ้านสีขาวๆ แบบกรีกอยู่ใกล้ๆ และไกลออกไป เกาะภูเขาไฟตั้งอยู่ตรงหน้าเด๊ะเลย แถมโรงแรมเรายังมีระเบียงยื่นออกไปไว้รับลมชมวิว มีอ่างจากุชชี่น้อยๆ น่ารักให้แช่เล่นอีก (แต่น้ำเย็นเป็นบ้าเลย) โอ...พี่เต่าเลือกโรงแรมได้ดีจริงๆ เลยค่ะ ไม่พลุกพล่านด้วย เพราะอยู่ในเขตที่ไม่ใช่ Fira (ศูนย์กลางของเกาะ) และ Oia (จุดที่คนชอบไปดูพระอาทิตย์ตก) ความเหนื่อยล้ามลายหายไปทันใด เมื่ออยู่ในบรรยากาศแบบนั้น ล้างหน้าล้างตานิดหน่อยก็พร้อมจะออกไปลุยต่อได้



เอาล่ะ..อัลบั้มนี้เราหลบออกมาจากบรรยากาศโบราณคดีนิดนึงละกัน ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วเกาะ Santorini ก็เป็นเกาะที่มีประวัติมายาวนานน้า...ที่นี่มีไซต์แหล่งอารยธรรม Minoan อยู่ (อารยธรรมกรีกที่รุ่งเรืองมาก่อนอารยธรรมแบบ Classical และ Hellenistic ที่พวกเราคุ้นเคยกันดี - ก็พวก column, capital อะไรนั่นไงคะ) แต่ด้วยความที่พวกเราปฏิบัติต่อ Santorini ประหนึ่งเป็นสถานท่องเที่ยวทางทะเล ก็เลยลืมๆ ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ไปบ้าง เอ้า..พักผ่อนสบายๆ มั่ง

สิ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนมากอยากจะเห็นก็คือ..ตะวันตกดินที่ Oia ซึ่งต้องนั่งรถไปอีกหน่อย พวกเราไปถึงประมาณเกือบๆ หกโมง พอมีเวลาเดินเล่น ถ่ายรูป ชมของที่ระลึกอีกนิดหน่อย หมู่บ้านของเขาน่ารักมาก อาคารแต่ละหลังจะออกแนวเรียบๆ ทาสีสว่างๆ รูปร่างคล้ายกล่อง ดูคล้ายกันหมดทั้งหมู่บ้าน เป็นระเบียบ ขนาดกะทัดรัด น่ารักเหมือนบ้านตุ๊กตามากกว่าจะเป็นบ้านคนอยู่จริงๆ

พอใกล้จะถึงปลายแหลมที่ Oia ดวงอาทิตย์ที่หายไปทั้งวันก็โผล่ออกมาให้เราเห็นนิดหน่อย แม้ฟ้าจะไม่ใสนัก แต่ก็เพียงพอที่จะให้เราได้เห็นภาพแสงสีทองที่อาบไล้หมู่บ้านสีขาว และลำแสงสีส้มที่สะท้อนแผ่นน้ำก่อนที่จะจางหายไป (หลังก้อนเมฆ)





แล้วนั่นก็ทำให้วันของเรามีคุณค่าขึ้นอีกมากเลย...ในที่สุดพวกเราก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนและรอยยิ้มบนใบหน้า...เฮ้อ...16 ชม. บนเรือจาก Samos ไม่เสียหลายจริงๆ ค่ะ

เช้าวันใหม่เริ่มต้นที่อาหารเช้าที่เสิร์ฟตรงถึงหน้าห้อง ตอนเช้าๆ อากาศขะมุกขมัวนิดหน่อย แต่พอเริ่มย่างเข้าเก้าโมงเช้า พระอาทิตย์ก็ฉายแสงออกมาให้พวกเราได้ไปนั่งทานอาหารบนระเบียง ชมบรรยากาศ อาบแดดอ่อนๆ สบายเหลือเกิน (ยังไม่กลับอังกฤษได้มั้ยเนี่ยยย อยากอยู่อย่างนี้นานๆ)



หลังจากนั้นเราก็จัดการซื้อทัวร์ไปชมเกาะภูเขาไฟ โรงแรมจัดสรรให้ 17 ยูโรเอง แวบแรกที่ได้ยิน อื่ม....ถูกดีจัง แต่เอาเข้าจริงเราก็ต้องเสียค่ารถเคเบิลขึ้นลงท่าเรืออีก 8 ยูโร และค่าขึ้นไปดูปล่องภูเขาไปอีก 2 ยูโร รวมแล้วทั้งหมดตกราคา 27 ยูโร แต่ก็คิดว่าคุ้มอยู่นะคะ เป็นประสบการณ์ที่ดี ได้นั่งเรือกระโดงออกไปด้วย

พอเราขึ้นเรือ ก็จ๊ะเอ๋กับคณะทัวร์คนจีน ขึ้นช้าไปหน่อย คนจีนไปจับจองหัวเรือแล้ว แต่เราก็ยังได้นั่งใกล้ๆ อยู่ดี ขาไปผู้คนออกมารับลมชมวิวกันมากมาย ตื่นเต้นน่ะนะ เรือมันดูคลาสสิค เก๋าดี



นั่งเล่นสบายใจไปเลย


และแล้ว...ก็มาถึงส่วนวิชาการของบล็อกนี้กันนะคะ หุหุหุ (หนีไม่พ้นหรอก - -' ) วันนี้ขอนำเสนอวิชา Geology/Geography นะจ๊าา...

Santorini และเกาะยิบย่อยๆ ใกล้ๆ กัน เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟครั้งใหญ่เมื่อสามพันกว่าปีมาแล้ว สมัยครั้งอารยธรรม Minoan ยังรุ่งเรือง (เขาตั้งชื่อการระเบิดครั้งนี้ว่า the Minoan Eruption) ทำให้เกาะที่เคยเป็นเกาะใหญ่ๆ เกาะเดียวกลายเป็นเกาะย่อยๆ แบบนี้ พอแมกมา (หินหลอมเหลวใต้ภิภพ) ไหลออกมา พื้นที่ตรงกลางก็ถล่มลงไปเป็นหลุมๆ ทีนี้บางส่วนของวงแหวน (เหมือนโดนัทน่ะค่ะ นึกออกมั้ย) ก็ถล่มลงไปด้วย (เหมือนมีคนกัดโดนัทกินไป 1 คำอ่ะค่ะ นึกออกป่าว) ก็จะทำให้หลุมลึกข้างใน เชื่อมต่อกับทะเลด้านนอก เกิดเป็น Lagoon ที่เรือเฟอรี่ของเราแล่นเข้าไปดังนี้แล ลักษณะแบบนี้เขาเรียกว่า Caldera แต่ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่ต้องจำหรอกค่ะ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเดินทางของเราเลย แหะๆ ๆ

ดังนั้น...สรุปเลยดีกว่า ว่าหน้าผาสูงประมาณ 300 เมตรที่เห็นก็เกิดจากการถล่มของผืนดินจากการระเบิดของภูเขาไฟ (ด้านนอกของเกาะถึงเป็นหาดทรายธรรมดา ไม่ได้ดูอลังการและ extreme แบบด้านใน) และ Lagoon ที่เชือมต่อกับทะเลด้านนอกนั้น...เขาว่าลึกถึง 400 เมตรเชียวค่ะ เอิ๊กกกกก มิน่าล่ะ น้ำมันถึงได้สีเข้มขนาดนั้น...

พอมาถึงเกาะภูเขาไฟก็ประมาณ 11 โมงครึ่งเข้าไปแล้ว..อืม จะว่าไป 11 โมง 40 ด้วยซ้ำมั้ง คนขับเรือบอกว่าให้มาเจอกันที่เรืออีกทีตอนบ่ายโมง จะพาไป Hot Spring กรี๊ดดด มีเวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ เองเหรอ ที่จะเดินไปให้ถึงปล่องภูเขาไฟ ยิ้มเงยหน้าต้านแดดขึ้นไปเบื้องบน พระเจ้า สูงนะเนี่ย...แล้วมันไม่เหมือนเดินบนทางธรรมดาๆ นะคะ เกาะภูเขาไปมันมีแต่หินตะปุ่มตะป่ำ ถึงเขาจะกรุยทางเอาไว้เป็นทางเดินแล้ว แต่หินก้อนเล็กๆ ก็ขยันกระเด็นเข้ามาในรองเท้า(แตะ) ให้เจ็บจี๊ดๆ เป็นระยะเสียจริงๆ รองเท้าคู่ชีพที่ใช้งานมา 7-8 ปี ก็ไม่ค่อยจะมีดอกยางแล้ว แต่เอาวะ...สู้โว้ย...ไหนๆ มาถึงนี่แล้วก็ต้องขึ้นไปให้ถึงปล่องภูเขาไฟให้ได้

"โหย มีเวลาแค่ชั่วโมงกว่าเอง สงสัยจะต้องเลือกเอาว่าจะเห็นปล่องภูเขาไฟ หรือเห็น Hot Spring" เสียงน้องโน้ตลอยแว่วมา อื่ม...จริงแฮะ ถ้าเราเอาแต่เดินไปดูปล่องภูเขาไฟ เราอาจจะตกเรือและอดไปดู Hot Spring ก็ได้ ฮ่า ๆ (แอบคิดไม่ได้แฮะ ว่าถ้าเราตกเรือกัน การเดินทางคงจะตื่นเต้นได้กว่านี้อีก)

"แต่เราต้องได้เห็นทั้งปล่องและ Hot Spring สิ" พอโน้ตพูดจบก็ก้าวสวบๆ ๆ ๆ ขึ้นไปทันที เฮ้ยยยย รอด้วยดิ เจ๊แก่แล้ว T-T

ก็เลยเดินขึ้นไปกันด้วยความมานะบากบั่น แวะถ่ายรูปบ้างพอเป็นกระสาย ตั้งเวลาเอาไว้ว่าเที่ยงครึ่งควรถึงยอด แล้วที่เหลือก็เดินกลับลงมาเก็บตกวิวตามรายทาง โอย...แดดร้อนมากค่ะวันนี้ ศศิษยาดำลงไปอีก 20% (รวมกับอีกวันที่ Ephesus ตอนนี้ก็เปลี่ยนสีไปอย่างเห็นได้ชัดแล้ว) อยากเอาเนื้อหมูมาตากทำหมูแดดเดียวจังเลยอ้ะ ร้อนแบบนี้ วันเดียวก็เอาไปทอดกินได้แล้วมั้ง

พอไปถึงก็บันทึกภาพกันไปตามระเบียบ



พอใกล้จะถึงบ่ายโมงเราก็เดินลงไปขึ้นเรือ เพื่อที่เขาจะพาไปว่ายน้ำที่ Hot Spring กรี๊ดดดด ข้าพเจ้าอยากว่ายน้ำ....แต่เนื่องจากตอนแรกคิดว่าอยู่ Santorini แค่วันนิดๆ คงไม่มีโอกาสหรอก ก็เลยไม่ได้เอาชุดว่ายน้ำไป พี่เต่าก็ยุให้ใส่กางเกงขาสั้นลงไปเลย แต่นะ...มันก็ลำบากนี้ดดด นึงง่ะ เลยอาสาเป็นคนถ่ายรูปให้ดีกว่า เรือน้อยแล่นไปจอดที่อีกมุมหนึ่ง แล้วก็ให้นักท่องเที่ยวกะโดดลงไปเล่นน้ำเลย โอว...พระเจ้า...น้ำมันดูลึกมากเลย พี่เต่าและน้องโน้ตเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นเรียบร้อยก็เตรียมจะลงน้ำ แต่ไม่ทันพวกคนจีน ซึ่งแก้ผ้าแล้วกระโดดตูมมม ลงไปเลย

พี่เต่าก้าวลงบันไดไปข้างเรือ แล้วทิ้งตัวลงน้ำอย่างละม่อม

"เฮ้ย มันลึกมาก"

จริงเหรอคะ หุหุหุ งั้นยิ้มก็คิดถูกแล้วล่ะ ที่ไม่ได้ตัดสินใจลงไปว่ายน้ำด้วย โน้ตลงบันไดตามไปติดๆ แล้วสักพักทั้งสองก็พากันว่ายน้ำหายไปเลย ส่องหาอยู่นาน...ในที่สุดก็เห็นพี่เต่าโผล่ที่อีกฟากของเรือพลางชูสองนิ้วเป็นแบบให้ถ่ายรูป พี่เต่าโผล่พ้นน้ำอยู่ได้นานมาก ส่วนโน้ตกลับขึ้นเรือมาแล้ว และบอกว่าน้ำมันลึกจริงๆ ต้องลอยตัวตลอดเวลา เลยขอขึ้นดีกว่า

เวลาผ่านไปสองนาที พี่เต่ายังโผล่พ้นน้ำเหมือนเดิม และยังชูสองนิ้วได้ตลอด เอ...ทำไมลอยคอได้อึดจังแฮะ

"พี่ยืนอยู่บนหินประการังน่ะ"

อ๋อ...นี่เอง ความลับของพี่เต่า แต่ก็ดีแล้วค่ะ จะได้ปลอดภัย ยิ่งพอได้รู้ว่ามันเกิดจากปล่องภูเขาไฟถล่มยิ่งกลัวนะเนี่ย โอ ไม่อยากนึกภาพตามเลย มันคงลึกมาก ๆ ๆ ๆ ๆ จริงๆ ล่ะ

"แต่มันไกลมากเลยนะ ดูจากเรือเห็นอยู่ใกล้ๆ แค่นี้ แต่กว่าจะว่ายไปถึงตรงโน้นได้ เกือบแย่ โชคดีนะที่พี่ไปว่ายน้ำมาทุกวันๆ ก่อนหน้านี้ เลยมีแรง"

พระเจ้า...โชคดีแค่ไหน ที่ศศิษยาไม่ได้ลงไป ไม่งั้นคงหมดแรงที่ 20 เมตรแรกแน่ๆ เอาล่ะ...เอารูปคนจีนที่ว่ายน้ำคล่องอย่างกับเขียดมาฝาก อย่างไรก็ตาม...ถือว่าพี่เต่าและน้องโน้ตใช้เวลาได้คุ้มค่ามากค่ะ ได้ว่ายน้ำในปล่องภูเขาไฟและทะเล Aegean ด้วย เย่ ๆ ๆ



หลังจากกลับมาจากทัวร์เราก็ไปหาอะไรกิน และเดินเล่นจาก Fira กลับไปทีโรงแรม จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้อยู่ห่างกันมากนี่นา ระหว่างทางก็ถ่ายรูปไปด้วย อืม....สวย ไม่อยากไปเลย...อยากอยู่นานๆ แต่ในที่สุดก็ถึงเวลาที่รถจากโรงแรมจะพาไปส่งที่สนามบิน

ถ้ามีโอกาส ยิ้มคงจะกลับมาเยือนอีกแน่นอน ทุกเวลานาทีที่ Santorini เหมือนหลุดเข้าไปในโลกแห่งความฝันชั่วขณะ และเป็นการเติมแบตชาร์จไฟให้กับชีวิต ก่อนที่จะกลับมาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้งได้เป็นอย่างดี

The edge of Anatolia: Pergamum and Ephesus




อัลบั้มที่สามตามมาไม่ช้าไม่เร็ว พอภาระทางการเรียนซาๆ ลง ก็มาเล่าเรื่องกันต่อดีกว่านะคะ

หลังจากออกจาก Istanbul ทางเรือเฟอรี่ข้าม Marmara Sea กว่า 2 ชม. ในที่สุดเราก็เข้ามาสู่ดินแดนอนาโตเลีย (Anatolia) หรือ Asia Minor กัน

ใครที่รู้จักยิ้มมานานหลายปีหน่อย ย่อมได้ยินยิ้มพูดๆ บ่นๆ มาบ้าง ว่า “ชอบคำว่า Anatolia จัง อยากไปๆ” ที่อยากไปหนักหนาก็ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก ตอนอยู่ปี 1 ระดับปริญญาตรี ยิ้มได้เรียนวิชา World Archaeology ตอนนั้นก็ได้รับรู้ว่ามีโบราณสถานสำคัญอยู่ในแถบ Anatolia นี้หลายไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเมืองทรอย หรือหมู่บ้านก่อนประวัติศาสตร์ชื่ออ่านยาก ‘Catalhoyuk’ (ชา ตาล โฮ ยุค) ที่อาจารย์ที่คณะโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัย UCL ชอบไปขุด และพูดถึงบ่อยๆ (เหลือเกิน)

วันนี้ได้มาเหยียบ Anatolia แล้ว!! เย้ !! ถึงหนังสือท่องเที่ยวจะจัดกลุ่มให้เป้าหมายของเราอยู่ในเขต Aegean Coast แต่แหม...อย่างไรเสียมันก็ยังอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า Anatolia แหละน่า Northwest Anatolia ไง ถือว่าข้าพเจ้าประสบความสำเร็จแล้ว ย้าฮู้ !!

ดินแดนนี้เป็นดินแดนในแถบเอเชียที่ได้รับอิทธิพลจากกรีกและโรมันอย่างยิ่งยวด จากการขยายฐานอำนาจของอาณาจักรใหญ่ในยุโรปในสมัยก่อนโน้น ดังนั้น...สิ่งที่เราจะได้เห็นจนเจนตาก็คือ

1. Theatre หรือโรงมหรสพที่มีรูปร่างกลมๆ มีที่นั่งเป็นขั้นบันได ถึงเราจะเรียกสิ่งก่อสร้างนี้ว่า Theatre แต่มันไม่ได้ใช้ในการบันเทิงอย่างเดียวนะคะ แต่เขามีไว้เป็นที่ชุมนุมทางการเมืองด้วย ในแถบนี้มีให้ดูทั้งแบบกรีก และแบบโรมันกันเลยทีเดียว




2. Column คือเสากลมๆ ที่บนยอด (เรียกว่า capital) จะมีลักษณะต่างๆ กันไป บ้างก็ดูเหลี่ยมๆ ธรรมดา (แบบดอริก) บ้างก็ม้วนลง (แบบไอออนิก) หรือบ้างก็เป็นลวดลายดอกไม้อ่อนช้อยงดงาม (แบบโครินเธียน) เนื่องด้วยมันมีเยอะมากกกกกก จนถ่ายรูปมุมไหนก็มักจะติด column มา เราจึงเกือบจะรวมรูปที่ถ่ายมาทั้งหมดเป็น Column Collection ได้อยู่แล้ว



3. Arch คือส่วนที่อยู่ระหว่างเสาหรือบนช่องประตู ใช่ค่ะ..ที่เห็นโค้งๆ กลมๆ นั่นแหละค่ะ ซึ่งเราก็มีหลายแบบต่างๆ กันไป แบบมนๆ ไม่มีเหลี่ยมเลยก็เรียกว่าแบบ Romanesque (ได้รับอิทธิพลมาจาก Roman) แบบแหลมๆ นิดหน่อย (ที่แพร่หลายในอังกฤษ) ก็เรียกว่าแบบ Gothic หรือ Early English แต่ในอนาโตเลียนี่มีแต่แบบโรมันอย่างเดียวแหละนะ



4. acropolis

ตอนเรียนๆ มาเขาก็ไม่นิยามด้วยว่า acropolis คืออะไร เพราะพอพูดว่า acropolis นักเรียนก็อ๋อออออ...เข้าใจในคอนเซ็ปต์ (แล้วจะอธิบายยังไงดีฟะ) ยิ้มเข้าใจเอาเองว่าเป็น 'เมืองสูง' ที่เป็นวัด เป็นสถานที่สำคัญ เป็นอาคารศูนย์กลาง เป็นส่วนสำคัญของเมือง แล้วก็มีบ้านเรือนคนธรรมดารายล้อมอยู่เบื้องล่าง

เอาล่ะ...อารัมภบทมายาวพอละ บล็อกนี้ตัวหนังสือเยอะนะคะ ถ้าเบื่อก็ลากลงข้างล่างโลด รูปที่ข้าพเจ้าถ่ายมาก็มีไม่เยอะ เอาเป็นว่าถ้าสนใจดูภาพทุกเหตุการณ์โดยละเอียด ขอเชิญที่บล็อกพี่เต่าเจ้าเก่าตาม link ด้านล่างนี้ค่ะ

http://tktao.multiply.com/photos/album/33 ---- Burgama and Foca

http://tktao.multiply.com/photos/album/34 --- Ephesus - Kusadasi - Samos

เมืองที่เราจะไปเที่ยวกันในเวลา 2 วันที่เหลือนี้ เป็นเมืองเก่า ชื่อ Pergamum เมืองใหญ่ในสมัยกรีก (บางตำราก็เรียก Pergamon น่ารักดีอ้ะ ฟังดูคล้ายๆ การ์ตูนโปเกมอนเลย) และ Ephesus (อ่านว่า ef-fes) เมืองใหญ่ในสมัยโรมัน ซึ่งโบราณสถานทั้งสองแห่งนี้ ตั้งอยู่ใกล้กับเมือง Burgama และ Selcuk (อ่านว่า เซล - ชุค) ของประเทศตุรกีตามลำดับ

จะว่าไปแล้วก็ไม่สามารถนิยามลงไปเลยว่า Pergamum เป็นกรีก หรือ Ephesus เป็นโรมันนะ คือจริงๆ มันก็เริ่มต้นจากสมัยกรีกหมดแหละ แต่ pergamum ยังดูเป็นกรีกอยู่มาก แต่ Ephesus โดนความเป็นโรมันครอบลงไปหมดแล้ว

พอลงมาจากเฟอรี่ ลัดเลาะผ่านถนนใหญ่มอเตอร์เวย์ได้พักใหญ่ อยู่ดีๆ เราก็ต้องมาผ่านถนนเล็กถนนน้อยที่เผยให้เห็นความเป็น ‘ตุรกี’ แท้ๆ หลายต่อหลายสาย เพราะถนนแต่ละเส้นผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ที่ให้เราเห็นวิถีชาวบ้าน และทิวทัศน์แบบที่จะหาไม่ได้ตามโปรแกรมทัวร์ใดๆ

ดูไปดูมา อื่ม...รู้สึกว่าคล้ายๆ ต่างจังหวัดในประเทศไทยมากเลย ออกจะแออัดและไร้ระเบียบกว่าด้วยซ้ำ

ภูเขาในแถบนี้แห้งแล้งมาก จากการสังเกตคร่าวๆ ยิ้มว่ามันเป็นหินหรือดินแห้งๆ นะ ดูท่าทางร่วนเหมือนทราย ไม่รู้จะกักเก็บน้ำได้ดีแค่ไหน ต้นหมากรากไม้ก็ต้นเล็กๆ แกร็นๆ แพะ แกะ วัว ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ก็ผอมมาเชียว...แม่เจ้า...นี่ขนาดอยู่ใกล้ทะเล น่าจะได้รับอิทธิพลจากมรสุมบ้างนะ ยังดูแห้งแล้งได้ขนาดนี้ แล้ว inland ลึกๆ เข้าไปมันจะไม่แย่ไปกว่านี้เหรอ

คิดไปคิดมา เออ...ย่านสมบูรณ์มันอาจจะอยู่แถวๆ ตอนใต้ แถบฝั่ง Mediterranean หรอไม่ก็แถบ Black Sea ก็ได้นะ เอาเหอะ..อย่างไรเสียมันก็ต้องมีวิธีให้เขาทำมาหากินได้แหละ เติบโตเป็นประเทศกันมาได้นานขนาดนี้แล้ว

มาๆ เข้าเรื่องกันต่อค่ะ แล้วเราก็มาถึงเมือง Burgama ซึ่งเป็น Market Town ของแท้ ตัวเมืองทั้งแออัด ยัดเยียด แต่ก็ทำเมินๆ มองข้ามไป เพื่อไปให้ถึงจุดหมายหลักแห่งแรก ก็คือ Acropolis หรือเมืองสูง ซึ่งต้องขับรถขึ้นดอยไปหน่อย รถแล่นขึ้นไปเรื่อยๆ บนถนนลาดยางที่บางจนเหมือนรถวิ่งอยู่บนลูกรัง มองไม่เห็น Public Transport ใดๆ เลย เห็นแต่นักท่องเที่ยวแบบ Backpacker 2 คนเดินอยู่บนถนนหัวแดงเพราะฝุ่นคลุ้งกระจาย คุณพระคุณเจ้า นี่โชคดีนะ ที่เรามีคนอนุเคราะห์ยานพาหนะ ไม่อย่างนั้น...กว่าจะเดินขึ้น Acropolis ได้ กล้ามขาคงอักเสบกันพอดี

จากการประเมิน Acropolis ของเมือง Pergamum แบบคร่าวๆ อื่ม ใช้ได้นะ ถึงจะดูเหมือนไม่ค่อยได้รับการดูแลเอาใจใส่เท่าไหร่ แต่ว่าความอลังและความสำคัญของเมืองก็มีไม่น้อย และการตั้งอยู่บนภูเขาสูง (สูงกว่า acropolis ในเอเธนส์อีก) ทำให้ทิวทัศน์ออกมาดูดีขึ้นมากเลยทีเดียว ตอนที่ยืนมองลงมาจาก Theatre ชั้นบนสุดอ้ะ ขาสั่นพับๆ เลยค่ะ



จาก Acropolis เราก็ข้ามสถานที่สำคัญอื่นๆ แล้วไปที่ Asclepeion ซึ่งเป็นสถานที่ในการรักษาพยาบาล อา....แต่ไม่ใช่ในลักษณะโรงพยาบาลนะคะ แต่ที่นี่เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งการรักษามากกว่า เขาให้นิยามว่า 'healing temple' น่ะค่ะ คนป่วยก็จะมานอน มาบวงสรวงให้เทพมาเข้าฝันว่าต้องรักษายังไง พอหายก็เอาของมาถวาย อะไรทำนองนั้น เราเดินชมกันได้นิดหน่อยฝนก็เทลงมาๆ ๆ เลยไม่ได้ชื่นชมและบันทึกภาพเท่าไหร่ แต่ก็มีเรื่องพอให้ได้ฮานิดๆ หน่อยๆ ค่ะ คือมีน้องหมาตัวเมียสีขาวตัวหนึ่ง ชีชอบเข้ากล้องมาก พอพวกเราถ่ายรูปกัน ชีก็เดินมานอนโพสต์ท่าโน่นนี่ แล้วก็ล้มตัวลงนอนขวางวิถีกล้องของพวกเราไปซะ พอบอกให้นอนหงายก็หงายขึ้นมาแล้วยกสองขาทันที ราวกับเป็นนางแบบมืออาชีพ บอกให้เก็กท่าก็เก๊ก ว่านอนสอนง่ายจัง (จริงๆ แล้วหมาตัวนี้มันอาจจะนอนท่าแปลกๆ อยู่แล้วก็ได้แฮะ มันอาจจะคิดในใจว่า "คนพวกนี้เป็นอะไรวะ ถ่ายรูปอยู่ได้ เกิดมาไม่เคยเห็นหมานอนหรือไง")



จาก Pergamum เราก็ไปค้างคืนกันที่ Foca (ฟอร์ - ช่า) เมืองที่ (เขาอ้างว่า) เป็นเมืองเมืองรีสอร์ตสำหรับชนชั้นกลาง อยู่ติดทะเล วิวสวย พอไปถึงจริงๆ แล้วก็อืม... ก็น่ารักดีนะ แต่ห่างไกลจากคำว่าเมืองรีสอร์ตอ้ะ เหมือนเมืองประมงมากกว่า เพราะมีเรือจอดเต็มไปหมด แล้วก็มีร้านอาหารทะเลเรียงรายทั่วทั้งฝั่ง ได้โอกาสสั่งอาหารทะเลมากินแล้ว ปลาท้องถิ่นทอด (ที่ไม่รู้ชื่อ เพราะเจ้าบ้านเป็นคนสั่ง) อร่อยมากค่ะ เนื้อมันนุ่มๆ หวานๆ ฉ่ำพอดี ไม่แห้งเกินไป สั่งมา 2 ตัว กินกันไม่หวาดไม่ไหวทีเดียว

เช้าวันถัดไป เราก็เดินทางออกจาก Foca ตรงต่อไปที่ Ephesus ซึ่งลงใต้ไปอีกหน่อย เมืองนี้ได้รับอิทธิพลโรมันอย่างเห็นได้ชัด ดูจากการวางผังเมือง สภาพบ้านเรือน หรือศิลปะ และดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ได้รับความนิยมมากกว่า Pergamum เพราะได้รับการดูแลมากกว่า มีนักท่องเที่ยวเยอะกว่า และดูสะอาดสะอ้านกว่า



วันนี้ฟ้าใสมากกกก มากจนทำให้ศศิษยาต้องควักเอาครีมกันแดด SPF 60 ออกมาทา ซึ่งก็ถนอมรักษาผิวไม่ให้ไหม้แดด (แต่ไม่ได้ช่วยรักษาความขาวเลย วันเดียวดำลง 20%) ให้ตายสิ...แต่กระนั้นก็ดี ก็ยังเดินไปได้เรื่อยๆ ไม่เบื่อ เพราะว่าเมืองมันสวยทุกอณูจริงๆ

สิ่งที่เราไม่ได้เห็นก็คือ The Temple of Artemis ซึ่งเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ตอนนั้นก็หากันใหญ่ เพราะ Lonely Planet แนะนำไว้ แต่หายังไงก็ไม่เจอ..พอมาค้นคว้าทีหลัง อ๋อ....มันอยู่แถวๆ ขอบเมือง selcuk โน่น ไม่ได้อยู่ในตัว Ephesus แต่ถึงไปก็ไม่มีอะไรเหลือแล้วล่ะ เพราะว่า...พวกรูปสลักที่เจอในการขุดค้นที่ได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษ ก็ระเห็จไปอยู่ใน British Museum ณ "Ephesus Room" เรียบร้อยโรงเรียนบริเตน

Ephesus เป็นเมืองท่าที่สำคัญ ตอนนั้นระดับน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นมาถึง Selcuk เลยมีท่าเรืออยู่ใกล้ๆ พอมีท่าเรือ เศรษฐกิจก็เจริญ ทำมาค้าขึ้น ขยายเมืองออกได้เรื่อยๆ แต่พอถึงช่วงน้ำทะเลลงต่ำ เมืองนี้ก็ค่อยๆ ล่มสลายลง... (ระดับน้ำทะเลมันเปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ อยู่แล้ว เพราะแผ่นทวีปของเราบางด้านก็ยกตัว บางด้านก็ยุบตัว ทางฝั่งอ่าวไทยของเรานี่ เมื่อก่อนระดับน้ำก็ต่ำกว่านี้เหมือนกัน)

จริงๆ คำว่าล่มสลายมันก็ฟังดูแรงไปหน่อย...เรียกว่าค่อยๆ หายไปจากประวัติศาสตร์น่าจะฟังดูดีกว่านะคะ (เขาใช้คำว่า decline ซึ่งยิ้มว่ามันไม่เชิงล่มสลายนะ ไม่ได้เกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วนขนาดนั้น)

พวกเราเดินอยู่เกือบๆ 4 ชั่วโมงก็ทั่วไซต์ (แต่จริงๆ คงมีซากปรักหักพังที่ยังอยู่ใต้ดินอีกมาก) ตั้งแต่ 11.30 ถึงบ่ายสาม และ...แน่นอนค่ะ เราอดข้าวกลางวันอีกตามเคย เพราะในไซต์ไม่มีร้านอาหารเลย (แหงล่ะ ถ้าใครไปตั้งภัตตาคารกลางเมืองโบราณสมัยโรมันอย่าง Ephesus อิฉันก็จะเขียนจดหมายไปร้องเรียนให้เพิกถอนเหมือนกัน)

โชคดีนะ ที่เอาขนมติดไปด้วย หุหุหุ กินไปก่อนกันตาย

และแล้ว..เราก็จาก Ephesus มาด้วยรอยคล้ำบนผิวกาย รอยยิ้มบนใบหน้า และรอยความทรงจำที่ย้ำเตือนไว้ในใจ ชอบมากๆ เมืองโบราณใกล้ฝั่งทะเล Aegean 2 เมืองนี้ ในที่สุดก็ถึงเวลาจากลา Theirry แล้ว เพราะเราต้องนั่งเรือข้ามฝั่งจาก Kusadasi ไป Samos ซึ่งเป็นเกาะของประเทศกรีซ ขอบคุณมากค่ะ สำหรับการดูแลที่ดีเลิศ หากมีโอกาสจะพาเที่ยวไทยตอบแทน

บ๊าย บาย...ตุรกี ไม่เสียใจเลยที่ได้มา..และถ้ามีเวลา จะไปตามเก็บให้ครบทั่ว Anatolia นะจ๊ะ...

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551

หลากสีสัน กับ 2 วัน ใน Istanbul




27-30 September 2008

อัลบั้มที่สองมาแล้วค่ะ...ไวกว่ากำหนดนิดนึง เนื่องจากทางบ้านรอดูรูปอยู่ แหะๆ ^ ^'

Istanbul เป็นเมืองหลวงของประเทศตุรกี เป็นเมืองที่ถูกแบ่งออกป็น 2 ส่วน คือส่วนเอเชียและส่วนยุโรปโดยช่องแคบ Bosphorus (อ่านว่า บอส - ฟอร์) โดยส่วนตัวแล้วเป็นเมืองที่ยิ้มชอบมากเลยค่ะ มีความเป็น 'วัฒนธรรม' ดี เป็นเมืองที่มีคาแรกเตอร์เด่นชัด รวมทั้งความเป็นตะวันตกกับตะวันออกมาผสมผสานกันอย่างกลมกลืนบ้าง ไม่กลมกลืนบ้าง แต่มีสีสันในตัวอย่างน่าอัศจรรย์





ไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบายดีนะ สงสัยจะต้องเป็น หลากหลายทางวัฒนธรรม, colourful, vibrant, vivid, emotional, และอื่นๆ อีกมากมาย

เมืองอิสตันบูลนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาตั้งแต่สมัย ก่อนประวัติศาสตร์ แต่ว่าเริ่มนับตั้งแต่สมัยสำคัญๆ ดีกว่าเนาะ เรียกว่านับว่ามีความสำคัญมาตั้งแต่สมัย Byzantine, Constantinople (อิทธิพลจากโรมัน) และสมัย Ottoman (เข้าสู่ความเป็นอิสลามเต็มตัว)

ในเวลา 2 วัน โปรแกรมอัดแน่นเต็มที่ ได้เห็นสถานที่สำคัญๆ ของเมืองเกือบครบเลยทีเดียว ต้องขอขอบคุณเจ้าบ้าน คุณ Thierry เพื่อนของพี่เต่าที่ให้ความอนุเคราะห์ทั้งที่อยู่อาศัยและยานพาหนะ พร้อมทั้งโปรแกรมทัวร์อันละเอียด อัลบั้มนี้..คงเป็นแค่น้ำจิ้ม หรือ Appetiser เท่านั้น เนื่องจากเจ้าของบล็อกต้องการบันทึกไว้เตือนความจำ หากต้องการชมภาพอย่างละเอียด ขอเชิญที่บล็อกของพี่เต่าตาม link ข้างล่างนี้ได้เลยค่ะ ได้ทั้งปริมาณและคุณภาพแน่นอน

http://tktao.multiply.com -- โฮมเพจ
http://tktao.multiply.com/photos/album/31 --- อัลบั้ม Istanbul ที่ 1
http://tktao.multiply.com/photos/album/32 --- อัลบั้ม Istanbul ที่ 2


ขอแบ่งการเล่าเรื่องเป็นส่วนๆ ตามสถานที่ที่ได้ไปมาดังนี้นะคะ

1. Hagia Sophia ในภาษากรีก หรือภาษาท้องถิ่นคือ Aya Sofya



ในยุคแรกๆ สิ่งก่อสร้างแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นโบสถ์ค่ะ (หรือเรียกว่ามหาวิหารดี ใหญ่โตซะขนาดนี้) สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้า Justinian ประมาณ ค.ศ. 500 กว่าๆ และคงความยิ่งใหญ่ในอาณาจักรแห่งคริสตศาสนามาเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกอาณาจักร Ottoman เอาชนะในปี 1453 เจ้าบ้านบอกว่า..สิ่งก่อสร้างนี้ แรกเริ่มเดิมทีมีแต่โดมค่ะ เหมือนมหาวิหารอื่นๆ ทั่วไปนั่นแหละ แต่พออาณาจักร Byzantine ล่มสลาย ก็มีเสาแหลมๆ โผล่มาอีก 4 เสา กลายเป็นมัสยิดไปเลย

ก้าวแรกที่เดินเข้าไปใน Aya Sofya รู้สึกขนลุกวาบบบบบ ไม่ได้เป็นเพราะมีสัมผัสที่หกแล้วรู้สึกว่ามีอะไรรอเราอยู่ (เหมือนที่เคยรู้สึกที่ยอร์ค) หรอกนะ แต่ขนลุกเพราะความอลังการน่ะ อย่างตอนที่ไปเที่ยววาติกัน นั่นก็ตื่นตาตื่นใจกับความใหญ่โตมากพอแล้ว มาที่นีมันรู้สึก...ตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่ากับความมลังเมลืองของการตกแต่ง (ที่ใช้ทองประดับประดา)

ที่สำคัญก็คือเราจะมองเห็นร่องรอยของความยิ่งใหญ่ในสมัย Christendom ของอาณาจักร Byzantine จากสถาปัตยกรรม รอยโมเสคที่ยังเหลืออยู่ รอยไม้กางเขน และอื่นๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มองเห็นการถูกดัดแปลงใช้เป็นมัสยิดด้วย เราก็จะเห็นทั้งอักษรจากอัล กุรอาน และโมเสครูป Virgin Mary, พระเยซู หรือทูตสวรรค์ กาเบรียลไปในคราวเดียวกัน ดูแปลกตาดี

ชอบมาก...มองเห็นการซ้อนทับทางวัฒนธรรม ขอเรียกสิ่งก่อสร้างแบบนี้ว่า "สถานที่เล่าเรื่อง" น่ะนะ

เสียอย่างหนึ่งก็คือ ตอนเดินชมสถานที่นั้น ข้าพเจ้าหิวไปหน่อย ^ ^' ลงจากเครื่องบินตอนเที่ยง หลังจากนั้นเราก็รวดไปเที่ยวเลย ยังไม่ได้แวะกินข้าวที่ไหน นอกจากข้าวโพดที่ขายหน้า Aya Sofya ในสนนราคา 1 Lira (ประมาณ 50 cent ของ euro) โอย...ข้าวโพดอะไรเนี่ย...แข็งเป็นบ้า หรือว่าคนตุรกีจะกินข้าวโพดแก่ๆ หว่า...ไม่ได้กินข้าวโพดอ่อนๆ อย่างเรา อืม เอาเหอะ...กินกันกระเพาะเปื่อยไปได้ล่ะนะ

2. Basilica Cistern



Cistern คือที่เก็บน้ำ และ Basilica Cistern ถูกเรียกขานตามนี้ เพราะว่าเคยมี Basilica (แปลว่าโบสถ์สำคัญ หรือสิ่งก่อสร้างสาธารณะในยุคโรมัน) อยู่ข้างบน ที่เก็บน้ำนี้ตั้งอยู่ติดๆ กับ Aya Sofya เลย ไม่กว้างใหญ่มาก แต่มีสะพานก่อสร้างให้นักท่องเที่ยวลงไปเดินชมได้ทั่วๆ มีการติดไฟสีแดงๆ ส้มๆ เอาไว้ เสริมความขลัง และความสวยงามให้บรรยากาศ ละม้ายๆ Roman Bath ที่เมือง Bath ประเทศอังกฤษ

เสียดายไม่มีนิทรรศการ หรือพิพิธภัณฑ์มาให้ความรู้เพิ่มเติมเหมือนที่บาธ กะจะหลอกขายไกด์บุคให้อิฉันใช่ไหมคะ ^ ^' กินยากหน่อยนะจ๊ะ เพราะว่าอิฉันชอบมา research หาความรู้ทีหลัง ถ้าไม่เข้าใจอะไร หรือมีข้อสงสัยเวลาเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ

ใน cistern นี้มีเสาสลักเป็นรูปนางเมดูซาอยู่ 2 ต้น (นางในตำนานกรีกที่มีหัวเป็นงู ใครจ้องตาแล้วจะกลายเป็นหิน) ต้นแรกนางกลับหัว อีกต้นตะแคงๆ ยังไม่มีใครรู้ว่าตั้งไว้ทำไม ก็คงต้องปล่อยเป็นปริศนาลึกลับดำมืดต่อไป ไม่รู้เป็นความเชื่อเรื่องโชคลางอะไรรึเปล่าเนอะ

3. Grand Bazaar



ตลาด Grand Bazaar นี้ก็เรียกได้ว่าหลากสีสันอีกละ เพราะว่ามีของขายหลายๆ แบบมาก ทั้งของที่ระลึก ของกิน ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ เหมือนเดินจตุจักรเลย เดินไปก็กลัวหลงกัน ก็เลยต้องรอๆ กันหน่อย การซื้อของนี่ก็ต่อราคาได้เหมือนเมืองไทยเลยค่ะ แต่ต่อได้มากบ้าง น้อยบ้างต่างๆ กันไป

4. Blue Mosque



Blue Mosque เป็นสถานที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองอีกแห่งของ Istanbul สร้างขึ้นในสมัย Ottoman ละ หนังสือไกด์บุคบอกให้สุภาพสตรีเตรียมผ้าไปคลุมหัวด้วย ศศิษยาก็เลยพกผ้าพันคอติดกระเป๋าไป ไม่อยากใช้ของสาธารณะ เพราะคิดว่าคงผ่านมาแล้วหลายมือ และหลายหัว ช่วงนี้อยู่ในช่วงใกล้จะออกรอมฎอนแล้ว (ถือศีลอด) พวกเราก็เลยแอบอินเทรนด์กันนิดนึงด้วยการอดอาหารตามด้วย

555 พูดเล่นนะคะ จริงๆ แล้วโปรแกรมเที่ยวมันอัดแน่นจนแทบไม่มีเวลากินต่างหาก เพราะเราอยู่ใน Istanbul แค่ 2 วัน สิ่งที่รองท้องไปในช่วงกลางวันของแต่ละวันนั้นก็คือข้าวโพดต้ม และขนมปังโรยงาแบบท้องถิ่น T-T

ตอนเข้า Blue Mosque เราแอบมองเห็นความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม ผู้ชายสามารถเข้าไปสวดมนต์ได้ถึงกลางมัสยิด แต่ผู้หญิงจะต้องอยู่รอบนอก หรือไม่ก็ชั้นบน ซึ่งอยู่หลังบริเวณที่กันไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวเข้ามานั่งชมเสียอีก

อืม..ก็ไม่รู้จะว่ายังไงนะคะ เพราะที่เมืองไทยผู้หญิงก็ขึ้นองค์พระธาตุไม่ได้เหมือนกัน (จนเป็นเหตุให้คุณระเบียบรัตน์ออกมาโวยทีนึงแล้ว แต่ขอร้องเถอะค่ะ เรื่องของวัฒนธรรมและความเชื่อ อย่าหักล้างกันง่ายๆ เลย มันจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสังคม) เอาเป็นว่า...ยิ้มเชื่อว่าคงเป็นกุศโลบายของคนโบราณอย่างใดอย่างหนึ่งกระมัง อาจจะเป็นเพราะ...เขาไม่อยากให้หญิงชายเข้าใกล้กัน เกรงจะเกิดเรื่องไม่ดี หรืออะไรๆ ก็ว่ากันไป เดากันไปละกัน

5. Dolmabahce Palace



พระราชวังนี้เป็นการผสานเอาความเป็นตะวันตกเข้ามาเต็มตัว สถาปัตยกรรมจะออกแนว Baroque หรือ Neo-classic พระราชวังนี้สร้างเสร็จในปี 1856 ออกมาได้ตะวันตกสมใจ เพราะยิ้มเดินไปเดินมา ก็เกือบลืมไปแน่ะ ว่าเดินอยู่ในเมืองมุสลิม เผลอคิดไปว่าเดินอยู่แถวๆ แวร์ซาย...วินด์เซอร์ หรืออะไรทำนองนั้น มีช่วงเวลาเปลี่ยนการ์ดเหมือนกันด้วยนะ เท่ห์ชะมัด

ทำเลที่ตั้งพระราชวังนี้สวยดีนะคะ อยู่ติด Bosphorus เลย น้องโน้ตเลยถือโอกาสเดินชม + ถ่ายรูปไป เพราะว่าไม่มีเวลาลงไปล่องเรืออย่างที่ตั้งใจไว้

6. Topkapi Palace



นี่ก็เป็นอีกสถานที่ ที่ใครๆ ก็แนะนำให้ไป เพราะเป็นพระราชวังให้องค์สุลต่านมานมนาน ความอลังและสวยงามคงไม่เท่า Dolmabahce แต่ว่าความเก่า ความมีเอกลักษณ์ก็ไม่ได้แพ้กัน ในพระราชวังนี้จะแยกออกเป็นตำหนักๆ ไม่ได้รวมกันหนึ่งเดียวเหมือนพระราชวังแบบตะวันตก ส่วนที่โดดเด่นที่สุดก็คือ Harem หรือ ราชฐานชั้นในนั่นเอง



คำว่าฮาเร็ม คนไทยจะเอาไปใช้ในความหมายทางลบ คล้ายๆ กับแหล่งบันเทิงที่เต็มไปด้วยสาวสะคราญห้อมล้อมชายหนุ่ม จริงๆ แล้วมันก็ถูกอยู่นะ แต่ไม่ได้ถูกไปทั้งหมดเสียทีเดียว จริงๆ แล้ว ฮาเร็มน่าจะเรียกได้ว่าเป็นราชฐานชั้นในที่มี Queen Mum (พระมารดาของสุลต่าน), เจ้าชาย เจ้าหญิงองค์น้อยๆ และนางสนมอยู่มากกว่า ไม่ได้เป็นคลังสตรีโดยหน้าที่หลัก

อื่ม..แต่กระนั้นก็ดี...พอเดินมาถึงหอพักของสาวๆ แล้วก็เกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจขึ้นมานิดๆ เพราะว่าอ่านป้ายข้อมูลแล้วได้ความว่า..สาวๆ ที่ถูกส่งมาบรรณาการจะต้องเริ่มจากเป็นทาส หากพระมารดาพอใจก็จคัดไว้ให้สุลต่าน ถ้ามีลูกก็ได้ยศได้เงินกันไป "แต่" ทั้งนี้ทั้งนั้น...นางบำเรอเหล่านั้นต้องไม่ใช่มุสลิม คริสต์ หรือ ยิว เพราะตามกฎแล้ว...ใช้คนเหล่านั้นเป็นทาสไม่ได้

อ้าวววววววว งั้นก็เหลือชาวพุทธ เต๋า ขงจื๊อ ชินโต พราหมณ์ ซิกข์ และคนนอกศาสนาสิ ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะคะ เฮ้อ...ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรเหมือนกันนะ ก็แหม...สัตว์โลก...ย่อมรักพวกพ้องของตนมากกว่าพวกอื่นอยู่แล้ว

7. อาหาร

อาหารตุรกีแบบ traditional อร่อยมากค่ะ ที่นี่กินแกะกันเป็นล่ำเป็นสัน กินกันเพลินไปเลย (เพราะคนตุรกีเขาไม่กินหมู ส่วนยิ้มไม่กินเนื้อ ไม่มีตัวเลือกให้มากนักหรอก)

วันที่สองเจ้าบ้านพาไปเลี้ยงอาหารแบบ traditional มื้อนึง โอ...อลังการงานสร้างมาก เพราะอาหารเรียกน้ำย่อยเขาคือซุปไก่ รสชาติออกนมๆ เนยๆ นิดหน่อย คล้ายของตะวันตกดี ส่วนจานเล็กจานน้อยก็เป็นพวกชีส น้ำผึ้ง แยมผลไม้ ลูกอินทผลัม ไส้กรอก แฮม (ทำจากเนื้อ) มะกอก ขนมปัง อาหารที่คล้ายๆ พายแต่ไส้ชีสและผักโขมอะไรพวกนั้น ซึ่งส่วนมากจะหวาน เลยไม่ค่อยได้กิน

อาหารหลักเป็นแกะอบ...นุ่มละมุนลิ้น รสชาติเหมือนขาหมูมาก นึกอยากได้น้ำจิ้มสีส้มๆ เผ็ดๆ เปรี้ยวๆ เอามากินกับข้าวแฮะ ส่วนของหวานเป็นขนมประจำถิ่นเป็นแผ่นแป้งบางๆ ทับกัน ราดด้วยนม และเม็ดทับทิม อร่อยแบบแปลกๆ ดี

เครื่องดื่มก็รสดีไม่แพ้กันค่ะ ชา...มาเสิร์ฟในลักษณะหม้อกลั่น ต้มให้เดือดตลอดเวลา เทหัวชาใส่แก้วนิดหน่อย ผสมน้ำเยอะๆ เพราะว่าชาเขาแรงมาก (แต่กลิ่นหอมดี ไม่เหมือนชาแถวๆ อินเดีย หรือจีนแฮะ) ส่วนน้ำผลไม้ที่เขาเสิร์ฟกับอาหารเป็นน้ำทับทิม ใส่น้ำผึ้ง น้ำมะนาว ปรุงรสได้กลมกล่อม โอ....อร่อยมากค่ะ จัดการไปเลย 2 แก้ว

สรุป: อยู่แค่ 2 วัน แต่ใช้เวลาได้คุ้มทุกดอกเลยนะจ๊ะ

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Scottish Highlands แดนขุนเขาและทะเลสาบ




20 - 25 September 2008
ฤดูร้อนนี้มีโอกาสไปท่องเที่ยวอยู่หลายที่ด้วยกันภายในเวลา 2 สัปดาห์ค่ะ แต่ละที่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ซ้ำกัน มีเสน่ห์ไปคนละแบบเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ทะเลสาบ แหล่งประวัติศาสตร์ ทะเล เกาะ

กลับมาแล้วยังอารมณ์ค้างๆ อยู่ แต่ก็ต้องพยายามทำงาน (กรี๊ด...) กระนั้นก็ดี ขอทยอยลงภาพทีละอัลบั้มนะคะ

สถานที่แรกที่ไปก็คือ Scottish Highlands ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนของ Scotland ตอนเหนือที่เป็นภูเขา และที่ราบสูง ซึ่งในสมัยก่อนการปกครองแบ่งออกเป็นเผ่า (Clan) ต่างๆ หลายเผ่า ดินแดนแถบนี้เป็นแถบที่ยิ้มชอบมากๆ เลยนะคะ เพราะว่า..เสน่ห์ของภูมิประเทศ บวกกับเสียงดนตรีปี่สก๊อตที่ลอยมาตามลม ผสานกับหนุ่มสก็อตที่มีดวงตาและผมสีเข้ม รูปร่างสูงใหญ่ กรี๊ดดดดด ดินแดนในฝันเลยล่ะ (แต่ขอไม่อยู่ตอนหน้าหนาวนะ เพราะท่าทางจะหนาวมากๆๆ)

จุดหมายในการเดินทางครั้งนี้คือ Inverness, Lochness และ Isle of Skye แต่ละที่ก็มีลักษณะเด่นแตกต่างกันไปค่ะ

1. Inverness

Inverness เป็นเมืองหลวงของ Scottish Highlands เป็นเมืองเล็กๆ น่ารัก ที่มีครบทุกอย่าง ขนาดก็...น่าจะพอๆ กับยอร์คนะ เล็กๆ แต่มีครบเครื่อง เป็นเมืองศูนย์กลางที่หมู่บ้านเล็กๆ ภายนอกมักจะเข้ามาจับจ่ายซื้อของและสรรหาความบันเทิง เมืองนี้...ไม่เชิงจะมีอะไรโดดเด่น แต่เป็นเมืองที่เป็นฐานที่ตั้งในการท่องเที่ยวใน highand อย่างดีเยี่ยม เพราะมีทุกอย่างทั้งที่พักแบบ Hostel, Bed and Breakfast แล้วก็ โรงแรมหรูๆ รวมถึงร้านอาหารรสเยี่ยมด้วย ที่นี่ทำปลาซีบาส และซาลมอนอร่อยมากกกกกกก ค่ะ และราคาต่ำกว่าในอังกฤษ ถ้ายามบ่ายมีเวลาว่างๆ ก็มีสวนสาธารณะริมน้ำ กับทางเดินเลียบแม่น้ำ Ness ให้เดินเล่นๆ เย็นๆ ใจ ถ้าโชคดีจะเห็นคนมาตกปลาซาลมอน และเห็นปลาซาลมอนว่ายทวนน้ำมาวางไข่ (อ้าว เฮ้ย...แล้วไปจับเค้ามา เค้าก็ใกล้สูญพันธุ์น่ะสิ)

เรียกเมืองนี้ว่าเป็น Gateway to the Scottish Highlands ละกันนะคะ

2. Isle of Skye

เกาะสกายนี้...มีชื่อภาษา Gaelic (ภาษาสก็อตโบราณ)ว่า An t-Eilean Sgitheanach (Eilean ไม่ได้อ่านว่า เอเลี่ยน แต่อ่านว่า อี - ลั่น แปลว่า Island) คนท้องถิ่นบอกว่าแปลว่า Isle of Mist หรือ เกาะแห่งเมฆหมอก ซึ่งก็ดูเหมือนจะจริง เพราะวันแรกที่ไปถึงฝนตก เมฆลงต่ำ เห็นเกาะตามตามปลายยอดภูเขาทึบทะมึน หมอกลงเป็นสีเทาเลยทีเดียว แต่โชคดี ที่ในที่สุดแดดก็ออกมาให้เห็นตอนเย็นๆ ผู้คนในเกาะสกายนี่ เคร่งคัดศาสนากันใช้ได้ทีเดียวค่ะ มีโบสถ์หลายแห่งทั้งๆ ที่มีหมู่บ้านอยู่ไม่กี่หมู่บ้านเองเช่น Portree (ใหญ่สุดแล้ว), Broadford, Kyleakin

หากไม่มีรถ จะเที่ยวบนเกาะลำบากมากค่ะ เพราะไม่มี Public Transport เลย มีแต่รถนักเรียนคันเล็กๆ ถ้าวันไหนอากาศดีๆ บรรยากาศที่นี่สวยสุดใจ สวย ขลัง แบบบอกไม่ถูก สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ แบ่งออกเป็นส่วนเหนือและส่วนใต้ของเกาะ ก็จะมี Kilt Rock (น้ำตกลงทะเล ดูได้ในอัลบั้ม), ซากปราสาทเก่าๆ ชื่ออะไรหว่า...จำไม่ได้ สงสัยจะ Dunhulme = =', ปราสาท Dunvegan ที่เปิดให้เข้าแบบเสียเงิน, เส้นทางเดินเขาแถวๆ เทือกเขาชื่อ The cuillin' และหาดทรายอีกนิดๆ หน่อยๆ

เรียกว่า...ไปแล้วรู้สึกได้ถึงความลำบากในการทำมาหากินของคนบนเกาะ (ก็อากาศมันหนาว ดินก็ดูไม่ค่อยอุดม เพราะมีหินเยอะ) ความสวยงามก่อให้เกิดจินตนาการในการเขียนนิยายและบทกวี และได้ความสงบทางใจ

สรุปว่าชอบมากค่ะ แต่ขอใส่หมายเหตุไว้ด้วยว่า "ถ้าอากาศดี แดดออก"

3. Loch Ness, Drumnadrochit

ทะเลสาบ Lochness ยาวกว่า 20 ไมล์ ดังนั้นจึงมีหลายหมู่บ้านตั้งอยู่บนฝั่งทะเลสาบนี้ ซึ่งหมู่บ้านที่เป็นศูนย์กลางและมี Exhibition Centre อยู่ 2 แห่งชื่อ Drumnadrochit อ่านว่า ดรัม นา ดร็อค คิด

หมู่บ้านนี้เป็นหมู้่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างจาก Inverness แค่ครึ่งชั่วโมง ดังนั้นจึงขอแนะนำว่า หากใครอยากจะมาเที่ยว Lochness แล้วค้างคืน จงค้างใน Inverness เถิด ถ้ามีรถ เพราะว่าหมู่บ้านนี้เล็กมาก หาของกิน และหากิจกรรมทำยาก (ยกเว้นท่านจะชอบขี่ม้าชมเขา ซึ่งข้าพเจ้าไม่มีความสามารถ หรือเดินลัดเลาะในป่าลงไปเหยียบน้ำในทะเลสาบ ดังที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว)

หมู่บ้านนี้เล็กๆ น่ารัก และอยู่ห่างปราสาทชื่อ 'Urquhart' อ่านว่า เออร์ - คาร์ต แค่ไมล์กว่าๆ เดินไปพอได้เหงื่อก็ถึงละ ปราสาทนี้..ตอนนี้เหลือแต่ซาก เพราะว่าผ่านมือชนเผ่าไฮแลนด์ต่างๆ มาหลายเผ่าเหลือเกิน บ้างก็ถูกปล้นสะดมภ์ บ้างก็ถูกดัดแปลง ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงเท่านี้ แต่คลาสสิคมากค่ะ

ซากปราสาทริมทะเลสาบ นี่คือสิ่งที่อยู่คู่ Scottish Highland เลยนะ คิดว่า...ปราสาทใน Scotland นี่ มีหลายร้อยแห่ง ของหัวหน้าเผ่าบ้าง ของกษัตริย์จากที่ราบบ้าง แต่เป็นการทำให้ประเทศของเขามีจุดขาย มีเสน่ห์ มนต์ขลัง ดูมีอดีต ที่มาที่ไป หรูหรา ไฮโซอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว

หากมา Loch ness ต้องพูดถึง Nessie เจ้าสัตว์ประหลาดกึ่งไดโนเสาร์ที่มีคน (อ้างว่า) เห็นในต้นศตวรรษที่ 20 หลังจากที่ข่าวแพร่สะพัด การท่องเที่ยวแถวๆ นี้ก็บูมขึ้นทันตาเห็น ยิ่งหน้าร้อนนี่... busy สุดๆ พอมาดูด้วยตาชัดๆ แล้ว อื่ม...ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อย่างนั้นเล้ย...ขนาดปลาเล็กปลาน้อยยังไม่เห็นมี แต่ก็เข้าใจว่าชาวบ้านต้องผลักดันให้ Urban Legend เรื่อง Nessie นี้มีต่อไปเรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจก็ล่มพอดี เพราะด้วยตัวของ Loch Ness เองแล้ว สวยงามไม่เท่าทะเลสาบอื่นๆ เลย ถ้าไม่มีกรณีเนสซี่...คงเป็นได้แค่เมืองผ่านเท่านั้นเอง

สรุป...ทริปเล็กๆ นี้ เป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนอีกทริปหนึ่งได้ดีทีเดียวค่ะ ได้บรรยากาศสบายๆ ชมทิวทัศน์สวยๆ แบบที่ชอบ เป็นการเติมเต็มให้วันเวลาที่ต้องเด้งออกจากหอได้อย่างน่าประทับใจ

กับอีกวันที่ผันไป...


Rating:★★★★
Category:Other
ห่างหายจาก multiply ไปนานพอสมควร ด้วยต้องร่อนเร่ไม่มีที่อยู่ ตอนนี้กลับมาแล้วค่ะ

เวลาผ่านไปไวจังนะคะ...

ไม่ทันไรก็ผ่านไป 1 ปีแล้ว...ในช่วงเวลานี้ของปีก่อน ยิ้มคงกำลังกลับบ้าน เตรียมตัวเตรียมใจเรียนป.เอกต่อ วันนี้เดินไปเรื่อยๆ ในแคมปัส อากาศดีๆ แดดสวยๆ โผล่ออกมาให้เห็นพักหนึ่ง ก่อนที่จะกลับไปเป็นสีเทาเหมือนเดิม แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ใจรู้สึกโหวงๆ ถวิลหาบางสิ่งบางอย่าง และอาบอิ่มด้วยบางสิ่งบางอย่าง เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า พี่ๆ น้องๆ หลายคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา สนิทสนม มีปฏิสัมพันธ์กันดี บ้างก็กลับเมืองไทยไปแล้ว บ้างก็ย้ายไปที่อื่น มีพี่ๆ น้องๆ คนใหม่ๆ มา กลายเป็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิต...แล้วคนที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างข้าพเจ้า ก็อดที่จะรู้สึกวูบไหวไปตามบรรยากาศไม่ได้

ออกจากบ้านมา 7 ปีแล้ว ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมยังไม่รู้สึกชินชา วันนี้ย้ายกลับมาอยู่ห้องพักเดิมที่เคยอยู่ตอนปริญญาโท ทั้งแฟลตเงียบสนิท...ห้องเดิม...แต่ความรู้สึกไม่ค่อยจะเหมือนเดิม ในใจคิดถึงแฟลตเมตเก่าที่เคยทำอาหารด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน ยิ้มแย้ม หัวเราะ หยอกล้อกันด้วยดี

นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ยิ้มขอย้ายกลับมาห้องนี้...ทั้งที่อยู่ห้องเดิมต่อก็ได้ ยิ้มอยากซึมซับความรู้สึกดีๆ ความทรงจำดีๆ ที่เคยมี

แฟลตเมตชุดใหม่ยังไม่ได้ย้ายเข้า เลยยังไม่มีอะไรมาดึงข้าพเจ้าออกจากความคิดที่จมจ่อมอยู่กับความทรงจำวันก่อนเก่า

ก็เลยคิดว่า...รีบๆ จัดของเข้าที่ อ่านหนังสือเตรียมพบกรรมการ ทำงานที่ควรต้องทำ แล้วมาอัพรูปที่ไปเที่ยวมาดีกว่า (ซึ่งก็คงเป็นเวลาอีกหลายวันอยู่) รอด้วยนะคะ

ใบไม้ร่วง...ใบไม้หล่น...บนพื้นหญ้า
ฟากฟ้าปรายน้ำตาหลั่งเป็นฝน
ตะวันขึ้นตะวันลาต่างเวียนวน
ชีวิตคน..หนีไม่พ้นทนต่อไป...

เฮ้ออออออออออ

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

Lincoln: 07-09-08




Lincoln Cathedral - the hidden (architectural) beauty in the Lincolnshire wold

ไม่มีอะไรจะเล่ายาวนะคะ ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับเมือง Lincoln มาก นอกจากมันเป็นเมืองเก่าๆ ละม้ายกับ York เพราะอยู่มาตั้งแต่สมัยโรมัน แต่ว่า..พอมายุคหลังๆ เหมือนจะเป็นเมืองตลาด (Market Town) มากกว่าเมืองศูนย์กลางการปกครอง หรือศาสนา เลยทำให้ไม่ค่อยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเท่าไหร่ แต่โดยรวมแล้ว บ้านเมืองก็สวยดีค่ะ อังกริ๊ดด อังกฤษแล...

ทีสำคัญคือ John Ruskin นักปราชญ์แห่งศาสตร์ของ architecture และ conservation บอกว่าที่นี่สวยงามล่ำเลิศที่สุดในอังกฤษละ ยังรักษา fabric ของของเดิมไว้ได้ค่อนข้างดีมากเลยทีเดียว อืม ก็จริงของเขานะ ถ้าให้นั่งมองลายสลัก...มองทั้งวัน ข้าพเจ้าก็ไม่เบื่อ มันดูงดงาม วิจิตรไปอีกแบบดี

ถึงบจะไม่อ่อนช้อย ละเมียดละไมเหมือนศิลปะตะวันออก แต่มันก็บอกเล่าเรื่องราวไปอีกแบบหนึ่ง

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

นักบุญ - กุลสตรี - เรยีนาเชลี - คิดถึงจัง

Rating:★★★★
Category:Other


หลบประเด็นร้อนการเมืองมาเขียนเรื่องนักบุญดีกว่านะคะ

วันนี้ยิ้มไปเซ็นสัญญาหอพักสำหรับปีหน้ามา ต้องเซ็นชื่อลงไปในสัญญาสองฉบับค่ะ ตอนไปที่อาคารสำนักงานก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จรดปลายปากกาแล้วก็เซ็นแกรกเดียวตามความเคยชิน แต่พอเซ็นเสร็จแล้ว วันนี้ก็เริ่มมองลายเซ็นตัวเองอย่างพินิจพิจารณา...อื่ม...มันช่างดูเหมือนคำว่า 'saint' ในภาษาอังกฤษที่แปลว่านักบุญจริงๆ...ทำไมนะ ทำไม

สงสัยเราจะเป็นคนอ่อนโยน อ่อนหวาน ใจดี มีคุณธรรมเหมือนนักบุญแน่ๆ เลย คิก ๆ ๆ ๆ ๆ

คงจะมีคนสำลักน้ำแค่กๆ หรือไม่ก็อาหารติดคอแน่ๆ เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ แต่อย่างไรเสียก็เปลี่ยนแปลงความเป็นจริงไปไม่ได้ ว่ายิ้มนั้นนิสัยเหมือนนักบุญ เอ๊ย..ชีวิตของยิ้มเกี่ยวพันกับนักบุญมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ทั้งนักบุญในศาสนาพุทธ (ครูบาต่างๆ) และนักบุญในศาสนาคริสต์ แต่เนื่องจากในวันนี้เกิดอารมณ์หวนหาวันเก่าเมื่อเห็นคำว่า 'saint' ก็ขออนุญาตเขียนถึงนักบุญคาธอลิกดีกว่า

แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ออกเรื่องอีกนิดนึง...

ตั้งแต่ชั้นอนุบาล 3 ถึง ม. 3 ยิ้มเรียนในโรงเรียนคาธอลิกในจังหวัดบ้านเกิด นับเป็นเวลาได้ 10 ปี พอดีพอดิบ โรงเรียนที่เรียนอยู่ขึ้นชื่อมากในเรื่องความเคร่งครัดของการอบรมบ่มนิสัย 'กุลสตรี' เพื่อให้จบออกมาเป็นยอดหญิงที่เปี่ยมไปด้วยจิตสาธารณะและคุณธรรม (แต่สำเร็จมั่งมั้ยเนี่ย = =' ) พอเริ่มเข้าอนุบาลปุ๊บ มาเลยค่ะ ซิสเตอร์ (นักบวชหญิง) 2 ท่าน เดินเข้าๆ ออกๆ ตึกเรียนอนุบาล เพื่ออบรมบ่มนิสัยลูกศิษย์ตัวน้อยๆ ทุกสัปดาห์ต้องมีเข้าห้องประชุม เปลี่ยนหัวข้ออบรมไปทุกๆ สัปดาห์ นี่ยังไม่รวมชั่วโมงพุทธศาสนา คริสตศาสนา และจริยศึกษานะ อบรมมาเยอะขนาดนั้น...มันก็ต้องมีติดนิสัยดีๆ แบบนักบุญมาบ้างไม่มากก็น้อยล่ะ

เอาล่ะ...มาเข้าเรื่องได้ละ

นี่ก็จบมาจากโรงเรียนเก่าได้ 10 ปีกว่าๆ แล้ว เรื่องของเรื่องคือ...ตลอด 10 ปีที่เรียนอยู่โรงเรียนนี้ คุณครูจะเล่าประวัติของนักบุญ 4 ท่านประจำบ้านสี (นักเรียนแต่ละห้องถูกแบ่งออกเป็น 4 สี คือฟ้า แดง เหลือง เขียว) ของโรงเรียนให้ฟังทุกๆ ปี นักเรียนต้องจำประวัติ และต้องร้องเพลงสรรเสริญให้ได้ เพื่อที่ในงานเฉลิมฉลองจะได้ร้องได้อย่างเต็มอก เต็มใจ เต็มภาคภูมิ ซึ่งนักบุญแต่ละท่านทางผู้ก่อตั้งก็คงคัดสรรค์มาแล้ว ว่าเป็นยอดหญิงที่มีทั้งความอดทน และรักศักดิ์ศรีมากจริงๆ

1. นักบุญประจำสีฟ้า (สีของข้าพเจ้าเอง) นักบุญ อัญเจลา เมริชี (Angela Merici)



ขอขอบคุณภาพจาก Wikipedia ค่ะ

นักบุญอัญเจลา (ออกเสียงตามที่เค้าออกกันมานะคะ อย่าถามล่ะว่าทำไมไม่เรียกว่าแองเจล่า) เป็นชาวอิตาเลียน เป็นลูกชาวนาธรรมดา เป็นกำพร้าตั้งแต่เด็กโดยการอุปถัมภ์ของลุง ซึ่งเมื่อท่านโตขึ้นมาหน่อยทั้งพี่สาว ทั้งลุงก็ทยอยเสียชีวิตไปจนหมด แต่ก็ไม่ได้ท้อแท้ กลับใช้ชีวิตสอนศาสนาให้กับเด็กสาวในเมืองบ้านเกิด แม้จะตาบอดไปในบั้นปลายของชีวิตแต่ก็ไม่ได้ท้อถอย กลับเดินทางแสวงบุญหาผู้สนับสนุนโครงการเรื่อยๆ (ในที่สุดอาการมองไม่เห็นก็หายไปเอง) และก็ได้ก่อตั้งคณะอูร์สุลิน (Company of St Ursula/ The Order Sister of St Ursula) หลังจากนั้นคณะนี้ก็ได้ก่อตั้งโรงเรียนหญิงล้วนขึ้นมามากมาย แต่ละที่...คิดว่าน่าจะมีความเป็นลักษณะเฉพาะตัวมากๆ นะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเคร่ง แบบแผนปฏิบัติบางอย่าง

โรงเรียนข้าพเจ้าก็...โดนขนานนามจากนักเรียนชายโรงเรียนอื่นอยู่บ่อยๆ ว่าโรงเรียนคุก เพราะสมัยก่อนนั้น นักเรียนชายไม่ใช่ว่าจะได้ย่างกรายเข้ามาในโรงเรียนง่ายๆ ซิสเตอร์ท่านดักตั้งแต่ป้อมยามเลยทีเดียว ส่วนโรงเรียนหญิงบางโรงเรียนเรียกโรงเรียนข้าพเจ้าว่า "คุณหนูเร" (ตอนนั้นละครเรื่องพี่เลี้ยงดังอยู่ นางเอกชื่อคุณหนูเร อ่อนปวกเปียก ต้องการคนดูแล) เพราะว่านักเรียน 'ดู' ท่าทางอ่อนๆ เรียบร้อย(แต่ความเป็นจริงมันห่างไกล)

นี่ยังดีนะ เพื่อนของพ่อบอกว่าตอนเขาเรียนอยู่ ซิสเตอร์ซึ่งเป็นแม่ชีจริงๆ มาจากต่างประเทศสอนว่า "It's a sin to look at boys"

โอว....ถ้าเยี่ยงนั้นบาปของข้าพเจ้าคงจะมากมายนัก เพราะที่ไปออกกำลังที่ยิมอยู่ทุกวันนี้ แรงบันดาลใจหนึ่งก็มาจากการได้เหลือบแลหนุ่มๆ ล่ำบึ้กน่าซบ เอิ๊กกกก

2. นักบุญอูร์สุลา (Ursula) ประจำบ้านสีแดง



ขอบคุณภาพจาก Wikipedia เช่นกัน

ตรงกันข้ามกับประวัติของนักบุญอัญจลา นักบุญอูร์สุลาเป็นตำนานเล่าขานต่อกันมา ไม่ได้มีจารึกถึงวันเกิดเหตุชัดเจน สิ่งเดียวที่ยืนยันถึงเรื่องราวนี้ก็คือจารึกจากสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 4-5 ที่โบสถ์แห่งหนึ่งใน Cologne เรื่องเล่าก็คือ เจ้าหญิงอุร์สุลาเป็นเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งของราชวงศ์โรมันที่อยู่ในเกาะบริเตน (Romano-British) เธอจะถูกส่งไปแต่งงานกับเจ้าชายนอกศาสนา (ไม่เชิงนะ เรียกว่านอกคริสต์ศาสนาดีกว่า - พวก Pagan น่ะ) ที่ Brittany พร้อมบรรดาสาวพรหมจรรย์ที่เป็นบริวารอีกมากมาย (ขบวนเรือคงใหญ่มาก) แต่ว่าเรือดันโดนพายุ ไปติดที่ชายฝั่งยุโรป เธอก็เลยเดินทางอ้อมยุโรปไปแสวงบุญถึงโรมเสียเลย แล้วก็เลยชักชวนนักบวชอีกหลายท่านเดินทางไป Cologne ต่อ แต่ระหว่างนั้น เจอพวกโจร Huns จากเอเชียกลางปล้นสดมภ์ หมายฉุดคร่าทำอนาจาร แต่เธอไม่ยอม พวกโจรก็เลยฆ่าให้สิ้นซาก

จากนั้นมา...ชื่อของนักบุญอุร์สุลาก็เลยกลายมาเป็นอนุสรณ์เตือนใจ ถึงความกล้าหาญ รักศักดิ์ศรียิ่งชีพ นักบุญอัญเจลาเลยนำมาเป็นชื่อคณะนักบวชและคณะครูเสียเลย

3. นักบุญมารีย์มังสาวตาร ประจำบ้านสีเหลือง (Marie of the Incarnation)

ไม่แน่ใจนักว่าหาประวัติมาถูกไหม เพราะจำที่เคยเรียนมาไม่ได้แล้ว ^ ^' หาในเนตก็ไม่มีคำว่า 'มารีย์ มังสาวตาร' อยู่เลย ก็เลยคิดว่า...มังสาวตารน่าจะมาจาก มังสะ + อวตาร น่าจะเป็นคำว่า Incarnation นั่นแล พอเดาๆ ได้แล้วก็ลอง search ดู พระเจ้า...มีสองคน เกิดในฝรั่งเศสทั้งสองคน ทำไงดีเนี่ย...ใครกันแน่นะ แต่ดูจากประวัติน่าจะเป็นท่านนี้มากกว่า

นามเดิมของท่านคือ Mary Guyart ท่านเกิดที่เมือง Tours มีครอบครัวอะไรไปตามปกติ จนกระทั่งสามีเสีย ท่านก็ดูแลครอบครัว เลี้ยงลูก กอบกู้กิจการที่สามีทำพังไว้ ต่อมาสายตาก็เสีย ก็เลยเข้าหาทางธรรมที่คอนแวนต์ในเมืองนั่นแหละ โดยทิ้งลูกชายไว้ให้ครอบครัวดูแล ต่อมาท่านก็เดินทางไปแคนาดา ไปก่อตั้งคอนแวนต์ โรงพยายาบาล และคณะอูร์สุลินที่นั่น

คิดว่า...ท่านเป็นสัญลักษณ์ของอะไรดี...ไม่รู้เหมือนกันแฮะ เดาเอาเองว่าเหมือนกับ 'เนกขัมมะบารมี' มั้ง การละซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วออกบวช ซึ่งท่านก็ห่วงลูกชายของท่านมากล่ะ แต่ก็ตัดใจเสีย ปล่อยวาง ซึ่งเมื่อลูกของท่านโตขึ้นก็กลายเป็นนักบวชเหมือนกัน

4. นักบุญเทเรซา ประจำบ้านสีเขียว (Thérèse de Lisieux )



นี่ก็หาประวัติยากอีกแล้วค่ะ ค้นหาในวิกิ โผล่มาเยอะมาก เนื่องจากชื่อเทเรซาเป็นชื่อที่ป๊อปปูล่าร์เอาการอยู่ แต่ก็เดาๆ เอา เพราะในเพลงเทิดทูนมีวรรคหนึ่งที่ร้องว่า "เป็นบุปผาชื่นชมพรหมจรรย์ ของเจ้าจอมเทวัญทรงชัย" ก็ดูสอดคล้องกับ She is also known by many as The Little Flower of Jesus.

ต้องใช่แน่ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

นักบุญเทเรซาเป็นแม่ชีชาวฝรั่งเศสที่เคร่งครัดมากกกกก เป็นแม่ชีมืดด้วย (ปฏิบัติอยู่แต่ในคอนแวนต์ ไม่ออกไปไหน) เธอพยายามวอนขอบวชชีหลายครั้ง จนสำเร็จเมื่อตอนอายุ 15 แม่ชีเทเรซาเป็นคนถ่อมตน และงานเขียนของท่านก็มีชื่อเสียงทั้งศาสนจักร จนกระทั่งท่านไม่สบายและเสียไปตอนอายุเพียง 24 เท่านั้น

จำไม่ได้อีกละ ว่าอะไรคือลักษณะเด่น แต่ถ้าจะให้คิดเองคงคิดว่าเป็นความ 'ถ่อมตน' และ 'สมถะ' มั้ง เพราะท่านบวชตั้งแต่ยังเล็กมาก และปฏบัติอย่างเคร่งครัดแต่ไม่อวดตนมาตลอด

จบแล้วค่ะ ประวัตินักบุญของคณะอุร์สุลิน...แต่ละท่านก็ถูกนำมาเป็นแม่แบบสั่งสอนลูกศิษย์สาวๆ ของโรงเรียนนะคะ ก็สำเร็จมั่ง ไม่สำเร็จมั่ง ว่ากันไป แต่ภาพที่ติดตาตรึงใจทุกครั้งที่นึกถึงก็คือการเฉลิมฉลองนักบุญแต่ละท่านประจำปี นักเรียนผมเปียตัวเล็กๆ ยืนร้องเพลง อ่านกลอน อ่านประวัติ สรรเสริญนักบุญแต่ละท่าน อืม...เป็นบรรยากาศเฉพาะที่ไม่ได้สัมผัสมานานแล้วล่ะ ดูช่าง...ช่าง...ช่างเฟมินิสต์มากในความคิดของข้าพเจ้า อืม...หรือว่ามันเป็น cult แบบหนึ่ง การบูชาเพศแม่และความอ่อนโยน คือหัตถาครองภิภพจบสากล

มาถึงวันนี้...ห่างหายจากความเป็นนักบุญมานานเหลือเกินแล้ว ตอนที่อยู่ที่นั่นก็ท่องๆ ไป ร้องๆ ไป ไม่ค่อยได้คิดตามเท่าไหร่ มาถึงวันนี้ อืม...ช่างเป็นอะไรที่ดู 'Holy' มากเลยอ้ะ แล้วก็ดูใกล้ตัวกว่าที่คิด (แหงดิ ก็ตอนนี้อยู่ยุโรปนี่หว่า ก็ใกล้บ้านเกิดของท่านเหล่านั้นมากกว่า = =') อย่างนักบุญ อูร์สุลาก็เป็นชาว Romano-British นี่เอง โอ....

จริงๆ แล้วดูเหมือนว่าโรงเรียนจะพยายามสอนออกมาให้ถ่อมตน เรียบง่าย รักศักดิ์ศรีกุลสตรีไทย ไม่เรียกร้องให้เท่าเทียมบุรุษ แต่ก็ต้องไม่ยอมให้ใครหมิ่นเกียรติ อ่อนหวาน อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ(เรียกร้องมากจังวุ้ย) แต่ถ้าเกิดลูกศิษย์บางคนผ่านกระบวนการนั้นมาแล้วกลับรู้สึกฮึกเหิม ลำพองใจ กลายเป็นเฟมินิสต์ต้องการความเสมอภาคระหว่างเพศไปจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย แหะๆ ๆ ๆ