วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Dancing Daffodills (เวอร์ชั่นศศิษยา มิใช่ของ Wordsworth นะคะ ^ ^)


รู้สึกว่าจะข้ามช็อตไปหน่อยนะคะ 555 ใบไม้กำลังร่วง หน้าหนาวยังไม่มาเลย ยิ้มก็คิดถึง Spring และดอกแดฟโฟดิลแสนงามแล้วอ้ะ ก็แดดของ Autumn มันเหลืองๆ เศร้าๆ หมองๆ ยังไงไม่รู้ ไม่ชอบเลย ^ ^' ด้วยความคิดถึงดอกแดฟโฟดิล หนึ่งในบรรดาดอกไม้โปรด จึงเกิดอารมณ์เขียนกลอนกะทันหัน
ก่อนอื่น..ต้องเล่านิทานนำกลอนก่อน - -' เพราะมิฉะนั้นแล้ว อาจจะงง ว่าทำไมดอกแดฟโฟดิลมันถึงมีพฤติกรรมแบบนั้นในกลอนดอกสร้อยนี้ ^ ^' (แต่ถ้าเล่าผิด ผู้รู้ก็แย้งด้วยนะคะ จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน แหะๆ ๆ)
ดอกแดฟโฟดิล เป็นพืชตระกูล Narcissus นะคะ คำว่า Narcissus นี่เป็นชื่อของเทพปกรณัมองค์หนึ่งในตำนานกรีก-โรมัน ซึ่งมีรูปงามมาก  ท่านเลยออกแนวหลงตัวเองมิใช่น้อย (เป็นที่มาของคำว่าNarcissism) จนเทพอีกองค์ที่ชื่อ Echo มาหลงรัก แต่ก็ไม่กล้าจะเข้าหาก่อน ได้แต่ด้อมๆ มองๆ พอท่าน Narcissus ถามไปว่า 'ใครน่ะ' นางก็จะตอบกลับมาว่า 'ใครน่ะ' จนท้ายที่สุดนางก็ตัดสินใจ วิ่งเข้าไปหาหมายสวมกอดด้วยความหลงใหลในรูปกายของ narcissus เต็มที่
แต่หนุ่มหล่อๆ อย่างท่าน Narcissus มีหรือจะตอบตกลง ท่านย่อมคิดว่าท่านดีกว่าใครอยู่แล้ว จึงตัดรอนอย่างไม่มีเยื่อใย ทำให้ท่าน Echo คร่ำครวญ เว้าวอนอยู่นานแสนนานจนกายหายไป เหลือแต่เสียง (เป็นที่มาของคำว่า Echo - เสียงสะท้อน) นางยังคงเว้าวอน พร่ำรำพันจนท่านมหาเทพเทพอ่อนใจ ลงโทษ Narcissus ให้ 
และแล้ว Narcissus ก็โดนสาป...(คิดว่าตัวเอง)หล่อนักใช่มั้ย มหาเทพจัดให้...แค่นี้ขจะดีหรือ...หลงตัวเองให้สุดๆ ไปเลยสิคะ Narcissus ขา
เมื่อเขาก้มลงมองเห็นเงาของตัวเองในน้ำ ก็เกิดหลงรักเงาตัวเองหัวปักหัวปำ (เป็นเอามาก - ผลเน่องจากคำสาปน่ะ) แต่พอเอื้อมมือหมายจะสัมผัส เงานั้นก็กลับแตกกระจายหายไป Narcissus เสียใจยอมรับความจริงไม่ได้ เลยทำร้ายตัวเองจนตาย...ณ จุดที่เขาตาย ก็มีต้นดอกไม้งอกขึ้น เป็นต้น narcissus ซึ่งหนึ่งใน Genus นั้นก๊อคือ ดอกแดฟโฟดิลนี่เอง ส่วนแม่นาง Echo ผู้ไร้ตัวตนก็เพิ่งจะนึกสงสารขึ้นมาในตอนจบ = ='



ดอกเอ๋ย...เจ้าดอกแดฟโฟดิล
เต้นระริ้ว..พริ้วเพริศเลิศสีสัน
หากหลงเงา..เขลาอยู่ไม่รู้วัน
ไม่นานพลันแห้งโหยกลีบโรยรา
เพราะยึดติดกับความลวงจนล่วงเลย
แต่ไม่เคยคิดจะแก้..แย่หนักหนา
โอ้..ดอกไม้ ไยหลงเงาเศร้าวิญญาณ์
นำคุณค่า..มาพร่าผลาญแหลกลาญเอย

เศร้าจังเลยนะคะ แดฟโฟดิลเป็นดอกไม้ที่น่าสงสารจัง T-T ความสวยไม่ช่วยอะไรเลย ตอนที่ยังไม่รู้ว่าดอกแดฟโฟดิลมีประวัติมาอย่างไร ทุกครั้งที่มองก็รู้สึกชื่นชมแกมพิศวง เพราะตัวดอกไม้มีเสน่ห์มากๆ โดยเฉพาะแถวๆ ริมน้ำ ดอกไม้ขึ้นเป็นพุ่มเวลาลมพัดก็พริ้วไหวราวกับจะเต้นระบำ จน William Wordsworth กวีมีชื่อของอังกฤษที่มีบ้านอยู่ Lake District ยังถึงกับนำมาเขียนเป็นบทกวีที่โด่งดังไปทั่วเกาะอังกฤษ
ใครจะรู้...ว่าความเป็นมาของแดฟโฟดิลช่างอาภัพขนาดนี้ ไม่น่าหลงเงาเลย แดฟโฟดิล เอ๊ย Narcissus เอ๋ย...ไม่อย่างนั้น คงไม่จบเศร้าแบบนี้ เฮ้อ.. 

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ก็แค่ใบไม้อีกใบ...ที่ร่วงหล่น

Rating:★★★
Category:Other
เมื่อวาน + วันนี้เป็นวันย้ายเข้าหอค่ะ
ได้แฟลตเมตชุดใหม่อีกแล้ว...

เวลาผ่านไปเร็วมากๆ เลยนะคะ
ที่ผ่านมา เรื่องบางเรื่องก็ได้ดังใจ
แต่อีกหลายๆ เรื่องก็ทำร้ายจิตใจสิ้นดี
จนเหนื่อยที่จะเอาจิตไปตามความรู้สึกใดๆ อีกต่อไป
ทุกวันนี้อยู่ได้เพราะความคิดที่ว่า..วันหน้ามันจะดีขึ้น
แล้ววันหนึ่งจะถึงเวลาที่เราหลุดจากวังวนนี้

แต่

เปลือกหอมบนพื้นในห้องครัว ฝาถังขยะที่เปิดอ้า
คราบแป้งบนโต๊ะส่วนรวม เศษอาหารบนพื้น ที่ปีก่อนไม่เคยมี
ก็ทำให้เราได้คิดอะไรบางอย่างเหมือนกัน

บางครั้ง...ที่เรามีความรู้สึกชอบ ชัง โกรธ พอใจ ไม่พอใจ คงเป็นเพราะเรายึดติดกับมันมากเกินไป
บางทีอาจควรที่จะดึงจิตกลับมา...แล้ว 'รู้' อยู่ที่ตัวเองดีกว่า
เป็นอย่างที่พระอาจารย์กล่าวไว้กระมัง...
อะไรที่มากระทบใจ ให้ถามสั้นๆ ว่า "So?"

ก็จริงนะ...
ทุกอย่างมันเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป
ความรู้สึกใหม่ๆ ก็เกิดขึ้น แล้วก็ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป

แล้วไง...
มันก็เป็นแบบนี้อยู่เรื่อยไป

เราทุกข์สุดๆ ในยามที่เรื่องราวไปเป็นไปอย่างใจ เพราะว่าเราจดจำเอาความรู้สึก
ณ จุดที่ดีที่สุดเอาไว้ แล้วหวนหา...อยากให้ความรู้สึกนั้นคงอยู่ชั่วกาล
แต่มันเป็นไปไม่ได้...
มันเป็นการฝืนกฏธรรมชาติ
กฎของการการแตกดับ

ควรหรือ...จะเอาจิตไปฝังอยู่ตรงความรู้สึกนั้น?

บางคนอาจจะคิดว่า การไม่ยึดติดกับอะไร ก็เหมือนคนสิ้นหวัง
ชีวิตจะมีอะไรเป็นแรงผลักดันให้ก้าวเดินไป

แต่คงไม่หรอก
เพราะคิดว่าแยกแยะได้
ว่าการไม่ยึดติด กับการสิ้นหวังมันต่างกันอย่างไร

บ่นมาซะนาน
บางคนอาจจะว่ามีแต่น้ำ
บางคนอาจจะว่ามีแก่นด้วย..

ก็สุดแต่จะสกัดใจความกันไป