ตอนเด็กๆยิ้ม มีโอกาสได้ไปเยือนทุ่งดอกบัวตองที่ดอยแม่อูคอจังหวัดแม่ฮ่องสอนอยู่สองครั้ง
ครั้งหนึ่งเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ช่วงที่ดอกไม้สีเหลืองทองสะพรั่งกำลังอวดความงามเต็มที่แก่สายตาผู้มาเยือน ภาพนี้เป็นภาพความงามสากล หมายถึงเป็นภาพที่ใครเห็นก็ยอมรับว่าทำให้จิตใจสดชื่นเบิกบานจนถึงกับต้องดั้นด้นเดินทางผ่านเส้นทางคดโค้งเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย
การเดินทางเยือนแม่อูคออีกครั้งเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อช่วงฤดูฝน...ช่วงที่ไม่มีดอกบัวตองสีสดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ดังเช่นในฤดูหนาว ท้องทุ่งบนโขดเขินเนินสูงและหน้าผาลาดต่ำดูเขียวขจีให้ความสดชื่นไปอีกแบบ ในวันนั้น...ยิ้มลองหลับตา เมื่ออยู่ต่อหน้าท้องทุ่งสีเขียวต่างระดับที่ไล่ตั้งแต่เขียวอ่อนไปจนถึงเขียวแก่ ภาพท้องทุ่งสีทองปรากฏแก่สายตาอย่างง่ายดาย ดุจภาพที่พิมพ์ไว้ในดวงจิต แม้ตาเนื้อจะมองเห็นแค่ความงดงามของทุ่งข้าวโพดและพืชไร่ แทนที่จะเป็นไม้ดอกประจำถิ่น แต่ตาในสัมผัสได้ถึงอิทธิพลของทุ่งสีทองที่ทิ้งรอยเอาไว้ให้แก่ผู้เคยทอดทัศนา
ยายของยิ้มชื่อบัวตอง...และวันนี้ดอกบัวตองดอกนี้ก็ไม่มีเสียแล้ว แต่อย่างน้อยยิ้มยังจดจำภาพเก่าๆ และความทรงจำดีๆ ระหว่างเราได้เสมอ
..............................................................
เกริ่นนำมาขนาดนี้...ผู้อ่านคงรู้แล้วใช่ไหมคะ ว่ายิ้มกำลังจะพิมพ์อะไรต่อไป ใช่ค่ะ...ยายของยิ้มเดินทางข้ามผ่านภพนี้ ไปสู่ดินแดนใหม่แล้ว ไปสู่ดินแดนอันสุขสงบ เป็นชีวิตที่ดีกว่าเดิมแน่ๆ รอยยิ้มนิดๆ ของยายบอกไว้อย่างนั้น
น่าเสียดายที่มันเป็นรอยยิ้ม...ที่ยิ้มไม่มีโอกาสได้เห็น ทำได้เพียงแค่ฟังคำบอกเล่าของคนที่ได้กล่าวคำอำลา แม้ว่าขณะนี้ยิ้มจะอยู่แค่เชียงใหม่ ห่างไกลจากบ้านยายแค่ประมาณ 40 กิโลเมตรเท่านั้นเอง
ในที่สุด...ยิ้มก็ได้เรียนรู้เสียที...ว่าเราไม่สามารถไปกะเกณฑ์อะไรได้เลย เหมือนตัวยิ้มเองที่หวังจะได้กล่าวคำลากับญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรัก แต่ก็ไม่สามารถจะทำได้ทั้งที่โอกาสอยู่ห่างออกไปแค่เอื้อมมือ เพราะเรามีภารกิจที่สำคัญพอกันประการอื่น
ชีวิตของยิ้มช่วงนี้มันคาดเดาไม่ได้เลยค่ะว่าวันต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เดิมคิดเอาไว้ว่ากลับมาปุ๊บจะเร่งทำงานแต่มาถึงจริงๆ สถานการณ์มันไม่เอื้ออำนวยให้ยิ้มได้ปลีกตัวออกไปทำงานได้เลย บล็อกเก่าๆ อาจจะเขียนไว้คลุมเครือ ไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่บล็อกนี้...ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เล่าหมดเลยก็ได้ค่ะ
เรื่องมันเริ่มต้นจากพ่อของยิ้มเส้นเลือดในสมองแตกกลางที่ประชุม ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลาทั้งสิ้นราวๆ 3 อาทิตย์ ในช่วงเวลาที่สนามบินสุวรรณภูมิถูกปิด และปู่ก็มาเสียในเวลาไล่เลี่ยกัน ทางบ้านตัดสินใจไม่บอกอะไรยิ้มเลยเพราะบอกไปก็กลับไม่ได้และยังมีงานคั่งค้างอยู่ ปล่อยให้กลับบ้านตามกำหนดเดิมคือปลายเดือนธันวาคมดีกว่า กลับมาถึงบ้านก็ตกใจ ที่พ่อเราไม่เหมือนเดิม แถมปู่ก็ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว เวลาผ่านไป...พอยิ้มเริ่มทำใจกับความจริงได้ แม่จ๋าก็เริ่มแสดงอาการกระเสาะกระแสะ เจ็บหน้าอกแน่นหน้าอกขึ้นมาบ้าง ช่วงนั้นส่งพ่อส่งแม่เข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ประหนึ่งว่ากลับมารับจ๊อบเสริมเป็นคนขับรถพยาบาล
ความวุ่นวายค่อยๆ ซาลงเมื่อปลายเดือนมกราคม เชื่อมต่อกับต้นเดือนกุมภาพันธ์เหมือนกับว่ามันเป็นช่วงลมสงบก่อนพายุจะมาจริงๆ ไม่นานนักยายก็ป่วยหนัก กินข้าวไม่ได้ และพูดไม่ได้ตามลำดับจนแม่จ๋าต้องไปปักหลักอยู่ที่ลำพูน และยายก็จากเราไปหลังจากวันเกิดของแม่จ๋าแค่วันเดียว…ในขณะที่ยิ้มต้องปักหลักดูแลพ่อจ๋าอยู่เชียงใหม่
ยิ้มก็คิดว่าถึงจะไม่ได้กล่าวคำลา..แต่อย่างน้อยก็ได้ไปงานศพ ไม่เหมือนตอนปู่จากไป แต่แล้วความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน หลังจากสวดอภิธรรมไปได้คืนเดียว แม่จ๋าก็ปวดท้องจนถึงขั้นดิ้นพล่านบนเตียง อาเจียนถึง 3 รอบ จนต้องพาส่ง รพ. ในกลางดึกคืนนั้นเอง ตอนแรกเราก็คิดว่าเป็นแค่โรคกระเพาะอาหาร ให้ยาเคลือบแล้วก็กลับได้ แต่กลับต้องเข้านอน รพ. กะทันหัน เพราะหมอเอ็กซเรย์แล้วเจอนิ่วในท่อไต มันขวางทางเดินปัสสาวะจนไตข้างขวาบวม อักเสบ มีของเหลวภายในต้องจัดการเอาออกด่วน เพราะแม่จ๋ามีภาวะโรคเบาหวาน ทิ้งไว้นาน ไตติดเชื้อคงไม่ดี เพราะเดิมไตก็อ่อนแอมากพออยู่แล้ว
ดังนั้น...ยิ้มก็ต้องอยู่ที่นี่ ทำเรื่องส่งตัวเข้ารพ. จองห้องพิเศษ พาขึ้นห้อง เก็บข้าวของของตัวเองและของพ่อจ๋ามาเตรียมนอนเฝ้าที่ รพ. ขนสัมภาระร้อยแปดขึ้นห้องพักที่ รพ. ฯลฯ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนคืนนั้นไม่ได้นอนทั้งคืน เวลา 48 ชั่วโมงที่ผ่านไป ได้นอนถึง 5-6 ชั่วโมงหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ เพราะแต่ละครั้งไม่เคยงีบได้นานเกิน 20 นาที พอแม่จ๋าขยับตัวก็ผงกหัวขึ้นดูแล้ว พยาบาลเข้ามาก็ตื่นขึ้นมาดู จนวันนั้นเหนื่อย ล้า มึนงงไปหมด และที่สำคัญก็คือ...ไม่ได้ร่วมงานส่งยายไปสู่สัมปรายภพ แต่ก็ต้องเข้าใจในสภาพปัญหา พยายามทำให้ดีที่สุด และแก้ไขให้ดีที่สุดไปทีละเปลาะๆ
สงสารแม่จ๋าเมื่อคืนก่อนจริงๆ แม่จ๋าปวดท้องมาก บอกว่าปวดยิ่งกว่าคลอดลูกเสียอีก แถมกินอะไรไม่ได้เลย กินไปก็อาเจียนออกมาหมด หมอบอกว่า...มีอยู่สองทางคือผ่าเอานิ่วออก หรือสอดกล้องเข้าไปทางท่อปัสสาวะ และปล่อยคลื่นทำให้แตกออกเป็นชิ้นๆ วิธีแรกค่าใช้จ่ายน้อยกว่า แต่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวนาน วิธีที่สองค่าใช้จ่ายมากกว่า แต่อาจจะทำให้มีโอกาสไปงานเผาของยาย ก็เลยตกลงกันว่าเอาวิธีสอดกล้องก็แล้วกัน เพราะถ้าฟื้นตัวไวอาจจะได้ไปงานของยายอยู่ สักวันก็ยังดี และถ้ารอ..แม่จ๋าก็คงทนไม่ไหวแน่ๆ ถึงจะเป็น รพ. เอกชนแพงระยับ เบิกได้น้อยนิดก็ต้องยอมล่ะ เพราะถ้าจะให้ไปรอคิวโรงพยาบาลของรัฐ ไตของแม่จ๋าคงยิ่งชำรุดกว่านี้
ยิ้มก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าชีวิตของยิ้มมันทำไมเจอกับอะไรวุ่นวายมากมายในช่วง 3 เดือนนี้ ปู่ ยาย จากไปใกล้ๆ กัน พ่อก็ป่วยหนักจนตอนนี้ยังไม่เหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์เลย แม่ก็ถึงกับต้องเข้า รพ. เหมือนกัน ยิ้มจึงไม่มีสิทธิ์จะเป็นอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นป่วย อ่อนแอ ท้อแท้ หรืออะไรก็ตาม อย่างน้อยก็ยังดีที่เราอยู่ ไม่อย่างงั้นพ่อจ๋าต้องเฝ้าแม่จ๋าเอง คงจะน่าสงสารกว่านี้
คนที่จิตใจแข็งแรงอาจจะมองว่าเรื่องแค่นี้เอง...นิดหน่อย คนที่เจอปัญหาหนักกว่านี้มีอยู่เยอะแยะ แต่ขอประกาศตัว ว่ายิ้มไม่ใช่คนที่จิตใจแข็งแรงขนาดนั้น จึงยังต้องการกำลังใจ หรืออย่างน้อย ขอแค่ความเข้าใจก็ยังดี ขอด้วยนะคะ อย่างน้อยก็ในช่วงนี้ 4-5 วัน
ขอบคุณที่รับฟังคำระบายเล็กๆ แล้วยิ้มจะกลับมาเขียนถึงยายใหม่นะคะ จริงๆ วันนี้ตั้งใจจะเล่าเรื่องยายแต่ว่าเขียนไปเขียนมามัน...อยากระบายมากกว่า ยิ้มมีเรื่องเล่าเก่ยวกับวีรกรรมของยายมากมาย อ่านแล้วคงนึกถึงคืนวันเก่าๆ ของป่าซางได้บ้าง เจอกันบล็อกหน้าค่ะ
Rating: | ★★★★ |
Category: | Other |
กลับมาอีกครั้งแล้วนะคะ หลังจากห่างหายจากการเขียนบล็อกไปนานพอสมควร ไม่รู้ว่าทำไมวันหนึ่งๆ เวลาผ่านไปเร็วจัง ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย...เฮ้อ
ก่อนอื่นต้องกล่าวขอโทษเพื่อนพ้องน้องพี่ทั้งในและนอก multiply หลายท่านที่โดนฟาดหัวฟาดหางใส่ไปหลายดอกในช่วงก่อนหน้านี้ ช่วงนั้นอารมณ์ไม่ปกติจริงๆ (ตอนนี้ก็ยังผีเข้าผีออกอยู่เนืองๆ) มุกตลกเสียดสีใดๆ ที่เคยเห็นว่าขำ มันก็พานจะเป็นชนวนให้รู้สึกหงุดหงิดได้ง่ายๆ (ถ้าเล่นไม่ถูกเวลา) ที่เครียดจัดก็เพราะว่างานของตัวเองก็คาบลูกคาบดอกอยู่แล้ว ตอนแรกก็คิดว่ากลับมาปุ๊บก็จะลุยๆ ๆ ไปเลย 2 เดือน แล้วก็กลับไปสอบอัพเกรดตอนกลางเดือนมีนา(สาเหตุหลักที่เครียด)
แต่ปรากฏว่าพอมาถึง อ๊า...พ่อไม่สบายหนัก ปู่ก็เสีย ยายก็ป่วยหนักกว่าเดิม (เดิมก็ทรงๆ แกมทรุดๆ อยู่แล้ว) แถมท่านแม่...ผู้ทำหน้าที่พยาบาลหลักมาในช่วงเดือนก่อนหน้าที่ยิ้มจะกลับมาก็เริ่มมากระเสาะกระแสะเอาอีก พอข้าพเจ้าจะออกจากบ้านไปทำงาน แม่ก็เกิดอาการ "โอ๊ย...เจ็บหน้าอก" "เอิ๊ก เป็นลม" อ้าว ทำไงล่ะทีนี้ ไปไหนก็ไม่ได้สิเรา รับจ๊อบเป็นรถพยาบาลจำเป็น ขึ้นๆ ลงๆ โรงพยาบาลอยู่หลายรอบในช่วงเดือนมกราคม
งึม....มาถึงวันนี้ยังเก็บข้อมูลได้ไม่ถึง 1 ใน 4 เลย...ดีนะ ขอเลื่อนสอบอัพเกรดไปแล้ว แต่คิดว่าพออะไรๆ เริ่มคลี่คลาย ก็จะได้เริ่มทำงานจริงๆ จังๆ เสียที และถึงจะยังไม่คลี่คลาย ยิ้มก็ขีดเส้นเอาไว้ที่ปลายเดือน กพ. พอถึงจุดนั้นก็จะลุยงานด้านการเรียนแล้ว no matter what happens ยังไงๆ ชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป
บ่นมา 3 ย่อหน้า ก็มาเข้าเรื่องกันเสียทีนะคะ วันนี้จะพูดถึง DIY หรือ Do-it-Yourself ซึ่งครอบคลุมถึงสินค้าประเภทที่ต้องซื้อมาประกอบเอง หรือผลิตภัณฑ์ใดๆ ก็ตามที่เกิดจากฝีมือของเจ้าบ้าน ถ้าถามว่าตัวยิ้มเองกับผลิตภัณฑ์พวก DIY มีความผูกพันกันอย่างไร ก็คงต้องตอบว่า ได้เห็นการประดิษฐ์ของพวกนี้ และมีส่วนร่วมมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ มากบ้าง น้อยบ้าง ตามแต่โอกาสและความยากของงาน เนื่องด้วยท่านพ่อของยิ้มชอบประดิดประดอย ซ่อมโน่นซ่อมนี่ เปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่มาตลอด
ช่วงนี้ท่านพ่อลาหยุดงานยาว แต่ด้วยประสาคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ ท่านพ่อก็จะต้องหางานอะไรสักอย่างมาทำแก้เบื่ออยู่เนืองๆ เช่นเรียกช่างมาซ่อมบ้าน หรือไม่ก็ซื้อของ DIY มาต่อเล่น ล่าสุดก็เพิ่งซื้อตู้ และชั้นวางของมาต่อไว้ในห้องรับแขก ข้าพเจ้าก็เข้าไปมีส่วนร่วมอีกตามเคยช่วยไขน็อตบ้าง ตอกเดือยไม้บ้าง เก้ๆ กังๆ แต่ก็สนุกดี วันนี้ตู้อุปกรณ์เครื่องมือของพ่อเปิดกว้าง เผยให้เห็นเครื่องมือจำพวกแผงวงจร สายไฟ กล่องน็อตและตะปูขนาดต่างๆ ไขควง เลื่อย ฯลฯ
ของเหล่านี้ทำให้เกิดความรู้สึกหวนหาอดีตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก...สมองน้อยๆ ด้อยรอยหยักเลยเริ่มนึกย้อนไปถึงสิ่งประดิษฐ์ของป๊ะป๋าที่รู้สึกผูกพันเหมือนโตมากับมัน
1. น้ำอุ่นพลังแสงอาทิตย์
บ้านเรามีน้ำอุ่นพลังงานแสงอาทิตย์ใช้มาตั้งแต่สมัยเมื่อ...อืม...ประมาณ 20 ปีที่แล้วเห็นจะได้ ตอนนั้นเขาก็มีเครื่องทำน้ำอุ่นใช้แล้ว ใช่...ไม่เถียง แต่ท่านพ่อคงเห็นว่ามันง่ายเกินไป และสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ท่านพ่อจึงซื้อถังขนาด 100 ลิตรพร้อมฉนวนห่อหุ้มเก็บความร้อนแล้วปีนเอาขึ้นไปเก็บไว้บนเพดาน ใช้ท่อเหล็กขดวนไปวนมาบนหลังคา เพื่อให้น้ำได้รับความร้อนอย่างเต็มที่ มีกระจกบานเกล็ด (ที่ถูกถอดออกมาเพราะหน้าต่างบานนั้นจะถูกปิดตาย - ของเหลือใช้) เป็นตัวรับพลังงานจากแสงอาทิตย์ (เออ..ใช้หลักอะไรไม่รู้ ลืมไปแล้ว) แค่นี้เราก็มีน้ำอุ่นใช้ตลอดปี อุ่นเกินไปจนกลายเป็นน้ำร้อน ต้องเปิดลงมาผสมกับน้ำเย็นอีกทีด้วยซ้ำ
ข้อดี: ประหยัด ใช้ของที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประหยัดพลังงานไฟฟ้า เวลาน้ำไม่ไหลก็เปิดเอาน้ำในถังลงมาใช้เป็นน้ำสำรองไว้ใช้ได้ มีกักไว้ตั้ง 100 ลิตร และถึงแดดจะออกแค่นิดเดียวแต่ก็น้ำร้อนเก็บไว้ได้นาน 2-3 วัน
ข้อเสีย: ช่วงไหนฝนตกติดๆ กัน 3-4 วัน ก็ดับเดี้ยง ไม่มีน้ำร้อนใช้ทันที ช่วงหลังๆ พอใบไม้ตกๆ ๆ ลงไปบนแผงกระจกบานเกล็ด ตะไคร่น้ำขึ้น น้ำก็ไม่ร้อนเท่าเดิม
ปัจจุบัน: ระบบน้ำอุ่นพลังงานแสงอาทิตย์ยังใช้ได้ดี แต่ถัง 100 ลิตรนั้นมันรั่ว ตอนนี้ท่านพ่อก็ปีนขึ้นไปเปลี่ยนถังไม่ไหวแล้ว นั่นสิ...ใครจะแบกถัง 100 ลิตรปีนขึ้นไปบนหลังคาเหมือนท่านพ่อสมัยยังหนุ่มๆ ได้กัน ถ้าใครสามารถขึ้นไปซ่อมให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมท่านพ่อจะยกลูกสาวให้พร้อมข้าวสาร 2 กระสอบ (พูดเล่นนะ แหะๆ ^ ^')
2. ชุดเฟอร์นิเจอร์ในห้องครัว
ชุดเฟอร์นิเจอร์ในห้องครัวอันได้แก่ชั้นลอย 2 ชั้น ตู้ติดพื้น 8 ล็อค พร้อมทั้งซิงค์น้ำ เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของท่านพ่อทั้งสิ้น สิ่งที่มาแบบสำเร็จรูปก็คือพัดลมดูดอากาศเท่านั้นจริงๆ นอกจากนั้นมาเป็นชิ้นๆ หมด เช่นไม้กระดานแผ่นๆ ด้ามจับเปิดฝาตู้ บานพับ ท่านพ่อวัดเอง เลื่อยเอง ประกอบเอง ทาสีเอง ใช้งานมาได้ 20 ปีแล้ว ปัจจุบัน...ไปเดินโฮมโปรมา เห็นชุดเฟอร์นิเจอร์ห้องครัวหลายชุด หน้าตาก็ดูไม่ได้แตกต่างจากของท่านพ่อเท่าไหร่ เลยถามว่าตอนนี้ของที่บ้านเรามันเก่าแล้ว ไม้ก็เริ่มบวมๆ ลอกๆ จะทำใหม่มั้ย...ท่านพ่อบอกว่า โอ๊ย ขี้เกียจแล้ว...ตอนนี้หาซื้อเอาดีกว่า
3. ระบบท่อให้น้ำลำไย
หลังจากจัดการประดิษฐ์ของภายในบ้านแล้ว พ่อจ๋าก็นึกอยากเปลี่ยนบรรยากาศออกไปทำงานนอกบ้านชั่วคราว ตอนแรก...ลำไยสวนใน(บ้านยาย) และสวนนอก(แยกออกไปเป็นเอกเทศ) ได้รับการให้น้ำโดยใช้ระบบร่องน้ำ ใช้สูบไดโว่สูบน้ำขึ้นมาจากบ่อแล้วปล่อยให้มันไหล ไปตามร่อง แล้วใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าขะโจ้วิดน้ำใส่ทีละต้นๆ ที่อยู่ไกลจากบ่อหน่อยก็ต้องหาบน้ำรดเอาต่อมา...ท่านพ่อได้วางระบบชลประทาน ซื้อท่อมานับสิบๆ ท่อ ต่อไปปล่อยน้ำเป็นจุดๆ คราวนี้ก็ก็สบายขึ้นหน่อย สามารถเอาสายยางต่อจากจุดปล่อยน้ำไปใส่ลำไยทีละต้นๆ ทุ่นแรงไปได้นิด แต่จะให้ต่อท่อไปถึงลำไยทุกต้นเลยเหมือนสวนมืออาชีพทั้งหลายก็คงจะไม่ไหว ถึงสวนจะไม่ใหญ่แต่รวมกันหลายสวนก็มีลำไยหลายร้อยต้นอยู่ คงต้องขุดจนหลังงอ แถมค่าใช้จ่ายในขณะนั้นก็คงบานกันพอดี
ถึงสวนลำไยจะไม่มีท่อต่อน้ำส่งถึงทุกต้น แต่อย่างน้อย...สวนผักในบ้าน และสวนไม้ประดับก็มีสปริงเกอร์รดน้ำครอบคลุมทั่วอาณาเขต ไม่ต้องหาบน้ำใส่ตามแบบวิธีดั้งเดิม ตอนต่อระบบน้ำเสร็จใหม่ๆ ตายิ้มแฉ่ง จะได้นั่งดูดบุหรี่ขี้โยเฝ้าเฉยๆ ไม่ต้องลงแรง
ปัจจุบัน: ระบบน้ำลำไยยังใช้การได้ดี แต่สวนผักกับสวนไม้ประดับหายไปแล้ว พอตาไม่อยู่ก็ไม่มีใครปลูกผัก ปลูกหญ้า ปลูกต้นไม้ต่างๆ ลานเหล่านั้นกลายเป็นสนามฝึกกอล์ฟของท่านพ่อไปนั่นเอง
4. กล่องคำถาม: สื่อการสอนวิชาภาษาไทย
ตอนนั้นท่านพ่อทำแผงวงจรไฟฟ้า ทำสื่อการสอนวิชาภาษาไทยให้ท่านแม่ จริงๆ ก็เป็นเกมเลือกคำตอบที่ถูกต้องธรรมดาๆ โดยมีกล่องคำถามอยู่หนึ่งกล่อง จะมีคำถามให้ 1 เซต มีคำตอบให้เลือก 4 ข้อ ถ้าเลือกถูกก็จะมีเสียงอันไพเราะขึ้นมา บอกว่าถูก ถ้าผิดก็จะมีเสียงประหลาดๆ บอกให้รู้ว่าผิด เด็กๆ ชอบเพราะว่ามันสัมผัสได้ กล่องคำถามมันใหญ่และเป็นรูปธรรมกว่ากระดาษโรเนียวสีน้ำตาลๆ แถมเวลาตอบผิดตอบถูกก็มีเสียงดังให้ได้ตื่นเต้นด้วย ตอนนั้นหมวดภาษาไทยชอบอกชอบใจกันใหญ่
ปัจจุบัน: ท่านแม่ลาออกมาแล้วเลยไม่ทราบว่าเจ้าอุปกรณ์เหล่านั้นมีชะตากรรมเป็นอย่างไร แต่ส่วนร่วมของยิ้มในงาน (หลาย) ชิ้นนี้คือ...ถือสายไฟให้ตอนที่ท่านพ่อบัดกรี = ='
5. เครื่องกรองอากาศ
เนื่องด้วยบ้านของยิ้มเป็นภูมิแพ้กันยกบ้าน เจอฝุ่นทีไรก็ไอจาม เยื่อจมูกบวม หายใจไม่ออกกันเป็นทิวแถว ท่านพ่อจึงประดิษฐ์เครื่องกรองอากาศขึ้นมา 2 เครื่อง จะว่าไป...มันก็ไม่เชิงกรองอากาศ แต่เรียกได้ว่ามันจะปล่อยคลื่น(อะไรสักคลื่น) ทำให้อนุภาคฝุ่นละอองในกาศที่ล่องลอยอยู่จับตัวตกลงมาบนพื้น (ให้พวกเราได้กวาดถู) ฝุ่นละอองในอากาศก็ลดลงจริงๆ ส่วนงานในการกำจัดเศษฝุ่นผงบนพื้นก็เพิ่มขึ้นมา แต่ก็นะ...เครื่องกรองอากาศดีๆ เครื่องหนึ่งแพงออก ท่านพ่อก็ได้ประยุกต์ใช้สิ่งของที่มีอยู่ได้อย่างน่าทึ่ง
ปัจจุบัน: เครื่องกรองอากาศของท่านพ่อหายสาบสูญไปไม่มีร่องรอย ท่านแม่ไม่ได้สนใจคงไม่รู้ว่าเก็บไว้ไหน ส่วนท่านพ่อตอนนี้คงนึกไม่ออกเป็นแน่ บ้านเราจึงมีเครื่องกรองอากาศแอมเวย์อยู่สองเครื่อง - -' ใช้ใน 2 ห้อง
6. นาฬิกา
นาฬิกาที่แขวนข้างบ้านของยิ้มและบ้านยายสมัยยังเยาว์ทำจากแผ่นเสียงเก่า นึกภาพออกไหมคะ แผ่นสีดำๆ แบนๆ ท่านพ่อเอาสติกเกอร์สีสดๆ มาแปะบอกเวลา 1-12 ก็จะได้นาฬิกาพื้นดำ ตัวเลขและลายเข็มสีเหลือง ตอนเด็กๆ ก็เคยคิดว่าอยากได้นาฬิกาใหม่ๆ เป็นลวดลายเท่ห์ๆ แปลกๆ ที่ขายตามในห้าง หรือไม่ก็นาฬิกานกกุ๊กกรู แต่ก็ไม่ได้ซื้อแฮะ เพราะสมัยก่อนต้องประหยัด กินอยู่กันอย่างพอเพียง
ตอนนี้พอมีนาฬิกาเต็มบ้าน(มีคนให้มาเป็นของขวัญทั้งน้าน...) กลับคิดถึงนาฬิกาเรือนเก่าที่หยุดเดินไปนานหลายปีแล้ว
นี่คือตัวอย่างของใกล้ตัว ยังมีสิ่งละอัน พันละน้อยอีกมากมาย...ฟังดูแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อว่าท่านพ่อของข้าพเจ้า...จบศึกษาศาสตร์ เอกฟิสิกส์ - -' ไม่ได้จบงานช่าง หรือวิดวะสาขาใดๆ
ขอยกตัวอย่างแค่นี้ก่อนละกันนะคะ ก่อนที่คนอ่านจะตาลาย ของเหล่านี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจนจำได้ ส่วนของอื่นๆ ก็มของประดิษฐ์เองอีกเยอะ ของ DIY ที่ซื้อมาจากร้านเป็นชิ้นๆ เอามาต่อเองดูเด็กๆ ไปเลย ยิ้มเองก็พอจะจำได้...ว่าสมัยก่อนท่านพ่อใช้เวลาวันว่างอยู่นอกบ้านแทบจะตลอดเวลาซ่อมโน่น ดัดแปลงนี่ แก้ไขโน่นอยู่ตลอด ถึงยิ้มจะไม่ได้รับสืบทอดวิชาช่างมาเท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้เห็นอยู่บ่อยๆ ทำให้ยิ้มชอบ และสนุกที่จะใช้สินค้าพวกประกอบเอง (ถึงจะต่อไม่ค่อยคล่องก็เหอะ) เวลาไปอยู่ที่อังกฤษ จะซื้อชั้นวางรองเท้า กระจก ตู้ โต๊ะอะไร ก็มักจะเลือกแบบที่เป็นชิ้นไม้ ต้องเอามาต่อกันต้องขันน็อต ต้องเสียบเดือยแทนที่จะซื้อแบบพลาสติกที่เอามาสวมๆ ๆ ก็เสร็จ หรือไม่ก็ซื้อแบบสำเร็จรูปมาใช้เลย
ตอนนั้นเหตุผลหลักๆ ที่เกิดของเหล่านี้ขึ้นมา ก็คงเป็นเพราะความประหยัดและความสุขของท่านพ่อที่ได้ดัดแปลงโน่นนี่ทำให้เป็นของใช้ ของในบ้านนี่แทบจะไม่มีสิ่งไหนที่ต้องทิ้งเลยทีเดียว พอเริ่มแก่ตัวลงท่านพ่อก็มีใจให้งานช่างน้อยลง และหันมาเทความสนใจให้งานเขียนโปรแกรมมากขึ้น จนหลังๆ มานี่ ท่านพ่อใช้เวลากับคอมพิวเตอร์มากกว่าสว่านไฟฟ้า ฆ้อน ตะปู แบบเมื่อก่อน ยิ้มก็ลืมๆ ไปบ้าง จนกระทั่งวันนี้...กล่องแห่งความทรงจำมันถูกเปิดออกมา
ตอนเด็กๆ ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พ่อเรียกไปช่วยก็ไป แต่ตอนนี้ยิ้มคิดว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นทักษะชีวิตจริงๆ นะ สำหรับมนุษย์เดินดินที่ยังต้องทำอะไรเอง ไม่มีคนรองมือรองเท้ารับใช้ตลอดเวลา และยิ้มก็คิดว่าวิชา กพอ. ในโรงเรียนหญิงล้วนก็ควรสอนพื้นฐานของงานช่างพวกช่างไม้ ช่างไฟ ช่างก่อสร้าง ช่างยนต์ ช่างประปาเอาไว้ด้วยค่ะ เพื่อเป็นทักษะชีวิต อย่างน้อยสอนพื้นฐานแบบเบสิคๆ ก็ยังดี เพราะบางครั้งผู้หญิงที่ไม่ได้เรียวิศวะก็ไม่รู้อะไรเลยเช่น
แม่: หล้า รถสตาร์ตไม่ติด มาป่าซางทีได้มั้ย มาดูให้หน่อย
น้า: โอ๊ย ทำงานอยู่นี่ จะไปได้ยังไง ลองเปิดดูหม้อน้ำหน่อยได้มั้ย น้ำแห้งหรือเปล่า น้ำมันเครื่องล่ะ
แม่: โอ๊ย เปิดไม่เป็นหม้อน้ำอะไร ตรงไหน ไม่รู้เรื่อง
น้า: ขับเป็นอย่างเดียว ดูอะไรไม่เป็นเล้ยยย บลา บลา บลา บลา จ่ม ๆ ๆ ๆ
หรือไม่ก็...โดนช่างจากร้านเครื่องไฟฟ้าทั้งหลายต่อไฟให้แบบลวกๆ เอาสายแอร์ 3 เครื่องต่อกับเบรกเกอร์ตัวเดียว กระชากไฟน่าดู หรือไม่ก็ต่อตรงเลย ไฟลัดวงจรก็คงได้เฮกันใหญ่...
ตัวยิ้มเองก็ไม่ค่อยจะรู้อะไรหรอก จริงๆ พ่อก็บอกก็สอนมาเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ แว้บ...เข้าไปดู แต่พอไม่ได้ใช้งานจริงก็ลืมเลือนไปเสียเป็นส่วนมาก มีวิชาพวกนี้ติดตัวไว้ก็ดี ใครจะรับประกันว่าในอนาคตเราจะต้องอยู่คนเดียว ต้องช่วยเหลือตัวเองในเรื่องนี้หรือเปล่า เอ๋อๆ ไม่รู้เรื่องอะไร เดี๋ยวก็โดนช่างรับเหมาหลอก โดนช่างไฟหลอก วุ่นวายกันใหญ่
บ่นมาได้เวลาพอสมควรแล้ว ก็ขอชิ่งก่อนดีกว่า
สุขสันต์วันวาเลนไทน์ล่วงหน้าค่ะ ท่านผู้อ่าน