Rating: | ★★★★ |
Category: | Other |
การได้อ่านกระทู้หนึ่งในพันทิปในวันนี้ ที่เจ้าของกระทู้เป็นโรค major depressive disorder (โรคซึมเศร้า) ทำให้รู้สึกว่ามันช่างน่าสะท้อนใจนัก การตอบสนองต่อคนที่มาตอบกระทู้ของเขาแสดงให้เห็นถึงสภาพที่ไม่ปกติของร่างกาย อารมณ์และจิตใจอย่างชัดเจน และการที่มีเพื่อนพ้องน้องพี่ใกล้ตัวกำลังต่อสู้กับภาวะเครียด หรือภาวะซึมเศร้าอยู่มากมายหลายคนเหลือเกินในช่วงนี้ทำให้ยิ้มนึกอยากเขียนอะไรขึ้นมา เพราะระลึกขึ้นได้ว่า ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ของปีที่แล้ว (จริงๆ มีช่วงเดือนมีนาคมด้วย) ตัวยิ้มเองก็กำลังต่อสู้กับสภาพจิตใจตัวเองอย่างหนักหน่วงเช่นกัน
อาการเครียดและซึมเศร้า บทจะมามันก็มา...ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากจะให้เกิดขึ้น บางครั้งมันก็ดูููรุนแรงกว่าสภาพปัญหาที่เกิด บางครั้งมันก็ดูไร้สาระ แต่คนที่ตกอยู่ในหุบเหวแห่งความหดหู่นั้น อาจจะยังไม่ถึงเวลาช่วยตัวเองขึ้นมาเบื้องบนได้ประหนึ่งเส้นผมบังภูเขา หรือฝุ่นเข้าตาตัวเองเลยเขี่ยไม่ออก บทความทางการแพทย์บางบทบอกไว้...ว่าภาวะที่สารเคมีในสมองเสียสมดุลอย่างนั้นทำให้สมองจัดการกับสิ่งเร้าได้ไม่ดีเท่าที่ควร และการที่คนรอบข้างไม่เข้าใจ ก็รังแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ 'คนที่ล้มก็ต้องยืนให้ได้ด้วยตัวเอง' คนที่ไม่เคยอยู่ ณ จุดนี้อาจจะไม่เข้าใจ คนที่เคยอยู่แต่ก้าวพ้นล่วงออกมาแล้วก็อาจจะลืมความรู้สึกในขณะนั้นไปบ้าง แต่ถ้าเป็นไปได้ อ่านบทความนี้แล้ว....ขอความเห็นใจและความอดทนกับผู้ที่ตกอยู่ในโรคซึมเศร้าหน่อยนะคะ บางที...เขาไม่ได้ต้องการอะไรมาก อาจจะแค่ต้องการคนรับฟัง ต้องการคนคุยด้วย ต้องการมีคนเข้าใจ (หรืออย่างน้อยแสดงออกว่าเข้าใจ) เท่านั้นเอง
ยิ้มไม่เคยคิดว่า ยิ้มจะมีอาการซึมเศร้า อาการเครียด หรืออาการอะไรที่เกิดจากสภาพจิตใจ(และสมอง)ขาดสมดุลมาก่อน และมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเคยเป็นโรคซึมเศร้ามั้ย แต่อาการที่เคยเกิดขึ้นมันคล้ายอาการของโรคนี้พอสมควร ยิ้มคิดเสมอว่าตัวเองเป็นคนมองโลกในแง่ดีค่อนข้างมาก และมีพื้นฐานการฝึกจิตปฏิบัติสมาธิวิปัสนามาบ้าง แต่ในที่สุดเมื่อกลางปี 2552 ยิ้มก็ได้เรียนรู้ว่าไม่มีอะไรเที่ยงสักอย่าง ทั้งความสุข ความทุกข์ และความอดทนของมนุษย์ปุถุชนมันก็มีขอบเขตของมัน
เรื่องที่จะเขียนในบล็อกนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว ปัญหาเล็กน้อยเท่าขี้ผงสำหรับบางท่านที่เข้ามาอ่าน ตอนนี้เมื่อมองย้อนกลับไปยิ้มเองก็ยังคิดว่าตัวเองควรจะจัดการกับสถานการณ์ได้ดีกว่านี้เลย แต่ยิ้มก็ยังอยากจะเขียนเป็นอุทธาหรณ์ไว้ สำหรับผู้ที่กำลังเป็นโรคเครียด และผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคเครียดในอนาคตอยู่ดี ว่าความเครียดมันเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวหากเราไม่รู้จักปล่อยวาง ไม่ว่าปัญหาจะใหญ่หรือเล็กแค่ไหน และวิธีรักษาที่ดีที่สุดก็คือการเริ่มเอาชนะจิตใจตัวเองนั่นแหละ
ในวันนี้...วันคืนอันหดหู่ ซึ่งแท้จริงก็ผ่านมาแค่ราวๆ หนึ่งปี กลับดูช่างห่างไกล ราวกับเป็นแค่จุดเล็กๆ ในอดีตเท่านั้น และเมื่อเราผ่านมันมาได้ ไม่ว่าจะอย่างสง่างามหรือไม่ก็ตาม วิธีคิด วิธีมองโลก ของเราก็เปลี่ยน
วันนี้ขอเขียนบล็อกบันทึกเอาไว้สักหน่อยเถอะ ว่าขณะนี้ความรู้สึกนึกคิดของยิ้มเป็นยังไง ณ เวลาหนึ่งปีให้หลังจากช่วงที่มองสิ่งใดในโลกก็เป็นสีเทา หดหู่จนไม่อยากจะทำอะไร และมองไม่เห็นในคุณค่าของตัวเองและการมีชีวิตอยู่
ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ประสบภาวะตึงเครียดทุกท่านที่เข้ามาอ่านบล็อกนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจิตใจนะคะ เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง คนใกล้ตัว มีส่วนช่วยให้กำลังใจ แต่คนที่จะทำให้ภาวะซึมเศร้า เครียด กดดัน นั้นหายไปก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นแหละ ยิ้มเป็นห่วงนะคะ
จุดเริ่ม:
หากติดตามบล็อกนี้มาบ้าง ก็คงพอจำกันได้ ว่าต้นปี 2552 มีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิตนิดหน่อย อันได้แก่ ปู่กับยายเสีย(โดยที่ไม่มีโอกาสได้ดูใจ) พ่อเส้นเลือดในสมองแตก(โดยที่ช่วงที่กำลังอยู่ใน ICU และช่วงที่ออกมาใหม่ๆ ยิ้มก็ไม่มีโอกาสได้ไปดูแล) แม่เข้าโรงพยาบาล 2 รอบ ไปผ่าตัดแล้วก็ไปรักษาอาการติดเชื้อ(ในช่วงที่กำลังจัดงานศพของยาย) ซึ่งเรื่องหลักๆ 4 เรื่องนี้ก็นำมาซึ่งปัญหาลูกโซ่ต่างๆ เช่น ไม่มีเวลาทำงาน คุณภาพงานป.เอก ย่ำแย่มาก เก็บข้อมูลในเมืองไทยไม่ได้ดั่งใจ (จะว่าไปต้องพูดว่าไม่มีโอกาสทำเลยมากกว่า) ต้องหยุดการเรียนไว้ การเงินไม่สมดุล และยังปัญหาอื่นๆ ที่ไม่สมควรจะนำมากล่าวเพราะเป็นเรื่องภายใน
ตอนนี้ลองมาคิดๆ ดู ยิ้มว่า ณ ตอนนั้นมีปมอยู่ 3 ปมหลักที่น่าจะนำมาซึ่งความเครียดที่ส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ
ปมที่หนึ่ง: เครียดเรื่องการเรียน(มาก) สภาพจิตใจแย่ที่สุด มองทางไหนก็เห็นแต่หินขรุขระ มองไม่ออกเลยว่าจะได้กลับมาเรียนต่อที่อังกฤษได้ตอนไหน ตัวยิ้มเองก็ต้องอยู่บ้านตลอด แทบไม่มีเวลาออกไปทำงานเก็บข้อมูลตามที่วางแผนไว้จนร่ำๆ คิดจะขอพักทุนเอาไว้ก่อน แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจปล่อยไป แล้วจะเร่งสปีดเอาทีหลัง เพราะพ่อแม่ก็อยากให้จบเร็วๆ ค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าทำเรื่องพักทุน...ยิ้มคงได้พักยาวเป็นปีแน่ๆ
ปมที่สอง: อีกปมหนึ่งคือความเครียดอันเกิดจากการเป็นนางพยาบาลจำเป็น การดูแลพ่อแม่คือสิ่งที่ลูกควรทำอยู่แล้ว ใช่...แต่มันก็นำมาซึ่งความเครียดอย่างใหญ่หลวง (บางคนอาจจะบอกว่า จ้างคนมาดูแลเอาสิ...แต่เอ่อ...บอกตรงๆ ว่าไม่มีเงิน จ้างคนดูแล...แพงนะเนี่ย แล้วถึงจะจ้างคนไหว จะหาใครที่ไว้ใจได้? ญาติพี่น้องทั้งสองฝั่งก็มัวแต่ยุ่งกับงานศพและเรื่องที่ต้องสะสางอื่นๆ ที่ตามมา และประเด็นที่สำคัญที่สุด...พ่อแม่จะรู้สึกยังไง? แค่เล็กน้อยลูกก็ทำให้ไม่ได้เหรอ? )
การมีคนป่วยสองคนอยู่ในบ้านมันเหนื่อยมาก...เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่...แต่มันทำให้เหนื่อยใจด้วย คนป่วยไม่ได้มีสภาพจิตใจปกติ และการดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องนานๆ ก็ทำให้คนเฝ้าสภาพจิตใจไม่ปกติได้เหมือนกัน จริงๆ แล้วท่านพ่ออดทนและใจเย็นพอสมควร แต่ตอนท่านแม่เริ่มป่วย ความเครียดที่สะสมมาตั้งแต่ช่วงที่ต้องเฝ้าพยาบาลพ่อมาก่อนก็เริ่มแผลงฤทธิ์ ท่านแม่เริ่มอารมณ์ฉุนเฉียวและจู้จี้โดยที่ท่านแม่เองก็อาจจะไม่รู้ตัว และคนที่รองรับอารมณ์ขั้นสุดท้ายก็คือยิ้มนี่แหละ บ่นก็ไม่ได้ แถมยังต้องคอยเป็นกันชนระหว่างพ่อกับแม่อีก พอถึงเดือนมีนาคม ตอนที่เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเสร็จสรรพและถึงจุดที่ย่ำแย่ที่สุด สภาพจิตใจทุกคนก็เหนื่อยล้าไปตามๆ กัน
ปมที่สาม: ความรู้สึกผิด คือน้ำกรดขวดที่สามที่กัดกร่อนใจอยู่เนืองๆ รู้สึกผิดที่ไม่มีโอกาสได้ร่ำลาญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรัก รู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่บ้านในช่วงเวลาที่พ่อแม่ต้องการเราที่สุด ปัญหาก็คือ...ยิ้มเคยพลาดไม่ทันอยู่ดูใจตาก่อนที่ตาจะเสียเพราะต้องลงไปทำธุระที่กรุงเทพฯ ทั้งที่ญาติคนอื่นมากันเต็มบ้าน ทำให้ยิ้มคาดหวังจะได้พบหน้าญาติผู้ใหญ่ที่สนิทสนมเลี้ยงดูกันมาท่านอื่นๆ ในวาระสุดท้ายของชีวิตเพื่อร่ำลา แต่พอไม่สามารถได้ไปดูใจ และไม่สามารถแม้แต่จะไปร่วมงานศพของทั้งปู่และยาย รวมถึงไม่มีโอกาสได้ช่วยแม่ดูแลพ่อในช่วงแรกๆ ซึ่งเป็นช่วงที่พ่อต้องการกำลังใจที่สุด และเป็นช่วงที่แม่ต้องเหนื่อยที่สุดเช่นกัน ยิ้มเลยไม่อาจจะให้อภัยตัวเองได้ ทำไมต้องเป็นแบบนี้? ทำไมเราไม่พยายามกว่านี้? ทำไมๆ ๆ ๆ ทำไม ไม่มีใครยอมบอกเรา? พันธมิตรปิดสนามบินยิ้มก็ไปลงที่ย่างกุ้ง มาเลเซีย สิงคโปร์ หรืออะไรก็ได้ เลยนำมาซึ่งความรู้สึกผิดที่ทำให้ทุกคนต้องมาห่วงใยความรู้สึกอีก โตป่านนี้แล้วยังต้องให้คนมาทะนุถนอม มาแคร์ง่าเราต้องรู้สึกยังไงเหมือนเด็กเล็กๆ งั้นเหรอ ทำไมเรามันไร้ค่าแบบนี้
พออยู่บ้านไปได้สองสามเดือนก็มีความรู้สึกผิดในรูปแบบอื่นๆ ตามมาอีกขบวนใหญ่ รู้สึกผิดที่เหนื่อยกับการดูแลคนที่บ้าน มันควรเป็นหน้าที่ของเราไม่ใช่เหรอ? รู้สึกผิดที่เราโมโหเวลาแม่บ่น แต่ทำไมแม่ไม่เข้าใจเราบ้าง? รู้สึกผิดที่เราควรจะทำได้ดีกว่านี้ และอื่นๆ อีกมากมาย....
ความเครียดสะสมทั้งหมดทำให้เกิดอาการต่างๆ ดังนี้
อาการ:
- ปวดหัวแบบไมเกรน(เคยเป็นมาก่อน เลยพอจะรู้ว่ามันมาเยือนอีกละ)
- ประจำเดือนไม่มา (กลับเมืองไทยไปราวๆ 6 เดือน แต่ประจำเดือนมาแค่ 2 ครั้ง)
- อาหารไม่ย่อย
- เป็นโรคกระเพาะอาหาร
- นอนไม่ค่อยหลับ ถึงหลับก็ฝันร้าย
- จิตตกมาก กิจกรรมอะไรที่เคยชอบก็ไม่มีอารมณ์ทำ อ่านนิยายไม่ได้ เล่นดนตรีไม่ได้ ร้องเพลงไม่ได้ เบื่อแม้กระทั่งอินเตอร์เน็ต
- รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า สิ้นหวัง เกลียดตัวเอง รู้สึกผิดกับคนรอบข้าง โดยเฉพาะพ่อแม่
- ไม่มีสมาธิ สมาธิสั้นมากๆ อ่านอะไรหนึ่งหน้ากระดาษยังไม่ค่อยจะได้ สวดมนต์ทำวัตรนี่ เป็นไปด้วยความยากลำบาก นั่งสมาธิไม่ได้เลย
- เศร้า หดหู่ นั่งเฉยๆ น้ำตาก็ไหลออกมา โดยเฉพาะเวลาอยู่คนเดียว
- กังวลตลอดเวลา ไม่มีช่วงจิตว่างเลย บางทีก็หงุดหงิด คำพูดคนไม่เข้าหูได้ง่ายๆ
- เวลานั่งเฉยๆ จะควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายบางส่วนไม่ได้ เช่นบางทีถ้าเผลอใจลอย พอสติกลับมาก็จะพบว่ากำลังบีบเค้นกำมือแน่นอยู่ บางทีก็เอามือถูกับหน้าขาซ้ำๆ พร้อมกับโยกตัวไปด้วย
- ไม่อยากพบเจอผู้คน เก็บตัว สูญเสียความมั่นใจในการเข้าสังคม (อาการนี้คงอยู่นับจากเดือนมีนา จนถึงเดือนกรกฎาคมเลยทีเดียว !! )
- ช่วงที่เครียดมากๆ สมองตอบสนองช้า และประมวลผลช้าลงกว่าเดิม ใครถามอะไร ไม่สามารถตอบได้เลยทันที ต้องใช้เวลาคิดก่อน เบลอเป็นปกติ
- อยู่ในที่ที่เสียงดังๆ ไม่ได้ จะปวดหัว และรู้สึกหงุดหงิดอย่างรุนแรง ได้ยินเสียงแม่บ่นหรือเถียงกับพ่อก็ปวดหัวลึกๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เคยเผลอหลุดกรีดร้องออกมาในที่สาธารณะครั้งหนึ่ง และเผลอระเบิดใส่พ่อแม่อีกสักครั้งนึง ที่เหลือพยายามกัดริมฝีปากข่มใจไว้
พอค้นพบว่ามีอาการที่ไม่เคยเป็นดังที่กล่าวมา และรู้สึกว่ามันออกจะมากกว่าปกติไปสักหน่อย ก็เลยทดลองนำไปค้นหาจากบทความในอินเตอร์เน็ต พบว่ามันคล้ายกับอาการโรคซึมเศร้าหลายข้ออยู่ (แต่ยังไม่เคยคิดอยากฆ่าตัวตาย เพราะถ้ายิ้มตายในตอนนั้น ตอนนั้นพ่อกับแม่ก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน) ก็เลยลองนำไปปรึกษากับเพื่อนที่เรียนจิตแพทย์ (แต่เพื่อนไม่ได้อยู่เชียงใหม่ด้วย) เพื่อนฟังอาการแล้วก็บอกว่าสารในสมองอาจเสียสมดุลเพราะเจอเรื่องกระทบใจติดต่อกันหลายครั้ง ถ้าอยู่ใกล้ๆ กันเพื่อนจะสั่งยาตัวหนึ่งให้ แต่ให้ไปหาหมอที่อยู่ใกล้ตัวดีกว่า - -' หรือจะให้ดีที่สุด ยิ้มควรรักษาให้หายด้วยตัวเองโดยการแก้ที่ใจ เพราะยาก็ช่วยได้แค่ปรับสารเคมีในสมองเท่านั้นไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ เพื่อนที่เชียงใหม่ที่พอจะทราบอาการของยิ้มก็ช่วยโทรไปปรึกษาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกจิตเวชที่โรงพยาบาลสวนดอกให้เช่นกัน พร้อมกับเอาเบอร์โทรศัพท์ของแผนกจิตเวช พร้อมชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ของหมอมาให้ เตรียมเอาไว้เผื่อทนไม่ไหวจริงๆ
ช่วงกลางเดือนมีนาคมเป็นช่วงที่อาการเหล่านั้นเกิดขึ้นพร้อมกันหมดและรุนแรงที่สุด จนทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ลุกขึ้นไปอุ่นอาหารเช้าให้พ่อกับแม่...แต่พอระลึกได้ว่าไม่มีคนทำ ก็ต้องลุกขึ้นไปทำอยู่ดี ช่วงไหนที่ลุกไม่ขึ้น (เพราะคืนก่อนหน้านอนไม่หลับ) พ่อก็ต้องมาอุ่นอาหารเอง ณ ตอนนั้น พ่อซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากอาการเส้นเลือดในสมองแตกแค่ 4 เดือน (ถึงจะไม่ใช่เส้นใหญ่ก็เถอะ) ก็ต้องพยายามทำทุกอย่าง แม่ก็บ่นระบายความรู้สึกไม่ได้ เพราะถ้าแม่บ่น ยิ้มก็จะปวดหัวขึ้นมา ทุกๆ อย่าง อย่างละนิดละน้อยยิ่งทับถมและทำให้รู้สึกผิด รู้สึกหดหู่ รู้สึกแย่ และรู้สึกเหมือนคนใกล้บ้าเข้าไปทุกทีๆ
มันเป็นภาวะเครียดที่ต้องการการระบายออก และต้องการเวลาอยู่กับตัวเองมากๆ เพื่อทบทวนความคิดและกำจัดสิ่งที่เราสร้างหรือปรุงแต่งขึ้นมาทำร้ายตัวเอง แต่ยิ้มไม่ค่อยจะมีโอกาสนั้น กลับบ้านหกเดือนยิ้มได้ออกไปเจอเพื่อนไม่เกิน 10 ครั้ง กว่าครึ่งเป็นการเจอกันที่กรุงเทพฯ ตอนที่ลงไปเก็บข้อมูล ตอนอยู่เชียงใหม่แทบไม่ได้ออกไปพบเจอใคร(แต่จริงๆ ช่วงนั้นก็ไม่ได้อยากเจอผู้คนอยู่แล้วด้วย) เวลาคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวแทบจะไม่มี ขยะของความคิดเลยตกตะกอนในใจหนาขึ้นๆ รอวันที่มีอะไรมากวนให้น้ำขุ่นอีกรอบ เมื่อปลายเดือนมีนาคมมาถึง อาการของพ่อแม่พอจะทุเลาบ้าง ยิ้มก็ต้องเร่งเก็บข้อมูลทั้งที่งานก็ถูกวิพากษ์อย่างแรงมาแล้ว และยังมองไม่เห็นว่าข้อมูลจะออกมาเป็นแบบไหน เป็นการทำงานที่มองไม่เห็นอนาคตจริงๆ (ความเชื่อ ณ ตอนนั้น)
งานเก็บข้อมูลทำวิทยานิพนธ์หนักและยาวจนถึงปลายเดือนพฤษภาคม ยิ้มจึงตัดสินใจว่า จะกลับอังกฤษ เพราะอาการของพ่อกับแม่ก็ดูดีขึ้นกว่าช่วงเดือนแรกที่กลับมาประเทศไทยมากแล้ว แต่การที่ยิ้มกดอาการดังกล่าวไว้ได้ถึงเกือบ 2 เดือนไม่ได้แปลว่าอาการมันจะหายขาด ทันที่ที่พ้นจากเชียงใหม่ มานั่งรอขึ้นเครื่องบินที่สุวรรณภูมิ ยิ้มก็นั่งน้ำตาหยดเป็นทางต่อหน้ารุ่นพี่ที่มาส่งกลางร้านอาหาร พอขึ้นเครื่องได้ ไฟหรี่ลง...ไม่ต้องสงสัยเลย น้ำตาไหลพรากๆ แบบไม่ต้องอายใคร ยิ่งมาถึงอังกฤษ...อาการเกือบทุกอย่างกลับมาหมด แต่อย่างน้อย ณ ตอนนั้น ยิ้มมีเวลาอยู่กับตัวเองเต็มที่ มีเวลาใคร่ครวญถึงสิ่งที่ผ่านมา มีเวลารักษาจิตตัวเองบ้าง
ช่วงนั้นยิ้มก็พยายามไม่แสดงอาการมากเท่าไหร่ แต่สิ่งที่กลบเกลื่อนไม่ได้เลยจริงๆ คืออาการไม่อยากพบใคร บางครั้งก็ฝืนตัวเองออกไปกินข้าวกับเพื่อนกับพี่ที่รู้จักบ้าง (ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่พยายามชวนและทำให้ยิ้มรู้สึกว่ายังอยู่ในสังคมนะคะ) แต่ก็ยังไม่อยากออกไปกับคนกลุ่มใหญ่ๆ รู้สึกว่าความมั่นใจที่เคยมีมันหายไปหมด และที่สำคัญ...ยิ้มยังเล่นดนตรี กับร้องเพลงไม่ได้ สมาธิยังไม่ดีพอ มีอยู่ครั้งหนึ่งออกไปกินข้าวกับกลุ่มเพื่อนๆ พี่ๆ ที่รู้จักที่มาจากลอนดอน พี่ชายที่เล่นกีตาร์เป็นประจำชวนให้ยิ้มร้องเพลงซึ่งมันก็เป็นกิจกรรมทีทำร่วมกันบ่อยๆ ก่อนที่จะกลับไปเมืองไทยแล้วไปพบเจอเหตุการณ์อย่างที่เล่ามา ก็เลยลองร้องดู นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบหกเดือนที่ยิ้มต้องร้องเพลง พยายามร้องแบบฝืนๆ แต่พบว่ามันไร้อารมณ์และตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุขจากกิจกรรมนั้นเท่าไหร่เลย
เลยเริ่มคิดว่า...สภาพจิตใจย่ำแย่เต็มทีแล้ว
วิธีแก้ไข:
ช่วงเดือนมีนาคม เป็นช่วงที่ทรมานที่สุดจนยิ้มคิดว่า ขั้นแรกยิ้มควรหาที่ระบายออก นอกจากคุยกับเพื่อนสองสามคนอย่างที่เป็นมา ก็เลยลองเอาไปตั้งกระทู้ในห้องสวนลุม ณ เว็บพันทิป เพื่อขอคำแนะนำเรื่องคลินิกทางจิตเวชที่เชียงใหม่ และวิธีแก้ไขโดยเริ่มที่ใจ จริงๆ ก็ไม่มีใครเข้ามาให้คำแนะนำอะไรได้ นอกจากให้กำลังใจ บางความคิดเห็นก็ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม เพราะตอบมาเหมือนอ่านข้อความไม่แตก ยิ้มก็ได้บรรยายสถานการณ์ของตัวเองไว้หมดแล้ว และย้ำว่า 'ไม่สามารถปลีกตัวจากการดูแลพ่อแม่ไปที่ไหนได้' อย่างชัดเจน ก็ยังอุตส่าห์จะบอกว่าให้หนีไปเข้าวัดซักสัปดาห์หนึ่ง ใจที่ไม่ปกติ ณ เวลานั้น ร่ำๆ จะโวยวายตอบกลับไปว่าอ่านอย่างมีสติบ้างไหม แต่ก็ยังมีสำนึกว่าเพราะเขาห่วงหรอก เขาถึงตอบมา จะอ่านพลาดไปบ้างเพราะเราเขียนไว้ยาวก็จะเป็นไรไป....
ช่วงนั้น...ยิ้มเริ่มสรรหาเบอร์โทรศัพท์ฮอตไลน์ของโรงพยาบาลสวนปรุงมาแล้ว แต่ลึกๆ ก็ยังอยากลองรักษาด้วยตัวเองก่อน ด้วยการพูดคุยกับคนรอบตัว ยิ้มลองระบายให้เพื่อนๆ ฟังบ้าง ก็รู้สึกเบาขึ้นเล็กน้อย...ณ ตอนนี้ก็ต้องของขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หลายท่านที่คอยรับฟัง และให้กำลังใจในช่วงนั้น
ต่อมาก็เริ่มแบ่งเวลาไปว่ายน้ำ ยิ้มพยายามไปว่ายน้ำเรื่อยๆ ถ้ากลับมาจากเก็บข้อมูลทันเวลาก่อนค่ำ เพราะเวลาที่อยู่ในน้ำ เวลาที่จ้วงมือจ้วงเท้าลงไปแรงๆ พยายามรักษาสมดุลไม่ให้จม จิตใจที่เคยว้าวุ่นมันเริ่มว่างเปล่า...อะไรที่ฟุ้งซ่าน เลื่อนลอย ก็ค่อยๆ กลับมาปะติดปะต่อกันมากขึ้น
นับว่ายังโชคดี ที่จิตสำนึก และจิตใต้สำนึกของยิ้มยังเห็นงานมาก่อนอะไร ทั้งที่อาการแย่ๆ พอถึงเวลาทำงาน ก็กัดฟันทำไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็อย่างที่เขียนไว้ข้างต้น พองานเสร็จ ยิ้มก็กลับลงไปที่ก้นหุบเหวของอารมณ์อีก เศร้า หดหู่ รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ณ ตอนนั้น....กลับมาอังกฤษแล้ว เบอร์โทรศัพท์คลินิคจิตเวชทั้งหลายก็คงไม่มีโอกาสใช้ หรือจะลองโทรไป hot line สายด่วนที่นี่ดี...ฝรั่งจะเข้าใจไหม...ความสัมพันธ์ในครอบครัวของที่อังกฤษจะแน่นแฟ้นเท่าครอบครัว Extended Family แบบล้านนาเหรอ...ในที่สุดก็ตัดสินใจไม่โทรอีกนั่นแหละ และ....หันไป - -' ดูละครแทน ยิ้มจมจ่อมลงไปในโลกแห่งละครและซีรี่ส์เกาหลี ญี่ปุ่น จนลงทุนสมัครเป็นแฟนคลับดาราท่านหนึ่ง พี่เคลลี่นั่นเอง... ก็ได้ผลนะ โลกมายาทำให้ลืมเรื่องของตัวเองไปได้พักหนึ่ง แต่มันก็คงไม่ใช่ต้นเหตุอยู่ดี
เดือนกรกฎาคม ยิ้มเริ่มทนสภาพขึ้นๆ ลงๆ ของอารมณ์ตัวเองไม่ไหวแล้ว ณ จุดนั้นพ่อแม่ก็พยายามทุกอย่างที่จะทำให้สบายใจ ทำให้ไม่ห่วง ทำแม้กระทั่งชวนสวดมนต์พร้อมกันผ่านทาง skype ในที่สุดก็ตัดสินใจติดต่อสมัครคอร์สวิปัสนาช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ของวัดป่าสันติธรรมและเดินทางไปอย่างค่อนข้างกะทันหัน และการเข้าวัดปฏิบัติธรรมครั้งนี้ของยิ้มนี่เอง...ก็ทำให้ยิ้มเริ่มมองเห็นในสิ่งที่เคยมองข้ามมาตลอด
1. เราเรียนศาสนาและพระธรรมคำสอน รวมถึงปฏิบัติธรรมไปเพื่ออะไร
- ต้องยอมรับเลย...ว่าคำตอบก่อนหน้าเหตุการณ์นี้ ถึงจะตอบไปว่า 'เพื่อเข้าใจชีวิต และกฎของความไม่เที่ยง' แต่ก็สักแต่ว่าพูดไปอย่างนั้นแหละ ด้วยความที่คนรอบข้างใกล้วัดมาก จึงมีโอกาสไปวัดมาก แต่จุดมุ่งหมายที่ผู้ใหญ่ถ่ายทอดมาให้เราตั้งแต่เด็กจนโตที่เหมือนจะเป็นเหตุผลหลักที่ซึมลงไปในความรับรู้ของยิ้มมากกว่าเหตุผลข้างต้นก็คือ 'เพื่อบุญกุศล' 'เพื่อเป็นธรรมเนียมสืบต่อกันมา' 'เพื่อให้ได้ฌาณ' และอื่นๆ อีกมากมาย ที่มันไม่อาจจะเห็นผลได้เป็นรูปธรรม
แต่พอมีทุกข์...เห็นชัดเลย...ว่าเรามีพุทธศาสนาและพระธรรมคำสั่งสอนไว้เพื่ออะไร...
ที่ยิ้มเข้าวัดปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่ยังเด็ก ยังเล็กนี่...สิ่งที่ต้องการที่สุด...ก็คือการ 'ปล่อยวาง' แค่นั้นเอง ละให้ได้ วางให้ได้ มองให้เห็นความไม่เที่ยง และใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ไม่ใช่ปฐมฌาณ ทุติยฌาณ ตติยฌาณ อภิญญาหรือนิมิตใดๆ
ทำไม๊....ทำไม ถ้าไม่ทุกข์ ถึงคิดไม่ได้นะ
2. ที่ผ่านมา ทุกข์เพราะคาดหวังใช่มั้ย? คาดหวังว่าจะทำให้พ่อแม่ได้ดีกว่านี้? คาดหวังว่าจะเรียนให้ได้ดีๆ คาดหวังต่างๆ นาๆ ร้อยแปดพันเก้าอย่าง ก็อย่างว่านั่นแหละ ปล่อยวางให้ได้...ทำใจให้นิ่งซะ ยึดไว้ ถือไว้ก็หนักเปล่าๆ นั่นสิ...ยิ้มเคยเป็น Perfectionist และยิ้มก็เคยพยายามลดการกะเกณฑ์บังคับตนเองมาเยอะแล้ว จนคิดว่าตัวเองทำได้ดี ลืมไปเลย...ว่ายังยึดติดกับอะไรอีกมาก และที่ทำมาก็คงจะยังไม่พอ ก็นั่นแหละ ที่ผ่านมาเรานึกถึงสิ่งที่เราทำ และสิ่งที่ควบคุมได้นี่ แต่ที่ต้องประสบมันเป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องที่ควบคุมไม่ได้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใครๆ ก็ผ่านมาแล้วทั้งนั้น จะจิตตกไปหาสวรรค์วิมานอะไร
ถูกที่สุด....พอเริ่มนึกได้ยิ้มก็เลยค่อยๆ วางสิ่งที่แบกมา ณ ตรงนั้น (ที่บอกว่าค่อยๆ เพราะมันก็ทำไม่ได้เลยทีเดียว ต้องค่อยเป็นค่อยไป ก็คนมันเคยคาดหวังมาตลอดชีวิตนี่นา) ไม่ใช่แค่ความคาดหวังอ่างเดียว ยิ้มพยายามวางขยะอื่นๆ ที่แบกใส่ใจมานานหลายเดือนด้วย ก่อนหน้านี้มีปัญหาอะไรที่แม่เล่า แม่ระบายให้ฟังยิ้มก็เก็บมาสุมไว้ในใจหมดสิ้น ฟังมาตั้งแต่ 4-5 ขวบก็เก็บสะสมไว้ตั้งแต่ 4-5 ขวบ จนอาบุได้ยี่สิบกว่าไม่เคยคิดจะโละทิ้งไปจากใจ พอเริ่มทำใจว่า...แบกไปก็เท่านั้น น้ำหนักไร้ที่มาที่กดอยู่บนบ่าก็ค่อยๆ หายไป ปัญหาอะไรที่เราไม่สามารถควบคุมได้ก็ช่าง(แม่ง)มัน อันไหนที่แก้ได้ก็ค่อยๆ ทำไป
พอยิ้มประกาศว่าจะปล่อยวางก็มีคนมาแย้งอีก ว่าถ้าสิ้นหวังแล้วชีวิตจะก้าวไปได้ยังไง
ท่านพุทธทาสภิกขุท่านเคยสอนไว้นะคะ ว่าปล่อยวาง คนละอย่างกับสิ้นหวังเลย....ปล่อยวางก็แค่ไม่ยึดติดกับความหวังนั้นๆ เท่านั้นเอง ถ้าอยากได้อะไร ก็ลงมือทำเลย...ถ้าทำได้ก็ดี ทำไม่ได้ก็ต้องเข้าใจกฏของมัน (แล้วจะพยายามใหม่ หรืออย่างไรก็ว่ากัน)
หลังจากเดือนกรกฎาคม และหลังจากไปปฏิบัติธรรมมา อาการก็ดีขึ้นมากจนกระทั่งเดือนกันยายน จิตก็เริ่มตกอีกครั้งเมื่อเจอมรสุมการเรียนระลอกเล็กๆ ทำให้เขวไปอีกนิดหน่อย แต่นับว่ายังดีกว่าช่วงก่อนหน้านั้นมาก ช่วงนั้นสวดมนต์กับทางบ้านผ่านทาง skype กันบ่อยมากเลยทีเดียว
สรุป ก็แล้วกัน
บ่นมานานขนาดนี้ ตรงประเด็นมั่ง นอกประเด็นมั่ง ก็แค่อยากจะนำเสนอว่า
1. โรคเครียด โรคซึมเศร้า เกิดขึ้นได้ อย่าประมาท พยายามรักษาจิตใจและฝึกจิตให้รู้จักปล่อยวาง เข้าใจกฏธรรมชาติและเข้าใจชีวิตอยู่เนืองๆ จะดีกว่า
2. หากเกิดโรคซึมเศร้าขึ้นแล้ว ยาก็ช่วยได้แค่อาการทางกาย ต้นเหตุก็คือจิตใจของเจ้าตัว
3. การออกกำลังที่ใช้แรงเยอะๆ ช่วยในการรวบรวมสมาธิเบื้องต้นได้ดี การดูละครก็ช่วยให้ลืมภาวะปัจจุบันได้บ้าง แต่วิธีแก้ที่ดีที่สุด....ยิ้มว่าการทำสมาธิ แล้วก็ฟังธรรมน่าจะช่วยที่ต้นตอนะ (แต่ต้องเลือกผู้ถ่ายทอดธรรมะด้วย ยิ่งพูดซับซ้อนจะยิ่งมึน ยิ้มว่าพระสายวัดป่าสอนดีทีเดียว) โรคพวกนี้มันเริ่มที่จิตใจไม่สามารถทำงานได้ปกติ เราก็ต้องซ่อมมัน ต้องสำรวจว่าผิดปกติที่ไหน แล้วจะแก้ยังไง
4. คนที่อยู่ในภาวะเครียด อาจจะต้องการการแสดงออกจากคนรอบข้างที่ต่างๆ กัน บางคนต้องการความสนใจ และต้องการการแสดงออกว่าเห็นใจ เข้าใจ แต่บางคน...ยิ่งพูด ยิ่งแนะนำ ยิ่งแสดงความเสียใจยิ่งทำให้รู้สึกแย่ คนรอบข้างต้องคอยสังเกตด้วย
5. ตอนนี้จิตปกติแล้วค่ะ บ้าบอเหมือนเดิม งานอดิเรกเหรอ ฮู้ยยยย ทำเยอะกว่างานวิทยานิพนธ์อีก ร้องเพลงเล่นดนตรีเหรอ ฮู้ยยยย ถามว่าวันไหนไม่ร้องจะดีกว่ามั้ง
6. คิดว่าพอแค่นี้ก่อนดีกว่า สาธยายมานานเกินไปละ ขอลาไปก่อน สวัสดีค่ะ
6 ความคิดเห็น:
ขอบคุณที่มาแบ่งปันประสบการณ์ครับน้องยิ้ม ทำให้พี่ได้ข้อคิดเล็กน้อยสำหรับเตือนใจตัวเอง ณ ขณะนี้ว่า ให้รู้จักปล่อยวาง เสียบ้าง ...เนอะ !!!
สู้ๆ นะคะ พี่เต่า ^ ^ เกือบจบแล้วๆ อีกนิดเดียวๆ
ถึงแม้จะเจอปัญหาไม่เท่ากับที่ยิ้มเจอมาก็เข้าใจอยู่นะว่ารู้สึกยังงัย มันไม่ได้แก้ที่ไหนเลยที่ใจเราเอง.....
เราน่าจะได้อ่านตั้งแต่เมื่อคืนเนอะ แต่อ่านตอนนี้มันก็ไม่สายหรอก ขอบคุณนะงับ
ยินดีด้วยค่ะ พอได้อ่านแล้วก็ได้ระลึกว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" อย่างแท้จริง ยิ้มเก่งมากเลยที่กลับมาเข้มแข็งได้รวดเร็ว (ตบมือแปะๆๆ)
แล้วช่วยมาแบ่งปันความสำเร็จด้วยนะ ขอให้พระคุ้มครองค่ะ
ขอเป็นกำลังใจให้ยิ้มด้วยคนนะ :)
ีI have no idea... You are a strong person na ka, I am sure you can get through this ka, I don't know what else I can do except letting you know that I always care about u and wish u all the best na ka. Miss you mak ka พี่ยิ้มคนเก่ง :)
แสดงความคิดเห็น