วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2550

เรื่องเก่าๆ เล่าเรื่อยๆ - ของกิ๋นบ้านเฮา

Rating:★★★
Category:Other
วันนี้มาบ่นเรื่องของกินดีกว่า เพราะว่าตอนนี้กำลังหิว แหะๆ แล้ววันนี้ก็บังเอิญ อากาศดีด้วย :P (ไม่ได้เกี่ยวเล้ยยย) จริงๆ แล้วนึกถึงการประกอบอาหารเพราะว่าวันนี้มีปาร์ตี้ตอนเย็นค่ะ ก็เลยอดไปนึกถึงการตระเตรียมอาหารไม่ได้

เรื่องของเรื่องก็คือ...ยิ้มคิดว่าอาหารบางอย่างเนี่ย เรามีความสุขกับมันเพราะรสชาติเพียงแค่ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนก็เป็นก็เพราะขั้นตอนการทำหรือการเสาะหามาประกอบเป็นอาหารด้วยน่ะค่ะ หรือไม่ก็ชอบเพราะว่าเราได้ให้คุณค่าอะไรบางอย่างแก่อาหารชนิดนั้นๆ อาจจะเป็นเพราะ 'เรากินร่วมกับคนพิเศษ' หรือไม่ก็ 'ร้านนั้นเราชอบจริงๆ บรรยากาศดี เราไปกะเพื่อนเก่าบ่อยๆ' อะไรทำนองนั้น

ยิ้มก็มีอาหารบางชนิดจากบ้านสวนที่ชอบมากๆ และจำได้ไม่ลืมเลยเหมือนกันค่ะ ขอรวบยอดทั้งของคาวของหวานเลยก็แล้วกันนะคะ

1. ขนมปาด
ขนมปาดนี่ ถ้าจำไม่ผิดคงจะเป็นเป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเจ้ากวนๆ ๆ กับน้ำตาลกับกะทิมั้งคะ ที่ไม่แน่ใจเพราะว่า โผล่ไปดูเขากวนกันทีไรเขาก็เทส่วนผสมลงไปมหดแล้วทุกทีอ่ะค่ะ เห็นแค่คนกำลังกวนกันเป็นกระทะใหญ่ๆ เหมือนกวนกะละแมยังไงยังงั้นเลย ขนมปาดนี่...อยากจะเรียกว่าเป็นขนมสามัคคี เพราะว่าเป็นขนมที่ทำกันแทบจะทุกครั้งที่มีงานใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นงานเฉลิมฉลอง งานบวช ผ้าป่า กฐิน งานศพ ส่วนมากแล้วกระทะใหญ่ๆ เนี่ยจะเอามาจากวัด เอามาตั้งเตาอังโล่ใหญ่ๆ หลังบ้านที่จัดงาน แล้วชาวบ้านก็จะไปกวนๆ ๆๆ กัน กวนเสร็จก็ใส่ถาดเหล็กเป็นสี่เหลี่ยมๆ แล้วตัดเป็นชิ้นๆ เป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน

ถ้ากินตอนที่เป็นชิ้นๆ แล้วยิ้มก็ว่ารสชาติมันอย่างงั้นๆ แหละ แต่เวลาที่กินเศษขนมที่ติดไม้พายตอนกวนออกมาร้อนๆ เออ...มันได้อารมณ์อย่างบอกไม่ถูก เรียกว่า...วิธีการทำมาก่อนรสชา ว่างั้นเหอะ

ที่สำคัญมันก่อให้เกิดกิจกรรมให้ชาวบ้านมีโอกาสมารวมตัวนั่งคุยกันด้วยแฮะ อิอิ เจ้าขนมปาดนี่เลยเป้นที่นิยมอย่างสูง เวลาที่มีงานบุญปอยหลวงที่ทุกๆ คนในหมู่บ้านเฉลิมฉลองหมดแล้วชาวบ้านจากบ้านอื่นไปร่วมทำบุญนี่ ยิ้มแทบจะร้องไห้เลย..

ก็แหม...ขึ้นบ้านโน้น ลงบ้านนี้ ส่วนมากก็ทำขนมปาดกันทั้งนั้น -_- ขนมปาดเต็มขึ้นมาถึงคอโน่น
เอิ๊ก...ไม่ไหวแย้ววว

2. ขนมจ็อก
ขนมจ็อก ก็คือขนมเทียน แต่มันไม่เหมือนขนมเทียนแบบจีนที่ไส้ถั่วเหลืองเค็มๆ หรือไม่เหมือนขนมเทียนไส้มะพร้าวอ่อนน้ำตาลปี๊บหวานๆ เพราะว่า แถวๆ บ้านยายเขาผัดมะพร้าวขูดกับน้ำตาลปี๊บ ถั่วลิสง หัวหอมแดง มันก็เลยดูเหมือนของหวานๆ ที่มีกลิ่นคล้ายอาหารคาว (ด้วยกลิ่นและรสของหัวหอมแดง) อย่างไรบอกไม่ถูก...ก็อร่อยดีนะคะ แต่ว่ามันกินบ่อยเหลือเกินอ้ะ ตอนนี้ก็เลยชอบขนมเทียนไส้ถั่วมากกว่า

ที่ว่าสนุกเพราะมันเป็นการเตรียมการข้ามวันเลยค่ะ จำได้ว่าเมื่อถึงงานบุญ วันแรกน้าจะผัดไส้เอาไว้ก่อนเป็นกะละมังขนาดย่อมเลย แล้วก็เข้าสวนไปเกี่ยวใบตองงามๆ มาเช็ด ตัด ทาน้ำมันไว้ ตอนยังเด็กๆ ก็ช่วยทำงานง่ายๆ ก่อนค่ะ เช่นทาน้ำมัน โตขึ้นค่อยขยับมาทำอะไรที่ซับซ้อนขึ้น เหอๆ

วันถัดไปถึงจะนวดแป้งแล้วก็ห่อกัน แป้งข้าวเหนียวหลายๆ ห่อเอามาผสมน้ำนวดๆ ๆ งานนี้ล่ะชอบนัก ป้าจ๋าก็จะสั่งให้ปั้นแป้งเป็นก้อนกลมๆ ก่อน เวลาห่อจะได้ง่ายๆ แล้วก็ตักไส้ใส่พอดีคำ แล้วก็ห่อใบตอง..

ซึ่งขั้นตอนการห่อใบตองนี่น่ะสิคะ -_- ตอนนี้ก็ยังทำไม่เป็นเลย เหอๆ ๆ ๆ ๆ

สิ่งที่อร่อยทีสุดไม่ใช่ขนมจ็อก (ขนมเทียน) นึ่งใหม่ๆ นะคะ ยิ้มว่า หนมจ็อกค้างคืนน่ะค่ะ อร่อนกว่า ค้างคืนแล้วเอามาปิ้งเตาถ่าน มีกลิ่นไหม้นิดๆ ติดอนุมูลอิสระหน่อยๆ เนี่ยล่ะ สุดยอดดดดดดดด

3. แกงอ่อม

สมัยก่อนบ้านยิ้มยังกินเนื้ออยู่ค่ะ หลังๆ มานี่ก็ห่างๆ ไปบ้างเพราะว่าหลายๆ คน เคร่งศาสนามากขึ้น บ้างก็กินไม่ได้เพราะกระเพาะไม่ดีแล้ว ย่อยไม่ค่อยได้ ของยิ้มก็กึ่งๆ อยู่ ยิ้มไม่ค่อยอยากกินเนื้อสัตว์ใหญ่ด้วย แล้วพอไม่กินนานๆ เข้ามันก็เหม็นอ้ะ (ตอนนี้ก็เริ่มเหม็นหมูแล้วด้วย) แล้วที่สำคัญก็คือ ไม่กินนานๆ แล้วกระเพาะมันไม่ชินหรือไงไม่รู้ มันไม่ค่อยจะย่อยน่ะค่ะ กินไปทีไรก็ปวดท้องอยู่เรื่อย

มาเข้าเรื่องดีกว่า แกงอ่อมคือแกงเนื้อวัวที่มีขั้นตอนการทำค่อนข้างนานเลย เพราะว่าต้องต้มเนื้อจนเปื่อย เนื้อวัวส่วนที่เอามาแกงก็จะหลากหลาย ตั้งแต่เนื้อสันธรรมดาๆ จนถึงเครื่องในเช่นกระเพาะ รก ผ้าขี้ริ้ว รสชาติแกงอ่อมจะออกขมนิดๆ เพราะว่าต้องใส่น้ำดี ใส่เพี้ย (ของเหลวในลำไส้ใหญ่ของวัวน่ะค่ะ ยังไม่เป็นขี้นะคะ แต่ก็เกือบๆ แล้วมั้ง -_- )

ตอนเด็กๆ ยิ้มชอบนั่งรอค่ะ พอต้มเนื้อได้เปื่อยดีแล้วก็จะขอตักออกมาเหยาะน้ำปลากินกับข้าวเหนียวก่อนที่จะใส่เครื่องแกงลงไป อร่อยอย่าบอกใคร เค็มๆ แต่หอมเครื่องพวกตะไคร้ ใบมะกรูดที่ใส่ลงไปดับกลิ่นคาว แล้วก็ค่อยมากินแกงเต็มยศอีกทีตอนที่ใส่เครื่องแกงลงไปแล้ว

แกงอ่อมที่ไหนก็ไม่เหมือนแกงอ่อมฝีมือยายนะ...
น่าเสียดายที่ตอนนี้ยายกินเนื้อไม่ได้แล้ว ต้องควบคุมอาหาร
ที่สำคัญก็คือ...ยายลุกขึ้นมาแกงไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ลุกเดินเลย ลุกนั่งก็ยังลำบาก...

ถึงจะไม่มีโอกาสแล้ว...แต่ก็ยังจำรสชาติได้ไม่ลืมเลยค่ะ

4.ปูอ่อง

ปูอ่องนี่...เป็นอาหารที่ 'เมือง' มากค่ะ...มันคือ มันปูนาใส่เกลือจี่ไฟหอมๆ
เมื่อก่อนชอบค่ะ เพราะว่ารอบๆ บ้านยายคนทำนากันเต็ม ปูนาหาง่าย เวลาชาวบ้านเค้าจับปูนาได้ เค้าก็จำได้ว่า 'น้องยิ้ม' ชอบกิน -_- ก็เลยมักจะถามว่าอยากได้ไหม แล้วก็เอามาให้เสมอๆแยกมันมาแล้วเสร็จสรรพ แค่เอามันปูใส่ในกระดองแล้วปิ้งให้มันร้อนฉ่าๆ หอม น่ากิน

เดี๋ยวนี้หายากแล้วค่ะ...เพราะว่าชาวบ้านใช้ยาฆ่าแมลงกันเยอะ ปูนาตายหมด
แถมยังไม่ค่อยเหลือทุ่งนาแล้ว กลายเป็นสวนลำไยไปหมด น้องปูไม่มีที่อยู่

วิถีที่เปลี่ยนไป...คงไม่หวนคืนมาง่ายๆ แล้ว เก็บไว้ได้เพียงภาพในความทรงจำ เพียงแค่เสียใจนิดๆ ที่ลูกหลานของยิ้ม อาจจะไม่รู้จัก 'ปูอ่อง' เลยด้วยซ้ำ

5. ไข่ผึ้ง

ไข่ผึ้งนี่...หาเองไม่ได้หรอกค่ะ อันตราย...แต่ว่ามักจะได้กินถ้าพ่อจ๋าไปออกนิเทศก์ต่างจังหวัดแล้วผ่านตลาดทุ่งเกวียนที่ชายแดนลำพูน - ลำปาง (พูดยังกะชายแดนประเทศ -_-)

ไข่ผึ้งสดๆ ทาน้ำผึ้งแท้ๆ ทาเกลือหน่อยๆ ห่อใบตองปิ้งไฟ กินกับข้าวเหนียวร้อนๆ มันหอม อร่อย อย่าบอกใคร อา...เวลาพ่อจ๋าซื้อกลับมาทียิ้มก็แอบ "เย้....." อยู่ในใจ

เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยได้กินแล้วเหมือนกันค่ะ เพราะสงสาร 'หลายชีวิต' ที่เสียไปในครั้งเดียว ดังนั้นก็เลยพยายามลดการกินไข่อย่างอื่นลงไปด้วย

เหลือแต่ไข่กุ้งในซูชิเนี่ยล่ะ...ที่ยังตัดใจไม่ได้ มันอร่อยง่ะ -_-"


6. ข้าวจี่

ข้าวจี่...อาหาร simple simple มากๆ แต่มันได้อารมณ์จริงๆ เพราะส่วนมากจะกินคู่กับข้าวแคบ (แผ่นแป้งข้าวเจ้าแบๆ คล้ายๆ ข้าวเกรียบแต่เค็มๆ ) ต้องทำเอง กินเอง ใต้ฟ้าพร่างดาว กลางค่ำคืนที่ลมหนาวพัดผ่าน หน้ากองไฟอุ่นๆ จากขอนไม้ใหญ่ มีน้องหมาน้อยๆ ขนนุ่มนอนขดอยู่ที่ปลายเท้า...

นั่นล่ะค่ะ มีโอกาสดื่มด่ำบรรยากาศข้าวจี่อยู่จนถึงม.ต้น หลังจากนั้นก็ไม่มีโอกาสอีกเลย ตั้งแต่ชีวิตหลุดเข้าไปในวงจรเรียนพิเศษ -_- ทำให้ไม่ได้ไปนอนค้างคืนบ้านสวน

ข้าวจี่...ทำง่ายมาก เอาข้าวเหนียว (ยิ่งนึ่งนานยิ่งดี มันเหนียวหนืดๆ ) ปั้นแบนๆ ทาน้ำมัน ทาเกลือ ปิ้งให้ออกน้ำตาลๆ ไหม้นิดๆ บางคนอาจจะทาไข่ ทาน้ำพริกแดง ก็พลิกแพลงกันไป แต่ยิ้มชอบแบบ plain ๆ ทาแต่เกลือนี่แหละ กินไปนอนดูดาวไป ดูดาวไถ ดาวลูกไก่ ดาวค้างคาว ดาวเหนือ (ดาวอื่น ดูไม่ออก -_-) บางทีก็ขอให้ผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีไป สยองๆ ร้อนหน้า หนาวหลัง เพราะว่าหันหน้าเข้ากองไฟ อุ่นเท้า เพราะมีเพื่อนตัวจิ๋วนอนทับอยู่ งื้ด ๆ

บรรยากาศดีจริงๆ เลยยยยยยย

7. น้ำแข็งไส

จริงๆ อันนี้ก็ไม่ได้ unique ขนาดนั้นนะเคอะ เพราะว่าน้ำแข็งไสที่ไหนก็มีได้...
แต่ที่เป็นความทรงจำที่ดีก็เพราะว่า....

พ่อจ๋าซื้อที่ไสน้ำแข็งแบบพ่อค้ามาไว้ที่บ้านเลยเค่อะ แบบว่าให้เด็กๆ ทำกินกันเล่นๆ เวลามีสังสรรค์กัน เหอๆ -_- ก็เลยมีแผนกน้ำแข็งไสอ่ะจ้า ซื้อน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ ที่เรียกว่า 'น้ำแข็งมือ' มาวางบนแท่น เอาแปรงเหล็กสับลงไป แล้วก็ไส ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จนน้ำแข็งร่วงลงมาเป็นปุย

ต้มครองแครง ต้มมันเชื่อม หั่นขนมปัง หั่นเฉาก๊วยใส่โหลแก้วเอาไว้ ซื้อนมข้น ซื้อน้ำแข็ง Hale's Blue Boy มาเตรียมพร้อม โอ....อร่อย ๆ ๆ ยิ้มชอบแบบนมข้มเยอะๆ ไม่ใส่น้ำเชื่อม ทำเองกินเอง สนุกดี...อิอิ


เหอๆ บ่นมาได้เวลาอันสมควร ก็คงต้องขอลา
ไปปั่นงานต่อ...

จะได้ทำอาหารไปร่วมงานปาร์ตี้ได้ทันเวลา
แบบว่า...วันนี้ข้าพเจ้าและผองเพื่อนจะทำ เยลลี่ว้อดก้า กะ โอโคโนมิยากิ
ช่างแตกต่างจากอาหารที่อยู่ในความทรงจำเสียจริง งึมๆ ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2550

เรื่องเก่าๆ เล่าเรื่อยๆ - สัตว์โลกในสวน


Rating:★★★
Category:Other
เหอๆ พอเริ่มมีแนวโน้มว่างานหลักจะเสร็จได้ทันการณ์ ก็แบ่งเวลามาเขียนอะไรเล่นๆ เสียเลย (ชักจะใช้เวลาพักผ่อนนานเกินไปแล้วสิ) แต่ก็นะ...พอเริ่มต้นแล้วมันก็ติดลมน่ะค่ะ

วันนี้นึกถึงสัตว์โลกแสนรักขึ้นมา เพราะสภาพสวนที่เป็นกึ่งสวนกึ่งป่า สิ่งมีชีวิตมากมายก็พากันเข้ามาพึ่งพาอาศัย อยู่ๆ ไปก็รู้จักมากขึ้นทีละตัว สองตัว อะไรที่ไม่เคยเห็นก็เริ่มจะได้เห็น เหมือนเป็นเพื่อนกันนี่แหละค่ะ แต่ว่า...สัตว์บางชนิด ไม่ว่าจะเห็นบ่อยแค่ไหน ก็ทำใจให้ชินไม่ได้เลย ให้ตายสิ T_T ก็รู้ทั้งรู้นะคะ ว่าเขาก็ไม่มาทำอันตรายอะไรเราหรอก ถ้าไม่ไปทำร้ายเขาก่อน แต่ก็โอว....เห็นทีไร ใจมันก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเสียทุกทีสิน่า เพื่อนๆ ที่คุ้นเคยกันก็มีดังนี้ค่ะ

1. ตะขาบทายาทอสูร

เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เคยเห็นตะขาบตัวกว้างขนาดนิ้วชี้ ยาวคืบกว่าๆ ไหมคะ ก็อาจจะเคยแหละ เนอะ แต่เคยโดนมันไต่เท้าไหมคะ ฮือ ๆๆ ๆ ๆ ๆ มันเป็นประสบการณ์ที่พูดไม่ออก บอกไม่ถูกเลยค่ะ ทั้งกลัว ทั้งขวัญเสีย ทั้ง.... หงืดๆ ตอนนั้น ป้าจ๋าเขาสูบน้ำมารดน้ำสนามหญ้าน่ะค่ะ โดยการเอาสายยางที่ต่อมาจากไดโว่วางทิ้งไว้ ก็จะมีน้ำขังเป็นแอ่งๆ ตอนเด็กๆ ก็เป็นเด็กๆ น่ะ ชอบเล่นน้ำ ยิ่งเป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อนด้วย แหม... รดน้ำสนามทีไรก็สวรรค์เลย

"เล่นแต่ตรงสนามหญ้านะ ตรงที่โล่งๆ ตรงนี้"

จริงๆ ก็มีคำสั่งก่อนเล่นแล้วอ้ะ แต่พอเล่นไปๆ ก็เพลิน เริ่มเพิ่มวงกว้างในการเล่นน้ำมากขึ้นๆ จนไปถึงลานดินซึ่งจริงๆ แล้วก็อยู่ในบริเวณหน้าบ้านอยู่ เพียงแต่มันอยู่ใกล้ดงไม้ที่เขาจัดเอาไว้แบบสวนป่านั่นเอง

ตอนแรกก็รู้จั๊กกะจี้ที่เท้านิดๆ เหมือนมีอะไรไต่หรืออะไรไหลผ่าน มองลงไป อ๊ากกกกกก ตะขาบทายาทอสูร ฮือ ๆ ๆ ๆ ๆ แล้วมันก็ค่อยๆ เลื้อยผ่านเท้า แล้วว่ายน้ำเล่น แล้วก็เดินต่อไปบนโคลนเลน ดุ๊กดิ๊กๆ ห่างออกไป ท่ามกลางอาการตกตะลึงของเด็กหญิงยิ้ม

"กรี๊ดดดด กรี๊ดดดดด กรี๊ดดดดด" พอตั้งตัวได้แล้ว...กรี๊ดใหญ่เลยค่ะร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นนาน จนใครๆ ก็ต้องเข้ามาปลอบ...ไม่เล่นแล้วค่ะ
ไม่เข้าไปเล่นน้ำแถวๆ นั้นอีกแล้วค่ะ
นอกจากสัตว์มีพิษตัวใหญ่ๆ อย่างตะขาบ ยังอาจจะมีภัยที่มองไม่เห็นอย่างพยาธิอีกด้วย

โชคดีเหลือเกินที่รอดมาได้

2. ตุ๊กแก

ตุ๊กแก ภาษาเหนือเรียก "ต๊กโต"
ดวงของยิ้มนี่ช่างสมพงศ์กะต๊กโตเหลือเกิน
ตอนเด็กๆ เช่าบ้านทรงไทยที่ไม่ค่อยมิดชิดอยู่ที่เชียงใหม่ก็เจอตุ๊กแกสีฟ้าลายจุดแดงมาเกาะเป็นเพื่อนตรงเสาห้องนอนทุกวัน พอย้ายบ้านมาอยู่หลังปัจจุบันที่มิดชิดดี ตุ๊กแกสวน ก็เริ่มมาขยายพันธุ์ที่บ้านยายอีก สภาพบ้านยายตอนนั้นก็ไม่มีมุ้งลวดนะคะ จะนอนก็ต้องใช้มุ้ง 4 เสาเอา เพราะว่าส่วนบนของบ้านก็เหมือนเรือนไทยทั่วไปแหละ หลังคาสูง และโปร่ง มองเห็นกระเบื้องมุงหลังคาเลย จะว่าเย็นดี ลมโกรกดี มันก็ดีอยู่หรอก แต่ว่าน้องตุ๊กเนี่ย....ชอบแวะเวียนมาเยี่ยมอยู่เรื่อย บางทีก็มาเกาะอยู่ตรงห้องน้ำเอาเสียเลย

บางตัวก็สีน้ำตาลๆ
บางตัวก็มีลายจุดแดงๆ แต่ยิ้มจะกลัวตัวสีฟ้าๆ ลายจุดแดงที่สุด อี๋....ธรรมชาติสร้างสรรค์มาได้ไง ฮือ ๆ ยิ่งเวลาได้ยินคนขู่

"อย่าดื้อนะๆ เดี๋ยวตุ๊กแกจะมาเกาะคอ ถ้าโดนมันเกาะแล้วมันไม่ปล่อยนะ ต้องรอให้ฟ้าร้องมันถึงจะปล่อย"

โฮ....คุณขา
แค่จินตนาการว่ามีสิ่งมีชีวิตหน้าตาคล้ายจิ้งจกตัวยาวเกือบศอก นิ่มๆ หยุ่นๆ ตีนเหนียวยังกะกาวมาเกาะตรงคอ กระดิกหางไปมาเป็นตัว S ฮือออออออออออออ
แค่นี้ก็ทนไม่ได้แล้ว ดังนั้น....เมื่อเห็นตุ๊กแกเกาะในห้องน้ำ ยิ้มจึงไม่ยอมอาบน้ำเด็ดขาด -_-"
"จะกลัวอะไรเล่า ก็อาบๆ ไปเถอะ" ป้าจ๋าบอก
"ฮือ...ถ้ามันร่วงลงมาล่ะ ตกลงมาใส่ยิ้มพอดีก็แย่สิ"

ด้วยความหวาดหวั่น แต่จำเป็นต้องอาบ เพราะวันนั้นไปทำตัวมอมแมมมา ก็เลยตัดสินใจไปอาบโล่งๆ ที่โอ่งมังกรตรงลานล้างจานแทน ปิดไฟให้มืดเสียก็ไม่มีใครเห็น

อ่า...ได้อาบน้ำในห้องน้ำที่ไม่มีฝา มีดวงดาวเป็นฝ้าเพดาน ส่องแสงระยิบๆ สลัวๆ ก็โรแมนติกดีนะคะ แต่ตอนนั้น ไม่มีอารมณ์ดื่มด่ำหรอกค่ะ เป็นโรค Geckophobia ไปแล้น....อาบไปก็สยองไป กลัวว่ามันจะโผล่มาจากในโอ่งด้วยซ้ำ ไม่คิดมั่งเลยว่าน้ำก็มีออกเต็ม ถ้าเข้าไปอยู่ได้ ก็แปลว่าตุ๊กแกมันเรียนดำน้ำแล้ว...งือๆ ๆ

3. นกกะปูด ไม่รู้สะกดยังไงน่ะค่ะ

ปู๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
นกกะปูดตาแดง น้ำแห้งก็ตาย
เพลงนี้ตอนเด็กๆ ก็เคยได้ยินมาบ้างน่ะค่ะ ตอนแรกๆ นกกะปูดเป็นของหายากมากในแถบ บ้านล้อง อ. ป่าซาง เพราะน้ำเหมืองมันแห้งอยู่เป็นนิจ มันจะมาก็ต่อเมื่อฤดูฝนมาถึงแล้วเท่านั้นแหละ แล้วก็อยู่อย่างนั้นอีกครึ่งปี จนหมดหนาว เข้าสู่หน้าแล้ง

ครั้งแรกที่เห็นนกกะปูดยิ้มคิดว่าเป็นแม่ไก่เสียอีก ก็ตัวมันใหญ่ แต่สีมันแปลกๆ หางมันสีรน้ำตาลอ่อนๆ ยาวๆ นกกะปูดนี้ เค้าว่าเป็นนกนิสัยไม่ดี ชอบกินลูกนกอื่นๆ น่ะค่ะ ตั้งแต่มีนกกะปูดมา เสียงปู๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ ก็ดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ ๆ ๆ แต่เสียงนกจิ๊บๆ ๆ ๆ ก็ลดลงๆ จนชาวบ้านเริ่มออกมายิงนกกะปูดกัน

แต่ว่าเขตบ้านยายยิ้ม 'ดุ' ค่ะ ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามายิงหรอก
'ดุ' อันดับที่หนึ่ง ยายกับป้าจ๋าน่ะดุ ใครๆ ก็กลัว ยิ่งป้าจ๋าด้วยแล้ว...สมัยสาวๆ เค้าเป็นประธานกลุ่มหนุ่มสาวน่ะ (แต่ก็เป็นช่างฟ้อนของหมู่บ้านด้วย ช่างเป็นบทบาทที่ อื่ม...เข้ากันจริงๆ)

'ดุ' อันดับที่สองคือ หมาดุค่ะ มีสวนก็ต้องมีหมาเฝ้าสวน แล้วแต่ละตัวที่มีก็จงรักภักดีเหลือเกิน ความดุของหมาเลื่องลือไปหมด

'ดุ' อันดับสามคือผีดุค่ะ คนเขาชอบร่ำลือกันว่าแถวนั้นน่ะ ของแรง...เพราะสวนเราอยู่ตรงที่กลางหมู่บ้านพอดี แถมมีต้นข่อยสูงใหญ่ดกหนาอยู่ตรงมุมบ้านสร้างความเกรงขามให้ประชาชี ก็อยู่มาแต่เล็กจนโตก็ไม่เห็นมีอะไร แต่คนเค้าก็กลัว...ตกเย็นมานี่ก็ไม่ค่อยชอบเดินกันละ บางคนเจ็บป่วยอะไรก็มาทำพิธีเลี้ยงผีแถวๆ บ้านยาย ก็นะ...อื่ม...ดีละ คนจะได้ไม่ค่อยมายุ่ง

หมายเหตุ: พิธีเลี้ยงผีนี่ คือเขาจะเอาถาดอาหาร เหล้า ไปไว้ทางที่เชื่อว่ามี 'สิ่งเหนือธรรมชาติ' อยู่น่ะค่ะ แล้วก็ขอขมาลาโทษ เพราะคิดว่าตนเองไปทำอะไรไม่ดีไว้ เลยโดนทำให้เจ็บป่วย

แต่นั่นแหละ มีหรือไม่มี ก็บอกไม่ได้ เพราะอยู่มาเองก็ไม่ได้เป็นอะไร สวนนี้ก็เลยเป็นเหมือน sanctuary ของนก รวมถึงนกกะปูดนี้ด้วย จากสมัยก่อนที่เริ่มตื่นเมื่อไก่ขัน เอ้ก อี๋ เอ้ก เอ้ก ช่วงหลังๆ ยิ้มก็เริ่มตื่นเพราะเสียงนกกะปูดร้องแทน

'ปู๊ด ๆ ๆๆๆ ' ถึงจะเป็นนกเกเร... แต่ว่าเสียงของมันก็ทำให้ยิ้มรู้สึกดีล่ะนะ รู้สึกดีจังที่ได้กลับไปนอนบ้านสวนอากาศดีๆ สูดหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง

4.แมงเม่า - แมงมัน

2 ชนิดนี้ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันนะคะ แต่มันจะกลายมาเป็นาหารเหมือนกันน่ะค่ะ เลยเอามารวมไว้ในข้อนี้

แมงเปล่าในบริบทนี้คือแมงเม่าปลวกนะคะ แมงเม่ามดสีดำๆ ไม่นับ เพราะกินไม่ได้ แต่แมงเม่าปลวกนี่ ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกมันจะออกมายามหลังฝนตกน่ะค่ะ ออกมาตามหาแสงไฟ เหมือนเค้าว่ามันจะออกมาผสมพันธุ์ แล้วก็ไข่ แล้วก็ตาย ออกมาทีไรตุ๊กแก จิ้งจกก็เปรมปรีดา แต่ว่าเจ้าของบ้านหน้าหงิก เพราะว่ามันจะปลิดปลีกของตัวเองก่อนตายทำให้รกไปทั้งบ้าน แถมยังเสี่ยงกะการที่มันไข่ทิ้งยังผลให้ปลวกตัวเล็กๆ ขึ้นบ้านทีหลังอีก ยิ่งบ้านเป็นไม้ไปครึ่งหลังด้วย

ตอนนั้นไม่รู้ใครชักนำ แต่ยิ้มกระโดดหยองๆ จับแมงเม่าน่ะค่ะ
ไม่ได้จับเล่นๆ นะ แต่จะเอาไปคั่วกิน -_-
ค่ะ แมงเม่าคั่วเกลือกรอบๆ อร่อยนะ จะบอกให้

ตอนแรกก็ยังแรงดี จับได้เยอะๆ หลังๆ เริ่มแรงตก รอให้มันตกลงมาในกะละมังใส่น้ำดีกว่า พอได้เยอะๆ ก็โกย เอาไปคั่วยามเช้า

นี่แหละหนอ...แมงเม่า...
เห็นแสงเรืองๆ คิดว่าเปลวไฟ พอบินตกลงไปถึงได้รู้วาแท้จริงแล้วเป็นน้ำ ต้องมาจบชีวิตลง

บาปจัง ที่ทำอย่างนั้นกับมัน
บาปจังที่เอามันไปคั่วกิน...
ตอนนี้ไม่ทำอีกแล้วค่ะ พอแมงเม่าออก ก็ปิดไฟนอนไปเลยดีกว่า มันจะได้ไม่มาหาแสงไฟแถวๆ นี้

ส่วนแมงมัน...อันนี้บาปก่าอีกค่ะ เพราะว่าเป็นการไปหาของกินโดยตั้งใจ พอรู้กันว่าแมงมันออก ชาวบ้านก็จะบอกต่อๆ กันไปเรื่อยๆ แมงมันมันตัวสีส้มๆ กลมๆ น่ะค่ะ ออกมาจากรูดิน ชาวบ้านก็จะไปนั่งรอ พอออกมาก็ โช้ะ...เสร็จล่ะ ลงไปอยู่ในขวดเลย

เลิกแล้วค่ะ ตอนนี้ยิ้มเลิกกินแมงๆ ทั้งหลายแล้วค่ะ


5. งู

งูนี่...เป็นอะไรที่ไม่น่าพิสมัยเลย ให้ตายสิ
ธรรมชาติอุตส่าห์สรรค์สร้างสีแปลกๆ ให้มันแล้ว แต่ก็นะ ยังทำให้คนเราหวาดกลัวได้แฮะ อาจะเป็นเพราะ พิษ ที่มันมีไว้ป้องกันตัวก็เป็นได้...

พิษของมัน...ที่ทำให้มนุษย์รู้สึกว่าอำนาจของตนกำลังถูกท้าทาย...

ก็น่าสงสารนะ เวลาที่งูหลงเข้าบ้านแล้วโดนฆ่า...แต่ถ้าไม่ทำ...งูก็อาจจะย้อนกลับมาทำร้ายคนในครอบครัวได้ เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจ อาจจะป้องกันตัว แต่ว่า...
เป็นธรรมดาของสัตว์โลกกระมัง
ผู้ใดแข็งแรงกว่าก็อยู่รอด...

ดังนั้น งูแส้ม้าทั้งหลายที่หลงเข้ามาอยู่ในบ้านยายก็โดนทุบตีให้ตายตกไปหลายต่อหลายตัวแล้ว ถ้าอยู่นอกบ้าน ตากับยายจะไม่ไปยุ่งกับมันเลย แต่ถ้าเข้ามาในเขตอธิปไตยของคน มันก็จำเป็นต้องทำล่ะนะ

งูที่บ้านยายมีหลายหลากค่ะ โชคดีที่ไม่เคยเจองูเห่า แต่มีงูสิง งูแส้ม้า งู.. งู... ไม่รู้อ้ะ จำชื่อไม่ได้แล้ว น่ากลัว

บางทีเดินไปเก็บลำไย มันเลื้อยตัดหน้าไปเลยก็มี
บางทีมันลอกคราบไว้ให้ดูต่างหน้าในบ้านเลยก็มี
งือ... >_<~~

ประสบการณ์อันใกล้ชิดที่สุดของคนรู้จักกับงู คือพ่อจ๋า
ตอนนั้นพ่อจ๋ายังเห่อกะสวนลำไยที่เพิ่งเป็นรูปเป็นร่าง
พ่อจ๋าก้มๆ เงยๆ ถางหญ้าอยู่ รู้สึกเหมือนมีไม้ดีดป๊อก ๆ ๆ ๆ ก็ งงๆ ว่ามีอะไร
พอเงยหน้าขึ้นมา เจ้างูเขียวค่ะ งูเขียวมันฉกหัวอยู่ แต่ว่าไม่เข้า พ่อจ๋ามาเล่าทีหลังว่าเขี้ยวมันโง้ง..ถ้ามันพุ่งเข้าชน มันก็ฉกไม่เข้าแต่ถ้ามันเอียงตัวแล้วฉก อันนี้ก็น่าเป็นห่วง...
พอพ่อจ๋าเงยหน้าขึ้นมา อูยยยยย ช็อคไปเลย

ขนาดลุกขึ้นยืนแล้วมันยักชนป๊อกๆ ๆ อยู่เลย จนต้องกระเถิบ ๆ ๆ ๆ ออกมา

งูมันคงคิดว่าพ่อจ๋าจะมาทำร้ายเอาน่ะค่ะ งือ...แต่ก็ขอขอบคุณน้องงู ที่แค่ชนๆ เตือน ไม่ได้ทำร้ายพ่อจ๋ามากไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นยังไงมั่งก็ไม่รู้ ถ้าเกิดน้องงูเขียว เป็นงูเขียวหางไหม้ แล้วน้องงูเขียวมีความรู้ทางฟิสิกส์ สามารถคำนวณมุมในการฉกได้อย่างแม่นยำ เด็กหญิงยิ้มก็คงแย่ไปแล้ว กำพร้าพ่อแต่เด็ก

6. มิ้น

มิ้น นี่...ภาษากลางเรียกว่าผึ้งมิ้มมั้งคะ มันคล้ายๆ ผึ้งแต่ว่าตัวเล็กกว่า รังเล็กกว่า และให้น้ำหวานที่รสชาติหวานแหลมกว่า (ยิ้มว่านะ แต่มันอาจจะขึ้นอยู่กับชนิดดอกไม้ ก็ได้)

มิ้นอยู่ที่ไหน คนบ่นที่นั่น เพราะว่ามันชอบออกมากินน้ำบนลานค่ะ แล้วคนหลายๆ คนก็ชอบเดินเท้าเปล่า เพราะคิดว่าลานคอนกรีตหรือลานอิฐ คงไม่เป็นไร แล้วถ้าบังเอิญไปเหยียบเอาพวกนี้เข้า ก็โดนต่อยจนร้องจ๊ากกก เจ็บไปถึงไหนๆ ยิ่งคนฝ่าเท้าอ่อนๆแบบเด็กๆ ด้วยแล้ว

ใช่ค่ะ...ตอนเด็กๆ ยิ้มก็โดนบ่อย เจ็บถึงใจเลยอ้ะ ตอนนั้นฝ่าเท้าแบบบาง ลองมาโดนตอนนี้ดิ อาจจะต่อยไม่เข้าก็ได้ -_- ตอนนี้ด้านทั้งฝ่ามือฝ่าเท้าเลยค่ะ งง ๆ อยู่ มือด้านนี่พอเข้าใจ ว่าเป็นเพราะขุดเยอะ แต่เท้าด้านนี่ งง... เราก้ใส่ถุงเท้าตลอดนี่นา...

แต่นั่นแหละค่ะ วันดีคืนดี ถ้าตาไปเจอรังมิ้นใหม่ๆ ตาก็จะตัดมา
เป็นการทำให้สิ่งมีชีวิตอีกกลุ่มใหญ่ๆ ไร้ที่อยู่อาศัย
ค่ะ ก็รู้นะ -_- แต่ว่าน้ำมิ้นมันอร่อยมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เลยอ่ะ
น้ำผึ้งขวดที่ขายๆ อยู่เทียบไม่ติดแม้แต่กระผีกริ้น อาจจะเป็นเพราะพวกนั้นมีน้ำตาลปนเยอะก็ได้ น้ำมิ้นที่เอามากรอกใส่ขวดเองนี้ คั้นเองกะมือนี่นา หอมๆ สดๆ ไร้สิ่งเจือปนร้อยเปอร์เซ็นต์

ยังจำกลิ่น จำรสได้ไม่ลืมเลือนเลยค่ะ
วันสุดท้ายที่ได้ชิมน้ำมิ้นมันก็นาน น้าน นาน มาแล้ว
15 ปีมาแล้วมั้งคะเนี่ย

อ่า เล่าเท่านี้ก่อนละกัน วันนี้ ไปหาข้าวกลางวันกินดีกว่า มาถึงนี่ชักหิวแหะๆ
คงต้องกินหนมปังทาเนย น้ำผึ้งของที่นี่ไปก่อนล่ะค่ะ -_-

ตอนก่อนๆ
http://fahpraifon.multiply.com/reviews/item/15
http://fahpraifon.multiply.com/reviews/item/14

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2550

เรื่องเก่าๆ เล่าเรื่อยๆ - ต้นไม้ในสวน


Rating:★★★
Category:Other
ตอนที่ผ่านมามันคือบทนำค่ะ...เป็นอะไรที่ปูพื้นก่อนที่จะไปสู่กล่องความทรงจำทั้งหลายแหล่ของยิ้ม ซึ่งที่เขียนมายาวเหยียดนั้น จริงๆ แล้วก็แค่สื่อว่า
1. บ้านยายเป็นบ้านสวน
2. อยู่ อ. ป่าซาง จ. ลำพูน

ที่ลืมบอกไปก็คือ...ถิ่นนั้นเป็นถิ่นคนไทยองค่ะ (ขอใช้คำว่า ไทยองนะคะ เพราะคนยองไม่มีเสียงนาสิกแบบ 'ญอง' ในคำเมืองน่ะค่ะ) ภาษายองก็ไม่ต่างจากคำเมืองที่พูดกันทั้งภาคเหนือหรอกนะ ต่างกันก็แค่สำเนียงที่เสียงต่ำกว่า ฟังเผินๆ ก็อาจจะคล้ายๆ อีสาน แต่ว่าทอดหางเสียงนุ่มกว่า

recap เรียบร้อยแล้วก็มาบ่นอะไรให้เข้าชื่อตอนกัน วันนี้คงจะย้อนรอยอดีตไปถึงต้นไม้น่ะค่ะ เพราะด้วยความที่บ้านยายมีต้นไม้เยอะมหาศาล ใช้ประโยชน์ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม กินสดก็ได้ เอามาทำอาหารก็ได้ ทำยาก็ได้ ก็เลยขอถือโอกาสยกเอาพืชพันธุ์ที่แอบประทับใจมานานแล้วมาเขียนเล่าเสียเลย เพราะตั้งแต่เด็กจนโตก็แทบจะชินกับภาพที่ตาเดินเข้าไปในสวน พร้อมกับมีดขนาดใหญ่ หรือไม่ก็เสียม แล้วก็เดินกลับมาพร้อมผลิตผลของต้นไม้ในสวนไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเสมอ...ของดีมีอยู่ใกล้ตัวนะคะ รู้จักเสาะหา ก็มีมาเรื่อยๆ ไม่หมดสิ้นแหละค่ะ

พืชทื่ยิ้มชอบและประทับใจก็มีดังนี้

1. สาคูกะ ข้าวโพดเทียน
ตาบอกว่าคำในภาษากลางเรียกว่าสาคู แต่ภาษายองท้องถิ่นเฮาเรียกว่า จะ-คู ไม่คิดว่าเจ้าต้นไม้ต้นนี้เป็นวัตถุดิบของสาคูที่เอามาทำเป็นเม็ดๆ หรอกนะ คิดว่าบังเอิญชื่อมันตรงกันมากกว่า เจ้าสาคูนี่เป็นพืชหัวค่ะ ใบเลี้ยงเดี่ยวยาวๆ ดูบนดินดูไม่ออก ดูแล้วไม่รู้เลยว่าต้นมันอยู่ไหน แต่พอย่ำค่ำมาตาก็มักจะขุดเจ้าสาคูนี่มาให้แล้วนับสิบหัว พร้อมกับกระบุงใส่ข้าวโพดเทียน (เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวที่เม็ดเล็ก เหนียว นุ่มและหวานน่ะค่ะ ไม่ได้จืดเหมือนข้าวโพดข้าวเหนียวฝักโตๆ ที่ขายในกระบุงคู่กับข้าวโพดหวานสีเหลืองๆ ) ในฤดูหนาวนี่..ไม่มีอะไรสุขสันต์ไปกว่านั่งกินข้าวโพดกะหัวสาคูต้มร้อนๆ หน้ากองไฟหรอกค่ะ หรือถ้ามีอารมณ์ เอาฝักข้าวโพดหมกในกองขี้เถ้าเลยก็ยิ่งจะได้ข้าวโพดปิ้งหอมหวนอร่อย เปี่ยมไปด้วยอนุมูลอิสระทันที

อยู่ที่ York นี่มันก็หนาวๆ นะ หลายครั้งก็อดคิดไปถึงกองไฟอุ่นๆ ข้าวจี่ ข้าวแคบ ข้าวโพดปิ้งไม่ได้...แต่นี่เหรอ หนาวนักก็ว้อดก้า หือไม่ก็ mulled wine ค่ะ -_- (mulled wine = ไวน์แดงต้มใส่ส้มใส่ซินนามอน จิบร้อนๆ อร่อยนักแล)

2. มะม่วงนานาพันธุ์
พูดถึงมะม่วงนี่...เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ภาคอื่นคงรู้จักมะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงอกร่อง มะม่วงแรดใช่ไหมล่ะ บางคนที่สนใจด้านการเกษตรก็อาจจะรู้จักโชคอนันต์ มะม่วงพันธุ์ที่ออกลูกดกออกลูกหวานกรอบได้ทั้งปีแต่ต้องใช้วิธีต่อกิ่งหรือติดตาเอา เพราะถ้าเอาเม็ดไปปลูกมันพานจะกลายพันธุ์เอาง่ายๆ มะม่วงพันธุ์ที่ยิ้มชอบ ไม่ได้เป็หนึ่งในนั้นเลยค่ะ ยิ้มว่ามะม่วงพวกนั้นรสชาติมันละมุน เป็นผู้ดีเกินไป แล้วก็หวาน นิ่ม หอมเกินไป ขาดความเข้มแข็ง และขาดความเข้มข้นเหนียวหนืดในเนื้อมะม่วง (texture) อย่างรุนแรง

ดังนั้น...มะม่วงที่ยิ้มชอบคือ มะม่วงแก้วค่ะ
มะม่วงบ้านๆ ธรรมดาๆ ที่ราคาถูกกว่ามะม่วงอกร่องอีก แต่ถ้ามะม่วงแก้วต้นไหนในบ้านยายสุก ก็ไม่ได้ขายหรอกค่ะ จองแล้วเน้อ...ก็ชอบนี่นา มันไม่มีกลิ่นหอมหวานเหมือนมะม่วงอกร่อง แต่ว่ามันหอมอ่อนๆ เนื้อมันก็เหนียวกำลังดี ไม่ได้นิ่มจนละลายในปาก ไม่ได้กินมานานแล้วค่ะ ครั้งสุดท้ายที่ได้กินมะม่วงที่รสชาติคล้ายๆ มะม่วงแก้วก็คือมะม่วงอินเดียลูกเท่าหม้อที่อังกฤษนี่แหละ

มะม่วงอีกพันธุ์ที่ชอบมากคือมะม่วงตลับนาก ซึ่งเป็นมะม่วงลูกกลมๆ เหมือนตลับ คล้ายมะม่วงอินเดียแต่ลูกเล็กกว่า ไม่ว่าจะยามสุกหรือยามดิบก็เปรี้ยวขาดใจ ที่ชอบยก็เพราะความเปรี้ยวนี่ล่ะค่ะ เอามาฝานๆ ๆ ใส่น้ำปลา น้ำตาล กุ้งแห้ง หัวหอม (ถ้ายามยากไม่ต้องใส่กุ้งแห้งกะหัวหอมก็ได้ แค่น้ำปลา น้ำตาลก็แซ่บหลายแล้ว) อูยยยยย แค่คิดน้ำลายก็ขึ้นมารอที่ปากแล้ว สาวกลัทธิมะม่วงฝานนี้ มีสมาชิกหลัก 2 คนค่ะ คือยิ้มกับยาย ไม่ใครคนใดคนหนึ่งน่ะ จะฝานแล้วชวนอีกฝ่ายมาแจมเสมอ...

มาห่างๆ ไปก็ตอนยายเป็นเบาหวานหนักนี่แหละ เฮ้อ กินคนเดียวก็ไม่อร่อย เพราะพ่อจ๋า กะ แม่จ๋าก็ชอบบ่นว่ามันเปรี้ยวเกินไป เปรี้ยวจนเข็ดฟัน

3. หญ้า คxxงู
ใช่ค่ะ -_- มันคือคำคำนั้นแหละ 'คxxงู' ชาวบ้านเรียกชื่อมันอย่างนั้นเต็มบ้านเต็มเมือง มันเป็นพืชเถาๆ เลื้อยตามพื้น มีดอกที่เหนียวหนึบติดกางเกงคนดีนักแล แต่ว่าใบของมันมีสรรพคุณแก้โรคปัสสาวะบ่อย และเมื่ออายุประมาณๆได้ 5 ขวบ ศศิษยาก็ต้องใช้บริการหญ้านี้จนได้ เพราะว่าโรคนั้นมันบังอาจแวะมากล้ำกราย -_- อัตราการเข้าห้องน้ำตอนนั้นเหรอคะ ทุกๆ 10 นาทีเห็นจะได้มั้งคะ แล้วมันก็กระปริบกระปรอย รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันก็ไม่หาย ชาวบ้านก็เลยแนะนำยายให้เอามาทดลองกะหลานสุดที่รักดู แล้วยายก็ไปเอามาให้จริงๆ ด้วยแฮะ ส่วนป้าจ๋าก็จัดการต้มกะน้ำ ใส่น้ำตาลเรียบร้อยเพราะรู้ดีว่ายิ้มคงไม่ยอมซดขมๆ หรอก

ก็ไม่รู้น่ะนะ ว่าอาการหายไปเพราะอะไร แต่พอขึ้น ป. 1 ก็ไม่ได้เข้าห้องน้ำบ่อยอีกละ
ใครจะเอาไปลองดูก็ได้นะคะ

4. ดอกขจร
ดอกขจรเป็นดอกไม้สีส้มๆ ดอกเล็กๆ หอมอ่อนๆ ต้นมีลักษณะเป็นพืชเถาค่ะ ทีนี้...ต้นขจรในบ้านยายมันไหลเลื้อยขึ้นไปกะต้นหลิว ส่วนยอดที่จะผลิดอกก็อยู่สูงลิบ ดังนั้น...การจะได้ชื่นชมดอกขจรที่อยู่สูงเทียมฟ้าในสายตาของเด็กน้อยในยามนั้น...ก็ทำได้แค่รอมันร่วงลงมาเท่านั้นแหละ

แล้วดอกไม้มันก็จะร่วงลงมาตอนเช้าๆ (จริงๆ มันคงร่วงทุกตอนแหละ แต่ว่าทั้งป้าจ๋า ทั้งยายช่างกวาดใบไม้กันมาก ถ้าไม่เก็บตอนเช้า ก็ไม่มีโอกาสเก็บแล้วค่ะ)

เมื่อเก็บดอกขจรได้...ก็เอามาร้อยกับด้ายทำสร้อยข้อมือ (ไม่เคยเก็บได้เยอะพอจะร้อยเป็นสร้อยคอเสียที) บางครั้งก็เอามาลอยในขันน้ำ เป็นขันแร่สีเงินค่ะ ดูสวยๆ เย็นๆ ดี ไม่มีประโยชน์ด้านอื่นหรอกค่ะ แต่มันจรรโลงใจนะ ^ ^

5. ไผ่ตง
ชอบไผ่ตงเพราะชอบหน่อไม้ค่ะ แล้วเจ้าไผ่ตงที่พ่อจ๋าเอามาปลูกที่สวนทุ่งนานี่...มันหวานได้ใจดีจริงๆ เลย เอามาแกงใส่ชะอมแบบภาคเหนือแล้ว โอว....สวรรค์
แต่ว่า...นานๆ ทีมันจะงอกขึ้นมาสักหน่อหนึ่งน่ะนะ เวลาที่ยายหรือตาไปเจอก็จะขุดๆ เอามาเก็บไว้ เวลาวันพระก็แกงไปทำบุญบ้าง เวลาที่เพื่อนบ้านแวะมาหาก้ชวนกินบ้าง รู้สึกว่า...ไม่นานข่าวคราวหน่อไม้หวานก็ลือกระฉ่อน...ส่วนมากจะพูดถึงด้วยความชื่นชม แต่แล้ว เพื่อนบ้านคนหน่งที่อยู่ติดกะสวนทุ่งนาเลยก็โพล่งออกมากลางวงสนทนาของชาวบ้าน

"อื๊อ...บ่หันลำเลย หน่อสีสุกลำกว่านัก" (เสียงในฟิล์มนะเนี่ย แปลว่า ไม่เห็นอร่อยเลย หน่อไม้ไผ่สีสุกอร่อยกว่า) คนก็หันไปมองหน้า...เอ๊ะ รู้ได้ยังไง ไม่เคยชวนมากินเสียหน่อย

อ่า...ความก็เลยแตกว่าเขาไป 'ปันกันกินโดยไม่ได้รับอนุญาต' หรือเรียกง่ายๆ ว่าจิ๊กกันไปกินนั่นเองท่านผู้อ่าน...นิสัยอย่างนี้ไม่ดีเลยอ้ะ แค่หน่อไม้ ถ้ามาขอดีๆ ใครจะให้ไม่ได้ล่ะเนอะ นี่ก็ไม่รู้ว่ามะขามหวานเอย มะม่วงเอย จะโดนจิ๊กไปมั่งรึเปล่านะเนี่ยยยยย

6. เห็ดโคน

เขียนถึงพืชทั้งหลาย...จะไม่ให้พูดถึงเห็ดโคนนี่ เป็นไปไม่ได้ค่ะ เพราะเมื่อตอนที่ยังอยู่เมืองไทย ช่วงเวลาที่ยิ้มรออย่างใจจดใจจ่อก็คือ หน้าฝน แล้วก็รอให้เจ้าเห็ดโคนนี้ผุดขึ้นมาจากบริเวณใกล้ๆ จอมปลวก

เขาว่าเชื้อเห็ดโคนมันเกิดจากเอนไซม์อะไรไม่รู้ที่ปลวกมันมีอยู่น่ะค่ะ พอฝนตกมันก็ขึ้น เห็ดโคนสวนมันต่างกับเห็ดโคนป่าตรงที่ใบเห็ดบ้านมันลื่นๆ เวลาเอาไปแกงกับบวบแอบ บวบลูกกลม (ต่อไปนี้จะเรียกว่าบ่าแอบ) มันจะอร่อยโดยธรรมชาติของมัน เห็ดโคนป่ามันสากๆ โคนก็ไม่ขาวอวบ หวานกรอบเท่า แต่ถ้าจะให้ซื้อข้างทางเหรอคะ โลนึงก็ 200 เห็นจะได้มั้งคะ ไม่รู้ตอนนี้ราคาเท่าไหร่แล้วด้วย น่าจะแพงขึ้น

มันอร่อยเพราะป็นของหายากค่ะ นานทีจะโผล่มาเสียครั้ง ตอนเด็กๆ ได้กินบ่อย เพราะว่าไปบ้านยายเสียทุกสัปดาห์อย่างนั้น พอขึ้นม.ปลาย ก็ยังพอได้กิน เพราะยายเก็บไว้ให้ แว้ว่าจะต้องไปเรียนพิเศษเสียทุกเสาร์ อาทิตย์ ตั้งแต่มาเรียนที่อังกฤษนี่...ได้กินนับครั้งได้เลย ต้องรอให้มันฟลุคโผล่ออกมาตอนกลับเมองไทยพอดี ส่วนมากก็จะไม่ค่อยทันก็ต้องนึกถึงวันเวลาดีๆ เก่าๆ ล่ะนะ

ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเพาะเห็ดโคนได้หรือยัง ถึงจะได้แล้ว...ก็คงไม่ชื่นใจเท่าเห็ดธรรมชาติหรอกค่ะ ความอร่อยและคุณค่ามันอยู่ที่วิธีการทำให้ได้มาเนอะ ^ ^

จริงๆ แล้ว ต้นไม้ที่ประทับใจยังมีอีกเยอะน่ะ แต่ว่าบ่นแค่นี้ดีกว่า หาโอกาสเปลี่ยนอิริยาบถ (ของสมอง) จากการเขียนงานน่ะค่ะ เปลียนเรื่องคิดบ้าง เป็นการพักผ่อน

ชิ่งแล้วนะ

เรื่องเก่าๆ เล่าเรื่อยๆ

Rating:★★★
Category:Other
กลับมาเขียนอีกรอบแล้วนะคะ ตามประสาคนชอบเปิดประเด็นทิ้งไว้แล้วหายไป ดูตัวอย่างเช่นทศบารมีที่ไม่มาต่อให้ครบทั้ง 10 ประการ ก็นะ คนเขียนยังปฏิบัติไม่ครบ -_-" ก็เลยถือโอกาสติดเอาไว้ก่อนซะงั้น...วันนี้อยู่ดีๆ ก็คิดถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมา จริงๆ ก็อยู่ไม่ดีหรอกค่ะ วันนี้ยิ้มคุยกับพี่สาวคนหนึ่งทาง msn พูดถึงวงจรชีวิตที่นอนกลางวัน ตื่นกลางคืน ก็เลยคิดถึงนกฮูก...แล้วพอพูดถึงนกฮูก ภาพในหัวก็พานล่องลอยไปถึงเสียง กรู๊ววว กรู๊วววว ที่ต้น 'บ่ากุ๊ก' หรือต้นมะกอกที่ขึ้นใกล้ๆ กับห้องครัวของบ้านยาย แล้วก็อดคิดถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมาไม่ได้

ความจริงแล้วอยากจะเขียนเล่าเรื่องพวกนี้ไว้นานแล้วล่ะ แต่ว่ามีรุ่นพี่อีกท่านหนึ่ง เขียนถึงชีวิตชนบทเอาไว้อย่างน่าประทับใจมาก สำนวนอะไรนี่ เรียบรื่น อ่านสบาย มีความคิดสอดแทรกเอาไว้อย่างชาญฉลาด ข้าพเจ้าก็เลยไม่กล้าเริ่มเขียน แหะๆ เพราะว่าเป็นคนเหนือเหมือนกัน ขนบ ธรรมเนียม ประเพณีอะไรก็น่าจะคล้ายๆ กัน เดี๋ยวเกิดการเปรียบเทียบ

แต่วันนี้...
เอาเถอะ หนูเปล่าน้า...หนูไม่ได้ลอกนะ หนูอยากเล่ามั่งง่ะ คิดถึงนกฮูกกุ๊กกรู คิดถึงกลิ่นหอมๆ ของไอดินยามฝนตกใหม่ คิดถึงแปลงผักกาดเขียวขจีที่เป็นคนขุดแล้วก็ตั้งแปลงมากับมือ คิดถึงน้องหมาเฝ้าสวนนับสิบตัวที่เคยวิ่งไล่ วิ่งเล่น คิดถึงตา...ผู้จากไปและไม่มีวันหวนกลับมาหาหลานคนนี้ได้อีกแล้ว คิดถึงยาย...ที่กำลังรอการกลับไปของหลานคนนี้อยู่ที่บ้าน

ก็เลยมาเปิดไห 'เรื่องเก่าๆ เล่าเรื่อยๆ' ไว้ดังนี้แล...นึกอะไรได้ก็คงจะมาเล่าๆ เติมๆ

เรื่องของเรื่องก็คือ 'น้องยิ้ม' ในสมัยนั้นเป็นเด็กสองแผ่นดิน ไม่ได้เป็นลูกครึ่งหรอกค่ะ แต่เป็นคนที่ต้องใช้ชีวิตสองสถานที่ อันได้แก่เชียงใหม่ และลำพูน (พูดอย่างกับมันห่างกันมากอย่างนั้นแหละ) ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาที่เชียงใหม่วันจันทร์ - ศุกร์ แล้วเดินทางไปสิงสถิตย์ที่บ้านยาย ณ อำเภอป่าซางแค่ เสาร์ - อาทิตย์ แต่ทุกครั้งที่มีปิดภาคเรียนยาวๆ อย่างเดือนตุลา หรือ มีนา - เมษา ก็ขนข้าวของกลับไปอยู่ที่บ้านยายเป็นเวลานาน ราวกับย้ายบ้านเลย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นกุศโลบายของพ่อแม่หรือเปล่า ที่ไม่อยากให้ลูกโตมาเป็นเด็กเมืองมากเกินไป และอยากให้ลูกซึมซับวิถีชาวบ้าน และภูมิปัญญาต่างๆ ณ วันนี้..มันได้ผลแล้ว

ปลายยอดต้นไม้มันอยู่ไกล แต่รากมันผังแน่นอยูที่บ้าน ถอนไม่ออกเลย...ไล่ก็ไม่ไป กลัวอยู่เนี่ย ว่ามันจะฝังอยู่อย่างนั้น จนไม่ยอมไปที่ไหน (เรียกง่ายๆ ว่าเป็นสาวเคิ้น หรือขึ้นคานนั่นเอง)

มีแต่น้ำจริงๆ -_-
กลับมาพูดถึงบ้านยายต่อดีกว่า..

'บ้านยาย' นั้น ตั้งอยู่ในสวนลำไยไม่กว้างเท่าไหร่ รังวัดได้ประมาณ 3-4 ไร่ และยังมีสวนลำไยอยู่ห่างๆ กระจายออกไปทั้งที่อยู่ติดบ้าน และเลยไปในทุ่งนา ถ้าคิดถึงขนาด อาจจะดูเหมือนไม่ใหญ่ แต่ในสายตาเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง สวนของยายเป็นเหมือนดินแดนมหัศจรรย์ที่มีเรื่องให้ผจญภัยมากมาย ทันทีที่รถกระบะเกียร์พวงมาลัยซ้ายสีเขียวแล่นเข้าในเขตบ้าน ยิ้มก็จะมองเห็นต้นมะพร้าวที่เรียงรายสองข้างทางเล็กๆ ที่ทอดตรงเข้าไปจากประตูรั้วถึงตัวบ้าน ส่ายใบไหวพริ้วไปมาเหมือนจะต้อนรับ...จริงๆ มันก็เป็นแต่จินตนาการล่ะ แต่พอได้ยิน ความคึกคัก ตื่นเต้นมันก็มารออยู่แล้ว เพราะว่าในยามนั้น บ้านที่เช่าอยู่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบ้านทรงไทย ใต้ถุนสูง อยู่ในเขตที่มืดแล้ว มืดเลย อยู่ใกล้แหล่งชุมชน ไม่เหมาะสมแก่เด็กตาดำๆ จะออกไปเดินเล่นไม่ว่จะเป็นในเวลากลางคืน หรือกลางวัน การได้มาพักผ่อนที่บ้านสวนนี่...ก็เหมือนสวรรค์ดีๆ นี่เอง

รถหยุดปั๊บก็กระโดดลงปุ๊บ ยายซึ่งมักจะกวาดใบไม้อยู่ใกล้ๆ ก็จะโผล่มา แล้วน้องหมาที่คุ้นเคยกันดีเพราะเอาขนมไปล่อไว้เยอะ ก็จะเข้ามาเคล้าเคลีย...เป็นช่วงเวลาที่รู้สึกดีจริงๆ เลยค่ะ รู้สึกว่าเรามีคนรอคอยการมาของเราอยู่ มีคนที่รักห้อมล้อม มีชีวิตที่เป็นสุข เราไม่ต้องการอะไรมากมาย

ตัวบ้านเป็นกึ่งตึกกึ่งไม้ มีทั้งไม้ประดู่ ไม้มะม่วง ทาน้ำมันสีแดง ซึ่งใครที่มีภูมิลำเนาทางภาคเหนือคงพอนึกออกนะคะ ว่าน้ำมันที่ทาแล้วสีออกน้ำตาลแดงๆ เป็นอย่างไร คิดว่าไม่น่าจะใช่ชาดนะ เพราะมันก็ดูแดงหม่นๆ ไม่ได้แดงดังชาดอย่างที่เขาบอกกัน ตอนแรกๆ ยิ้มก็ไม่ชอบใจเลย ที่บ้านถูกทาสีนี้ เพราะส่วนตัวชอบไม้สีน้ำตาลธรรมชาติมากกว่า แต่พอเวลาผ่านมา 19 ปีก็มองเห็นแล้วค่ะ ว่าน้ำมันแดงของเขานั้น...ทนจริงๆ ทนยิ่งกว่าสีทาบ้านอีก ทุกวันนี้ยังไม่ซีดเลย

ตัวบ้านชั้นล่างก็เป็นที่อยู่กั่นเป้นห้องๆ ธรรมดา แต่ด้านบนจะถูกกั้นเป็นห้อง 3 ห้องและมีทางเดินยาวอยู่ และมีประตูเปิดออกไปสู่ระเบียง มีนาฬิกาลูกตุ้มแบบเก่าๆ สีดำอยู่ นัยว่าตกทอดมาจากสมัยหม่อนยังหนุ่ม (หม่อนแปลว่าทวดนะคะ ขอเรียกว่าหม่อนในบทความนี้ละกัน เพราะว่าเรียกมาจนชิน) เพราะจากคำบอกเล่าของแม่จ๋า หม่อนเคยรับราชการในสมัย ร. 6 เคยเป็นทหารเสือป่า ก่อนที่จะลาออกมาเป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นช่างตีทอง

ขยันจริงๆ เลย ทำไมเหลนไม่ได้ความขยันตกทอดมาสักกระผีกเลยน้อ....

ถัดจากบ้านก็ต้องมาบ่นถึงต้นไม้...แน่นอน...มันต้องมีลำไย เพราะว่าบ้านเป็นสวนลำไย แต่สวนแห่งนี้ก็หาได้มีแต่ลำไยไม่นะเคอะ ยังมีต้นไม้อีกนับจำนวนไม่ถ้วนจนคิดไปคิดมาก็นึกไม่ออกว่ายัดเข้าไปในที่ 4 ไร่ได้ยังไง ก็เล่นมีทั้ง

มะพร้าวปลูกเป็นแถวริมรั้วไว้กันลม ไผ่สีสุกหลายกอ กั้นเป็นรั้วบริเวณที่ติดกับลำเหมือง มะม่วงอกร่อง มะม่วงแก้ว จามจุรีริมรั้วที่ตาเอาไว้เลี้ยงครั่ง ขนุน กระท้อน ชะอม ข่อย หลิว มะกอก มะขาม ฝรั่ง ส้มโอ และผลไม้ที่ชื่อ สะ-ตาแอปเปิ้ล (ขาวๆ หวานๆ หอมๆ เคยเห็นแต่ที่ป่าซางน่ะค่ะ ไม่เคยกินที่อื่นเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะสะกดชื่อว่ายังไง สตาร์ หรือ สะตาดี) กล้วยนานาชนิด มะละกอ มีแปลงผักถาวรที่ปลูกผักกาด ผักบุ้ง แปลงผักชั่วคราวปลูกผักตังโอ๋ ร้านชั่วคราวเอาไว้ปลูกบวบกลม ที่ทางภาคเหนือเรียกว่า (บ่าแอบ) มีห้องน้ำในสวนอยู่สองที่ มีเล้าหมู ที่ช่วงหลังๆ ของชีวิตมันกลายเป็นเล้าเป็ดไป มีเล้าไก่อีกที่หนึ่ง น่าเสียดายที่ยิ้มเกิดไม่ทันสมัยเลี้ยงปลา จริงๆ แล้วก็ยังพอเห็นเห็นร่องรอยอยู่ค่ะว่ามีสระน้ำในสวน แต่ตอนนั้นมีแต่ผักบุ้งเต็มไปหมดแล้ว ผักบุ้งเมืองน่ะค่ะ ผักบุ้งก้านแดงๆ ใบเล็กกว่าผักบุ้งจีน เอามาผัดไม่อร่อยหรอก แต่ถ้าเอามาจอเหมือนจอผักกาด ใส่ปลาร้านิดหน่อย...โอ๊ยยย ลำแต๊ๆ มีกะละมังและแปลงเล็กๆ ไว้ปลูกพวกเครื่องเทศจำพวกผักชีฝรั่ง ผักกานตอง โหระพา สะระแหน่ (ภาษาแถวๆ นั้นเขาเรียก ด่วน ไฝ่) พริกขี้หนู ใบมะกรูด ขิง ข่า ตะไคร้

โอ้โห...ตาเป็นคนที่บริหารพื้นที่ได้ดีที่สุดเลยค่ะ ที่แค่นั้น ปลูกได้หลากหลายเหลือเกิน เรียกได้ว่า..ถ้าปิดบ้าน ก็อยู่รอดนะเนี่ย ดำรงชีพแบบพอเพียงได้เลย...(สำนวนนี้คุ้นๆ)

ตรงข้ามกับบ้านสวนก็มีสวนอีกที่หนึ่งค่ะ เป็นสวนลำไยเหมือนกัน มีบ่อน้ำลึกๆ ที่ตาจะใส่เครื่องไดโว่เอาไว้สูบน้ำมารดน้ำในสวน แต่สวนนี้จะพื้นที่ยาวๆ ซึ่งก็เหมาะดีกับการที่ยายจะเอาไว้ขดฝ้าย (ตั้งเสาสองเราห่างกันประมาณ 10 เมตร เอาเส้นฝ้ายเกี่ยวกับราง เพื่อที่ฝ้ายแต่ละเส้นจะได้ไม่พันกัน แล้วก็ม้วนๆ ๆ ๆ เป็นขดๆ) ซึ่งขดฝ้ายเหล่านั้นก็จะถูกเอาไปใช้ในการเย็บผ้า หรือสมัยก่อนยิ้มเกิด เขาก็เอาไว้ทอผ้าล่ะมั้งคะ อ่อ ลืมบอกไป...ก่อนยิ้มเกิดน่ะ ในสวนส่วนหนึ่งแบ่งเป็นโรงทอผ้าด้วยค่ะ -_- อะไรจะหลายหลากขนาดนั้น..

ห่างไกลออกไปอีกนิดคือสวนใหม่ สวนนี้โตมาพร้อมๆ กับยิ้ม จะเรียกว่า 'สวนทุ่งนา' ก็แล้วกันนะคะ เพราะสมัยนั้น รอบข้างสวนจะเป็นทุ่งข้าวหมดเลยค่ะ (ตอนนี้แปลงสภาพไปหมดแล้ว) สวนทุ่งนาเป็นอะไรที่หฤหรรษ์มาก เพราะยิ้มเห็นหมดทุกขั้นตอนเลย ไม่ว่าจะเป็นขุดหลุม ลงต้นไม้ ปลูกกระเทียมแซม ปลูกกระท่อม ลงศิลาแลงทำถนน แต่ก็แค่เห็นนะคะ ไม่ได้ลงแรงเท่าไหร่เลย หลายๆ ครั้งแม่จ๋าก็บอก "อันนี้สวนยิ้มนะ ยิ้มไปดูแลมั่งสิ" ก็แหม...มันไม่ถนัดง่ะ ถนัดแต่ขุด เพราะลงภาคสนามมาเยอะ แต่ลำไยมันก็โตหมดแล้วง่ะ ไม่รู้ไปขุดอะไรอีก

สวนทุ่งนา จะอยู่ติดกับทุ่งนาของน้องชายของตา ซึ่งก็คือตาอีกคนหนึ่งของยิ้มนั่นเอง ตอนนั้นเขาเลี้ยงวัวฝูงใหญ่ ยิ้มก็จะชอบไปนั่นบนแคร่ไม้ไผ่ท้ายสวน รอให้ลมโกรก นั่งมองน้องวัวทั้งหลายเดินไปมาในคอก พอไปสวนทุ่งนาแล้วก็จะถือโอกาสออกไปเที่ยวในทุ่งนาจริงๆ เสียเลย เวลาที่ชาวสวน ชาวนาเค้าสูบน้ำใส่นา ยิ้มก็ชอบไปนั่งเล่นบนคันนา เอาเท้าจุ่มลงไปในน้ำใสๆ เย็นๆ สบายใจดี ตามคันนาก็จะมีต้นใบบัวบกขึ้นอยู่ บางทีก็จะรบเร้าขอป้าจ๋าเก็บเอาไปทำน้ำใบบัวบก ป้าจ๋าก็ไม่ค่อยชอบทำเท่าไหร่หรอก บอว่ามันเหม็นเขียว แต่ยิ้มชอบดื่มอ้ะ ชอบมาก

ปกติชาวบ้านเขาจะสูบน้ำกันตอนเย็นๆ ยิ้มก็จะนั่งไปเรื่อยๆ เอาเท้าแกว่งน้ำ มองดูดวงอาทิตย์ย่ำค่ำสนธยาพอดี ชอบจัง...ดวงอาทิตย์ฉายแสงอ่อนโยน...จิตใจคนมองก็อ่อนโยนไปด้วย เสียงนกร้องเพลงก่อนที่จะยินกลับรัง เสียงตามสายกระจายข่าวของผู้ใหญ่บ้านดังแว่วๆ มา

ไม่มีสิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลง...

ใช่แล้วค่ะ...นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการที่ยิ้มมาเขียนไว้ด้วย
วันนี้...สิ่งที่เหล่ามาเปลี่ยนแปลงไปหมดจนแทบไม่เหลือรอยเดิมแล้ว
โชคยังดี ที่บ้านกึ่งตึกกึงไม้และสวนสีเขียวยังอยู่ (แม้ว่าแปลงผักจะกลายเป็นสนามฝึกไดรฟ์กอล์ฟของพ่อจ๋าไปแล้วก็เถอะ)

อยากจะเขียน...อยากจะบันทึกไว้ เพราะวันหนึ่ง...ภาพของสิ่งเหล่านี้มันอาจจะหายไปจากความทรงจำก็ได้ แล้ววันนั้น ยิ้มจะได้กลับมาอ่าน กลับมาซึมซับภาพเก่าๆ ที่เคยทำให้ยิ้มมีกำลังใจ มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า มีความภาคภูมิใจที่จะกลับไปเล่าเรื่อง 'บ้านสวน' ให้เพื่อนๆ ชาวเมืองฟัง

ก็แค่อีกมุมหนึ่งของชีวิตของยิ้มล่ะ Another corner of mine... ^_^

วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2550

ทศบารมี

Rating:★★★★★
Category:Other
เป็นดังที่คิด...
เวลาที่มีงานแต่ว่า deadline ยังไม่ขยับเข้ามาจนสัมผัสได้ถึงเปลวไฟที่ลามเลีย ก็จะต้องหาทางขยับขยาย ลดความเครียดที่ก่อขึ้นมาเป็นริ้วๆ รู้อยู่ว่าเสียเวลา...แต่ก็มีข้ออ้างให้ตัวเองได้ว่า เสียเวลาก็ดีกว่าเสียสุขภาพจิตล่ะน่า -_-" แค่ไม่กี่นาทีเนี่ย เขียนๆ ไปเถอะ

ก็เลยกลับมาหา Multiply อีกครั้ง พร้อมด้วยเรื่อง ทศบารมี เขียนไปก็เพื่อที่จะย้ำเตือนตัวเองไปด้วย...จากบ้านมา 6 ปีนี่...กลับไปเราไม่ได้ประสบการณ์ทางโลกเพิ่มเติมอย่างเดียวนะ 'ผู้ใหญ่' ท่านย้ำนักย้ำหนา ว่าเราจักได้ผลทางธรรมกลับไปแน่นอน แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงจุดนั้น ก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง ว่าต้องผ่านพ้นไปได้อย่าง 'สง่างาม' นึกถึงบารมี 10 ประการชองพระพุทธองค์ท่านสิ...10 ชาติเชียวหนา

แต่แหม...ในชีวิตจริงคนเราก็เป็นตัวเอง เป็นคนธรรมดาที่มีกิเลส (หนาๆ) นี่เนอะ ไม่ใช่นางเอกนิยายเสียหน่อย จะได้เชิดหน้าก้าวข้ามอุปสรรคแล้วไปถึงจุดหมายภายใน 300 - 400 หน้า ชีวิตคนเราเนี่ย ต่อให้เขียนอัตถชีวประวัติไปเป็นพันๆ หน้า บางครั้งยังอยู่ห่างไกลจากคำว่าสำเร็จเล้ยยย

ดังนั้น...เราก๊อต้องมาย้ำเตือนตัวเอง ให้รู้จักอดทน และรู้จักสร้างบารมี ไปพร้อมๆ กับสั่งสมประสบการณ์ ร่วมทบทวนชีวิตไปกับอาฮั้นหน่อยนะคะ

1. ทานบารมี: การให้ การเสียสละ

คิดว่าบารมีข้อนี้ สำเร็จตั้งแต่ก่อนมาแล้ว ปัญหาก็คือรักษาเอาไว้ให้ได้นั่นแหละ การให้ทานนี่อยู่ที่การปลูกฝังของครอบครัวจริงๆ เลยค่ะ โชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่ใจกว้าง (ชมพ่อแม่ตัวเองซะงั้น) รู้จักให้..ในยามที่ควรจะให้ รู้จักปกป้องทรัพย์องตน ในยามที่ควรจะปกป้อง (สมัยนี้...ถ้าให้หมด ก็แย่อยู่นะคะ ผู้มีจิตไม่บริสุทธิ์หนาแน่นมาก อาจจะหนาแน่นกว่าในสมับพุทธกาลอีกมั้ง สิ่งล่อใจมันเยอะออกจจะปานนี้) การให้...ต้องให้ด้วยใจบริสุทธิ์ ให้แล้วเสียดายอาจจะไม่ได้กุศลเท่าที่ควร ยอมรับฮ่ะ ว่าตอนเด็กๆ ก็แอบมีหวงแหนของเหมือนกัน
"ยิ้ม เอาตุ๊กตาตัวนี้ไปให้เด็กลูกของ...นะ"
"อ๊าก...แต่ตัวนั้นยิ้มชอบมากนะ T_T"
"ก็มีล้นตู้แล้วน่ะ น้องเขาน่าสงสาร ให้ไปเถอะ"
"แต่ว่า..."
แต่แล้วก็ต้องหักห้ามใจ ให้ไป...

นานวันเข้าๆ โตขึ้นๆ ก็เริ่มรู้ซึ้งนะจ๊ะ ของที่อาจจะมีค่าในเชิง "หีบแห่งความทรงจำ" ของเรา อาจจะมีคุณค่ากับคนอื่นๆ มากกว่านั้นก็ได้ อาจจะเป็นกำลังใจให้เขาทำสิ่งที่ดีๆ ต่อสังคมมากขึ้น อาจจะเป็นกำลังใจใหเขาสู้ต่อไป ดังนั้น แหะๆ หนุ่มๆ ทั้งหลายที่เคยเอาตุ๊กตามาให้ ถ้ามาอ่านบล็อกนี้ น้องยิ้มขาก็หวังว่าคงจะไม่โกรธนะคะ -_-" หากน้องยิ้มจะบอกว่า...น้องยิ้มบริจาคตุ๊กตาที่ท่านๆ ให้เด็กผู้ยากไร้ไปหลายตัวแล้วอ่ะค่ะ เอ่อ...ถือว่าเราทำบุญด้วยกันก็แล้วกันนะคะ ชาติหน้าฉันใด จะได้เกื้อหนุนกัน ไม่ต้องมาก่อกรรมกันอีกนะคะ

เป็นความหวังดีถึง 80% นะคะ อีก 20% ก็คือ ยิ้มแพ้ฝุ่นอ่ะค่ะ เก็บตุ๊กตามากๆ ก็ต้องใช้ยาพ่นจมูกในปริมาณที่มากขึ้นไปด้วย ถ้าในอนาคตจะมีแฟนคลับอยู่ ขอเป็นหนังสือนิยายนะคะ

จริงๆ แล้ว ทานเนี่ย..ไม่จำเป็นต้องเป็น 'วัตถุทาน' อย่างเดียวก็ได้เนอะ การให้ การเสียสละอาจจะอยู่ในรูปของนามธรรมก็ได้ อาจจะเป็นการอุทิศแรงช่วยเหลือเพื่อนทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่หวังผล การอธิบายอะไรให้เพื่อนเข้าใจ การยกโทษไม่ติดใจแค้นเคืองเพื่อนๆ (อภัยทาน) การเป็นผู้ฟังที่ดีแบ่งเบาปัญหาเพื่อนนี่ก็น่าจะเรียกว่าให้ทานได้น้า.....

แต่บางครั้งนังยิ้มก็แอบคิดว่าทำไมเราฟังคนมากมาย แต่พอเราอยากเล่ามั่ง ไม่ค่อยมีใครฟังเลย จริงๆ ก็มีบ้างนะ คนที่ฟัง...แต่บังเอิญโลภ เหอๆ อยากได้คนมาร่วมฟังหลายๆ คน (อันนี้อยู่ที่ตัวเองแล้วมั้ง)

มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ทำได้ภายใน 3 วัน 5 วันอยู่แล้วนิ -_-

สัพพะทานัง ธรรมะทานัง ชินาติ
การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง...

วัตถุทานเนี่ย...ไม่ยากๆ ทำมาเยอะละ แต่ทานที่อยู่ในรูปแบบ abstract เนี่ย กำลัง work on it ค่ะ แหะๆ บางทีก็แอบอารมณ์ร้ายโมโห เจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนกัน ก็ต้องค่อยๆ ไปทีละขั้นๆ นะ

2. ศีลบารมี การรักษากาย วาจาให้อยู่ในหลักความประพฤติที่เป็นแบบแผนแห่งภาวะของตน , ความประพฤติดีงามถูกต้องตามระเบียบวินัย

เอาเบสิกๆ อย่างศีล 5 ก่อน
ศีล 5 ข้อนี้...รักษาได้เกือบหมด -_- ยกเว้นข้อ 5
ยิ่งอยู่อังกฤษยิ่งรักษายากใหญ่เลย ก็การเข้าสังคมมันต้องดื่มๆ ๆ ๆ
แต่ปีนี้เราก็ลดการดื่มไปเยอะมากแล้ว ด้วยอายุที่มากขึ้น

สมัยเข้าปี 1 ป.ตรีใหม่ๆ ก็ยังคะนองอยู่ หัวราน้ำบ่อยๆ
ยังโชคดีนะเนี่ย...ที่การผิดศีลข้อห้าของเรามันไม่ได้ทำให้เผลอผิดข้อ 3 ข้อ 4 ไปด้วยโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้ก็พยายามงดเหล้าในวันสำคัญๆ ทางศาสนาทั้งหลาย พรรษาที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้แตะสุราเลยแม้แต่หยดเดียว เข้าพรรษาปีก่อนแตะไป 1 วัน

ก็พยายามสำรวมในศีลกันไป...
อย่างน้อย...เมื่อเราตั้งใจปฏิบัติจริงๆ เราก็ไม่ละเมิดล่ะนะ...
อยู่ที่ความตั้งใจๆ ๆ ๆ ท่องเอาไว้ๆ


3. เนกขัมมบารมี
การออกบวช , ความปลีกตัวปลีกใจจากกามปัญญา
ความรอบรู้ , ความหยั่งรู้เหตุผล เข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงและรู้จักแก้ไขปฏิบัติจัดการต่างๆ

พระพุทธองค์บรรลุบารมีข้อนี้เมื่อยามที่เสวยพระชาติเป็นพระเตมีย์ใบ้
ยอมรับว่าเป็นบารมีข้อที่ยากจัง ตอนนั้นพระเตมีย์ก็ต้องนอนนิ่งๆ อยู่นาน....เกือบครึ่งชีวิต

เราก็อยากจะทำให้ได้บ้าง
ไม่ได้ปิดใจต่อสิ่งที่มากระทบ
แต่รับรู้ว่ามีสิ่งที่มากระทบ และอยู่ให้ได้ กับจิตที่ถูกกระทบ

โห......
นางเอกมาก

ยอมรับว่าไม่ถึงบารมีข้อนี้อย่างแรง ต้องฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆ คิดว่าอีกหน่อยพอเริ่มชินชากับธรรมชาติของชีวิตที่ไม่ราบเรียบก็จะเริ่มปลงไปเอง และมองเห็นว่า...

ร้อนใจไปก็เป็นโรคกระเพาะเสียเปล่า

เอาเวลามานั่งปลงโดยการเขียน multiply ดีกว่า...

คงยังงั้นล่ะมั้ง อืม...

บ่นมาตั้งนานได้เพียง 3 บารมีเท่านั้น

กลับไปอ่านหนังสือก่อนดีกว่า ว่างๆ ค่อยมาใหม่

อารมณ์กวี

เนื่องด้วยวันที่ 14 จะข้ามเมืองไปดูละครเรื่อง Elixir of Love ที่ Leeds คนแถวนั้นคงชอบดูละครกันเยอะ ไปดูกันใหญ่เลย ก่อนหน้านี้ก็ไปดูเรื่อง The Wizard of Oz (แต่วันเดียวกันนั้นสมาชิก Thai York ก็ไปดู Mamma Mia ที่ Manchester เช่นกัน แหะๆ) ปฏิเสธไม่ได้แฮะ ว่าชอบดูละคร...ดูแล้วรู้สึกเหมือนหลุดออกจากโลกแห่งความจริงออกไปพักหนึ่ง รู้สึกอิน ยิ่งเป็นละครเพลงด้วยนี่ จะกลับบ้านมาฟัง ฮัม ร้อง ไปอีกระยะใหญ่ๆ

Love is all around...

ประธาน Thai Society ของ York ก็เพิ่งหนีออกจากชมรมคนโสดแสนสุขไปกับประธาน OSA (Overseas Students Association) เหอๆ หวานหยดซะไม่มี ขอเอาความหวานๆ แกมขมมาแปะมั่งดีกว่า

......................................................................................................................................

ยิ้ม: ในวันฟ้าใส

อยากแต่งโลกให้สวยด้วยรอยยิ้ม
ให้เพริศพริ้มงามงดแลสดใส
ยิ้มทั้งหน้า ยิ้มทั้งตา ยิ้มทั้งใจ
ยิ้มละไมมาแต้มฝันให้วันวาร
เพียงเธอยิ้ม โลกทั้งโลกเหมือนหยุดหมุน
เพียงเธอยิ้ม ทางที่คุ้นเหมือนไม่เคยผ่าน
เพียงเธอยิ้ม อยากอยู่ตรงนี้ให้นานนาน
เพียงเธอยิ้ม ดอกไม้บานใจร้องเพลง
ยิ้มอีกนิด เติมสีสันให้วันสวย
ยิ้มอีกนิด ให้ฉันด้วยนะคนเก่ง
ยิ้มอีกนิด นกน้อยร่วมบรรเลง
ยิ้มอีกนิด จะไม่เกรงสิ่งใดใด
ส่งยิ้มมา กับแววตาที่วับหวาน
ส่งยิ้มมา ร่วมผสานความชิดใกล้
ส่งยิ้มมา ความเหว่ว้ามลายไป
ส่งยิ้มมา กับหัวใจให้ดีดี
ถ้าเธอยิ้ม..ฉันจะแปลว่าไม่ว่า
ถ้าเธอยิ้ม..ฉันจะกล้าไม่หลีกหนี
ถ้าเธอยิ้ม..จะไม่ถอยเหมือนทุกที
ถ้าเธอยิ้ม..คนคนนี้จะสู้ตาย
ยิ้มอีกนิด ที่รัก ช่วยยิ้มหน่อย
อย่าปล่อยให้ใจน้อย ๆ ลอยวับหาย
เพียงรอยยิ้มเธอมีค่าไม่เสื่อมคลาย
ยิ้มสุดท้ายมอบใจนี้ตีตราจอง

ยิ้ม: ในวันฝนพรำ

อยากแต่งให้โลกสวยด้วยรอยยิ้ม
อยากลองลิ้มรสชาติความสดใส
แต่ความทุกข์ระทมบ่มข้างใน
มันเกินกว่าจะยิ้มได้ใจคร่ำครวญ
ยิ้มก็ได้เพียงรอยยิ้มบนใบหน้า
ในดวงตาแววชอกช้ำรอยกำสรวล
ในดวงใจสับสนยิ่งสิ่งรบกวน
ด้วยเหตุนี้จึ่งไม่ควรส่งยิ้มไป
เพราะยิ้มนั้นจะแฝงไว้ด้วยใจหมอง
ผิดครรลองเกินกว่าจะรับได้
ไม่อยากยิ้มภายนอกชอกช้ำใน
ปล่อยน้ำตาล้างฤทัยให้สิ้นตรม
ขอเวลา...หลั่งน้ำตาเพียงสั้น
คงสักวัน...จะไม่มีที่ขื่นขม
คงสักวัน...คงได้ยิ้มให้โลกชม
คงสักวัน...จะเลิกล้มความเศร้าใจ
ในวันนั้นจะยิ้มให้เธอคนแรก
ในวันนั้นทุกข์ที่แบกวางลงได้
ในวันนั้นยิ้มให้เธอก่อนให้ใคร
คงจะรู้ความนัยแฝงให้เธอ

ลา ลัล ล้า...