วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ชีวิต (บ่นเรื่องเดิมๆ ในบริบทใหม่ - -')

Rating:★★★★
Category:Other

พฤศจิกายน 2544

ข้าพเจ้านั่งอยู่ในห้องนอน แหงนหน้ามองพระจันทร์ที่เกือบเต็มดวงที่ลอยเด่นอยู่นอกหน้าต่าง เงียบเหงา โดดเดี่ยว ช่างไม่ต่างอะไรไปจากข้าพเจ้าในยามนี้เลย ลมหนาวแรกของปีพัดโบกโบย เสียงใบมะม่วงใกล้บ้านเสียดสีกันดังซู่ซ่า โมบายที่แขวนอยู่ใต้ชายคาส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง ฟังดูให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็นในระดับหนึ่ง

ระดับไหนน่ะเหรอ...ระดับที่ความเย็นของสายลมเริ่มกลายเป็นความหนาว...หนาว...จนกลายเป็นเหงาลึกๆ ในใจน่ะสิ

ข้าพเจ้าลองคิดดูถึงเหตุผลเพื่ออธิบายว่าเพราะเหตุใดข้าพเจ้าถึงได้ชอบนั่งมองพระจันทร์วันเพ็ญนัก คิดไปคิดมาจนสมองที่เรียบลื่นเริ่มล้าไปเพราะไม่เคยทำงานหนักเท่านี้มาก่อน ในที่สุดก็นึกออกว่าข้าพเจ้าคงกำลังจะ (พยายาม) หาจุดเชื่อมโยงระหว่างตัวข้าพเจ้าเองกับเจ้าดวงตาสีทองโสมส่องฟ้าแน่ๆ และข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจนักว่าข้าพเจ้าทำสำเร็จหรือไม่ เพราะถึงแม้ว่าจะนั่งคิดมานานขนาดนี้ นอกจากความโดดเดี่ยวเดียวดายแล้ว ข้าพเจ้าก็นึกไม่ออกว่าตัวเองจะมีคุณลักษณะใดๆ ที่ละม้ายดวงจันทร์อีกเลย ไม่ว่าจะเป็นความสวยเด่นเหนือวัตถุส่องแสงอื่นใด บนฟากฟ้าสีเข้ม หรือแสงสีทองที่ส่องนวลตาขับให้โลกยามราตรีดูน่าพิสมัยขึ้นอีกหลายเท่า

ลอยกระทงปีนี้ข้าพเจ้าก็ต้องหมกตัวอยู่แต่ในบ้านอีกแล้ว เพราะไม่มีใครออกไปเที่ยวชมงานแสงสีเสียงเป็นเพื่อน พ่อกับแม่บอกว่าขี้เกียจออกไปเที่ยว ออกไปเดินในงานยี่เป็งก็กลัวโดนจุดประทัดโยนใส่ นึกๆ มาถึงตอนนี้ก็อยากจะมีพี่น้อง เวลาจะทำกิจกรรมอะไรจะได้ชวนกันออกไปได้โดยไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ เขาผ่านโลกมามากแล้ว เรื่องบางเรื่องที่เรายังอยากดู อยากเห็น ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาที่เห็นมาแล้วเป็นสิบๆ ครั้ง ข้าพเจ้ารีบจดเอาความรู้สึกขมขื่นนี้ไว้ในใจ...เผื่อวันใดที่ข้าพเจ้ามีลูก ข้าพเจ้าจะได้ไม่เผลอทำให้เขาต้องสะเทือนใจด้วยคำว่า "โฮ้ย...ไม่ต้องไปหรอก งานไม่มีอะไรเลย เคยไปมาแล้วหลายครั้ง" เพราะคนพูดคงลืมไป ว่าคนที่มองอยู่ด้วยสายตาละห้อย เคยไปมาแค่ไม่กี่ครั้ง เมื่อสมัยยังเด็กมากกกกก จนจำอะไรแทบไม่ได้เลย

ทุกครั้งที่มองพระจันทร์ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีพลังลึกลับบางอย่างถ่ายทอดลงมาจากดวงจันทร์สีทอง ส่องลงไปกลางใจของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็จะรู้สึกสดชื่น มีกำลังใจ กระปรี้ประเปร่า ข้าพเจ้าจึงให้ความสำคัญกับวันลอยกระทงมาก เพราะเป็นวันที่ดวงจันทร์สวยที่สุด โตที่สุด ที่สำคัญก็คือ...ข้าพเจ้าไม่ต้องชมดวงจันทร์เงียบๆ เหงาๆ คนเดียวอย่างที่เป็นอยู่เสมอมา เพราะผู้คนต่างออกมาพบปะกันในงานรื่นเริง และชื่นชมความงามของพระจันทร์พร้อมๆ กัน มันทำให้รู้สึกว่า...อย่างน้อย ข้าพเจ้าก็ไม่ได้โดดเดี่ยว

อยากออกไปข้างนอกจัง ถ้าออกไปได้เองก็คงจะดี แต่จะทำยังไงได้ ขับรถยนต์ก็ไม่เป็น มอเตอร์ไซค์ก็ไม่มี ครั้นจะออกไปขึ้นรถสองแถวก็ต้องเดินออกไปถึงหน้าหมู่บ้าน แล้วสี่แยกที่หมู่บ้านเราตั้งอยู่นี่ก็ช่างเงียบ น่ากลัว รอรถอยู่โดนอาจจะโดนฉุดลากลงไปในทุ่งว่างๆ ใกล้ๆ หมู่บ้านก็เป็นได้

เฮ้อ....

สมัครสอบชิงทุนก.พ. ไปได้พักใหญ่แล้ว เมื่อไหร่จะมีจดหมายตอบรับมานะ เผื่อจะฟลุกสอบได้ ข้าพเจ้าจะได้โบยบินออกไปให้ไกลแสนไกล ข้าพเจ้าอยากบินไปเผชิญร้อน เผชิญหนาวด้วยตัวเอง อยากออกไปเรียนรู้โลกกว้าง อยากแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น อยากหัวเราะและร้องไห้กับสิ่งต่างๆ ที่เลือกได้ และได้เลือกโดยอิสระ

เมื่อเวลามาถึง...ข้าพเจ้าจะบินๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จนกว่าจะอ่อนแรง
ความหอมหวานของอิสรภาพมันช่างเย้ายวนนัก...
.
.
.
.
พฤศจิกายน 2549

ข้าพเจ้าคงไม่มีเวลาจะเล่าอะไรมากมายนัก เพราะข้าพเจ้าเพิ่งกลับมาจากเยี่ยมเพื่อนที่อยู่เมืองใกล้ๆ และกำลังจะต้องลงไปพบเพื่อนๆ ตามนัด

ปีนี้คือปีการศึกษาสุดท้ายที่ข้าพเจ้าจะได้อยู่ในประเทศอังกฤษแล้ว ต้องเก็บเกี่ยวความสุขให้ได้มากที่สุด และต้องตระเวนเยี่ยมเพื่อนให้ได้มากที่สุด

โอ๊ะ...จะถึงเวลาแล้ว ข้าพเจ้าต้องรีบเอาขนมปังตากแห้งหนึ่งแถวลงไปข้างล่างพร้อมกับเทียนขี้ผึ้งที่ถูกตัดเป็นท่อนเล็กๆ พวกเราจะลอยกระทงขนมปังกัน แสงเทียนบนแผ่นขนมปังที่ลอยบนผิวทะเลสาบหน้าหอพักคงดูสวยงาม และหวังว่าน้องเป็ดจะไม่เผลอกินเทียนไขเข้าไปนะ

ปีนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกดีจังเลย...
ปีสุดท้าย ปีทองอันแสนสุข
เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นนับแต่ออกมาจากบ้านก็ทำให้เกิดทั้งรอยยิ้ม น้ำตา เสียงหัวเราะ ข้าพเจ้าอยากกลับไปเริ่มต้นชีวิตเต็มที ออกจากบ้านมานาน..ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องกลับบ้าน พ่อแม่ ญาติพี่น้องคงรอข้าพเจ้ากันจนเหนื่อยที่จะรอ ปู่ ย่า ยาย ก็อายุมากกันเต็มทีแล้ว ทุกครั้งที่ทางบ้านเล่าว่าแต่ละท่านถามถึงก็แทบจะน้ำตาไหล ในที่สุดก็จะได้กลับไปสู้อ้อมอกของบ้านเกิดเสียที

ประสบการณ์ทุกๆ วินาทีที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่มีค่าทั้งนั้น ต่อให้มีคนถามว่า ถ้าย้อนกลับไปในอดีตได้จะเลือกเดินทางเดิมไหม
.
แม้จะรู้ว่ามันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดมา แต่ข้าพเจ้าก็คงตอบว่าจะเลือกทางเดิมนี่แหละ
.
.
.
.
.

พฤศจิกายน 2550

ข้าพเจ้านั่งอยู่หน้าจอแลปทอปเครื่องเดิม นั่งแปลเอกสารประกอบการขุดค้นบ้านดอนตาเพชรให้อาจารย์ท่านหนึ่งที่พบกันในงานสัมนาวิชาการที่มหาวิทยาลัย อาจารย์คงเกลียดข้าพเจ้าแน่ๆ ที่เอางานของเขามาหมักดองไว้นานเป็นปี แต่ชีวิตนักเรียนปริญญาโทของข้าพเจ้ามันช่างมีเวลาว่างน้อยเหลือเกิน ตลอดสองเทอมแรกของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าต้องไปเรียนทุกวัน จากเช้าจดเย็น อาทิตย์ละ 4 วัน แถมวันศุกร์ยังต้องฝึกงานอีก ช่วงแรกๆ ก็ยังมีไฟ แต่ผ่านไปได้ 3 เดือน ข้าพเจ้าก็เริ่มล้า...

แต่ก็เป็นความล้าบนความสุขล่ะนะ จนกระทั่งข้าพเจ้าค้นพบว่า มันไม่มีทางให้ข้าพเจ้าได้กลับบ้านแล้วจริงๆ สมองข้าพเจ้ามึนๆ ชาๆ ไปพักใหญ่...ความฝันที่จะได้กลับบ้านพังครืนไม่มีชิ้นดี และเส้นทางที่ต้องเดินต่อ ทอดยาวไปอีกเกินครึ่งของเส้นทางที่เดินผ่านมา

เหตุผลเดียวที่ทำให้ก้าวเดินต่อไปได้ก็คือ...
ข้าพเจ้าย้อนกลับไม่ได้

ถ้าข้าพเจ้าเป็นนก นกตัวนี้มันก็บินออกมาจากบ้าน 6 ปีกว่าแล้ว ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านประสบการณ์ต่างๆ ที่เดินหน้าเข้ามาในชีวิต ข้าพเจ้ารู้...ว่าในโลกนี้ยังมีอะไรให้ได้เรียนรู้อีกมาก และนกตัวนี้ก็ยังมีแรง สามารถบินไปต่อได้อีก

แต่มันเริ่มห่วงหน้าพะวงหลัง...

นกมันรู้ว่ามันยังมีใครต่อใครอีกมากมายรอมันกลับมาด้วยใจจดจ่อ ดวงตาฝ้าฟางของนกแก่ๆ ที่อยู่เบื้องหลัง แทบจะทำให้ปีกของมันอ่อนแรงลงไปเพียงแค่ได้นึกถึง นกแก่ๆ หลายตัวรั้งสังขารตัวเองเอาไว้เพียงเพื่อรอนกตัวนี้บินกลับรัง มันเริ่มรู้ตัวว่า..มันรู้จักถิ่นฐานใหม่ที่มันโบยบินไปดีเสียกว่าภูมิลำเนาของมันเสียอีก...แล้วอีกหน่อยมันจะกลับมาหากิน ณ ถิ่นฐานบ้านเกิดของมันได้อย่างไร

แต่นกมันไม่มีทางเลือก คงต้องบินต่อไป เพื่อให้สำเร็จวิชาจับหนอนขั้นสุดยอด...โดยที่ตัวมันเองก็ยังไม่รู้ว่า เมื่อมันต้องกลับคืนรัง ประชากรนกที่นั่นเขาจะกินหนอนเหมือนที่มันกำลังกินอยู่หรือว่ากินเมล็ดพืชกันแน่ แล้วสิ่งที่มันไขว่คว้ามา..จะกลายเป็นภาพมายาของอากาศธาตุหรือเปล่า

ลอยกระทงปีนี้...ข้าพเจ้าไม่อยากออกไปไหนเลย อยากมีเวลาส่วนตัวไว้คิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากกว่า ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจเหตุผลที่ว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงรู้สึกเหนื่อยหน่าย และขี้เกียจพาข้าพเจ้าออกไปเที่ยวข้างนอกเมื่อถึงช่วงเทศกาลทั้งหลายแหล่

คนเราย่อมมีอะไรให้คิด ให้ทำ ให้กังวล และคงไม่สามารถทำให้คนอื่นมีความสุขได้ตลอดเวลาหรอกนะ ถ้าเขาเหล่านั้นไม่ได้เกิดมาเพื่อทำหน้าที่สร้างความสุขให้กับคนอื่นจริงๆ

ตอนนี้ข้าพเจ้าก็ให้นึกเบื่อหน่ายงานเทศกาลอะไรต่างๆ ขึ้นมาบ้าง แต่ข้าพเจ้าก็ยังขอยืนยันว่าจะจดจำความรู้สึกเหงา อยากออกไปข้างนอก อยากเปิดหูเปิดตาอย่างที่เคยรู้สึกเมื่อหลายปีก่อนเอาไว้ให้ดี จดลึกลงไปในเนื้อหัวใจ เพราะวันใดวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า...ข้าพเจ้าก็คงจะอยากให้ความสุขเล็กๆ น้อยๆ นี้แก่ลูกหลาน เพราะข้าพเจ้าคงไม่รู้ว่าเขาจะมีจิตใจที่เปี่ยมสุข ไร้กังวลไปได้นานแค่ไหน

ในยามนี้...ข้างนอกบ้านคงพลุกพล่านน่าดู...
ในเวลาไม่กี่ปี ที่โล่งๆ ใกล้หมู่บ้านกลายสภาพเป็นอาคารที่พักของการเคหะ ทุ่งร้างๆ ก็ถูกถม และคงกลายเป็นตึกแถวในเร็ววัน โชคยังดี ที่มีแนวสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านพื้นที่นาใกล้หมู่บ้านของข้าพเจ้าบางส่วน ทำให้ยังพอมีพื้นที่สีเขียวที่ไม่กลายเป็นอาคารห้างร้านอยู่บ้าง รถสองคันจอดนิ่งในโรงรถ...พ่อกับแม่นอนหลับไปแล้วด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการทำงาน ข้าพเจ้านอนหลับดึกขึ้นมากจนกลายเป็นคนที่นอนดึกที่สุดในบ้าน จริงๆ แล้ว ข้าพเจ้าจะหยิบกุญแจขับรถออกไปชมเมืองนิดหน่อยก็ไม่เกินความสามารถ

แต่ไม่เอาล่ะ...
ขี้เกียจ

เสียงประทัด ดอกไม้ไฟ ดังลอดเข้ามาจากหน้าต่าง ลมหนาวแรกของปีพัดโบกโบย...เสียงโมบายกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋งฟังดูไพเราะ เพราะเป็นเสียงที่ข้าพเจ้าไม่ได้ยินมานานแสนนาน ใบมะม่วงต้นใกล้บ้านเสียดสีกันดังซู่ซ่า แม้ว่าจะเบากว่าเมื่อ 5-6 ปีก่อนมาก แต่ก็ยังก่อให้เกิดความรู้สึกประหลาดในใจได้เหมือนเคย

ข้าพเจ้าไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิดเดียว...เพราะข้าพเจ้าเคยผ่านความหนาวเย็นมามากกว่านี้
สิ่งที่เกิดขึ้นลึกลงไปในใจ...คงเป็นความถวิลหาและโหยหาอย่างรุนแรงกระมัง
.
.
.
.
.
.
.
พฤศจิกายน 2551

ข้าพเจ้าเดินกลับลงมาจากเนินเขาเตี้ยๆ เพื่อที่จะกลับไปสู่ที่พักของตน หลังจากเพิ่งไปพบปะกับเพื่อนเก่ามาเมื่อบ่ายนี้ อีกไม่นาน...เธอก็จะกลับประเทศของเธอแล้ว แล้วจิ๊กซอว์อีกตัวหนึ่งของปีทองอันแสนสุขของข้าพเจ้าก็คงจะหายไปอีกครั้ง ก็คงจะเหมือนกับชิ้นอื่นๆ ที่อันตรธานไป ก่อให้เกิดช่องว่างอยู่ในใจมากมายถึงเพียงนี้

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าทุกวันนี้ข้าพเจ้าเหมือนหุ่นยนต์...มีชีวิตไปวันๆ ด้วยหน้าที่ ยากเหลือเกินที่จะมีสิ่งใดที่ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขสุดๆ หรือมีความทุกข์สุดๆ ได้เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ไฟฝันที่เคยลุกโชติช่วง บัดนี้...คงเหลือแค่เปลวไฟอ่อนๆ ที่แม่จะยังให้ความอบอุ่น แต่ก็ช่างห่างไกลจากการกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจเสียเหลือเกิน

ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เป็นวันลอยกระทง
ลอยกระทง...แล้วไง???

ก็แค่วันวันหนึ่งที่มีคนสมมติให้ประชาชนออกมาสักการะพระแม่คงคา และพบปะสังสรรค์กัน
สังสรรค์กัน...แล้วไง???

ไม่กี่วันที่ผ่านมาที่ก็เป็นวัน Bonfire night ด้วย
Bonfire Night ที่เขาจุด Fireworks กันสวยงามน่ะเหรอ...แล้วไง?

วันที่เธอเคยไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ มากมายที่เคมบริดจ์ไง
สังสรรค์อีกแล้ว....แล้วไง??


ใบไม้แห้งร่วงหล่นบนทางเท้า...กองใบไม้สีน้ำตาลกรอบแตกร่วนออกเป็นผุยผงเมื่อรองเท้าบู้ตสีดำของข้าพเจ้าบดขยี้ลงไป แสงสุดท้ายของวันส่องใบไม้สีเหลืองทองที่ยังค้างอยู่บนต้นให้ดูสว่าง กระจ่างกว่าที่เป็นมา ข้าพเจ้าหวังให้แสงนี้มันลอดลงไปถึงข้างในของข้าพเจ้าบ้าง แต่หัวใจของข้าพเจ้าในยามนี้มันเป็นเหมือนหลุมดำ...หลุมดำที่ดูดกลืนทุกอย่างให้หายไปแม้กระทั่งแสงสว่าง

เส้นทางข้างหน้ายังทอดยาวอีกไกลนักกว่าจะถึงที่พัก รองเท้าบู้ตส้นสูงสองนิ้วที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นปัญหา เริ่มเสียดสีกับเนื้ออ่อนๆ ที่ด้านนอกของเท้า เพราะการเดินแบบทิ้งน้ำหนักเมื่อลงเนิน ปกติเดินบนทางราบคงไม่มีปัญหาอะไร พอมาเดินลงจากเนินถึงได้รู้ว่าอะไรที่แสนธรรมดา ก็ทำให้คนเป็นทุกข์ได้

แล้วเจ็บไหม...เป็นทุกข์ไหม
เจ็บสิ...แต่ก็แค่เจ็บ...แล้วไง?

บางที...เจ็บก็ดี หนาวก็ดี จะได้รู้สึกรู้สาบ้าง
แต่ทำไม..ความเจ็บ ความหนาว มันไม่อาจทำให้ข้าพเจ้ารู้สึก 'มีชีวิตชีวา' เหมือนเคย

ลมหนาวพัดมา พร้อมกับอาการทอดถอนใจ
ก็แค่อีกวันที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป...

แล้วก็หวังว่าสักวันหนึ่ง...ไฟที่มอดดับลงไป จะกลับมาเหมือนเดิม เพราะนกตัวนี้มันก็ยังต้องบินไปอีกไกล บินไป บินไป บินไป
.
.
แม้ว่าวิชาจับหนอนขั้นสุดยอดที่ไขว่คว้า อาจจะใช้ไม่ได้กับสังคมกินเมล็ดพืชเลยก็ตาม
.
.
.

ขอบพระคุณที่กรุณาอ่านถ้อยคำเพ้อเจ้อไร้สาระของข้าพเจ้ามาจนถึงตรงนี้
สวัสดีค่ะ


8 ความคิดเห็น:

Santi Santiago กล่าวว่า...

ลอยกระทงที่ผ่านมา..แชมป์ก็ไม่ได้ไปไหนเช่นกันครับ อยู่คนเดียว >0<' ก็นั่งอ่านหนังสือไป ไม่ก็ไปว่ายน้ำ ( ว่ายคนเดียวอีก ) ถึงมันจะเหงา แต่มันก็แฝงไปด้วยความสุขบางอย่างน๊า คือ เวลาเหงาๆ มันทำให้เราได้คิด ว่า เราควรจะเอาอย่างไรกับชีวิต...
ไฟที่เคยลุกโชติช่วง มาบัดนี้ มันมีบ้างที่จะมอดลงไป ของธรรมดา แต่แชมป์ว่าอย่างน้อยนะ ในแต่ละวัน ถ้าเราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆสักอย่าง ก็นับได้ว่า วันที่หมดไป ก็แสนจะคุ้มค่า แล้ว...

แต่บางครั้ง เวลามีเทศกาลอะไรก็แล้วแต่ เวลาเห็นพวกฝรั่งเขาเดินกันมาเป็นคู่ ส่วนเราตัวคนเดียว มองไป ก็อิจฉา แต่อย่างว่า ถ้าเรามองโลกให้มันสนุก มันก็จะสนุกขึ้นมาทันที แม้จะอยู่คนเดียวก็ตาม

Yim S. กล่าวว่า...

อื่ม..ใช่ ในความเหงามันก็มีความสุนทรีย์ซ่อนอยู่
ในความเซ็ง...ก็คงจะมีปรัชญาอะไรบางอย่าง รอให้เราเข้าไปขบคิด ตีให้แตก

เอาเหอะ...ไฟมันก็เป็นแบบนี้แหละเนอะ ลุกๆ มอดๆ แล้วแต่เชื้อเพลิงในขณะนั้น

V ( ^ ^ ) โย่ว

Gift waidhaya กล่าวว่า...

พออ่านมาถึงตอนสุดท้ายนี่ออกแนวเซนนะยิ้ม -''-

tawat 1991 กล่าวว่า...

ยังเล่าเรื่องได้เยื่ยมเหมือนเดิมเลยนะครับ ^ _ ^

Yim S. กล่าวว่า...

งือ ช่วยด้วย เค้าบ้าไปแย้ววว

Yim S. กล่าวว่า...

ขอบคุณค่ะ
คราวต่อไป จะพยายามเล่าเรื่องอะไรที่มันสร้างสรรค์และไม่เป็นการบ่นแบบนี้ - -'

ipanpook p กล่าวว่า...

-*-

นอนไม่หลับอีกแล้วอ่ะดิ คริคริ

ปล.อ่านถึงตอนอุปมาว่าเป็นนก นึกถึงวรรณกรรมเรื่อง "บทเพลงแห่งนกกางเขน" ขึ้นมาทันใด.. มีบางสิ่งบางอย่างคลับคล้ายคลับคลาก็เรื่องที่พึ่มพำมา ถ้ามีเวลาว่างก็ลองหยิบมาอ่านดู อาจจะได้อะไรบางสิ่งบางอย่าง (มั้ง) :D

Yim S. กล่าวว่า...

^
^
ไม่มีอ่ะค่ะ พี่ปอยขา
เล่มไหนง่ะ