วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

กลอน นิยาย บล็อก วิทยานิพนธ์: อะไรเขียนยากที่สุด

Rating:★★★★
Category:Other

บล็อก กลอน กับนิยายเป็นสิ่งที่ชอบเขียน ส่วนวิทยานิพนธ์เป็นสิ่งที่ต้องเขียน

เอาเป็นว่า...เราดึงสิ่งที่เขียนง่ายที่สุดออกมาก่อนนะคะ จะได้ไม่ต้องคิดมาก บล็อกค่ะ เขียนบล็อกง่ายที่สุดแล้ว เพราะเวลาเขียนบล็อกยิ้มใส่แค่อารมณ์กับจินตนาการนิดหน่อย กลอนก็..พอๆ กับบล็อกแหละ อาจจะใช้จินตนาการสูงกว่านิดนึง แต่สิ่งอื่นๆ ยิ้มมีสูตรในการปรุงดังนี้

1. นิยาย = อารมณ์ดีๆ + จินตนาการ + พล็อตที่(ดู)ชาญฉลาด + ความคาดหวังของคนอ่าน + เวลาว่าง

2. วิทยานิพนธ์ = อารมณ์นิ่งๆ + จินตนาการ + ความรู้ + ความคิด และความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ + การระลึกถึง Contribution to the current debates + ความอดทน + เวลาทั้งชีวิต + ความคาดหวังของตัวเอง อาจารย์ และพ่อแม่ + ความกดดันจากการใช้ภาษีประชาชนเรียน + ฯลฯ

เหวย...ทำไมมันซับซ้อนเยี่ยงนี้ แค่เห็นก็รู้ละ ว่าอะไรยากที่สุด...แล้วหล่อนจะมาเขียนรำพันในบล็อกให้เสียเวลาทำไมยะ

ตอบ: ก็มันง่ายนี่..เค้าก็อยากทำอะไรให้สำเร็จบ้างสิ T-T อย่างน้อยเขียนบล้อกสำเร็จก็ยังดีน้อ...

ก่อนหน้านี้นะคะ ยิ้มคิดว่า...วิทยานิพนธ์แสนคำ แหม ง่ายมาก (1 หน้ามีประมาณ 300 คำ) เขียนวิทยานิพนธ์ตอนป. โท สองหมื่นคำแล้ว แค่ห้าเท่าเอ๊ง....มีเวลาตั้ง 4 ปีแถมจินตนาการเราก็ออกจะบรรเจิด เขียนนิยายมาก็พอสมควรละ แค่เขียนงานวิจัยชิ้นนึง คงไม่ยากอะไร

แต่ทว่า...พอมาทำจริงๆ แม่เจ้า...มันยากกว่าที่คิดนะ จำนวนคำไม่เป็นปัญหาหรอก เผลอๆ เขียนเกินด้วยซ้ำ - -' แต่ว่าปัญหามันคือ เขียนยังไงให้สอดคล้องสัมพันธ์ มีเหตุผลรองรับทุกอักขระ (coherence)

ตอนนี้รู้ซึ้ง T-T

ถ้าความคาดหวังของงานป.ตรีคือ 100%
งานป.โท เราต้องทุ่มลงไป 150% เพราะว่างานต้องมีคุณภาพมากขึ้น
งานป.เอก เราต้องทุ่มลงไป 250% เพราะว่างานต้องมีคุณภาพขึ้นไปอีก เราต้องทำให้คนอื่นยอมรับงานของเราได้ ต้องจัดการความรู้สึกเบื่อหน่ายของเราให้ได้ และต้องพอใจกับมัน

ตอนนี้เหนื่อยและเบื่อค่ะ อยากหยุดเรียน แล้วหนีไปทำอะไรสั้นๆ ค่อยกลับมา แต่ก็กลัวเสียเวลา แก่จะตายอยู่แล้วยังเรียนอยู่เลย ใจนึงก็คิดว่า หนีไปเขียนนิยายให้อารมณ์ดีๆ หน่อยดีมั้ย ค่อยกลับมาทำงานต่อ แต่ว่า...

กลับขึ้นไปอ่านข้อ 1 ใหม่ กรี๊ดด สิ่งที่การเขียนนิยายของยิ้มต้องใช้คืออารมณ์ดีๆ เอ่อ...ตั้งแต่เรียนเอกมานี่...ยิ้มไม่ได้รู้สึกถึงคำว่า 'อารมณ์ดี' มานานนักหนาแล้ว อ้าว แล้วกรูจะเขียนนิยายได้ไง - -' นั่นสิเนอะ

ยิ่งนึกถึงความยากของการเขียนงานก็ยิ่ง เฮ้อ...

หรือว่าเราควรเบี่ยงเบนความสนใจไปที่อื่นดีมั้ย ว่าเรียนเอกเราได้อะไรไปบ้าง น่าจะจดสถิติไว้

1. ผมร่วงไปกี่เส้น
2. หมดเหล้าไปกี่ขวด ไวน์ด้วย เบียร์ล่ะ กี่กระป๋อง
3. น้ำตาหยดไปกี่ลิตร
4. บุหรี่ไปกี่มวน ถ้าเป็นชิชาถือว่าเป็น 30 มวน เพราะใช้ปริมาณยาสูบเยอะกว่ากันเยอะ - -' ถึงนิโคตินต่อกรัมจะน้อยกว่าก็เหอะ
5. เล่นเนตแก้เครียดไปกี่ชั่วโมง (อันนี้ท่าทางจะมหาศาล เล่นแก้เครียดประจำ)
6. สูญเสียแฟนคลับไปกี่คน (เอาแต่นั่งจมอยู่กะงาน)
7. นน. ขึ้นกี่โล (เอาแต่นั่งปั่นงาน ไม่ได้ไปออกกำลังกาย)
8. เสียเพื่อนไปกี่คน (ลืมติดต่อเลย - -')
9. เสียค่าปรูฟรีดไปเท่าไหร่
10. บินกลับบ้านกี่รอบ
11. หาข้อแก้ตัวในการอู้งานได้กี่ข้อ
12. กรี๊ดดด นึกไม่ออกแล้วค่า ยิ่งนึกก็ยิ่งหดหู่ผมร่วงอีกหลายเส้น

ดังนั้น...ถ้าเรียนจบปุ๊บ เราควรจะทำอะไร..เพื่อแก้ไขสิ่งที่ผ่านมา

1. ทำแฮร์สปา บำรุงสุขภาพผม แล้วเปลี่ยนทรงใหม่ให้ไฉไลกว่า
2.ทำ detox - -' ว่าแต่ detox มันล้างแอลกอฮอล์ออกจากเซลล์ฉะหมองกับตับได้มั้ยง่ะ สงสัยไม่ได้แน่ๆ เยย...ตอนนี้สมองมันเลยตายๆ (อุตส่าห์หยุดเหล้ามานานเกือบปีแล้วนะ)
3. ซื้ออายครีมมาบำรุงด่วน ไม่เกี่ยวกะต่อมน้ำตาหรอก แต่ว่า..กว่าจะจบตีนกาคงขึ้นมาหลายเส้น ถ้าเรียนจบต้องให้รางวัลตัวเอง ซื้อของดีๆ (กว่าที่ใช้อยู่) มาใช้ซะละ
4. ไปเที่ยวยอดเขาแถบๆ ชนบทสวิตซ์ซะหน่อย สูดโอโซนให้เต็มปอด เซลล์ปอดที่เสียไปจะได้ฟื้น
5......
6.....
7....

ข้อสุดท้าย ท้ายสุด...หาแฟน - -'
นี่เรียนจนจะขึ้นไปอยู่บนคานอยู่แล้ว แม่เจ้า วันๆ ไม่พบไม่เจอคน

เอ๊า...ยิ่งคิดถึงอะไรพวกนี้ มันไม่ยิ่งเครียดไปใหญ่เหรอ

เครียดดิ...เอ หรือเราควรจะรวมทั้งนิยายและวิทยานิพนธ์เข้าด้วยกันดีคะ เผื่ออะไรๆ มันจะดีขึ้น

จิตใต้สำนึก: พล่ามเสร็จแล้วก็ไปเขียนงานต่อได้ละป่ะ

ยิ้ม: เดี๋ยวดิ ก็เบื่อง่ะ..

จิตใต้สำนึก: ตั้งแต่อากลับไปก็นั่งเบื่อมาเกิน 2 อาทิตย์แล้วนะ เริ่มทำงานซะทีได้ป่าว

ยิ้ม: ก็ที่ผ่านมาเราเบื่อเฉยๆ ที่ไหน เบื่อไปก็ทำงานไปทุกวันแหละ

จิตใต้สำนึก: ทำงานไป หรือเล่นเนตไปกันแน่ กรูเห็นนะ ว่าเดี๋ยวก็เขียนบล็อกพี่เคลลี่ เดี๋ยวก็ดูละครย้อนหลัง อ่านกระทู้อุ้ม คุ้กกี้ นาธาน ลาบไก่ จะเป็นแฟนพันธุ์แท้พันทิปดอทคอมได้อยู่แล้ว

ยิ้ม: ง่า ๆ ๆ ๆ ๆ ก็คนมันก็ต้องพักผ่อนบ้างนี่ ฮือ...ทำไมต้องขึ้นเมิง กรู ด้วย หยาบคาย

จิตใต้สำนึก: ไม่ต้องมาแรด...จริงๆ ก็หยาบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แค่โรงเรียนหญิงล้วนกดพฤติกรรมเอาไว้ พอมาเรียนโบราณคดี เจอคนเถื่อนๆ เยอะหน่อยก็ดีแตกเลย

ยิ้ม: อย่ามาแสดงออกในบล็อกได้มั้ย เมิง...จะหยาบก็หยาบในสมองก็พอ กรูอุตส่าห์แอ๊บเรียบร้อยหลอกผู้ชายมาตั้งนาน เดี๋ยวแฟนขับแตกตื่นหมด

จิตใต้สำนึก: เออ ขอโทษๆ มันก็หลุดมั่ง อะไรมั่ง ช่วงนี้เมิง เอ๊ย...หล่อนไม่ค่อยมีสติไม่ใช่เหรอยะ

ยิ้ม: ย่ะ...ก็พยายามจะตั้งอยู่นะ สติน่ะ แต่บางทีมันก็เครียดมั่ง อะไรมั่ง

จิตใต้สำนึก: หายเบื่อยัง บ่นพอแล้วก็ไปทำงานซะป่ะ

ยิ้ม: เดี๋ยวดิ บริหารนิ้วอยู่...วันๆ ไม่ค่อยได้ใช้แรง อย่างน้อยได้บริหารนิ้วก็ยังดี

จิตใต้สำนึก: นี่ เมิงรู้ป่ะ...ทีหาเหตุผลหาข้ออ้างให้ไม่ต้องทำงานนี่ หัวไวเป็นบ้า ทำไมเวลาเขียนงานหัวไม่ไวอย่างงี้มั่งวะ

ยิ้ม: เออ จริงเนอะ มันต่างกันยังไงอ้ะ จิตใต้สำนึก พอจะรู้ป่ะ

จิตใต้สำนึก: ถ้ารู้...กรูจะต้องมาพร่ำบอกอย่างงี้มะ เมิงก็กลับไปทำงานได้ตั้งแต่บรรทัดแรกๆ แล้ว

ยิ้ม: อะไรวะ ถามนิดหน่อยมาทำตวาด เอ็ดอึง ขึ้นมึงกู... T-T ฮือ...ขนาดจิตใต้สำนึกเรายังไม่รักตัวเราเองเลย

จิตใต้สำนึก: นั่นไง ก็ทำใจให้รักสิ บ่นอยู่ได้ บ่นเป็นยายแก่

ยิ้ม: ถ้าทำได้ก็ทำไปแล้ว แต่เวลาเราบ่นเราก็ทำงานไปด้วยนะ ไม่ใช่บ่นเฉยๆ บ่นทิ้งบ่นขว้าง

จิตใต้สำนึก: งั้นแกลองเปรียบวิทยานิพนธ์เป็นผู้ชายมะ...อาจจะทำให้รู้สึกรักง่ายขึ้นนะ

ยิ้ม: แน่ใจเหรอ - -' นี่แกไม่สังเกตุอะไรบ้างเหรอ ว่าตัวชั้นยกสูงขึ้นๆๆๆ จะขึ้นถึงคานรอมร่อ จะกลายเป็นยายแก่แร้งทึ้งอยู่แระ ถ้าชั้นรักคนง่ายๆ ก็ดีสิยะ

จิตใต้สำนึก: บ้า...สวยๆ อย่างงี้ ใครเค้าจะเรียกว่ายายแก่แร้งทึ้งกัน เครียดนักก็ส่องกระจกสิ ดูของสวยๆ งามๆ มั่งอะไรมั่ง จะได้เพลินๆ

ยิ้ม: เออ จริงเนอะ จิตใต้สำนึกมันก็พูดดี (/me หันหน้าไปทางซ้าย มองกระจก เฮ้อ...สวยงาม ชื่นใจ) นอกเรื่องไปนาน..ว่าแต่ควรเปรียบเทียบวิทยานิพนธ์กะผู้ชายยังไง

จิตใต้สำนึก: อ้าว ก็ปกติในนิยาย พระเอกนางเอกก็จะเกลียดกันตอนแรกๆ ใช่มะ แล้วหลังๆ มันก็จะดีกันเอง แกก็สมมติให้วิทยานิพนธ์เป็นพระเอกซี้ แล้วตัวแกก็สวมบทเป็นนางเอก จะได้จบแบบแฮปปี้ ลงเอยกันด้วยดี แม้ว่าตอนกลางๆ เรื่องจะตบตีทะเลาะกันนิดหน่อย

ยิ้ม: เหรอ มันจะดีเหรอ

จิตใต้สำนึก: ก็ไม่มีทางอื่นแล้วมั้งที่จะทำให้รู้สึกดีกับงานได้น่ะ หล่อนก็ลองคิดดู นิยายไทยส่วนมากเนี่ย ตอนแรกพระเอกนางเอกอาจจะเกลียดกันเหลือเกิน ไม่อยากมองหน้ากันเล้ย... พระเอกรังแกนางเอกสารพัด ตบจูบๆ เดี๋ยวก็เข้าใจผิด กลั่นแกล้ง จนตัวหล่อนก็ต้องโต้ตอบไปบ้าง พยายามทุกวิถีทางที่จะเปลี่ยนเค้าให้ได้ แต่ในที่สุดตอนจบเค้าก็จะออกมาเพียบพ้อม นุ่มนวล อ่อนโยน เป็นพระเอกในฝันของหล่อนเอง ก็เหมือนวิทยานิพนธ์ ที่ตอนแรกๆ อาจจะทำให้หล่อนอยากเอาหัวโขกกำแพง ต้องมีการปลุกปล้ำกันเล็กน้อย...สุดท้ายก็ลงเอยด้วยดี

ยิ้ม: เอ่อ.. ถามหน่อยเหอะ ทำไมหล่อนดูเพี้ยนๆ บ้าๆ บอๆ วะ

จิตใต้สำนึก: ก็ชั้นเป็นจิตใต้สำนึกของใครล่ะยะ

ยิ้ม: นั่นดิ - -' ก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกัน
เออ..จิตใต้สำนึก แล้วนิยายเรื่องนี้จะมีนางอิจฉามั้ยยะหล่อน

จิตใต้สำนึก: โอ๊ย มันต้องมีดิ นิยายอะไรไม่มีตัวอิจฉา ต้องมีนางอิจฉาโผล่มาทำให้หล่อนรู้สึกว่าหล่อนไม่คู่ควรกับพระเอก หรือพระเอกไม่คู่ควรกับหล่อนบ้าง แต่หล่อนก็ต้องเคลียร์กะพระเอกเอาเอง ว่าเค้าจะต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง หรือไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย เพราะคำพูดก็เป็นแค่ลมปาก

ยิ้ม: อ่อ..เหมือนเวลามีคนมา criticise งาน ชั้นก็ต้องเลือกใช่มะ ว่าจะเคลียร์กะพระเอกยังไง จะแก้ไขหรือจะปล่อยไปแบบเดิม เออ แล้วแกว่า...แล้วนิยายชีวิตชั้นจะจบแฮปปี้มั้ยอ้ะ

จิตใต้สำนึก: ตกลงจะเรียก มึง แก หรือ หล่อน เอามาซักอย่าง..

ยิ้ม: ^ ^' แหะๆ ก็แหม...ชอบอะไรที่มันหลากหลาย ขอสามเลยได้ป่ะ

จิตใต้สำนึก: ประสาทจริงว่ะ อ่ะ เข้าเรื่อง ชั้นว่ามันก็น่าจะแฮปปี้อยู่นะ เพราะลึกๆ แล้วแกก็มีความมั่นใจในตัวพระเอของแกอยู่นี่ ตอนนี้แกแค่ไม่ไหวจะเคลียร์ อ่อนเพลียที่จะคุย ไม่อยากสนทนาวิสาสะกับคุณพระเอกของแก แกก็ต้องทำใจ...แล้วหันหน้าเข้าหากัน ไม่อย่างงั้นมันจะจบแฮปปี้ได้ไง

ยิ้ม: ก็จริง

จิตใต้สำนึก: แกก็ลองเปรียบเทียบดูสิ...แกชอบอ่านนิยายที่นางเอกฉลาดๆ คุยกะพระเอกรู้เรื่อง โต้ตอบกันเสมอๆ หรือชอบนิยายที่นางเอกขี้งอน อะไรนิด อะไรหน่อยก็หลบลี้หนีหน้าล่ะ

ยิ้ม: ก็จริงอีกเนอะ

จิตใต้สำนึก: แล้วนึกออกยัง ว่าตอนนี้ควรจะทำอะไร

ยิ้ม: กลับไปทำงาน

จิตใต้สำนึก: เออ ดีมาก...อย่าให้ชั้นได้ออกโรงบ่อยๆ นะยะ

ยิ้ม: จ้ะ

จิตใต้สำนึก: ต่อไปนี้เวลาท้อจะคิดว่าไง

ยิ้ม: คิดว่า...ถ้าไม่ยอม face the thesis seriously ก็เหมือนนิยายช่อง 7 ที่ถูกยืด นางเอกหลบพระเอกไปมา ไม่จบซะที เรตติ้งสูง แต่ถูกด่าขรม

จิตใต้สำนึก: ดีมาก

ยิ้ม: งั้น...กด publish แล้วชั้นไปทำงานต่อนะ

จิตใต้สำนึก: ......

ยิ้ม: อ้าว...เงียบไปแระ งั้นเราไปทำงานต่อก็ได้ หงิงๆๆๆ


บ้า.....เราต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เลย

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

แอบหลงรักตัวหนังสือของคนนี้: Arglit Boonyai

Rating:★★★★★
Category:Other

วันนี้ก็เล่นเนตไปเรื่อยๆ ผลัดวันประกันพรุ่งการทำงานไป - -' (คอจะขาดแล้วยังไม่สำเหนียก ยิ้มเอ๋ย) ก็แหม...เรามีข้ออ้างว่าถ้าเครียดมากจะยิ่งทำงานไม่รู้เรื่อง 555 ซ่อกแซ่กไปมา บังเอิญไปเจอบทความของคนคนหนึ่งเข้าจากที่คนนำมาโพสต์ในเวบบอร์ดชื่อดัง เขาคนนั้นคือ...

คุณ Arglit Boonyai (อ่านชื่อไม่ออกค่ะ ขออนุญาตเขียนทับศัพท์ไปเลยละกัน)

เขาคือ บก. ของนิตยสารแจกฟรีในเครือ Bangkok Post ชื่อ GURU ไอ้เจ้าหนังสือเล่มนี้ ตัวยิ้มเองไม่เคยอ่านหรอกค่ะ มันดูเป็นวิถีชีวิตของคนเมืองหลวง คนกรุงเทพฯ ไปหน่อย เด็กบ้านนอกอย่างเราอ่านไปก็รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ใช่ความสนใจเราด้วยอ้ะ ออกมาแต่ละเรื่อง trend, gadgets, lifestyle อ่านเพลินๆ ก็ขำๆ ดีนะ ถ้ามาเป็นเล่มก็อาจจะเบื่อได้

แต่ว่า...พอได้อ่านคอลัมน์ของเขาที่มีคนยกมาโพสต์ตามเวบบอร์ด ก็รู้สึกว่า 555 เออ...ชอบแฮะ เขียนได้เจ็บดี เข้าใจกระแนะกระแหน บางทีก็กัดคนที่เขียนถึง บางทีก็กัดตัวเอง กัดประเทศไทยบ้าง อะไรบ้าง รู้สึกประหนึ่งดูหนัง Black comedy ของอังกฤษอยู่ทีเดียว

ยกตัวอย่างนิดหน่อย บทความนี้คุณ Arglit เขียนถึงกรณี นาธาน โอมาน ดาราไทยที่แหลว่าได้ได้ถ่ายหนังฮอลลีวูด (แต่ที่จริงก็เรื่องโกหกพกลม แต่พอจับได้ก็ยังแถ ไม่ยอมรับ อ้างว่าไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดของกองถ่ายได้)

Who knows? Maybe Nathan is telling the truth (he’s not). Thai celebs are always so nice (see Feature p12); they wouldn’t lie. Besides, why would anyone lie about something that could be checke4d so easily with a simple IMDB or Google search?

Did anyone do that yet? Yes Panthip.com, I know you did a search, but did anyone in the Thai Press look it up? What’s that? You only just figured out how to use the internet and you’re busy looking up the winner s of this year’s Cannes awards? Why would you do that? Oh, I remember.

.
.
.
We’re no closer to figuring out why Nathan Oman would lie about The Prince of Red Shoe, so the only logical conclusion is that he’s not lying. Actually I just got news from my agent that his movie and mine will be aired as a double bill feature like Tarantino/Rodriguez’s Deathproof/Grindhouse. Look out for it in cinemas soon, but whatever you do, don’t Google it because if you do it will disappear!


คนอะไร ช่างกัดๆ เจ็บๆ เหน็บๆ ได้แสบๆ คันดีแท้
ว่าแล้วเราก็ google งานเขียนเค้าต่อทันที ได้มาอีกกระจึ๋งนึง

"...you will certainly have to agree that the latest billboard advert that I saw promotion a new condominium is nothing but the god's honest truth. Plastered across this billboard was the phrase "live life New York style in Bangkok" (or something to that effect). Man, what in the name of New York cabbies and hot dawgs does that mean? Does it mean that if you live in this condo that the rest of Bangkok will automatically change to resemble New York?..."

อืม...อันนี้ก็แสบๆ คันๆ ใช้ได้ มามะ หาต่อ มาเจอเรื่องลอยกระทง

แรกๆ เค้าก็มีเหน็บๆ มั่ง ว่าทำไปเพื่อแสดงความขอบคุณพระแม่คงคา
แต่ว่าแหม...ลอยทีนึง ก็ทำร้ายแม่น้ำทีนึง แถมคนเที่ยวยังต้องระวังสุดขีด
เดี๋ยวโดนพวกไฟ ประทัด (ตรงนี้เห็นด้วยสุดขีด ลอยกระทงทีไร ไม่กล้าไปอยู่ในที่ชุมชนเลย)

One thing you shouldn't have any trouble surviving during Loy Krathong despite my attempts to sweep my doomsday eye over it and find fault are the Noppamas Beauty contests. Yep, there's nothing bad about beauty contests. They're all good! I suggest you give up on that whole floating a boat for good luck thing and just go watch a beauty show! Who doesn't love beautiful women? Well, except maybe ugly women. I think they're resentful and more than a bit jealous of their looks. It's understandable really. Many men feel that very same way about me. It's hard being so good looking, but hey, when you get linked to the likes of Christina Aguilar, what can you do? What was I talking about again? Oh, yeah, Loy Krathong! Happy Holidays!



Loy Krathong Survival Kit:

1. Banana leaves (for Krathongs)
2. Offerings for the gods (for luck)
3. Good will (for hunting)
4. Armbands (to stop you from drowing)
5. Easily accessible fire starting material (for small children)
6. Lots of Styrofoam (to help pollute the atmosphere)
7. A pretty Noppamas (err for entering into a beauty contest)
8. A Jenna Jameson video (in case you can't get a Noppamas)
9. A bottle of Sang Som (in case you can't get a Jenna Jameson video)
10. A packet of Mentos (in case you can't get any of the above. It's always good to have fresh breath)

ขำได้อีก อ่านๆ ไปก็เริ่มนึกได้ ว่าเออ...เค้าชอบจิกกัดประเทศไทยแฮะ แต่ดูเหมือนจะออกแนวเหน็บๆ เจ้าตัวคงไม่ได้เกลียดประเทศไทยหรอกมั้ง นามสกุลก็ไทยนี่นา หาบทความไปมาเจอประวัติเข้า

อ้าว...เค้าเป็นลูกครึ่งไทย - อังกฤษ นี่นา แต่อยู่ที่อังกฤษจนโต พ่อแม่แยกทางกันแต่เล็ก เค้าอยู่กับแม่มาตลอดเลยอยากมาลองใช้ชีวิตที่เมืองเกิดของพ่อดูบ้าง เลยมาทำงาน + หัดใช้ชีวิตแบบไทย

อ่อ...มิน่าล่ะ ถึงได้มีแนวคิดไม่เหมือนคนไทย และคงจะเพราะโตที่อังกฤษนี่เอง ถึงได้ชอบนัก พวกบทความเหน็บๆ พอให้แสบๆ จี๊ดๆ เล่นเนี่ย ของถนัดคนอังกฤษเขาล่ะ (แต่ยิ้มชอบอ่านนะ มันดู Black humour ดี)

ว่าแล้วข้าพเจ้าก็โรคจิต ถามอากู๋(เกิ้น) ต่อ...ว่าท่านพี่คนนี้มีผลงานอะไรอีก จึงทำให้พบว่า
เห...เขายังอายุน้อยอยู่เลยนี่นา

http://www.readbangkokpost.com/articles/elliotday1.php
^
^
ตามไปดูเลย หน้าตาไม่เลวซะด้วย แต่หน้าคล้ายลูกครึ่งอินเดียมากกว่าไทยนะ ^ ^' หรือว่า...ลูกครึ่งไทยกับคนอินเดียที่อยู่ในอังกฤษ เพราะชื่อก็ออกไปทางฮินด สันสกฤตอะไรได้อยู่นะคะเนี่ย อื่ม...เค้าจะเป็นอะไรก็ช่างเหอะเนอะ แต่ที่แน่ๆ แอบหลงรักตัวหนังสือเค้า ทำไงดี แหะๆ


ฮะ ๆ ๆ ๆ วันนี้มาเล่าแค่นี้แหละค่ะ ^ ^'

โรคจิตวันละนิด จิตแจ่มใส
งานการไม่เสร็จไม่เป็นไร
ขอให้ใจสดชื่นรื่นอุรา
.
.
แง ลอร่าเจน อย่าเพิ่งฆ่าหนู T-T

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

กรรม

Rating:★★★★
Category:Other

ฮ่าๆ ๆ ในที่สุดสุขภาพจิตที่ดี(กว่าช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2009) ก็กลับมาแล้วนะคะ อาจจะไม่ดีสุดๆ เท่าที่เคยเป็น แต่อย่างน้อยอาการ suicidal บ้าๆ บอๆ อารมณ์ผันผวน เครียด กดดัน ซึมเศร้า ก็หายไปเยอะแล้วล่ะ

อีกสักพักพลังในการเขียนอาจจะกลับมาดังเดิม

วันนี้อ่านกระทู้ในพันทิปค่ะ เขาพูดถึงรายการหนึ่งที่นำเสนอเรื่องราวของ 'กรรมเก่า' ที่ส่งผลต่อชีวิตในปัจจุบันของหลายๆ คน วันนี้รายการพูดถึงครูสาวคนหนึ่ง ที่ต้องทรมานกับโรคเกี่ยวกับท้อง และรังไข่ไม่หยุดหย่อน จนปัจจุบันต้องตัดมดลูกไปแล้ว

คุณครูบอกว่าตอนสมัยเด็กๆ เขาชอบตกปลาเข็มท้องแก่มา ผ่าท้อง รีดไข่ออก แล้วทิ้งกลับลงน้ำไป เพื่อความสนุกสนาน วันหนึ่งก็ทำทีละหลายตัว (เป็นความสนุกสนานที่ออกจะโหดร้ายไปไม่น้อยนะคะเนี่ย)

กรรม..คือผลแห่งการกระทำ
กฏแห่งกรรมมีจริงหรือไม่ คงต้องพิสูจน์เอาเอง

(โปรดใช้วิจารณญารในการอ่าน กฏแห่งกรรมเป็นความเชื่อส่วนบุคคล)

ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่า คนหลายๆ คนต้องประสบกับโรคหรืออาการแปลกๆ ในช่วงใกล้บั้นปลายของชีวิต และเมื่อนึกย้อนกลับไปในอดีต พวกเขาก็เคยกระทำอะไรที่ทำให้สัตว์โลกอื่นๆ ต้องทุกข์ทรมานในรูปแบบคล้ายๆ กับที่เขากำลังรู้สึกอยู่

หลายๆ คนคงเคยได้ยินเรื่องเล่าของคนที่มีอาชีพฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ ที่ร้องครวญคราง ดิ้นพล่านทรมานเหมือนสัตว์ก่อนสิ้นลม หรือคนทรมานแมวเพื่อความสนุกจนแมวขาเก สุดท้ายก็ต้องมาเสียขาในอุบัติเหตุ

หนึ่งในบุคคลที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับการกระทำของตนในอดีตที่อาจจะมีผลเกี่ยวเนื่องมาถึงสภาพชีวิตในปัจจุบันนั้นก็มีพ่อของยิ้มรวมด้วย พ่อจ๋าบอกว่าตอนเด็กๆ เคยเอาข้าวเปลือกให้ลูกนกกิน ก็หวังดีกับมันล่ะนะ แต่ว่า...รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เม็ดข้าวมันคงจะใหญ่เกินไปสำหรับลูกนกตอนนั้น ติดคอ อึดอัด ทรมานอยู่นานก่อนจะขาดอากาศตายไป

หลังจากนั้นหลายปี...พ่อจ๋าเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ทรมานอยู่นาน เพิ่งจะมาดีขึ้นเอาเมื่อสิบกว่าปีหลังๆ มานี้เอง และพ่อจ๋าก็นึกถึงนกตัวนั้นอยู่เป็นครั้งคราว...ตอนนั้นมันคงทรมานเหมือนตอนที่พ่อจ๋าเป็นโรคทางเดินหายใจนี่แหละ

ส่วนตัวเอง...ก็ให้นึกสงสัยอยู่ ว่าอาการภูมิแพ้ที่เป็นอยู่มันจะแก้ไขได้ยังไง ทั้งกินยา ทั้งเพิ่มภูมิ พยายามออกกำลังกาย ใช้หมอนแบบป้องกันไรฝุ่น เปลี่ยนผ้าปูทุกอาทิตย์ ดูดฝุ่นอาทิตย์ละ 3 ครั้ง เช็ดฝุ่นในห้องวันเว้นวัน แต่กระนั้นก็ดี...อาการก็ยังมีอยู่ ดีบ้าง ร้ายบ้างแล้วแต่ช่วงไป

จริงๆ ยิ้มก็เกือบจะลืมไปแล้วล่ะค่ะ ว่าตัวเองมีโรคทางเดินหายใจ เพราะว่าอยู่กับมันทุกวันมาตั้งแต่เด็ก ชินแล้ว จนกระทั่งมีโอกาสนอนรวมกะคนอื่นทีนึง ก็จะนึกขึ้นมาได้ทีนึง ว่าคนอื่นเค้านอนสบายๆ ไม่ทรมานเหมือนเรานี่หว่า - -'

ภูมิแพ้ของยิ้มจะกำเริบช่วงฤดูที่มีฝุ่นเยอะ และฤดูที่มีเกสรดอกไม้เยอะๆ อันได้แก่ปลายฤดูหนาวของไทย และฤดูร้อนของอังกฤษ เวลาแพ้ก็อาการเหมือนคนอื่นแหละ เคืองตา ตาแดง คันตามข้อพับ ไอ จาม เยื่อบุจมูกบวม

ที่เกลียดที่สุดก็อาการเยื่อบุจมูกบวม เมื่อมันมาผนวกกับกายวิภาคที่ผิดปกติอยู่แล้ว (กระดูกในโพรงจมูกคด ทำให้รูโพรงจมูกเล็กกว่าชาวบ้าน) อาการกำเริบขึ้นมาทีไร อาการข้าพเจ้าเหมือนกับมีคนเอามือมาอุดจมูกทั้งสองข้างจนมิดทุกที ถ้าไม่พ่นยาก็ต้องหายใจทางปาก แล้วมันก็จะรู้สึกทรมานเหมือนคนจมน้ำ สำลัก หายใจไม่ออก หอบ เหนื่อย

หรือว่าจะเคยสร้างกรรมอะไรไว้ว้าาาาา....คิด ๆ ๆ ๆ ๆ

ก็เลยนึกถึงตอนเด็กๆ (ก่อน 10 ขวบอีก)

ตอนนั้นที่บ้านยายมักจะมีแตนมาเกาะข้างฝา เพราะฝาบ้านมันเย็นดี แตนคงชอบ ยิ้มตอนเด็กๆ ก็โดนต่อยมั่ง อะไรมั่ง เป็นครั้งคราวจนรู้สึกโกรธแตนพวกนี้ มันนึงโกรธสุดๆ ก็เอาไม้กวาดทางมะพร้าวฟาดลงไป แตนโดนฟาด มึน ตกลงมา 2-3 ตัว เด็กหญิงยิ้มยังไม่พอใจ จับแตนพวกนั้นลอยน้ำ แตนทั้งดิ้นพล่าน ทั้งทรมานอยู่นาน ดิ้นรนหมายจะให้ชีวิตรอด จนค่อยๆ นิ่งไป พอมันค่อยๆ นิ่ง ยิ้มก็จะหยิบมันขึ้นมาจากน้ำ เอาไปวางบนทิชชู ให้ทิชชูซับน้ำจากตัวมันจนแห้ง แล้วก็ปล่อยมันไป

ตัวไหนไม่รอดก็เอาศพมันไปฝังในดิน หรือบางทีถ้าโกรธจัดก็...ขาดเป็นชิ้นๆ (โอย ไม่เล่าต่อดีกว่า เรื่องการทำร้ายแตน รู้สึกตัวเองออกแนวโรคจิตยังไงไม่รู้)

แล้วก็ไม่ได้ทำครั้งเดียวด้วยนะคะ

ทำแบบนั้นตั้ง 2-3 ครั้งแน่ะ ไม่รู้ว่าตัวเองมีความพอใจกับการดิ้นพล่านทรมานของแตนในน้ำได้ยังไง (แต่การมองมากๆ ก็ทำให้ยิ้มกลัวน้ำลึกๆ ไปเลยอ้ะ) มันคงทรมานมากๆ สำลักน้ำแล้ว สำลักน้ำอีก หมดแรง นิ่ง จนปล่อยให้ตัวเองตาย

บาปกรรมอิฉันคงหนาอยู่...เพราะมันเป็นการทำเพื่อความสาแก่ใจล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำเพื่อยังชีพแต่ประการใด (เหมือนพวกผู้ดีล่าหมาป่าในอังกฤษอ้ะ - -' ล่าขำๆ เอามันส์)

ไม่รู้ตอนนี้ดวงวิญญาณของแตนจะไปเกิดเป็นอะไรแล้ว ขออโหสิกรรมด้วยนะ ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้สบายเหมือนกัน ถ้าไม่ใช้ยาพ่น ยาแก้แพ้ หรืออาหารเสริมระงับการหลั่งของฮิสตามีน เราก็แทบจะนอนราบไม่ได้ ต้องนั่งพิงหมอนหลับ (เหมือนคนในยุโรปสมัยก่อนเลยอ้ะ หรือว่าเราจะเคยเกิดเป็นคนยุโรปมาก่อน - -' )

อาการนี้อาจจะใช่ หรือไม่ใช่กฏแห่งกรรมก็ได้..

โรคภูมิแพ้อาจจะเป็นพันธุกรรม อาการมันมาหนักเอาช่วงหลังเพราะอยูในที่ที่เกสรดอกไม้มหาศาล

หรือโรคภูมิแพ้เป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ แต่กรรมของยิ้มก็มาทำให้อาการมันรุนแรงขึ้นอีก จะได้รู้สึกทรมานเหมือนแตนจมน้ำ

หรือจริงๆ แล้วมันอาจจะเป็นกรรมที่ร้ายแรงกว่านั้น แต่ยังไม่รู้ตัว

ก็ยังตอบคำถามหรือข้อสงสัยอะไรไม่ได้นะคะ ก็ได้แต่...งดเว้นการสร้างกรรมใหม่ พยายามถือศีลให้บริสุทธิ์(เป็นส่วนมาก) สักวันคงจะมีคำตอบเกิดขึ้นในใจบ้างมั้ง

ป.ล. 1 ใครรู้จักอาหารเสริมที่กินแล้วภูมิต้านทานดีขึ้น อาการภูมิแพ้ลดลงมั่งคะ ^ ^' แนะนำหน่อย

ป.ล. 2 ใครรู้ว่าจะไปแก้กรรมที่ไหนได้มั่งคะ แนะนำด้วย

ฮ่าๆ เอาทั้งวิทยาศาสตร์ และ ศาสตร์ที่ยังหาคำตอบไม่ได้เลยทีเดียว - -'