วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550

จะเก็บใจใส่ห้วงฝัน...เมื่อวันวาน III

Rating:★★★
Category:Other
“อะไรนะ แล้วแกก็บอกให้ยายน้องใบตองเอาของไปให้พี่กานต์งั้นเหรอ” เสียงแพมขึ้นสูงอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมไม่มีเทคนิคอะไรบ้างเลย ก็บอกไปดิว่า
’พี่กานต์มีแฟนแล้ว’ หรือไม่ก็
‘ยังไม่มีค่ะ แต่พี่กานต์เขาไม่ชอบเด็กๆ หรอก’ หรือไม่ก็
‘พี่เห็นพี่กานต์เดินกับผู้หญิงสาวสวยอยู่บ่อยๆ’ โธ่เอ๊ย แก่จนเรียนปริญญาโทแล้วนะยะ หัดมีลูกล่อลูกชนบ้างสิ”

“ไม่เอา จะให้โกหกหรือไง อย่างใบตองน่ะ ผู้หญิงในอุดมคติของเขาชัดๆ ถ้าเขาลงเอยกันก็ดี” อินทนิลนั่งเกยคางกับระเบียงห้องพักของแพม นัยน์ตามองเหม่อ

“เฮ้อ...แล้วพี่กานต์รับของจากน้องเขามั้ย”

“ก็ต้องรับสิ ถ้าไม่รับก็เสียมารยาท เสียน้ำใจน้องเขา”

“แล้วแกก็มานั่งเศร้าเองเพราะดันทำนิสัยนางเอกงั้นเหรอ ยายอินเอ๊ยยยยย สมัยนี้ใครดีใครได้ มือใครยาวสาวได้สาวเอา จะรอให้ผู้ชายมาเลือกผู้หญิงเหมือนเลือกสินค้าแบบนั้นน่ะ ไม่ได้แล้ว”

“ก็ถ้าเขามีทางเลือกที่ดีกว่าล่ะ”

“แล้วแกจะรู้ได้ไง ว่าคุณน้องใบตองจะเข้ากับเขาได้ดีกว่าแก” มีแต่เสียงถอนหายใจอย่างคนกลัดกลุ้มเต็มที่เป็นคำตอบ “เฮ้ออออ ถ้าแกไม่สู้เอง ฉันก็ไม่รู้จะช่วยยังไงได้ สงสัยอยู่อย่างหนึ่งน่ะซี้...เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วพ่อคนกลางจะรู้ตัวบ้างไหม ว่าทำให้ใครกลุ้มใจทำให้ใครเพ้อฝันไปถึงไหนต่อไหน” แพมบ่นขึ้นด้วยความรู้สึกขัดใจ อินทนิลเหยียดริมฝีปากออกจนเกือบเหมือนรอยยิ้มแค่น

ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ...กานต์ไม่ใช่คนโง่ แต่เธอไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงไม่พูด ครั้นจะให้เธอเป็นฝ่ายพูดก่อน เริ่มก่อน เธอก็ทำไม่ได้ ก็เลยต้องมานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจอย่างในวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่าทีของเขา รอยยิ้ม กำลังใจ คำพูดแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย แววตาพราวระยับ ทุกๆ อย่างมันชวนให้คิดไปในทางบวก แต่ในเมื่อมันไม่มีคำพูดมาเป็นหลักฐานยืนยัน เธอเองก็ไม่อยากจะหลอกตัวเองให้หลงระเริงไปกับวิมานในอากาศอันสวยหรูนี้อยู่เรื่อยไป เพราะครั้งหนึ่ง...วิมานมันเคยล่มลงมาแล้วเพราะคำพูดที่บ่งบอกความในใจเพียงประโยคเดียวของเธอ

กลางฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่หม่นเศร้าที่สุดในบรรดาสี่ฤดูของประเทศอังกฤษ อุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศาทำให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเดินอย่างรีบเร่งเพื่อให้ไปถึงจุดหมายโดยพลัน หากวันนี้อินทนิลเดินเอื่อยๆ ปล่อยให้ลมหนาวค่อยๆ เลาะเข้าไปตามตะเข็บเสื้อโค้ตขนสัตว์ตัวยาวกันหนาว

อยากให้ความเย็นทำให้หัวใจของเธอกลับไปเป็นเจ้าหญิงน้ำแข็งเหมือนเดิม จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอย่างทุกวันนี้ นับตั้งแต่วันงาน กานต์ก็ค่อยๆ ห่างหายออกไปจากชีวิตของเธอทีละนิดๆ พร้อมกันกับที่ใบตองเริ่มโทรศัพท์มาปรึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับชายที่ตนพึงใจบ่อยขึ้นทุกทีๆ สถานการณ์อันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่อยากพบเจอเลย...แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่นานที่ผ่านมานี้หลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดราวกับน้ำหลาก

“แกทนได้ยังไงวะ” แพมโวยวายขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง

“ไม่เห็นต้องทนอะไรเลย มันเลี่ยงไม่ได้นี่ ถึงเวลาเจ็บก็ต้องเจ็บ” เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงขื่น

“แล้วพี่กานต์ก็ห่างออกไปเพราะใบตองเข้ามาอย่างนั้นเหรอ”

“ก็ไม่เชิง ฉันก็เอาตัวออกห่างมาด้วยแหละ บางทีเขาโทรมาฉันก็บอกว่าไม่ว่าง” อินทนิลตอบไปด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก

“ทำอย่างนั้นทำไมเล่า” แพมครางด้วยน้ำเสียงขัดใจ “ความรู้สึกดีๆ ของเขากำลังจะขึ้นถึงช่วงสูงสุด ช่วงนั้นแกต้องรีบสานต่อ ถ้าปล่อยให้เวลาผ่านจุดนั้น ความรู้สึกของเขามันก็จะลดลง และโอกาสแกก็จะหมดไปนะ”

“แล้วจะให้ฉันทำยังไงกับใบตองเล่า น้องเขาโทรมาปรึกษาแทบจะทุกวัน จะให้ฉันทรยศน้องเขางั้นเหรอ” อินทนิลโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่มีความรู้สึกเจ็บปวดเจือลงไปด้วยเป็นครั้งแรกในบทสนทนา

“โธ่เอ๋ย ก็บอกเขาไปตรงๆ สิ ว่าแกชอบพี่กานต์ เคยชอบมานานแล้ว ไม่ได้เพิ่งมาชอบเดี๋ยวนี้ เด็กมันก็คงเข้าใจเองแหละ โตแล้ว เรียนถึงเมืองนอกเมืองนา ไม่น่าจะไร้เหตุผลนะ” แพมพูดยาวๆ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อมองเห็นตาแดงๆ และหยาดน้ำใสๆ ที่หลั่งออกมาจากตาคู่สวยของเพื่อนผู้ซึ่งเคยเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง “อ้าว เฮ้ย...อิน เป็นอะไรไปน่ะ” อินทนิลปล่อยโฮแล้วโผเข้ากอดเพื่อนสาวไว้ทันที

“ฉันเอาตัวออกห่างจากเขาก็เพราะว่าฉันเห็นกับตาว่าพี่กานต์เดินกับใบตองหลายครั้งแล้ว เขาคงไปด้วยกันได้ดี ดูเขาเหมาะสมกันมาก” เสียงสะอื้นฮักๆ ขัดขึ้นมาก่อนที่เธอจะมีโอกาสได้พูดจนจบประโยค “ฉันเหนื่อยเหลือเกิน รอต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ฉันเคยคิดว่าฉันลืมเขาหมดแล้ว แต่เอาเข้าจริง...แค่กลับมาเจอหน้าเขาอีกไม่นาน ความรู้สึกเดิมๆ มันก็กลับมาจนหมด แล้วครั้งนี้มันก็ไม่ได้ต่างจากครั้งก่อนเลย...เขาทำท่าเหมือนกับว่าจะมีใจ แต่ในที่สุดมันก็เป็นแค่อารมณ์เหงาที่พาเขามาจนถึงจุดนั้น สิ่งที่เขาทำมันไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งนั้น จากวันแรกที่เจอกันอีกครั้งมาจนถึงวันนี้มันจะสามเดือนแล้วนะแพม สามเดือนที่เขาทำท่าเหมือนจะมีใจ แต่ก็ไม่เคยพูด ไม่เคยบอกอะไรเลย” น้ำตาหลั่งไหลลงมาเป็นสาย

“เวลาเป็นปีๆ ที่ฉันต้องเสียความรู้สึกไป กับสามเดือนที่ฉันต้องทุกข์ทนกับความไม่แน่นอนมันเจ็บปวด...มันทรมานมาก ฉันจะเลิกยุ่งกับเขาแล้ว ฉันจะเลิกสนใจเขาจริงๆ”

“อิน...” แพมได้แต่ครางออกมาเบาๆ ด้วยความสงสารเพื่อน

“ฉันเจ็บมาก...มากจนไม่รู้จะพูดยังไง ถ้าไม่ตัดใจแต่วันนี้ วันหน้าฉันก็ต้องเจ็บเพราะเขาอีก ฉันคงทนไม่ได้แล้ว...”

“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยเขาไปนะอิน ปล่อยเขาไป ไม่เป็นไรหรอก แล้ววันหนึ่งแกก็จะพบกับคนที่รักแก คนที่เห็นคุณค่าของแกแน่ๆ แกทั้งสวย ทั้งเก่ง ขนาดนี้ ใครมองไม่เห็นมันก็ตาถั่วแหละวะ ถ้าพี่กานต์จะมองข้ามแกไปเลือกใบตองก็ปล่อยเขาไปเถอะนะ ซื่อบื้อขนาดนี้ก็ไม่คู่ควรกะแกแล้วล่ะ”

“ฉันคงต้องไปหาที่พักใจระยะใหญ่ๆ ล่ะแพม โชคดีที่ปิดเทอมตอนคริสต์มาสพอดี ” อินทนิลซับน้ำตาเบาๆ

“ก็ดี...ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ สักพัก เที่ยวให้เต็มที่ กลับมาจะได้เป็นอินที่เข้มแข็งเหมือนเดิม”

“ไม่เอา...อินคนเดิมมันเข้มแข็งแต่เปลือกนอก ฉันจะเป็นอินคนใหม่ ที่เข้มแข็งทั้งข้างนอกและข้างใน” คนพูดพูดทั้งน้ำตา

“เออ...จ้าๆ เป็นอะไรก็เป็นไป แต่อย่าเสียงานเสียการนะ แกต้องส่งงานตอนเปิดเทอมนี่นา” เพื่อนรักยังอุตส่าห์เตือนถึงเรื่องเรียนด้วยความหวังดี

“โอ๊ย...พูดถึงก็หมดอารมณ์เลย” อินทนิลยังซับน้ำตาป้อยๆ แต่ก็หัวเราะเบาๆ อย่างกึ่งขำกึ่งซาบซึ้งใจในความเป็นห่วงเป็นใยของเพื่อนรัก อย่างน้อยเธอก็ยังโชคดีที่มีเพื่อนดีๆ อยู่เคียงข้างเสมอ แม้ว่าจะไม่เคยสมหวังในความรักแบบหญิงชาย แต่เธอก็ไม่เคยอับจนความรักในด้านอื่น เพียงเท่านี้ก็ควรจะพอใจแล้วไม่ใช่หรือ...

ร่างสูงใหญ่โผล่ขึ้นที่มุมถนนในระยะกระชั้นชิด ภาพมัวๆ ของโครงร่างที่ไม่เข้าสู่สายตาในช่วงแรกเริ่มชัดเจนขึ้น จนอินทนิลที่มัวแต่เดินใจลอยคิดถึงคำพูดของเธอและแพมถึงกับผงะไป

“อ้าวพี่กานต์...สวัสดีค่ะ”

“….” มีเพียงความเงียบตอบกลับมา อึดใจใหญ่อีกฝ่ายถึงจะก้มศีรษะให้นิดๆ เป็นเชิงทักทาย

“อินจะไปสวิตเซอร์แลนด์นะคะ พี่กานต์อยากได้ของฝากอะไรมั้ย” อินทนิลจำต้องถามขึ้น เมื่อกานต์โผล่ออกมาจากร้านขายของข้างทางในระยะกระชั้นชิด และเธอไม่สามารถหลบได้ทัน

“ไม่อยากได้อะไรหรอก” น้ำเสียงที่ตอบมาเรียบสนิทพอๆ กับใบหน้า อินทนิลรู้สึกเจ็บหนึบที่หัวใจ ความอ่อนหวานในบรรยากาศที่ผ่านมามันคงหายไปหมดแล้ว บทจะจบลงก็จบลงอย่างง่ายๆ เพียงเท่านี้เอง “ไม่ได้เจอกันตั้งนานอินจะไม่ถามสักหน่อยหรือ ว่าพี่สบายดีไหม” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่างฟังดูห่างเหิน ไม่เหมือนกับน้ำเสียงสนิทสนมอบอุ่นที่เธอเคยได้ยินมาเกือบตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา

“ก็ท่าทางจะดูมีความสุขดีนี่นา วันก่อนก็เห็นเดินอยู่กับใบตองที่หน้าห้องสมุด” การตัดใจจากคนคนหนึ่งนั้นไม่สามารถทำได้เพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่ท้ายประโยคจะออกห้วนสั้นแกมสะบัดเสียงชอบกล

“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ” ท่าทางของกานต์ช่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลยจริงๆ อินทนิลเหลือบมองด้วยความรู้สึกปวดร้าว

“ก็ใบตองน่ะ ดูท่าทางคล้ายกับใยบัวจะตาย สเป็คของพี่กานต์ชัดๆ คนนี้อินแนะนำเลยนะ ใบตองแกน่ารัก สดใส อ่อนหวาน อยู่ด้วยแล้วสบายใจ” อินทนิลแกล้งทำน้ำเสียงสดใสเพื่อเป็นการประชดประชัน หากท่าทีนิ่งจนเป็นหินของคนตรงหน้ากลับทำให้เธอไม่กล้าพูดมากไปกว่านั้น ดวงตาดำนิ่งลึกราวกับบ่อน้ำที่ลึกที่สุด ลึกจนเธอหยั่งไม่ถึง

“อินคิดว่าพี่เหมาะสมกับใบตองเหรอ” กานต์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ก็เขาเหมือนใยบัว...แล้วเขาก็” อินทนิลยังไม่วายอ้างชื่อคนรักเก่าของเขา หากครั้งนี้กานต์กลับไม่รอให้เธอได้พูดจนจบประโยค

“เลิกพูดถึงใยบัวได้ไหม อิน” อาการนิ่งจนคนฟังรู้สึกได้ทำให้เกิดความกริ่งเกรงขึ้นมาวูบหนึ่ง การเข้าถึงจิตใจของกานต์นั้นทำได้ยาก และการเข้าถึงใจเขาในเวลาที่เขานิ่งจนดูเหมือนเฉยชาแบบนี้ ยิ่งยากยิ่งกว่าร้อยเท่าพันเท่า

“ขอโทษค่ะ” อดไม่ได้ที่จะแสดงความเสียใจ เขาคงจะยังลืมเธอคนนั้นไม่ได้ คงจะเจ็บปวดทุกทีที่เอ่ยถึง

“เรื่องของพี่กับใยบัวมันจบลงไปตั้งนานแล้ว” เป็นครั้งแรกที่กานต์ใช้น้ำเสียงแข็งขนาดนี้กับเธอ ความเงียบงันเข้าปกคลุมบรรยากาศรอบกาย อินทนิลหันหน้าไปทางอื่นด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ อยากหนีไปให้พ้นหน้าหากก็ทำไม่ได้ ทำไมนะ...ทำไมเธอถึงบังคับร่างกาย จิตใจ ให้ปฏิบัติตามสิ่งที่สมองสั่งไม่ได้เลยสักครั้งเวลาที่อยู่กับผู้ชายคนนี้

“พี่กานต์ พี่อิน” เรียงร้องเรียกอย่างแจ่มใสดังมาจากทางเบื้องหลัง “อยู่ที่นี่เอง คุยอะไรกันอยู่คะ ท่าทางเครียดเชียว” ใบตองวิ่งเหยาะๆ เข้ามาจนผมที่รวบไว้เป็นหางม้าแกว่งไกว ชายเสื้อโค้ตยาวพลิ้วไสว ราวกับเธอผู้นี้เดินเข้ามาพร้อมกับความร่าเริงและรอยยิ้ม เป็นตัวแทนแห่งฤดูร้อนอันสดใส ในขณะที่อินทนิลเองเป็นตัวแทนของฤดูหนาวสีเทา

“เรื่องเก่าๆ น่ะจ้ะ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก” อินทนิลเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“ใช่ ไม่สำคัญหรอก” กานต์ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกันนัก ใบตองเริ่มมองซ้ายที ขวาทีด้วยความสงสัย แต่ในเมื่อไม่มีใครพูดอะไร เธอก็หันไปหากานต์

“พี่กานต์คะ ตกลงจะไปเที่ยวออสเตรียกับใบตองแล้วก็เพื่อนๆ หรือเปล่า เราต้องสรุปจำนวนคนกับจำนวนวันแล้วนะคะ จะได้จองโรงแรม จองตั๋ว ทำหลักฐานไปยื่นขอวีซ่าให้ทันเวลา” ดวงตากลมโตจ้องมา รอคอยด้วยความหวัง กานต์กอดอกทำท่าครุ่นคิด ท่าทีเคร่งเครียดอย่างเมื่อครู่มลายหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“ไปสิคะ พี่กานต์ วันคริสต์มาสที่นี่เหงามากๆ ถ้าไม่มีที่ไปก็ลำบากแย่เลย เพราะร้านรวงอะไรก็ปิดหมด อาหารก็ต้องตุนเอาไว้”

อินทนิลหนุนขึ้นมา ไม่ใช่เพราะอยากผลักไสให้กานต์ไปกับใบตอง แต่เป็นเพราะเธอรู้สึกเป็นห่วงเขาจริงๆ หากเธอไม่อยู่ที่นี่และใบตองก็ยังไม่อยู่เสียอีกคน ใครจะคอยดูแลหรืออยู่เป็นเพื่อนเขากันเล่า...การใช้เวลาอยู่คนเดียวหรืออยู่กับคนที่ไม่สนิทในช่วงเทศกาลคริสตมาสในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนต่างก็เดินทางกลับไปอยู่กับครอบครัวจนร้านค้าต่างๆ ปิดสนิท บ้านเมืองเงียบเหงา ช่างไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยเลย เธอเคยเจ็บปวดกับมันมาแล้ว และก็ไม่อยากได้กานต์ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย

“ไปนะคะ พี่กานต์” ใบตองเขย่าท่อนแขนแข็งแรงเบาๆ ราวกับสาวน้อยรบเร้าให้พี่ชายตามใจ

“อินว่าพี่ไปดีไหม” กานต์หันมาหาอินทนิลเป็นเชิงหารือ

“ดีค่ะ อยู่ที่นี่ข้ามไปยุโรปใกล้นิดเดียว มีโอกาสก็น่าจะเที่ยวให้ทั่วๆ” ตอบแล้วก็ส่งยิ้มฝืนๆ ไปให้

“เอ้า...ไปก็ไป” กานต์ตอบตกลง แล้วแย้มริมฝีปากออกนิดๆ เป็นเชิงยิ้ม “ก็ดีนะ จะได้ไปเที่ยวเวียนนา อยากไปมานานแล้วล่ะ” อินทนิลพยายามฉีกยิ้มให้คนทั้งสองอย่างฝืนๆ เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว เธอจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงกานต์อีก และก็จะได้ตัดใจให้เด็ดขาดไปเสียที โดยอาศัยช่วงเวลาที่ต้องห่างๆ กันไปนี้เป็นระยะฟื้นตัว เสียงสนทนาหารือกันเรื่องการท่องเที่ยวต่างประเทศทำให้อินทนิลรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวราวกับจะเป็นไข้ ลมหนาวพัดมาอีกวูบใหญ่พร้อมกับความแห้งแล้ง ความแห้งแล้งที่พรากเอาชีวิตจิตใจของเธอไปจนหมดสิ้น หญิงสาวกล่าวลาทั้งคู่แล้วเดินจากมาช้าๆ ใบไม้แห้งปลิวระพื้น น้ำตาค่อยๆ ไหลลงมาบนข้างแก้ม

พอกันที...จบได้แล้ว...เจ็บครั้งนี้...ควรจะจดจำเอาไว้ แล้วเลิกหาเรื่องใส่ตัวอีก

ในที่สุดอินทนิลก็ตัดสินใจท้าทายความเงียบเหงาของช่วงคริสตมาส เปลี่ยนแผนกะทันหัน ปักหลักอยู่ที่หอพัก ทั้งที่เพื่อนๆ คนอื่นรวมทั้งแพมนั้น ต่างก็วางแผนจะไปเที่ยวกันแทบทุกคน

“แก...หาเรื่องฆ่าตัวตายชัดๆ หอพักแทบจะเป็นหอร้างเลยนะเว้ย”

“ไม่เป็นไร สงบดี ฉันจะได้ทำใจได้ง่ายๆ” คนที่ตัดสินใจแล้วไม่ยอมหวั่นไหว

“ไหนว่าจะไปสวิตเซอร์แลนด์ไง” แพมยังพยายามหนุนให้เพื่อนออกเดินทาง “หรือว่าจะไปเบลเยียมกับฉันไหม ไม่อยากให้แกอยู่คนเดียว”

“ไม่ไปล่ะ จะอยู่หอ วาดรูป เขียนงานส่ง” แล้วอินทนิลตัดบท “ไม่ต้องเป็นห่วงกลัวฉันอดตาย ฉันกักตุนเสบียงอาหารไว้แล้ว เพียบเลย อย่าว่าแต่ขังตัวเองไว้ในบ้าน 3 วันเลย ต่อให้ต้องเก็บตัวนานเป็นอาทิตย์ๆ ฉันก็มีเพียงพอ” อินทนิลพูดแกมหัวเราะ สองสามวันมานี้อาการเจ็บปวดของเธอดีขึ้นมากแล้ว ตั้งแต่ไม่ได้พบหน้ากานต์

“ก็โล่งใจไป พรุ่งนี้ก็วันที่ 24 ธันวาแล้ว ฉันต้องออกเดินทางเช้ามืด เดี๋ยวขอไปนอนก่อนนะ”

“อื่ม...คงตื่นไปส่งไม่ทัน ลาตรงนี้เลยนะ” แล้วสองสาวก็กอดกันกลมก่อนที่จะแยกจากกัน แพมเดินกลับไปยังหอพักของเธอซึ่งอยู่ห่างออกไป 2-3 บล็อก ทิ้งให้อินทนิลทุ่มเทสมาธิให้กับการวาดภาพสีน้ำที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น

บรรยากาศช่างเงียบเหงา แต่มันยังไม่หม่นเทาเท่ากับความรู้สึกของเธอ...

เพราะใจจดจ่ออยู่กับงานที่ทำ เวลาจึงผ่านพ้นไปเร็วเหลือเชื่อ เมื่ออินทนิลเงยหน้าขึ้นดูนาฬิกาอีกที ก็พบว่าเวลาล่วงเลยไปถึง 2 นาฬิกาแล้ว หญิงสาวจุ่มพู่กันลงในแก้วน้ำพลางบิดตัวด้วยความเมื่อยขบ เตรียมจะลุกไปล้างหน้าแปรงฟันและเข้านอน หากจู่ๆ เสียงเพลงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

“ใครกันเนี่ย โทรมาตอนตีสอง” อินทนิลนึกตำหนิความไร้กาลเทศะของผู้โทร หากเบอร์โทรศัพท์ที่เห็นทำให้เธอถึงกับชะงักไปอึดใจใหญ่ มือเรียววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะและทิ้งไว้อย่างนั้นจนเสียงเพลงเงียบไป ดวงตาคู่สวยจ้องมองโทรศัพท์มือถือเหมือนเป็นวัตถุแปลกปลอมที่บังเอิญหลุดเข้ามาอยู่ในห้องโดยไม่ได้ตั้งใจ

อีกไม่นานนัก...เสียงเพลงเรียกเข้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง ริมฝีปากแบบบางที่ไม่ได้ถูกเคลือบสีด้วยเครื่องสำอางใดๆ เช่นทุกทีเม้มสนิท รับ...ไม่รับ...รับ...ไม่รับ สองความคิดเห็นในสมองต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง และในที่สุด...อินทนิลตัดสินใจคว้าเอาโทรศัพท์เครื่องเล็กมากดรับสายด้วยใจที่ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว

“พี่กานต์ มีอะไรคะ ยังไม่นอนอีกเหรอ ไหนใบตองบอกว่าจะต้องออกเดินทางแต่เช้าไง” เจ้าตัวพยายามบังคับให้น้ำเสียงที่กรอกลงไปแจ่มใส และดูเป็นปกติมากที่สุด

“อิน...พี่มีเรื่องอยากจะพูดด้วย” น้ำเสียงแผ่วเบากระท่อนกระแท่นที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังถึงกับสะดุ้ง

“พี่กานต์อยู่ที่ไหน” คราวนี้ทั้งหัวใจเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ดึกดื่นป่านนี้...น่าจะเป็นอันตรายไม่น้อย หากเขาอยู่ในย่านที่ไม่เหมาะสม

“อยู่หน้าหออินนั่นแหละ รอมานานแล้วด้วย ถ้าไม่อยากให้พี่ขึ้นไปรบกวนก็ช่วยลงมาคุยกันด้านล่างนี่หน่อยนะครับ” เสียงแผ่วเบาตอบกลับมา อินทนิลค่อยคลายความเป็นห่วงลงไป หากความรู้สึกใหม่เข้ามาแทนที่

สับสนเหลือเกิน ถ้าเธอลงไปคุยด้วยใบตองจะเข้าใจผิดไหม แต่ถ้าเธอไม่ลงไป...เขาจะทำอย่างไรต่อไป

“รออยู่ตรงนั้นนะคะ เดี๋ยวอินลงไปหา” แล้วความเป็นห่วงใยก็มีอิทธิพลมากกว่า อินทนิลตัดสินใจคว้าเอาเสื้อกันหนาวมาคลุมอย่างลวกๆ และเร่งรีบเดินลงไปด้านล่างทันที เมื่อก้าวพ้นออกมาจากตัวอาคาร สองขาก็ชะงักกึกเพราะสองตาเหลือบไปเห็นร่างสูงที่ทรุดตัวลงนั่งพิงรั้วเหล็กสีดำ แววตาของเขาแห้งผากและแดงก่ำ ดูไร้ความหวัง โรยรา ช่างแตกต่างจากกานต์ที่อยู่ในอารมณ์ปกติเหลือเกิน

“พี่กานต์เป็นอะไร ทำไมไม่รีบไปเก็บเสื้อผ้าจัดกระเป๋าเล่า เดี๋ยวก็ไปขึ้นเครื่องไม่ทันหรอก”

“พี่บอกใบตองไปเมื่อเย็นนี้เอง ว่าไม่ไปแล้ว” กานต์ขยับตัวจะลุกขึ้น หากกลับซวดเซจนต้องถลาเข้าไปพิงรั้วเหล็กเพื่อเป็นหลักในการทรงตัว

“พี่กานต์” อินทนิลลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ถลาเข้าไปหิ้วปีกคนที่ตัวสูงกว่าเธอเกือบหนึ่งฟุตเพื่อช่วยประคอง ร่างสูงทิ้งน้ำหนักลงมาจนเธอแทบทรุด หากโชคดีที่เอนกายพิงรั้วเอาไว้ได้ก่อน “เมาเหรอ ตั้งสติหน่อยสิคะ” อดไม่ได้ที่ส่งเสียงเอ็ดเบาๆ แต่แล้วก็ต้องถึงกับขนลุกเกรียวเมื่อพบว่าการที่ร่างสูงเอนอิงเข้ามาแนบชิดนั้น ไม่ได้เป็นเพราะเขาหมดแรงหรือไม่สมารถทรงตัวเองได้ แต่เป็นเพราะเขากำลังเอื้อมมืออีกข้างมายันรั้วเหล็กเอาไว้ แล้วเธอก็ตกอยู่ในวงล้อมของอ้อมแขนโดยสมบูรณ์

“พี่กานต์...” อินทนิลครางออกมาเบาๆ เมื่อพบว่าร่างกายส่วนที่สัมผัสกับตัวของเขานั้น มันร้อนวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก

“พี่ไม่ได้ไม่ได้ดื่มเลยแม้แต่หยดเดียว” มือและลมหายใจที่สัมผัสแก้มของเธอนั้นร้อนจัด และไม่ได้มีกลิ่นของแอลกอฮอล์เจือปนอยู่เลยแม้แต่น้อยอย่างที่เขาบอกจริงๆ นี่กานต์มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์หรอกหรือ แล้วท่าทีประหลาดแบบนี้หมายความว่าอะไรกันเล่า หากไม่ใช่เป็นเพราะฤทธิ์ของน้ำเมา มันจะเป็นผลงานของอะไร...

“อินไม่รู้เลยเหรอ ว่าพี่รู้สึกดีๆ กับใคร พี่ไม่ได้ชอบใบตอง ทำไมอินใจร้ายอย่างนี้ อยากให้พี่ลงเอยกับใครก็ไม่รู้ ” ลมหายใจของอินทนิลราวกับจะขาดห้วงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น นี่ความจริงหรือความฝันกันแน่...

ไออุ่นจากร่างกายของกานต์นั้นเตือนเธอว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นจริงๆ และไออุ่นนั้นมันก็ร้อนจัด... ร้อนเกินกว่าจะเป็นอุณหภูมิปกติของร่างกายคนทั่วไป ท่าทางสะลึมสะลือของเจ้าตัวก็เป็นอีกอาการหนึ่งที่ทำให้อินทนิลเริ่มสงสัย น้ำหนักตัวของคนร่างสูงทิ้งลงมาอีก คราวนี้เธอรู้สึกว่าเธอกำลังแบกรับกานต์เอาไว้ทั้งตัวจริงๆ

“พี่กานต์ไม่สบายเหรอคะ” มือเล็กๆ แตะลงบนหน้าผากคนตัวโตกว่าทันควัน ทันทีที่มือของเธอแตะลงไป ก็ต้องสะดุ้งเพราะความร้อนที่ได้สัมผัส “ท่าทางจะไข้สูงด้วย แย่แล้ว ขึ้นไปพักที่ห้องของอินก่อนก็แล้วกัน”

โชคดีที่หอพักของอินทนิลเป็นหอพักของนักศึกษาปริญญาโท ซึ่งไม่ได้มีการกวดขันกับแขกที่มาเยี่ยมเยียนมากนัก ดังนั้นจึงไม่มีใครว่าอะไรที่อินทนิลพาคนตัวโตที่กำลังไม่สบายหนักขึ้นไปข้างบน และเป็นโชคดีอีกประการหนึ่งที่ห้องพักของอินทนิลมีขนาดกว้างขวางกว่าห้องอื่นๆ เพราะเป็นห้องที่อยู่ตรงหัวมุม เธอจึงมีพื้นที่พอเพียงที่จะจัดที่นอนของตัวเองอยู่ตรงหน้าเตียงของเธอ ซึ่งกลายเป็นเตียงคนป่วยไปเสียแล้ว

“กินยาแก้ไข้ก่อนค่ะ พี่กานต์” หลังจากฝืนกลืนเม็ดยาลงไปได้คนป่วยก็สิ้นสติไปเกือบจะทันที หากยังไม่วายทิ้งคำพูดเอาไว้ให้คนฟังรู้สึกสะท้านร้อนสะท้านหนาวราวกับจะเป็นไข้ไปด้วย

“อิน...อย่าเพิ่งทิ้งพี่ไปไหนนะ เราไม่ได้เจอกันมานานมาก พี่คิดถึงอิน...ถึงได้มาหา” ในยามไม่สบายเขาคิดถึงเธอก่อนใครอย่างนั้นหรือ เธอไม่ได้แปลความหมายเข้าข้างตัวเองจนเกินไปใช่ไหม

อินทนิลจัดแจงตวงน้ำใส่กะละมังใบใหญ่แล้วใช้ผ้าชนหนูผืนเล็กชุบน้ำ บิดจนหมาดแล้ววางลงบนหน้าผากของคนเจ็บเพื่อช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย แล้วค่อยเช็ดตัวให้อย่างเบามือเป็นระยะๆ จนไอร้อนจากร่างกายค่อยๆ ลดลงไป ดวงตาคู่ที่เคยนิ่งราวกับน้ำในบ่อลึกในยามนี้ปิดสนิท เสียงลมหายใจสม่ำเสมอจากร่างที่นอนซุกอยู่ใต้ผ่าห่มบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังหลับสนิท พยาบาลจำเป็นก้มลงมองแล้วถอนใจ...คนตัวโตเวลาที่นอนหลับก็ดูไร้เดียงสาเหมือนเด็กดีๆ นี่เอง เวลาที่อาการไข้ของกานต์ลดลงเป็นเวลาเดียวกันกับที่อินทนิลหมดแรงล้มตัวลงนอนบนที่นอนที่ปูอยู่บนพื้นพอดี...ก่อนที่จะหลุดเข้าสู่ห้วงนิทราคำพูดเมื่อหลายชั่วโมงก่อนยังแจ่มชัดอยู่ในสำนึก ‘อินไม่รู้เลยเหรอ ว่าพี่รู้สึกดีๆ กับใคร’

จะให้เธอคิดเข้าข้างตัวเองได้อย่างไรกัน...ในเมื่อเขาไม่เคยพูด ไม่เคยบอกเลยแม้แต่น้อย ผู้หญิงอย่างเธอ...ต้องการคำพูดรับรอง ไม่ได้ต้องการเพียงแค่แววตาอ่อนหวาน กิริยาอ่อนโยน เพราะครั้งก่อนนั้นเธอเชื่อในสัญญาณเหล่านี้...แต่ผลลัพธ์ก็กลับทำให้ต้องเจ็บเหลือหลาย

แสงอาทิตย์สดใสของวันคริสตมาสอีฟสาดส่องเข้ามาในห้อง อากาศภายนอกยังคงเย็นจัดสังเกตได้จากหยดน้ำเม็ดเล็กๆ เกาะพราวที่กระจกห้อง เสียงลมหนาวพัดหวีดหวิวปะปนกับเสียงกิ่งไม้เสียดสีกันไปมาทำให้ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงค่อยขยับเขยื้อนไปมา เสียงครางเบาๆ ดังออกมาจากใต้ผ้าห่ม

“โอย...หนาวจัง”

“นี่ก็เปิดฮีตเตอร์ให้อุ่นสุดๆ แล้วนะ พี่กานต์ยังมีไข้อยู่นี่นา ก็เลยรู้สึกหนาว เดี๋ยวกินข้าวต้มนี่แล้วก็กินยาอีกชุดก็แล้วกันค่ะ” อินทนิลซึ่งเพิ่งจะเดินถือถาดใส่ชามสองชามเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง พลางแย้มริมฝีปากออกนิดๆ ไม่ได้ยิ้มเยาะหรอกนะ แต่อดขันไม่ได้ เพิ่งเคยเห็นคนเก่งหมดสภาพก็วันนี้เอง...

“พี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย”

“อ้าว...จำไม่ได้เหรอว่าอินลากพี่กานต์ขึ้นมา” ถาดข้าวต้มถูกวางลงทีโต๊ะตัวเล็กใกล้กับหัวเตียง

“พอจะจำได้อยู่ แต่มันก็เลือนลางมากๆ โอ๊ย...ปวดหัวจัง”

“ลุกขึ้นมากินข้าว กินยาสิคะ จะได้หายไวๆ กลับบ้านได้เร็วๆ” อินทนิลทรุดตัวลงนั่งที่ริมเตียงแล้วช่วยประคองร่างสูงให้ลุกขึ้น พลางยกหมอนหนุนวางตั้งพิงผนัง เพื่อให้กานต์นั่งพิงอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย

“อยากไล่พี่กลับบ้านแล้วใช่ไหมล่ะ” ดวงตาที่หม่นแสงลงไปเมื่อคืนวานเริ่มส่องประกายขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่เจ้าตัวก็ยังไม่หายดี “คุณพยาบาลใจร้ายจัง”

“ก็ที่นี่มันห้องพักของอินนะ ไม่ใช่โรงพยาบาล ห้องของตัวเองก็มี สบายดีแล้วก็ต้องกลับไป” พยาบาลจำเป็นส่งเสียงดุๆ ตอบกลับมา คนไข้ทำหน้าง้ำพลางบ่นออด

“ทั้งที่ไม่สบายก็ยังจะไล่ ถ้าพี่บอกว่าพี่ไม่ได้ซื้ออาหารเก็บไว้เลยแม้แต่นิดเดียว กลับหอไปพี่ก็คงอดตายอินยังจะอยากให้พี่กลับอยู่มั้ย” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระเง้ากระงอดแกมตัดพ้ออย่างไรบอกไม่ถูก

“อ๋อ...พอถึงยามยากก็เลยมาหาอิน.ใช่ไหม...ถ้าไม่ป่วยก็คงจะไปเที่ยวกับใบตองปร๋อไปแล้ว” อดไม่ได้ที่จะประชดประชันออกไปทั้งที่คำพูดของชายหนุ่มเมื่อคืนวานยังดังก้องอยู่ในหู แต่แล้วก็รู้ว่าผิดไปถนัด เพราะกานต์ยิ่งทำให้เกิดอาการหวั่นไหวในใจของเธอมากขึ้น เมื่อเขาเอ่ยคำพูดสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงต่ำ จริงจัง

“จนป่านนี้แล้วยังไม่เข้าใจอะไรๆ อีกเหรอ”

“กินข้าว กินยา แล้วก็นอนพักก่อน” อินทนิลตัดบทด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถ้าอยากได้เสื้อผ้าไว้เปลี่ยน อินพอจะมีเสื้อของพี่ชายที่ทิ้งเอาไว้เมื่อตอนที่เชาแวะมาเยี่ยมเมื่อหลายเดือนก่อน ไม่รู้ว่าจะใส่ได้พอดีหรือเปล่า แต่อินจะเอามาให้ก็แล้วกัน”

“พี่ยังไม่อยากนอน...ที่มาหาก็เพราะพี่อยากคุยกับอิน”

“แต่อินยังไม่อยากคุยตอนนี้ อินอยากให้พี่หายดีเสียก่อน” ใช่...ที่เขาพูดมามันก็มากเกินกว่าครึ่งของที่เธออยากรู้แล้วนี่นา

“เผด็จการ...” ชายหนุ่มโอดครวญ แต่ก็จำต้องปฏิบัติตามพยาบาลจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยังมิวายแผลงฤทธิ์ “มันปวดหัวทุกทีที่ก้มตักอาหารเลยน่ะอิน ช่วยสงเคราะห์คนป่วยหน่อยได้ไหม” มือใหญ่ส่งชามข้าวต้มไปให้ อินทนิลส่งค้อนวงเล็กๆ กลับมาด้วยความหมั่นไส้...หมั่นไส้แต่เป็นสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีทางปฏิเสธดังเช่นทุกครั้งที่กานต์เสนอหรือขอร้องให้ช่วยทำอะไร เธอคว้าเอาชามข้าวต้มมาไว้ในมือ เป่าให้คลายร้อนลงไปแล้วค่อยๆ ป้อนให้ ‘คนป่วย’ ของเธอ ที่ดูเหมือนจะเจริญอาหารกว่าคนป่วยทั่วๆ ไปอย่างน่าประหลาดใจ


หลังจากที่กานต์ทานยาและหลับไปแล้ว อินทนิลก็หันมาจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือเตรียมเขียนรายงาน หากกระดาษขาวที่วางอยู่ตรงหน้ามันก็ช่างยั่วยวนใจเสียนี่กระไร เวลาผ่านไปไม่นานนัก...ลายเส้นรูปร่างสูงใหญ่ที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ในโปงผ้าห่มก็ปรากฏขึ้น เธอตกแต่งรายละเอียดและแสงเงาด้วยความเอาใจใส่ หากก็ต้องสะดุ้งจนตัวลอย เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ข้างแก้มและเสียงกระซิบแผ่วที่ริมหู

“แอบวาดรูปคนอื่นอีกแล้ว อย่างนี้ต้องคิดค่าตัว” อินทนิลลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทันที หากนั่นกลับทำให้สถานการณ์ล่อแหลมมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามรวบตัวเธอเอาไว้ทั้งตัว

“พี่กานต์...ปล่อยนะ” ร้องห้ามไปแล้วก็ดิ้นรนหมายจะให้หลุดออกจากอ้อมกอดนั้น อุณหภูมิจากร่างกายของเขาลดลงแล้ว แต่อุณหภูมิในร่างกายของเธอคงจะขึ้นสูงแทน เพราะในยามนี้เธอรู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด

“อย่าดิ้นสิ ดิ้นแล้วพี่ต้องใช้แรง เดี๋ยวไม่สบายอีกนะ”

“ไม่สบายก็ไปนอนก่อน...มาออกฤทธิ์อะไรแถวนี้” พยาบาลส่งน้ำเสียงดุๆ กลับไปให้

“จริงด้วย ไปนอนก่อนดีกว่า” คนไข้เออออ แต่แล้วอินทนิลก็ต้องร้องกรี๊ดออกมาอีกที เมื่อคนไข้ที่แรงกลับคืนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจจะทราบได้ รั้งตัวเธอให้ล้มลงไปบนเตียงด้วยกัน ‘คนป่วย’ ที่อาจจะเป็นแค่ป่วยการเมืองไปแล้ว พลิกกลับเป็นฝ่ายกักขังเธอเอาไว้ด้วยวงแขนแข็งแรงนั้น อินทนิลจำต้องนอนนิ่งอย่างจนมุม เพราะถ้าเธอขยับตัวแม้แต่นิดเดียว เธอก็จะแตะต้องเนื้อตัวของคนเจ้าเล่ห์ทันที

“พี่กานต์...ปล่อยอินเถอะ นะคะ” ส่งเสียงหวานเพื่อออดอ้อน ขอร้องให้เขาปลดปล่อยเธอให้พ้นไปจากสภาพชวนหวามไหวเช่นนี้ หากดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพราะร่างนั้นกลับแนบชิดเข้ามาอีก

“ไม่เอา...เรามาคุยกันก่อน อินชอบเดินหนีหรือไม่ก็ชอบเปลี่ยนเรื่อง ไม่ยอมให้โอกาสพี่พูดเสียที พี่ตั้งใจจะพูด จะบอกอินตั้งแต่งานไทยไนต์แล้วแต่ก็ไม่มีโอกาส แล้วหลังจากนั้นอินยิ่งใจร้ายส่งใบตองมาหาพี่ตลอด จนพี่เกือบจะคิดว่าอินหมดความรู้สึกดีๆ ที่มีให้พี่ไปแล้ว ทั้งที่ตอนนี้ความรู้สึกดีๆ ที่พี่มีให้อินมันเต็มเปี่ยม” คนที่นอนฟังนิ่งๆ ใจสั่นไหวราวใบไม้ต้องลมหนาวขึ้นมาทันที หากก็ยังมิวายตอบโต้ถ้อยคำนั้น

“ใครบอกว่าอินไม่ให้โอกาส อินรอคอยคำพูดของพี่มานานมาก แต่พี่ก็ไม่ยอมพูดเสียทีต่างหาก พี่กานต์ไม่รู้หรอก ว่าอินทรมานแค่ไหนกับสภาพไม่แน่นอน เป็นอะไรครึ่งๆ กลางๆ เหมือนที่ผ่านมาสองสามเดือนนี่”

“อินบอกว่าอินให้โอกาส แต่เอาเข้าจริงพอจะถึงช่วงเวลานั้น อินก็เสเปลี่ยนเรื่อง พอบรรยากาศกำลังได้ที่ อินก็ทำลายบรรยากาศนั้นทุกที พอพี่กำลังจะเดินหน้าอินก็ดันไปเป็นที่ปรึกษาให้ใบตอง แล้วอินจะให้พี่ทำยังไง...หืม ถึงพี่จะอ่านแววตาของอินออก แต่พี่บอกอินว่า ‘พี่รักอิน’ ไม่ได้หรอกนะ ถ้าคนฟังยังไม่เปิดใจจะรับฟัง” กานต์ก้มหน้าเข้ามากระซิบอยู่ริมหูเมื่อถึงประโยคสำคัญ

“อะไรนะคะ” อินทนิลถามเสียงพร่า

“พี่...รัก...อิน” กานต์พูดอีกครั้ง ช้าๆ ชัดๆ ราวกับจะย้ำให้คำพูดเหล่านั้นสลักแน่นในหัวใจ ที่กลับมาสูบฉีดเลือดแห่งความรักอีกครั้ง

“พี่กานต์...อินก็รักพี่กานต์” คราวนี้อินทนิลเป็นฝ่ายโผเข้ากอดเขาเสียเอง น้ำตาไหลซึมออกมาจากดวงตาคู่ที่คลอคลองไปด้วยหยาดน้ำใส “อินไม่เคยลืมพี่กานต์เลย แต่อินไม่กล้า...ไม่กล้าเปิดรับความรู้สึก ไม่กล้าอ่านกิริยาท่าทางที่พี่กานต์แสดงออก เพราะว่าครั้งก่อนโน้นพี่กานต์ก็มีท่าทีแบบนี้ แต่ลงท้าย...อินก็เป็นฝ่ายคิดไปเองฝ่ายเดียว” อินทนิลถอนสะอื้นเมื่อคิดถึงความทุกข์ใจเมื่อวันก่อน กานต์หันมาซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน

“พี่รู้สึกผิดมากนะอิน หลังจากวันที่อินเดินหันหลังให้พี่...พี่รู้สึกเสียใจเหลือเกินที่พี่ปล่อยให้สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตหลุดลอยไป แต่พี่ก็ไม่สามารถเรียกอินให้กลับมาได้ รู้ไหม...พี่ดีใจมากนะที่ได้มาเจออินอีกครั้ง” อินทนิลถึงกับยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เมื่อได้ยินคำพูดนั้น

“ใยบัวคือผู้หญิงในอดีต พี่เคยรักเขามาก แต่วันนั้นพี่ผิดเองที่ไม่เข้าใจ ว่าการลืมไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าพี่จะยังรักเขาอยู่ พี่เลยปล่อยให้ตัวเองทำร้ายจิตใจผู้หญิงที่พี่แคร์มากที่สุด พี่ไ.ม่เคยให้อภัยตัวเองเลย” แค่นี้เอง...แค่นี้ที่เธออยากจะได้ยิน ความเจ็บปวดความทุกข์ทรมานเริ่มบรรเทาเบาบางลงไปจนหมดสิ้น

“พี่กานต์รู้ไหม...อินเจ็บปวดมากเลยนะ กับการที่ต้องพยายามข่มความรู้สึก หรือคิดว่าเราคิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียว” อินทนิลเริ่มแบ่งปันความรู้สึกบ้าง

“นี่แหละน้า...ผู้หญิง ชอบคิดแต่ไม่พูด ถ้าพูดกันตรงๆ ก็ไม่ต้องทรมานกันมานานขนาดนี้”

“ก็การคิดแล้วพูด มันทำให้อินเจ็บเหมือนครั้งที่แล้วนี่”

“โธ่...พี่ขอโทษ” น้ำเสียงนุ่มอ่อนโยนกระซิบอยู่ริมหู “พี่เสียใจที่ทำให้อินเจ็บ นับแต่วันนี้ไป เราลืมเรื่องเก่าๆ แล้วมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ได้ไหมอิน พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำให้อินเสียใจด้วยคำพูดโง่ๆ ของพี่อีก”

“อินก็สัญญาว่าอินจะไม่เก็บความทุกข์ไว้ในใจคนเดียว แล้วคิดวุ่นวายไปเองอีกเหมือนกัน” อินทนิลหันไปสบดวงตาดำคมที่เริ่มเปล่งประกายเหมือนในยามปกติอีกครั้ง แววตาที่เธอฝันหา เม็ดนิลที่พราวแสงวับวาวคู่นั้นสะกดเธอเอาไว้ไม่ให้ถอยหนีไปไหน ชั่ววินาทีที่ตาสบตาความรู้สึกทั้งหลายราวกับถูกดูดให้หายไปในหลุมดำหลุมใหญ่ ดูดไปทั้งสติและสัมปชัญญะ นับว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาดอีกแล้ว เพราะเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง ริมฝีปากอุ่นจัดก็สัมผัสพลิ้วอยู่ข้างแก้มของเธอเสียแล้ว อ่อนหวาน อ่อนโยน แผ่วเบา หากอบอุ่นชวนให้หลอมละลาย

“พี่กานต์...อย่า...” ช้าไปเสียแล้ว...เสียงร้องห้ามขาดหายลงไปในลำคอเมื่อริมฝีปากถูกทาบทับ ความอ่อนหวานกำลังถ่ายทอดจากหัวใจสู่หัวใจโดยไม่ต้องอาศัยถ้อยคำใดๆ แม้ว่าอากาศภายนอกจะหนาวจัด หากไออุ่นแห่งความเข้าใจกลับแผ่ขยายไปทั่วห้องพักแห่งนี้ บทเพลงแห่งฤดูหนาวเริ่มบรรเลงแผ่วเบา หาได้ฟังดูเกรี้ยวกราดอย่างทุกทีไม่

อึดใจใหญ่ๆ อินทนิลถึงจะถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ใบหน้าขาวใสกลายเป็นสีแดงก่ำเช่นกันกับริมฝีปากเรื่อดุจกลีบดอกไม้บาง ร่างเพรียวขยับออกห่างจากร่างสูงที่เริ่มกลับมาแข็งแรงนั่น สองมือเริ่มรัวกำปั้นลงไป

“พี่กานต์ คนฉวยโอกาส รังแกกันอย่างนี้ได้ยังไง แกล้งกันอีกแล้ว”

“พี่ขอแค่เป็นคำสัญญาเท่านั้นแหละ ไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้หรอก” ท่อนแขนแข็งแรงรั้งร่างเธอให้กลับเข้าไปแนบชิด กอดรัดเอาไว้ไม่ให้ลงไม้ลงมือกับเขาอีก “อินไว้ใจพี่ชายคนนี้ได้เลย พี่ขอสัญญาด้วยเกียรติทั้งหมดที่มี” อินทนิลลืมความโกรธความอายไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดที่ฟัง ‘ไม่ค่อยเข้าที’ ในประโยคนั้น

“พี่กานต์ อินไม่ชอบคำว่าพี่ชายเลย มันดูเหมือน...เราจะไม่ไปถึงไหนกันเลย ขออินมองพี่กานต์เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งได้ไหมคะ ผู้ชายคนหนึ่งที่รักอิน และที่อินรัก”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ พี่เองก็รอเวลานี้มานานมากแล้วเหมือนกัน”

ดวงตาสองดวงประสานด้วยความเข้าใจ อินทนิลเผยรอยยิ้มสดใสแบบที่ไม่เคยยิ้มมานานแล้วอีกครั้ง เมฆสีเทาที่ลอยมาบดบังดวงอาทิตย์เริ่มลอยหายไป แสงแดดสดใสออกมาเยี่ยมเยียนแผ่นดินอีกครั้ง ฤดูหนาวครั้งนี้ไม่ได้หม่นเศร้าเป็นสีเทาตลอดเวลาอย่างที่คิดเลย วันฟ้าครึ้มมีไว้เพื่อให้เรารู้คุณค่าของแสงตะวันต่างหาก

“ตายแล้วพี่กานต์...แล้วเราจะบอกใบตองยังไงดี” อินทนิลอุทานด้วยน้ำเสียงตกใจเมื่อนึกขึ้นได้

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จัดการเอง” กานต์ตอบด้วยความมั่นใจ “เขาก็แค่กรี๊ดกร๊าดไปตามประสาวัยรุ่น เดี๋ยวก็ลืม ตอนก่อนไปเขาก็เริ่มไปกรี๊ดคนอื่นแล้วล่ะ พี่ก็พอจะดูออก” หากคำพูดต่อไปหนักแน่นมั่นคงนัก “ไม่เหมือนความรู้สึกของเราที่มีให้กัน แม้ว่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแค่ไหน...มันก็ยังคงอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลง” อินทนิลเอนซบลงบนอกกว้างนั่น เสียงหัวใจของเขาเต้นแรง...ไม่ต่างอะไรไปจากเสียงหัวใจของเธอ

พอกันที...ความทุกข์ทรมานจากความไม่เข้าใจ วันนี้...ความรู้สึกเจ็บปวดจากความไม่สมหวังหมดสิ้นไปพร้อมกับความรู้สึกโทษตัวเองว่าช่างเพ้อฝันคิดฟุ้งซ่านไปฝ่ายเดียวด้วย ในที่สุดรักครั้งที่แล้วกับรักครั้งนี้...ก็หลอมรวมเป็นรักครั้งเดียวกัน รัก...ที่ถึงแม้จะมีช่วงเวลาแห่งน้ำตาไปบ้าง แต่ช่วงเวลาแห่งรอยยิ้มก็ช่างแสนหวาน คุ้มค่าสมกับการรอคอย

จบละ...
จบห้วนๆ
แล้วก็ชิ่งหนีเหมือนเคย

วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550

when nothing seems to go right...

When nothing seems to go right.
I keep faith in my heart, stand up, and fight
But is there any 'real' solution to ease the pain?
I did try to do so, but they all prove in vain

A problem's come, a problem's gone
Time moved gently from dusk 'til dawn.
Leaving me being stuck here
feeling numb, with no single drop of tears.

Roses cannot flourish on the bare rock
Nor can I keep going when my mind is still locked,
Wrapped and trapped in the darkest room of uncertainty.
keeping me forlorn from now to eternity.

Get me out of here! ! ! ! ! ! !, I wish I could scream out loud.
but the more I moved, the more I was trapped in a shroud
So I'm helplessly lying, hoping for the best to come...
If you have positive attitude, could you lend me some ? ? ? ?

...........................................................................................
My apologies for making it so disjointed
really can't write a better one

วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550

จะเก็บใจใส่ห้วงฝัน...เมื่อวันวาน

Rating:★★★
Category:Other
ลงเรื่องสั้นเสียเลย...ฉลองวันหลังวาเลนไทน์ (และงานเสร็จไป 1 ชิ้น - เหลืออีกล้านแปด)
ทำไมไม่ลงที่ถนนนักเขียน อื่ม...คิดว่า เรื่องสั้นคงไม่ลงอ่ะฮ่ะ ลงบล็อกส่วนตัวดีกว่า

ใบไม้ใบแล้วใบเล่าปลิดจากขั้วแล้วร่วงหล่นบนพื้นดินจนทับถมเป็นกองหนาอยู่ในสวนสาธารณะ อนิจจา...วันเวลาผันผ่าน พุ่มใบไม้สีเขียวที่ทำแลดูมีชีวิตชีวาในวันวานกลายเป็นกองเพียงใบไม้แห้งสีน้ำตาลในวันนี้ ลมแรงพัดพาเอาใบไม้ที่ร่วงบนพื้นให้หมุนคว้างขึ้นสูงราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาหยอกล้อเล่นกับผู้คนที่นั่งพักผ่อนอยู่ในสวน ก่อนที่จะปล่อยลงให้ทุกสิ่งทอดตัวนิ่งสนิทราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

ฤดูใบไม้ร่วงมาเยี่ยมเยียนมหานครลอนดอนอีกครั้งพร้อมกับสายลมเยือกเย็นและสายฝนโปรยปราย ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างควักเอาร่มสีดำออกมากางเพื่อป้องกันตัวเองจากละอองฝนที่หนาวเย็นยะเยือก หากอินทนิลยังนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ที่ตั้งอยู่ริมทางเดินโดยไม่ได้ขยับกายไปไหนโดยไม่หวั่นกลัวว่าสายฝนปรอยๆ นั้นจะทำให้เธอต้องเปียกปอนก่อนที่จะได้เข้าห้องเรียน เปียกก็เปียกไปเถิด...ปล่อยให้ความหนาวเย็นมันทำให้เธอมีความรู้สึกขึ้นมาบ้างก็คงจะดี อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าประสาทรับรู้ของเธอมันยังทำงานได้เป็นปกติ ไม่ได้ด้านชาสิ้นไร้สมรรถภาพไปอย่างที่คิดว่ากำลังเป็นอยู่

เจ้าหญิงน้ำแข็งในนิยาย...ใครๆ ก็เรียกเธออย่างนั้น

ผู้หญิงที่ทั้ง ‘แกร่ง’ และ ‘เก่ง’ แต่ไม่มีทั้งความรู้สึกเจ็บหรือเหงา ไม่มีอารมณ์ใดใดทั้งสิ้น ดำเนินชีวิตไปวันๆ แม้จะมีจุดหมายแต่กลับรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ต่างอะไรไปจากหุ่นยนต์ ที่เคลื่อนไหวไปตามหน้าที่ ริมฝีปากแบบบางรูปกระจับเหยียดออกคล้ายกับจะยิ้ม ครั้งสุดท้ายที่เธอนั่งนิ่งตากฝนแบบนี้มันนานแสนนานมาแล้ว วันนั้น...วันที่เธอนั่งอยู่ข้างทางหลังจากไปพบกานต์ที่หน้าอาคารที่ทำงานของเขา วันที่สองขาไร้เรี่ยวแรง...พาตัวเองขึ้นรถประจำทางและเดินต่อจนถึงบ้านได้อย่างไรก็ไม่อาจจะทราบได้ ทุกอย่างมันด้านชาไปหมดแล้ว หลังจากบทสนทนานั่น

“พี่ยังลืมบัวไม่ได้นะอิน พี่ขอโทษสำหรับเรื่องราวที่ผ่านมา” ในวันนั้น...น้ำเสียงนุ่มเปล่งขึ้นพร้อมกับแววตาขอลุแก่โทษ

“ที่พี่กานต์ทำลงไปทุกอย่าง มันไม่มีความหมายอะไรเลยใช่ไหมคะ” หากช้าเกินไปเสียแล้ว ความเจ็บปวดมันแล่นขึ้นเป็นริ้ว ใครเล่า...จะห้ามใจไม่ให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อได้ยินคำพูดที่เป็นดุจคำตัดรอนนั้นได้

“มีสิ...อินเป็นน้องสาวที่น่ารักของพี่นะ และความรู้สึกนี้มันจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน”

น้ำเสียงนุ่มมั่นคงยังเปล่งออกมาเรื่อยๆ หากอินทนิลไม่สามารถจับใจความสำคัญต่อจากนั้นได้อีกแล้ว น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย ไหล่กลมกลึงที่เคยตั้งตรงอย่างทระนงลู่ลงราวกับมีน้ำหนักมหาศาลกดทับอยู่ เสียงสะอื้นจากผู้หญิงที่เคยเป็นที่ยอมรับในสังคมว่าเข้มแข็งที่สุดดังขึ้นมากลบทุกสิ่งทุกอย่าง ช่วยไม่ได้ที่คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามจะมีท่าทีหวั่นไหว เธอไม่เคยร้องไห้มากมายขนาดนี้มาก่อนเลย

“ถ้าพี่กานต์ยังลืมบัวไม่ได้ พี่จะมาทำดีกับอินทำไม อินไม่ใช่ของเล่น อินไม่ใช่ศาลาพักร้อนริมทางที่พี่จะแวะมาพักเมื่อไหร่ก็ได้ พอแข็งแรงดีแล้วก็จากไปโดยไม่เหลียวแลสักนิด” คำพูดเชิงตัดพ้อที่เปล่งออกไปนั้นคงทำร้ายจิตใจคนฟังได้มากพอดู เพราะสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที

“อิน มันเร็วเกินไปที่พี่จะลืมเรื่องราวระหว่างพี่กับบัว พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อินเข้าใจผิด พี่ขอโทษที่วางตัวสนิทสนมกับอินมากเกินไป แต่พี่ขอยืนยันว่าไม่เคยคิดร้ายกับอิน ไม่เคยคิดหลอกลวงอินเลยแม้แต่น้อย และพี่ก็หวังว่าวันหนึ่งอินจะเข้าใจในสิ่งที่พี่พูดวันนี้”

ใช่...เธอเข้าใจเขาดี เพราะในวันนี้เธอก็ไม่สามารถเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครได้อีก แม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะทุ่มเทความพยายามมากสักเพียงไหน คงไม่ต่างอะไรกับกานต์ในวันนั้นนั่น วันที่หัวใจของเขาไม่มีที่ว่างสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เธอทุ่มเทให้เขามากมายเหลือเกิน

“อิน...แกต้องลืมเขาให้ได้ ผู้ชายดีๆ ไม่ได้มีแค่คนเดียวนะเว้ย...แกมองคนอื่นบ้างสิ คนที่มาชอบแกก็มีตั้งมากมาย” เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเธอบอกเอาไว้

“แกจะเครียดไปทำไม ฉันไม่ได้รักเขาอีกต่อไปแล้ว เขาไม่รักก็ไม่เป็นไร เซย์ กู๊ดบายกันไป ไม่ซีเรียส” อินทนิลตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ใส่ใจ หากผู้เป็นเพื่อนรู้ดี...อินทนิลชอบแสดงออกว่าตัวเองเข้มแข็ง แต่ที่จริงแล้ว เธอกำลังเจ็บปวดอย่างเหลือแสน แผลที่เกิดขึ้นภายนอกสามารถเยียวยารักษาได้ไม่ยากนัก แต่แผลที่หลบซ่อนอยู่ในที่ที่ตัวเองและคนรอบข้างไม่เห็น อาจจะกลายเป็นแผลเรื้อรังที่ไม่มีวันรักษาหายได้

“ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขาแล้วจริงๆ นะแพม เชื่อสิ ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป”
อินทนิลพร่ำบอกตัวเองอย่างนั้นทุกวัน จวบจนกระทั่งวันนี้ วันที่เธอโยนเรื่องราวเก่าๆ ทิ้งไปเหมือนเศษกระดาษ ลาออกจากงาน แล้วข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลถึงแดนผู้ดีเพื่อเรียนภาษาและศึกษาต่อในระดับปริญญาโท อากาศของประเทศอังกฤษหนาวเย็นยะเยือกจับใจ หากความหนาวเย็นกลับไม่อาจทำให้เธอกลับมามีความรู้สึกร้อน หนาว รัก หรือ ชัง ได้อีกเลย
จากวันนั้นเธอกลายเป็นอินทนิลคนใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ ทำกิจกรรมเป็นบ้าเป็นหลังไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาการหรือการบันเทิง เปิดตัวเองสู่โลกกว้างและสังคมใหม่ด้วยความมั่นใจในทุกย่างก้าว และก็ไม่เป็นที่ผิดหวังของตนเองและคนรอบข้าง ดาวดวงเด่นอีกดวงปรากฏขึ้นแก่สายตาคนที่เผ้ามอง

เธอทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นก็เพียงแต่เปิดใจให้ความรักอีกครั้ง ก็ดีแล้วนี่...ดวงใจที่มีความรัก คือดวงใจที่อ่อนแอ อินทนิลบอกกับตัวเองอย่างนั้น เพราะเธอก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร อย่างน้อย...กานต์ก็ไม่เคยโผล่กลับเข้ามารบกวนเธอในความทรงจำอีกเลย นับจากวันที่เธอบอกตัวเองให้หยุดคิดถึงเขา

แน่นอน ผู้หญิงอย่างอินทนิลควบคุมได้ทุกอย่าง...แม้กระทั่งความรู้สึกของตนเอง

ฝนหยุดตกแล้ว อินทนิลเดินออกมาจากในสวนด้วยเสื้อผ้าที่แทบจะไม่เปียกปอน ฝนอังกฤษก็เป็นแบบนี้แหละ จะทำอะไรได้มากกว่าสร้างความเปียกชื้นน่ารำคาญ ไม่เหมือนพายุฝนในประเทศไทยที่ตกทีไรก็ทำเอาลำบากกันไปเป็นแถบๆ ดวงตาคมคำขลับหยุดอยู่ที่บนถนนสายที่อยู่ไม่ห่างออกไปมากนัก สาวน้อยวัยยังไม่ถึงยี่สิบดีวิ่งกระหืดกระหอบสวนทางมาด้วยท่าทีเร่งรีบ หากเจ้าตัวก็ยังอุตส่าห์ส่งยิ้มเซียวๆ มาให้ เมื่อพบว่าเดินสวนกับคนรู้จักคุ้นเคยกัน

“พี่อิน สวัสดีค่ะ”

“หวัดดีจ้า เป็นอะไรรึเปล่าใบตอง ท่าทางเหนื่อยๆ”

“เหนื่อยจริงๆ ล่ะค่ะพี่อิน กำลังกลุ้มใจเลย พี่รำอะไรได้บ้างไหมคะ เรากำลังจะมีงานไทยไนต์เดือนหน้าแล้วค่ะ ตอนนี้ยังจัดสรรการแสดงไม่ค่อยลงตัวเลย” ใบตอง ประธานสมาคมนักเรียนไทยในมหาวิทยาลัยแห่งนี้เอ่ยถามด้วยความร้อนใจ

“แล้วใบตองคิดจะทำอะไรบ้างล่ะจ๊ะ บอกพี่มาสิ เดี๋ยวพี่ช่วยวางแผนก็ได้”

“คงไม่คิดจะทำอะไรยากๆ หรอกค่ะ กะว่าจะจัดการแสดงชุดรำหรืออะไรที่เป็นศิลปะวัฒนธรรมสัก 3-4 ชุด หลังจากนั้นก็มีร้องเพลง เล่นดนตรี เต้นประกอบเพลงสมัยใหม่ ตามความสามารถของคนในชมรมเรา แล้วก็มีละครสั้นเรื่องหนึ่งด้วย ความจริงก็มีนักแสดงแล้วล่ะพี่ เพียงแต่ว่าต่างคนต่างก็อิดๆ ออดๆ ยังไม่ได้เริ่มซ้อมกันเท่านั้นแหละ ใบตองกลุ้มใจจังเลย พี่อิน” สาวน้อยยกมือขึ้นกุมศีรษะ อินทนิลเผยยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

“เหลือเวลาอีกตั้งเยอะ พี่รำสาวไหมได้ เดี๋ยวพี่ช่วยรำให้หนึ่งชุดก็แล้วกัน ส่วนที่เหลือเดี๋ยวไปช่วยดูให้”

“จริงเหรอคะ เยี่ยมไปเลย ตอนนี้ใบตองคิดว่าจะให้มีรำมวยไทย เซิ้งสวิง กับฟันดาบน่ะค่ะ แต่หาคนรำเก่งๆ มาสอนไม่ได้ กลุ้มใจจัง ต้องมาช่วยกันแกะท่าทางจากวิดีโอเอา”

“เดี๋ยวพี่ช่วยดูให้ได้บางชุดนะ พี่พอจะรำดาบกับเซิ้งสวิงได้ ส่วนมวยไทยนี่คงต้องขอบาย” อินทนิลแย้มริมฝีปากออกนิดๆ เป็นเชิงยิ้ม

“เยี่ยมไปเลย พี่อินช่วยมาดูพี่ๆ น้องๆ เขาซ้อมกันด้วยได้ไหมคะ พี่อินแสดงเก่ง ร้องเพลงเก่ง เผื่อว่าจะช่วยคอมเม้นต์ให้นักแสดงได้บ้าง” คราวนี้ประธานชมรมนักเรียนไทยส่งน้ำเสียงตื่นเต้นออกมาทันที

“ได้สิ เมื่อไหร่ล่ะจ๊ะ” ใครเล่าจะปฏิเสธผู้มีดวงดาวพราวระยับในดวงตาเช่นนี้ได้ ใบตองมีทั้งความเป็นเด็ก สดใส เปี่ยมไปด้วยประหายแห่งความฝัน และพลังแห่งการมองโลกในแง่ดี เธออดที่จะรู้สึกเอ็นดูสาวน้อยคนนี้ไม่ได้ ใครหนอ...จะอยากให้ดวงดาวเหล่านี้ต้องหม่นแสงลง

“วันเสาร์หน้าค่ะ มาได้ไหมคะ”

“ได้สิจ๊ะ ไว้เจอกัน เดี๋ยววันนี้พี่ไปเลกเชอร์ก่อนนะ”

อย่างน้อย...ก็ยังมีกิจกรรมมาให้ทำ ไม่ต้องปล่อยให้อยู่ว่างจนฟุ้งซ่าน วิถีชีวิตแบบนี้ก็น่าพอใจแล้วไม่ใช่หรือ การเรียนไม่น้อยหน้าใคร กิจกรรมเป็นเลิศ แล้วอินทนิลจะต้องวอนขออะไรกันอีกเล่า เท่านี้ก็ออกจะเกินพอแล้วสำหรับชีวิตผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งอย่างเธอ

“5-6-7-8 น้องแก้มทางขวาสุด บิดแขนให้มากกว่าเดิมได้มั้ยคะ จะได้ดูเต็มที่ ยิ้มด้วย ยิ้มหวานๆ ใช่ค่ะ อย่างนั้นแหละค่ะ สวยมาก ดีมากๆ เลย...” อินทนิลร้องสั่งเด็กๆ ที่กำลังซ้อมเต้นประกอบเพลงฮิตร่วมสมัยด้วยท่วงท่ากระฉับกระเฉงก่อนที่จะหันหลังกลับมายังกลุ่มคนที่กำลังวุ่นวายกันอยู่เบื้องหลัง “เดี๋ยวเซิ้งสวิงเตรียมตัวนะคะ หลังพัก ขอพี่ดูก่อนรอบหนึ่ง”
ร่างโปร่งบางในเสื้อผ้าทะมัดทะแมง รวบหางม้าดูกระฉับกระเฉง สั่งการอย่างคล่องแคล่ว ใบตองหยุดยืนมองแล้วยิ้มกว้างด้วยความพอใจ

“พี่อิน พักทานของว่างก่อนไหมคะ เดี๋ยวปอเปี๊ยะที่ใบตองทอดมาจะเย็นหมด ยำวุ้นเส้นก็จะชืดไป เดี๋ยวค่อยซ้อมต่อก็ได้ นี่ก็เข้าที่เข้าทางมากแล้วพี่ ”

“โอเค” ร่างบางหันไปร้องตะโกนบอกน้องๆ ที่กำลังขะมักเขม้นกับการซ้อมรำ “พักก่อนก็แล้วกันจ้ะ เด็กๆ พี่ใบตองทำอาหารมาเลี้ยง รีบกินเร้ววว เดี๋ยวจะหมดก่อน” เหล่านักศึกษาต่างกรูกันเข้ามาที่ถาดสี่เหลี่ยมและชามเปลใบใหญ่โดยไม่ต้องรอให้เรียกซ้ำ ผู้แสดงฝีมือประกอบอาหารยิ้มแก้มปริด้วยความชื่นใจ แจกช้อนส้อมพลาสติกและจานกระดาษแก่นักแสดงด้วยท่าทีรื่นเริง

“ดีจังเลยค่ะ พี่อิน วันนี้ซ้อมได้ก้าวหน้ามาก เดี๋ยวเราจะได้ลองซ้อมรายการดนตรีต่อเลย เอ๊ะ...คงซ้อมไม่ได้สิ นักร้องไม่มาสักคนเลยวันนี้ มีแต่พี่อิน” สาวน้อยเริ่มขมวดคิ้ว “ว้า...อุตส่าห์ลากนักดนตรีมาได้ ยิ่งคิวเต็มๆ อยู่ด้วย”

“ไม่เป็นไร วันนี้พี่ซ้อมคนเดียวก็ได้ วันหลังจะได้เปิดโอกาสให้คนอื่นซ้อมได้เต็มที่” อินทนิลตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส วันนี้อากาศดีจนผิดปกติ แสงแดดส่องสว่างแม้ว่าจะมีเมฆขาวประปรายบนฟ้าอยู่บ้าง ใบไม้หลากสีเรียงรายบนสนามหญ้าน่ามอง อารมณ์ผู้คนก็เลยพลอยแจ่มใสไปด้วย เมื่ออยู่ในประเทศที่อากาศหม่นมัวอยู่เป็นนิจ ความสดใสเพียงนิดเดียวก็ช่างมีอิทธิพลต่อจิตใจอย่างเหลือเชื่อ “ว่าแต่ใบตองไปลากเอามือกีตาร์ที่ไหนมาล่ะ”

“รุ่นพี่ปริญญาโทของมหาลัยเพื่อนบ้านเราเองค่ะ” ประธานชมรมสาวเอ่ยนามมหาวิทยาลัยชื่อดังในลอนดอนอีกแห่ง “ใบตองไปเยี่ยมเพื่อนที่อยู่หอพักเดียวกันกับเขาน่ะ เห็นเขากำลังนั่งเกากีตาร์ทำท่าซึ้ง ฝีมือเข้าตากรรมการเลยลากตัวมาใช้งาน เอ๊ย...เชิญตัวมาแสดงฝีมือเลย เอ้า มาโน่นแล้ว เดี๋ยวไปเรียกตัวมาก่อนนะคะ พี่คะๆ ทางนี้ค่ะ ยู้ฮู” ใบตองวิ่งไปในทิศทางที่ต้องการพลางยกมือขึ้นป้องปากพลางตะโกนเรียกชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อแจ็คเก็ตสีดำที่หิ้วกีตาร์มาด้วย

“สวัสดีจ้ะใบตอง พี่ขอโทษ มาสายไปหน่อย” เสียงทุ้มนุ่มตอบขึ้นมา

“ไม่สายหรอกค่ะ พอดีเลย ถ้ามาก่อนก็ต้องมารอการแสดงชุดอื่นๆ มาได้จังหวะตอนนี้ อีกสักพักก็เริ่มซ้อมเพลงได้แล้วล่ะ”

“เหรอ โล่งอกไปที” มือเล็กเรียวชะงักกึก แม้ว่าจะก้มหน้าตักอาหารอยู่ หากน้ำเสียงนุ่มของคนที่เพิ่งเดินมาถึงโต๊ะตัวใหญ่หลังห้องสะกิดใจอินทนิลเข้าอย่างจัง น้ำเสียงที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดีจนต้องเงยหน้าขึ้นมองที่มาแห่งเสียงนั้น เพื่อที่จะพบว่าโลกใบนี้...ไม่ได้กว้างใหญ่อย่างที่เธอคิดเลย

ตาสบตา...นิ่งงัน ดวงตาคู่ที่เธอเคยเห็นมาจนเจนตาเจนใจก็มองตรงมาแน่วแน่ไม่ต่างกัน เป็นเวลาสองสามวินาทีเท่านั้น แต่เธอช่างรู้สึกว่ามันยาวนานนัก

“พี่กานต์” น่าแปลกใจนักที่เสียงที่เปล่งออกไปราบเรียบ ไม่มีร่องรอยอะไรมากไปกว่าความประหลาดใจจนฟังดูราวกับว่าเธอไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเจ้าของชื่อที่เคยเรียกจนติดริมฝีปากอีกต่อไป

แต่คิดดูอีกที...ก็ไม่แปลกนักหรอก ก็เธอลืมความเจ็บปวดเก่าๆ ได้หมดสิ้นแล้วจริงๆ ไม่ใช่หรือ
“อิน” แต่น้ำเสียงของคนที่ตอบกลับมากลับมีทั้งความประหลาดใจที่เจือกระแสยินดีเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากหยักได้รูปแย้มออกจนปลายเป็นรอยยิ้มเปิดเผย “อินมาเรียนต่อที่นี่เหรอ”

“ค่ะ อินเพิ่งจะเริ่มเรียนโทที่นี่ได้ไม่นาน แต่มาเรียนภาษาที่นี่นานพอสมควรแล้วล่ะ”

“พี่ไม่รู้เลย ว่าอินลาออกจากงานที่ทำ”

“แหม...จะรู้ได้ยังไงล่ะพี่ ก็อินไม่ได้บอกใครเท่าไหร่ เพื่อนของอินบางคนยังไม่รู้เลย...” ริมฝีปากได้รูปแย้มออกจนเป็นรอยยิ้ม

“อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง จะได้นัดเจอกันบ้างนะ”

“ก็ดีค่ะ อินไม่ได้เจอกับเพื่อนเก่ามานานมากแล้ว มีอะไรก็จะได้เล่าสู่กันฟัง” อินทนิลรู้สึกแปลกใจนักที่เธอไม่ได้มีท่าทีหวนอาลัยหรือเสียดายกับอดีตอันแสนหวานดังที่คิดว่าควรจะเป็นเมื่อได้พบกันอีกครั้ง เธอสงบนิ่งมากกว่าที่คิด คงเป็นเพราะในวันนี้...ระหว่างคนสองคนเหลือเพียงแค่ความปรารถนาดีในแบบพี่ชายน้องสาวเท่านั้น

“อะแฮ้ม...รู้จักกันมาก่อนแล้วเหรอคะ” ใบตอง ผู้ซึ่งเริ่มรู้สึกว่าตนเองจะหลุดออกไปจากบทสนทนาขัดขึ้นเบาๆ “ดีเลย จะได้ซ้อมได้เข้าขากัน”

“แน่นอน เราเคยร้องเพลงด้วยกันบ่อยๆ แล้วด้วยจ้ะ” กานต์เอ่ยขึ้นยิ้มๆ

“จริงเหรอ” ใบตองขึ้นเสียงสูงด้วยความตื่นเต้น “งั้นเราโชว์เพลงคู่ดีไหมคะ ใบตองว่ามันน่าสนใจกว่า”

“ไม่เอาดีกว่าใบตอง พี่กานต์น่ะเขาถนัดเล่นอย่างเดียวจ้ะ ร้องไม่ได้เรื่องหรอก พลังเสียงมันผิดกัน” อินทนิลทำท่าทีเกทับทันที

“ใครบอกว่าพี่ร้องไม่เพราะ ทุกทีที่ยอมให้ร้องก็เพราะเห็นว่าอยากร้องล่ะน่า” ก่อนที่เรื่องจะลุกลามเป็นการทะเลาะกันเล็กๆ ใบตองก็ตัดบทเสียก่อน

“ค่ะๆ ๆ เก่งทั้งคู่แหละค่ะ ใบตองเห็นฝีมือมาหมดแล้ว ไว้เราค่อยลองปรับรายการเพลงกันดู ตอนนี้กินกันก่อนค่ะ เดี๋ยวจะได้ซ้อมกัน”

สิ่งที่ราวกับจะถ่วงใจให้หนักอึ้งอยู่เสมอคล้ายจะเบาบางลง เมื่อได้พบ ‘โจทก์เก่า’ อีกครั้งในวันนี้... อินทนิลก็ได้รู้ว่า ตนเองไม่ได้แบกเอาความเจ็บปวดไว้ในใจดังที่เคยคิดว่าจะเป็น เธอก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเรื่องในวันเก่ามันจบลงไปแล้ว เธอสามารถพูดจากับเขาได้เป็นปกติราวกับว่ากำลังคุยกับ ‘เพื่อน’ คนหนึ่งได้อย่างสนิทใจโดยที่ไม่มีอาการ ‘อกหัก ช้ำรัก’ หลงเหลืออยู่เลย ในที่สุดก็มีวันนี้...วันที่เธอปลดปล่อยให้ใจเป็นอิสระได้อย่างแท้จริง ช่วยไม่ได้ที่เธอจะรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว

อย่างน้อย...เราก็ยังเป็นเพื่อนกันนะคะพี่กานต์...หญิงสาวบอกตัวเองในใจ

บรรยากาศหม่นเทาเริ่มคืบคลานเข้ามาสู่มหานครลอนดอนและสหราชอาณาจักร ท้องฟ้าเริ่มถูกปกคลุมด้วยเมฆสีเทาครึ้มอยู่เป็นนิจ ใบไม้ที่แห้งกรอบกระจายอยู่บนทางเท้า บ้างก็ปลิวไปมาเมื่อมีผู้คนเดินผ่าน หากเจ้าตัวปล่อยให้บรรยากาศสภาพแวดล้อมเข้ามามีอิทธิพลเหนือความรู้สึก ความเหงากลางฝูงชนก็อาจจะคืบคลานเข้ามาครอบคลุมหัวใจของผู้คนได้ง่ายๆ
ทางด้านของอินทนิลนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับสภาพอากาศนัก เพราะเธอก็ต้องผจญกับบรรยากาศเก่าๆ ที่กำลังเริ่มคืบคลานและรุกรานเข้ามาในชีวิตและกำลังจะทำลายระบบเดิมๆ ที่เธอตั้งเอาไว้จนหมดสิ้น

“อินว่างหรือเปล่า ไปกินไอติมกันมั้ย พี่เลี้ยงเอง”

“ไม่เอา อินควบคุมอาหารอยู่”

“จะคุมไปทำไม...ผอมมากๆ เดี๋ยวก็ปลิวลมหรอก ยึดติดอะไรกับแฟชั่นมากมาย ของฟรีๆ นานๆ ทีจะมีหนนะ”

...แล้วในที่สุดเธอและเขาก็นั่งประจันหน้ากันที่ร้านไอติมอิตาเลียน แม้เธอจะบ่นงึมงำแค่ไหน คนชวนก็ยังทำหน้ายิ้มระรื่น ดวงตาเจ้าเล่ห์ฉายประกายวิบวับปนกับความขำ เมื่อเห็นว่าคน ‘ควบคุมอาหาร’ เป็นคนเลือกเมนูด้วยตัวเองและจัดการเสร็จก่อนเขาเสียอีก

“ไปเดินเล่นริมแม่น้ำกันมั้ย วันนี้แดดกำลังดีเลย ช่วงนี้นานๆ จะมีแดดเสียทีนะ ต้องรีบตักตวงความสุข”

“ไม่เอา อินจะทำรายงาน”

“นั่งหน้าคอมมากๆ สายตาเสียแย่...พักผ่อนสายตาก่อนนะ”

...แล้วในที่สุด อาหารมื้อเย็นวันนั้น ก็คือเครปร้านอร่อย ร้านโปรดของอินทนิล และสถานที่นั่งกินคือเก้าอี้ยาวริมแม่น้ำเทมส์ ท่ามกลางแสงสุดท้ายของวันที่เริ่มอ่อนลงจนไฟสีเหลืองอำพันจากเสาไฟที่ตั้งเรียงรายริมแม่น้ำกลบจนหมดสิ้น

นี่ยังไม่นับคำชวนอื่นๆ ที่เธอสุดจะปฏิเสธได้อีกหลายต่อหลายครั้ง อินทนิลรู้สึกขัดใจยิ่งนัก ที่กานต์กำลังทำให้เธอกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเด็กวัยรุ่นอีกครั้ง ชีวิตที่มีแต่กิจกรรม รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความเบิกบาน แต่เอาเถิด...นานๆ เธอจะได้พบกับ ‘เพื่อนเก่า’ เสียที

“เจอร้านติ่มซำร้านใหม่ สนใจจะไปลองด้วยกันรึเปล่า”

“ช่วยพี่เลือกซื้อของขวัญส่งไปให้แม่หน่อยสิอิน พี่เลือกผ้าพันคอให้ผู้หญิงไม่เป็น”

“มาซ้อมร้องเพลงกันเถอะ พรุ่งนี้ยายใบตองจะมาตรวจสอบผลงานแล้ว เดี๋ยวฝีมือตก โดนเด็กนินทาแย่เลย”

เมื่อได้พบหน้ากานต์เสียครั้งหนึ่ง โอกาสที่จะพบหน้าเขาในกาลต่อไปก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และก็ดูเหมือนว่าเหตุผลในการพบกันที่เขาเพียรสรรหามานั้นจะมีมากมายร้อยแปดประการ จากที่ได้พบหน้ากันสัปดาห์ละครั้งเมื่อถึงเวลาฝึกซ้อมดนตรีเตรียมการแสดง ก็กลายเป็นสัปดาห์ละหลายครั้ง ร่างสูง ท่าทีง่ายๆ สบายๆ คำพูดหยอกเย้าแบบไม่มากไม่น้อยเกินไป รอยยิ้มนิดๆ บนใบหน้าคมที่ทำให้ฟ้าหม่นๆ กระจ่างขึ้นมาทันที เริ่มกลายเป็นสิ่งที่อินทนิลเริ่มกลับมาคุ้นเคยอีกครั้ง ทั้งที่เธอไม่ได้เต็มใจเลยแม้แต่น้อย

ความเจ็บปวดที่เคยประสบมา...มักถูกเคลือบเอาไว้ด้วยความหวานเสมอ
ยิ่งหวานเท่าไร ยิ่งสุขมากเท่าไร...ลงท้าย ความเจ็บปวดทบเท่าทวีคูณ

“ฉันว่าแกจะใจอ่อนอีกครั้งแหละ อินเอ๊ย” แพม เพื่อนสนิทของเธอเอ่ยขึ้นมาระหว่างที่จิบชาอยู่ด้วยกันระหว่างคาบเรียน

“ไม่หรอก ฉันก็แค่ไปไหนมาไหนกับเขาเพราะสงสาร เขายังไม่ค่อยมีเพื่อนที่นี่เลย”

“แล้วเขาจะไม่มีเพื่อนที่มหา’ลัยเลยเหรอ คณะก็ออกจะใหญ่ แถมยังพักหอพักที่มีนักเรียนเป็นร้อยๆ คนอีก ตอนฉันไปเยี่ยมเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกับพี่กานต์ ก็ออกจะเห็นพี่ชายร่วมโลกของแกมีเพื่อนฝูงมากมายเอาการอยู่ แต่ไม่รู้ว่าทำไม้ ทำไม ตกวันหยุดสุดสัปดาห์ทีไรพี่ท่านกลับกลายเป็นคนไร้เพื่อน ต้องชวนแกไปไหนมาไหนด้วยทุกครั้ง”

“คิดมาก...แก่ไวนะยะ”

แม้จะรู้ว่าที่เพื่อนพูดก็มีเหตุผล หากอินทนิลก็ไม่ได้หาโอกาสปลีกตัวออกห่างจากเขาแต่อย่างใด อย่างน้อยเธอก็อยู่ในประเทศนี้มานานกว่ากานต์ การช่วยนำทางหรือให้ความช่วยเหลือนิดหน่อยนั้นมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอะไร หากความใกล้ชิดย่อมทำให้เกิดความเคยชิน ดังนั้น...จึงดูเหมือนว่ากานต์จะผูกเธอเข้าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเขาไปเสียแล้ว ดังเช่นวันนี้...

“อยากไปดูซากไดโนเสาร์ที่พิพิธภัณฑ์หน่อย ไปด้วยกันมั้ยอิน”

“ไม่เอา...อินตั้งใจจะไปวาดภาพที่ไฮด์ ปาร์ค” อินทนิลค้านขึ้นมา

“ใกล้กันนิดเดียวเอง ไปพิพิธภัณฑ์กันก่อนเถอะ แล้วค่อยไปวาดภาพต่อ”

“โหย...ไม่ทันหรอก พี่กานต์ อินใช้เวลาวาดนาน”

“แต่พี่ก็คงดูไม่นานมากหรอก ไปด้วยกันหน่อยนะ นะคะ เดี๋ยวพี่ไปนั่งวาดรูปเป็นเพื่อน” น้ำเสียงออดอ้อนแบบที่เธอไม่เคยได้ยินมานานแสนนานเหลือเกินทำให้ใจกระตุกวูบหนึ่ง อินทนิลถอนหายใจยาวแล้วก็ใจอ่อนตอบตกลงอย่างง่ายดาย ก็แค่ไปเดินเที่ยวเล่นกับเพื่อนคนหนึ่งดังเช่นทุกทีเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย

(ไว้ต่อวันหลัง - จะมีคนหลงผิดคิดมาอ่านมั้ยเนี่ย -_- )