วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สาวเหนือ

Rating:★★★★★
Category:Other


แสดงความยินดีกับยิ้มหน่อยนะคะ

แรงบันดาลใจที่มันหายหน้าหายตาไปนาน...เริ่มเดินทางกลับมาเข้าสู่ตำแหน่งเดิมแล้วค่ะ จะเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานหรือไม่ ตัวยิ้มเองก็ยังไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้มีแรงเขียนบล็อกแล้ว ก็เป็นการเริ่มต้นอันดี เพราะจากการเก็บสถิติจากสิ่งที่ผ่านมา พอเริ่มมีแรงเขียนบล็อก งานการอื่นๆ ก็จะตามมาในไม่ช้า ว่าแล้วก็มาเขียนบล็อกด้วยความสุขใน multiply เช่นเคย เย้ ๆ ๆ

บังเอิญวันนี้อ่านอะไรเล่นๆ ไปตามเวบบอร์ดในอินเตอร์เนต เริ่มจากข่าวสารบ้านเมือง ข่าวบันเทิง ประวัติศาสตร์ บอร์ดพลังจิต แล้วก็มาจบลงที่บอร์ด Lannaworld (ได้ยังไงก็ไม่รู้) อ่านมาหลายเรื่องก็ชวนให้ความคิดแตกแขนงไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆ ก็นึกถึงคำพูดที่เคยได้ยินมาจนเจนหูเช่น "หนุ่มใต้สาวเหนือ" "หนุ่มใต้ใจดำ" และอื่นๆ ที่ฟังดูแล้วพอจะทำให้คนฟังสรุปได้ว่า "หนุ่มใต้" ช่างดูไม่น่าพิศวาสสำหรับสาวเหนือผู้บอบบาง อ่อนแอเอาเสียเลย

อารัมภบทมายืดยาว สรุปใจความได้ว่าวันนี้จะพูดถึงสาวเหนือ และรักข้ามวัฒนธรรมน่ะค่ะ

แต่คงต้องใส่หมายเหตุเอาไว้หน่อยนะคะ ว่าหนุ่มใต้ในบริบทนี้..ไม่ได้หมายถึงภาคใต้ของประเทศไทย The Land of Smile ในปัจจุบันนี้ หากแต่หมายถึงหนุ่มที่พูดภาษา "กลาง" ที่มาจากจังหวัดที่อยู่ใต้ "สุโขทัย" ไปเลยต่างหากล่ะ

ล้านนา และสยาม (อาจจะรวมถึงล้านนาและอยุธยา หรือล้านนาและสุโขทัยด้วยก็ได้) มีปฏิสัมพันธ์กันมาแต่เนิ่นนานมาแล้ว เนื่องเพราะความสัมพันธ์ทางการทูตของกษัตริย์หรือพ่อเมือง (ไม่ว่าจะเป็นแบบมิตร หรือแบบประเทศราช) ดังนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาชนก็ย่อมจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กันอยู่เนืองๆ ไปด้วย

แม้ว่าบริบททางสังคม ความเชื่อ รากเหง้าของขนบธรรมเนียมจะแตกต่างกันอย่างค่อนข้างเห็นได้ชัด แต่ความรักระหว่างหนุ่มสาวสองสังคมก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่เนืองๆ คู่ที่ประสบความสำเร็จคงไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงนัก แต่คู่ที่ล่มสลายลงจบด้วยด้วยร้าวรานก็ถูกนำมายกตัวอย่างให้ลูกหลานได้รับรู้ และตัวอย่างเหล่านั้นก็ถูกนำมาแต่งเสริมเติมสีให้ดู 'ดราม่า' และ 'จัดจ้าน' ขึ้นด้วยการแต่งเป็นบทละคร บทกวี และตำนานต่างๆ

เรื่องราวความรักแต่ละครั้งที่ถูกนำมาเล่าสืบต่อกันมาก็ไม่ได้เป็นรักที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเลยสักนิด บางเรื่องเล่าก็ว่าสาวเหนือน่าสงสาร ด้วยความซื่อ ความจงรักภักดี สาวๆ เลยโดนทำร้ายจิตใจโดยหนุ่มใต้อยู่เนืองๆ บ้างก็ว่าสาวเหนืออันตราย เพราะคนแถวนี้มีความเชื่อเรื่อง'ผีกะ' ที่สืบทอดจากรุ่น สู่รุ่น จีบสาวเหนือสุ่มสี่สุ่มห้าอาจได้ทายาทผีกะ (ละม้ายๆ ความเชื่อเรื่องปอบ) มาเป็นคู่ก็ได้

โอ๊ย...มากมายร้อยแปด จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ยิ้มก็คิดว่าอาจจะเป็นกุศโลบายของคนโบราณที่ไม่อยากให้เกิดรักข้ามวัฒนธรรม ให้ลูกหลานต้องมาเจ็บช้ำกันภายหลังก็ได้มั้ง

ยิ้มเองก็ไม่ได้รู้เรื่องราวความรักระหว่างหนุ่มใต้สาวเหนือมากมายเท่าไหร่ แต่ใคร่ขอรวบรวมเรื่องเล่าความรักข้ามพรมแดนฮีต - ป๋าเวณีมาเล่าสู่กันฟังดังนี้เน้อเจ้า...

1. นางสร้อยฟ้า + พระไวย



จริงๆ ท่านพ่อของพระไวย(พลายงาม) คือขุนแผนก็มีสัมพันธ์กับสาวเหนือคือนางลาวทองมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าโฟกัสของเรื่องราวตอนนั้นจะไปลงที่แม่หญิงพิมพิลาไลย ก็เลยไม่ค่อยเน้นให้เห็นถึงความต่างรีตต่างรอยกันเท่าไหร่ มาถึงรุ่นลูก บทกลอนนั้นแสดงให้เห็นถึง 'ความไม่เข้ากัน' มากกว่า

เรื่องราวเล่าว่าพระไวยได้หมั้นหมายกับนางศรีมาลาลูกของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อยู่แล้ว ส่วนนางสร้อยฟ้าเป็นธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ ถูกกวาดต้อนลงมาเป็นเชลยและพระพันวษาทรงยกให้พระไวยไปตบแต่งเป็นอีกเมียหนึ่ง

ตอนนี้ก็ให้นึกเห็นใจนางสร้อยฟ้าไม่หยอก อยู่เชียงใหม่ได้เป็นถึงธิดาเจ้าเมืองแต่มาถึงกรุงอโยธยากลับกลายเป็นแค่เมียของข้าราชการในยศ 'จมื่น' แถมยังไม่ได้เป็นเมียเอกด้วย จริงๆ พระไวยก็ไม่ได้ยศต่ำต้อยอะไรหรอกนะคะ แต่เลือดขัตติยะนารีที่โลดแล่นอยู่ในร่าง สมควรจะทำให้เธอได้เป็น 'เจ้าสร้อยฟ้า' หากชะตากลับทำให้ต้องกลายมาเป็นแค่ 'นางสร้อยฟ้า' ธรรมดาๆ

ที่มาของเรื่องราววุ่นวายมีอยู่ว่าวันนั้นสาวๆ ในบ้านพระไวยทำขนมเบื้องกัน ด้วยความต่างรีตต่างรอย...นางสร้อยฟ้าจึงทำขนมเบื้องได้ไม่บางกรอบเท่าคนอื่น(ถ้าให้ทำขนมอย่างอื่นคงถนัดกว่าเนอะ อย่างหนมจ๊อก หนมเกลือ หนมปาด ^ ^' ) พลายชุมพลน้องของพระไวยจึงหัวเราะ ล้อเลียนว่าขนมของนางดูเหมือนแป้งจี่มากกว่า นางสร้อยฟ้าก็นึกอายเลยโต้เถียงทะเลาะกัน นางทองประศรีผู้เป็นย่าก็เข้าข้างหลานอีกตามเคย นางสร้อยฟ้าก็เลยน้อยใจ แถมมีเรื่องทะเลาะกันทีไร พระไวยก็ตบตีนางเข้าข้าง 'คนไทย' ด้วยกันทุกที นางเลยอาศัยมนต์ดำทำให้พระไวยหลงรักเสียเลย (อันนี้ก็ไม่ดี เข้าสู่ด้านมืดเกินไปแล้ว - -')

เรื่องเลยจบลงด้วยความร้าวราน พลายชุมพลออกโรงแก้ไขไสยดำ นางทั้งสองต้องมาลุยไฟพิสูจน์ความบริสุทธิ์กัน นางสร้อยฟ้าก็โดนไฟลวกไปตามระเบียบ ถูกสั่งประหารแต่ท้ายที่สุดก็ได้ลดโทษเป็นส่งกลับเชียงใหม่ไป (แต่นางอาจจะพอใจก็ได้นะ เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องทนอยู่ให้ใครรังแก)

ก็เข้าใจว่าในบทละครต้องมีตัวร้าย ในบทกลอนก็เล่าเสียให้เห็นภาพว่านางสร้อยฟ้านี่เลวจริงๆ ดูหนังไทยเรื่องขุนช้างขุนแผนยุคอำภา ภูษิต นางสร้อยฟ้าก็ถูกนำมาสร้างให้ดูร้ายยยยย ร๊ายยยยยย ร้ายยยยยยยยยยย แบบไม่มีเหตุผล

แต่เราสงสารนางสร้อยฟ้านะ ทำไมไม่มีใครนำบทกวีมาตีความใหม่เลยอ้ะ ความนัยที่ซ่อนไว้ไม่มีใครสนใจเลยเหรอเนี่ย ถ้าลองเอาใจตัวเองไปใส่ในตำแหน่งของนางสร้อยฟ้าคุณจะรู้สึกยังไงคะ จากที่เป็นถึงเจ้าหญิงถูกตีจนเมืองแตก ลดขั้นมาเป็นเมียน้อยสามัญชนแถมโชคร้ายไม่มีคนรักคนเข้าใจอีก แม่ผัวก็รักสะใภ้เอกมากกว่า ผัวก็รับไว้ด้วยเห็นว่าเป็นบรรณาการมากกว่าจะรักจริงๆ เฮ้อ....แต่นางก็ทำไม่ถูกแหละ ที่ตัดสินใจเข้าหาด้านมืด แทนที่จะเอาความดี ความอดทนเข้าสู้ เลยกลายเป็นตัวร้ายไปตามระเบียบ

เรื่องนี้...สาวเหนือเลยถูกทำให้ดูเป็นพวกคลั่งมนต์ดำ ไสยเวทย์ นอกรีต นอกศาสนาไปเสีย เฮ้อ..

2. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี



คู่นี้ยิ้มเคารพค่ะ ไม่เขียนบรรยายมากก็แล้วกันเพราะส่วนมากกน่าจะรู้จักกันดี คู่นี้ต่างจากคู่อื่นๆ ที่กล่าวถึงเพราะเป็นคู่ที่มีจริงๆ มีบันทึกยืนยัน

สมัยที่พระราชชายา เจ้าดารารัศมีถูกส่งไปบางกอกนั้น เป็นสมัยที่สยามกับล้านนากำลังจะถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งฟ้าดินเดียว (อ่านนวนิยายเรื่องหนึ่งฟ้าดินเดียวของคุณกฤษณา อโศกสิน จะได้เข้าถึงอารมณ์มากขึ้น) เจ้าดารารัศมีจึงถูกส่งไปเป็นพระชายาในองค์พระเจ้าอยู่หัว

ช่วงแรกๆ ก็มีหนังสือ สิ่งตีพิมพ์ต่างๆ ที่เขียนตามคำบอกเล่าของคนในสมัยนั้นเหมือนกัน ว่าช่วงที่พระราชชายาฯ ไปถึงใหม่ๆ ก็โดนกลั่นแกล้ง กระแนะกระแหนไม่น้อย เพราะความ 'ต่าง' ทางวัฒนธรรม การแต่งกาย ทรงผม การกินอยู่ และอะไรต่างๆ แต่ด้วยความอดทนจึงทำให้ผ่านพ้นมาได้ ยังดีนะคะ ที่จบด้วยดี พระราชชายาฯ ได้รับการยกย่องตามสมควร พอพ่ออยู่หัวฯสวรรคต พระราชชายาฯ ก็กลับมาพัฒนาเชียงใหม่ต่อไป

อาจจะไม่ใช่ความรักที่โรแมนติกหรือเป็นละครที่จัดจ้าน แต่เป็นการใช้ชีวิตคู่ข้ามพรมแดนประเพณีที่เกิดขึ้นจริงๆ ด้วยกลการเมือง

3. สาวเครือฟ้า/สาวบัวบาน



สองเรื่องนี้ดราม่าสุดๆ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ได้รับการกล่าวถึงอยู่เนืองๆ

เริ่มต้นด้วยร้อยตรีพร้อมมาหลงรักเครือฟ้า ได้สาวเจ้าจนมีลูกชายแล้วก็ต้องกลับไปทำธุระที่กรุงเทพฯ หายหน้าไปนาน กลับมาอีกทีก็พาเมียตบเมียแต่งมาด้วย ปล่อยให้เครือฟ้าต้องช้ำใจ ร้องไห้ รู้สึกสิ้นศักดิ์ศรีจนต้องใช้มีดประจำตระกูลเชือดคอตัวเองตายล้างอาย

เรื่องของสาวบัวบานก็ไม่ต่างกันนัก แต่เป็นเรื่องจริงที่เล่าต่อกันมา บัวบานรักกับหนุ่มใต้ ได้เสียกันจนตั้งท้อง แต่กลับถูกทิ้งไปไม่ใยดี ครั้นจะอุ้มท้องคนเดียวก็ต้องอับอายชาวบ้าน เรื่องเล่าจบท้ายลงด้วยบัวบานกระโดดน้ำตกห้วยแก้วฆ่าตัวตาย จนน้ำตกชั้นนั้นถูกเรียกว่าวังบัวบาน

สองเรื่องนี้โด่งดังเป็นตำนานเลยทีเดียว เอ...แต่มีที่มาที่ไปอย่างไรกันนะ จริงๆ แล้วสาวเครือฟ้าเป็นบทประพันธ์ของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ค่ะ ดัดแปลงมาจากเรื่อง Madame Butterfly หรือ โจโจ้ซัง สาวญี่ปุ่นที่หลงรักนายพลพิงก์เคอร์ตันนายทหารอเมริกัน และจบลงด้วยความสูญเสีย เพียงแต่นำมาดัดแปลงให้เป็นสาวเหนือก็แล้วกัน

ส่วนสาวบัวบานนั้นเป็นเรื่องจริงค่ะ เกิดเมื่อประมาณปี 2400 ปลายๆ ใกล้ๆ จะ 2500 ว่ากันว่าบัวบานเป็นครูที่โรงเรียนดาราวิทยาลัย หลุมฝังศพของบัวบานก็ยังมีอยู่จริงที่สุสานบ้านเด่น


4. เจ้าหญิงชมชื่น/ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม พระโอรสในรัชกาลที่ 5 และที่มาของเพลงลาวดวงเดือน

"โอ้ละหนอ....ดวงเดือนเอย...พี่มาเว้า รักเจ้าสาวคำดวง
โอ้ว่าดึกแล้วหนอ...พี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นห่วง รักเจ้าดวงเดือนเอย"

เพลงที่หวานซึ้งติดตรึงหูนี้ เกิดขึ้นจากรักที่ไม่สมหวังของกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมและเจ้าหญิงชมชื่น ราชวงศ์เจ้าทางฝั่งเชียงใหม่ เรื่องของเรื่องมาจากกรมหมื่นฯ ทรงชอบพอ แต่ถูกผู้ใหญ่กีดกันเพราะความต่าง นัยว่าก่อนหน้านี้มีเจ้าทางเหนือเข้าพิธีสมรสกับเจ้าทางบางกอก แต่เอาไปเอามาก็ดันมีเมียแต่งอยู่ที่โน่นแล้ว ทำให้เจ้านางทางเหนือต้องเป็นแม่ร้าง เหมือนมีศักดิ์เป็นแค่นางบำเรอ โดยเจ้าพ่อของเจ้าหญิงชมชื่นได้ให้ข้อแม้ว่า ขอให้เจ้าหญิงมีพระชนมายุครบ 18 ก่อน และขอให้พระเจ้าอยู่หัวแห่งสยามมีพระบรมราชานุญาต แต่ข้อแม้เหล่านั้นก็ไม่อาจถูกทำให้เป็นจริง เพราะว่าพระญาติทางบางกอกก็มิได้เห็นด้วยกับความรักครั้งนี้เท่าไหร่นัก

เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายไม่เป็นใจ สุดท้ายก็ต้องคลาดแคล้วกันไปไม่ได้สมรสกัน ทำให้กรมหมื่นทรงพระนิพนธ์เพลงนี้ขึ้น (เดิมชื่อลาวดำเนินเกวียน เพราะทรงเสด็จประพาสเชียงใหม่ทางเกวียน) ว่ากันว่าเมื่อนึกถึงเจ้าหญิงชมชื่น ก็จะทรงเล่นเพลงนี้ หรือให้คนเล่นให้ฟังตลอดพระชนม์ชีพ

เศร้าจังหนอ...แต่จะทำยังไงได้เนอะ

ส่วนมากคนจะขับขานเพลงนี้แค่ท่อนแรกรึเปล่าคะ ไม่แน่ใจนะ อย่างน้อยยิ้มก็เคยได้ยินแค่ท่อนแรกมาตลอดแหละ พอมาเห็นท่องที่สองแล้วก็ให้ทอดถอนใจ

โธ่....

"โอ้ละหนอนวลตาเอย พี่นี้รักแสนรักดังดวงใจ
โอ้เป็นกรรมต้องจำจากไป อกพี่อาลัยเจ้าดวงเดือนเอย
เห็นเดือนแรมเริศร้างเวหา เฝ้าแต่เบิ่งดูฟ้า(ละหนอ)เห็นมืดมน
พี่ทนทุกข์ทุกข์ทนโอ้เจ้าดวงเดือนเอย
เสียงไก่ขันขานเสียงหวานเจื้อยแจ้ว หวานสุดแล้วหวานแจ้วเจื้อยเอย
ถึงจะหวานเสนาะหวานเพราะกระไรเลย บ่แม้นทรามเชยเราละเหนอ"
.
.
.
.
.

ที่เล่าๆ มามีแต่รักที่ไม่สมหวังนะคะ และที่สำคัญก็คือเรื่องสาวเครือฟ้าและตำนานสาวบัวบานทำให้ ความเข้าใจและความเชื่อที่ว่าสาวเหนืออ่อนแอ บอบบาง ซื่อสัตย์ จงรักภักดี เชื่อคำคนง่ายก็แพร่หลาย ยิ่งมีกรณีของหมู่บ้านดอกคำใต้ที่หญิงสาวหลายนางถูกหลอก ถูกลวงให้ต้องมาทำอาชีพมิชอบในเมืองใหญ่แล้ว ภาพลักษณ์ของสาวหนือยิ่งถูกมองว่าช่างเป็นอะไรที่...เปราะบาง ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมใครเขา และรักของสาวเหนือกับหนุ่มใต้ก็คงจะต้องจบลงด้วยความร้าวรานอยู่เรื่อยๆ (โถ...)

จะว่าไปแล้ว..เท่าที่ลองทบทวนดูหลังจากเริ่มเขียนไปนะคะ ยิ้มว่า...ความรักมันไม่ได้พังลงเพราะความ "แตกต่าง" เท่าไหร่หรอกนะ สถานการณ์มันแย่ลงเพราะ "ความเชื่อว่าแตกต่าง" ต่างหากล่ะ

ดูกรณีนางสร้อยฟ้า...ความแตกต่างมันมีจริงทั้งฐานันดร ทั้งวัฒนธรรม แต่สถานการณ์มันย่ำแย่ลงเพราะแทนที่คนในครอบครัวจะเห็นใจ ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากัน ถ้าเขาทำอะไรไม่เป็นเพราะเขาเป็นเจ้าเป็นนายมา ไม่เคยทำมาก่อน ก็น่าจะเข้าใจสักหน่อย ให้เวลาปรับตัวสักนิด คำว่าครอบครัวอบอุ่นคงไม่ห่างไกล แต่นี่ - -'

หรืออย่างกรณีอื่น ที่ญาติวงศ์ของฝ่ายชายรังเกียจสะใภ้สาวเหนือ หาเมียใหม่ให้ หรือไม่ก็คอยจะเหน็บแนม ชี้หาข้อแตกต่าง โอว...งี้ก็ล่มสิคะ

แต่จะว่าไป...คนเราสมัยก่อนยึดถือความเป็นอัตลักษณ์สูงมากๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เนอะ รับใครมาร่วมวงศ์ด้วยแล้วก็คงอยากเปลี่ยนให้ 'เขา' มาเป็นแบบ 'เรา' ทีนี้ต่างฝ่ายต่างก็ต้องการรักษาความเป็นตัวตนของตน ฝ่าย 'เขา' ก็ไม่อยากลืมชาติกำเนิด เรื่องราวมันเลยจบลงอย่างร้าวรานเสียเป็นส่วนมาก

แต่สาวเหนือก็ไม่ได้อ่อนแอไปเสียทุกคนนะคะ มันเป็นอะไรที่ไม่ยุติธรรมที่จะยัดเยียดภาพเหล่านั้นให้สาวเหนือ เพศหญิงเป็นเพศที่มีความสำคัญในภาคเหนือไม่ได้ด้วยไปกว่าเพศชาย และธรรมเนียมหลายๆ อย่างก็สืบทอดผ่านผู้หญิงจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง (Hereditary through the matrilineal line) เอ่อ...ไม่ได้มาปลุกกระแสเฟมินิสต์นะ ^ ^' แต่พูดจากความเป็นจริง

สาวเหนือที่ได้รับการเชิดชูว่าเด็ดขาด เฉลียวฉลาดก็เช่น

1. พระนางจามเทวี

ขอย้อนกลับไปประมาณ 1400 ปีก่อน ก่อนล้านนาจะก่อตัวเป็นอาณาจักรเสียอีก

มีไม่มากนักหรอกนะคะ ที่สตรีจะถูกเชิดชูขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ และเป็นปฐมกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดขยายนครรัฐเป็นอาณาจักรได้ อืม...จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกพระนางว่าเป็นสาวเหนือได้ไหม เพราะกำเนิดของพระนางก็ยังสับสนกันอยู่ แต่ก็มีหลักฐานพวกมุขปาฐะและตำนานธรรมบอกเล่าไว้ว่าพระนางเป็นคนเหนือ ที่ถูกส่งไปเป็นธิดาบุญธรรมของเจ้าเมืองละโว้

พระนางอภิเษกกับพระรามราช เป็นพระญาติของพระบิดาเจ้าเมืองละโว้ แต่ถึงจะทรงอภิเษกแล้ว ก็ยังมีเจ้าเมืองอื่นๆ ขออภิเษกซ้ำเพื่อท้าทายชวนทำสงครามอยู่เนืองๆ พระนางก็นำทัพออกไปรบ ได้ชัยชนะกลับมาทุกคราไป จนกระทั่งต้องมาปกครองนครหริภุญชัย พระเจ้ากรุงละโว้ก็คงจะเห็นว่าเป็นการขยายฐานพระราชอำนาจด้วย พระสวามีของพระนางต้องทำหน้าที่เป็นพระอุปราชอยู่ที่ละโว้ พระนางจึงต้องจากพระสวามีมาเลย จากเป็นๆ ไม่ใช่จากตาย จากทั้งที่ยังทรงพระครรภ์ แต่พระนางก็มิได้ทรงท้อแท้แก่โชคชะตา ขยายเขตนครหริภุญไชย สร้างเมืองเขลางค์เป็นเมืองลูก มีเมืองหน้าด่านเลยมาถึงท่ากานและเวียงกุมกาม (ซึ่งในยุคหลังกลายมาเป็นหน้าด่านของล้านนา) สร้างบ้านแปงเมืองจนเป็นเมืองทองแลเมืองศาสนาแห่งลุ่มแม่น้ำระมิงค์ในสมัยนั้น

ด้วยสองมือแม่นี้ ที่สร้างโลกจริงๆ

2. เจ้านวลสวาท ลังกาพินธุ์

คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเราคงได้มีโอกาสรู้จัก คุณนวลสวาท เปาโรหิต หรือนามเดิม เจ้านวลสวาท ลังกาพินธุ์ เจ้าสายลำพูนที่โด่งดังเป็นนางสาวถิ่นไทยงามของเชียงใหม่ และเป็นรองนางสาวไทยอันดับ 1 ในปี 2496 และเปิดร้านผ้าฝ้าย ผ้าไหม ม่อฮ่อมจนเลื่องลือ

คุณนวลสวาทสมรสกับนายประโพธ เปาโรหิต (คนภาคกลาง) และได้ทำหน้าที่ต่างๆ เพื่อ สังคมมากมาย เช่น เป็นกรรมการสมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทย สมาคมสตรีภาคพื้นแปซิฟิกเอเชียอาคเนย์ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นนายกสมาคมชาวลำพูน กรุงเทพฯ และสมาคมชาวเหนือ

จะว่าไป...คุณนวลสวาท เป็นที่มาของความป๊อบปูล่าร์ของ 'สาวงามป่าซาง' (บ้านเกิดของคุณนวลสวาทอยู่ที่อำเภอป่าซาง จ. ลำพูน) เลยล่ะมั้ง เพราะหลังจากคุณนวลสวาทได้ตำแหน่งนั้น...หนุ่มๆ ชาวใต้ก็เริ่มมองเห็นความงามของสาวป่าซาง และแวะเวียนมาหยอดคำหวานให้สาวทอผ้าที่นั่งหน้าสวยอยู่ตามหน้าร้านของผ้า กระตุ้นเศรษฐกิจของป่าซางอยู่เนืองๆ ยิ่งเส้นทางเดินทางจากกรุงเทพฯ มาเชียงใหม่ในสมัยนั้นต้องผ่านถนนพหลโยธินที่ตัดตรงผ่านใจกลางอำเภอด้วยแล้ว เขาว่ากันว่าวันหยุดยาวทีไร รถจอดเต็มสองข้างทางทุกที แถมหนุ่มๆ เมืองใต้ก็พากันจับจ่ายแวะซื้อของที่ระลึกพร้อมกับสอดส่ายสายตา มองหาสาวงามแห่งป่าซางกันคึกคัก

งามไม่งามก็ดูนี่สิคะ มีเพลงกล่าวถึงสาวป่าซางไว้เยอะแยะมากมายเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นเพลง ป่าซาง ลาแล้วป่าซาง เดือนหงายที่ป่าซาง ป่าซางกลางใจ ฯลฯ แต่ละเพลงก็ขับร้องโดยนักร้องแนวหน้าทั้งนั้น เช่นสุรพล สมบัติเจริญ หรือ ชรินทร์ นันทนาคร

"โอ โอ๊โอ ป่าซาง ดินแดนความหลังนี้ช่างมีมนต์
ใครได้ไปเยือนยากที่เลือนลืมได้สักคนคล้ายว่าป่านี้มีมนต์ดลหัวใจให้พี่ใฝ่ฝัน
เพียงได้เห็นสาวเจ้าเพียงครั้งเดียว
หัวใจโน้มเหนี่ยวรักเดียวแต่เจ้าเท่านั้น
ยามเอ่ยอ้างน้ำคำเจ้าช่างฉ่ำหวาน
นางเคยพร่ำสาบานว่าจะฮักกันบ่จืดจาง
ลืมไม่ลง ลืมไม่ลง ลืมไม่ลงป่าซาง
แม้นว่าดวงวิญญาณจะออกจากร่าง ถึงกายจะถูกดินฝัง ก็ลืมป่าซางไม่ลง..."

อ่า จริงๆ ยังมีสาวเหนือเก่งๆ อีกเยอะค่ะ แต่คนเขียน เขียนมาถึงนี่ก็หน้ามืดแล้ว ถึงกับต้องคว้ายาดมมาดมกันเลยทีเดียว คงต้องขอลาไปในอีกไม่กี่นาทีนี้ และขอฝากไว้ว่า

1. สาวเหนือทั้งหลายก็อย่าทำให้ภาพลักษณ์เสียไปล่ะ ภายนอกหวานๆ เนิบๆ แบบนี้ ออกแนวคมในฝักนะจ๊า...ผู้ใหญ่ก็ชมชอบ แถมยังมีโอกาสได้เห็นลีลาลวดลายของผู้ชาย ที่คิดว่าสาวเหนือตามไม่ทันอีก หุหุ ดีจะตาย

'อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่ไว้ในฝัก สงวนคมสมนึกใครยึกยัก จึงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย'

2. หนุ่มใต้ทั้งหลายก็อย่าคิดว่าสาวเหนือเหมือนสาวเครือฟ้า สาวบัวบานอยู่ล่ะ เท่าที่ผ่านมา สาวเหนือหักอกหนุ่มใต้ยับเยินก็มีให้เห็นไม่น้อยแล้วนะจ๊า

3. ตอนนี้เมืองเหนือค่อนข้างถูก centralised ไปมากแล้ว กำแพงรีต ประเพณีอาจจะยังพอมีอยู่บ้าง แต่คงไม่มากเหมือนเดิม เปิดใจให้กว้างเข้าไว้..อย่างน้อยยังง่ายกว่าคบฝรั่ง ^ ^' พื้นฐานเรายังมาจากพุทธศาสนา และความเชื่อเรื่องผีเหมือนกัน

4. นึกไม่ออกแล้วอ้ะ (ควักยาดมมาดมอีกรอบ) ใครมีประสบการณ์ก็...มาเล่าแลกเปลี่ยนกันด้วยนะค้า...

ไปละ บายๆ

24 ความคิดเห็น:

Yim S. กล่าวว่า...

ลาวดวงเดือน (โอ้ละหนอ ดวงเดือนเอย...) Thai Classical Music - by Zanzab Philharmonic Orchestra

Santi Santiago กล่าวว่า...

วันนี้เพิ่งรู้ประวัติเต็มๆของ สาวเครือฟ้า และสาวบัวบาน..
อืมม.. ในฐานะผู้ชายคนนึง ยอมรับเลยว่า " เสน่ห์สาวเหนือ" สุดจะต้านทาน อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลของวัฒนธรรมล้านนา เลยทำให้สาวเหนือ ดูสุภาพ นิ่มนวล เรียบร้อย อีกทั้งการพูดการจา สาวล้านนาคนไหน พูดคำเมืองได้ หนุ่มๆกรุงเทพ หลงหัวปักหัวปำ...

อืมมม..เป็นกระทู้ที่ตอบยาก เพราะอดีต หนุ่มๆบางกอก บุกไปทำ "ชื่อเสีย" ถึงภาคเหนือ หลายครั้ง ประวัตินิทานสอนใจสาวเหนือ ก็พูดกันมาตลอดว่า " ระวังพวกผู้ชายบ้านใต้ไว้ โดยเฉพาะ พวกกรุงเทพ.." เหอๆ..หลักฐานมัดแน่นหนา อิอิ แต่ อย่ามองว่า คนกรุงเทพ จะเลวไปเสียทุกคนน๊า มีดำ ก็ต้องมีขาว แต่ในกรุงเทพ ทุกคนบอกว่า ไม่ใช่ดำ ไม่ใช่ขาว เราคือ "สีเทา" ^^' ขึ้นอยู่กับคนมากกว่า

รักข้ามวัฒนธรรม ไม่เห็นแปลก ไม่มีปัญหาด้วย ถ้าคนสองคนรักกันจริงๆ แต่เท่าที่สังเกต ต่อให้วัฒนธรรมเดียวกันก็เหอะ พอคนสองคน จะแต่งงานกัน คราวนี้ละ เรื่องใหญ่ เพราะต่อแต่นี้ ผู้คนจากสองตระกูล ทั้งฝ่ายชาย และฝ่ายผู้หญิง จะเข้ามามีบทบาทมากๆ ฝ่ายนึงมี พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย อีกฝ่ายมี อากง อาม๊า อาเตี่ย อากู๋ .. ถ้าเข้ากันได้ ก็จบ ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ลงรอยกัน สนุกไปอีกนาน..
แต่ สรุปสั้นๆ คือ ถ้าคนสองคนรักกันจริงๆ ไม่ว่าจะวัฒนธรรมเดียวกันหรือไม่ คำว่า "อุปสรรค" จะไม่ใช่ปัญหาของบุคคลทั้งสองเลย แม้แต่น้อย...

Yim S. กล่าวว่า...

เรื่องหนุ่มบางกอกทำชื่อเสียนั้น จริงๆ เราว่ามันก็ออกจะไม่ยุติธรรมสำหรับหนุ่มๆ อยู่บ้างนะ เพราะว่าคู่ที่ไปกันได้ดีก็ไม่ยักมีใครกล่าวถึง พอพลาดซัก 3-4 คู่ก็กลายมาเป็นตำนานสอนลูกสอนหลานเชียว แถมหนุ่มเหนือที่ไปมีเมียคนไทย(กลาง) แล้วทำร้ายเขาอกหักยับเยินก็มีให้เห็น (แต่ไม่ยักเป็นเรื่องใหญ่โต)

สาวๆ เมืองเหนือสมัยนี้ก็คงไม่ถือแล้วแหละ ดูเป็นคนๆ ไปมากกว่า ยิ่งในยุคสื่อสารไร้พรมแดนด้วยแล้ว ถ้ามีรักข้ามประเทศได้ รักข้ามภูมิภาคก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ละ จะคนเหนือ คนกลาง คนใต้ ก็ล้วนมาจาก Thailand เหมือนกันน้อ อิอิ

ป.ล. ฮ่าๆ เสน่ห์สาวเหนือสุดจะต้านทานจริงเหรอ ^ ^' งั้นต้องหัดเสน่ห์พื้นฐานไว้ซะแล้ว จะพูดจาต้องเรียบร้อย เจ้า... เจ้า..... คะขา

Santi Santiago กล่าวว่า...

ฮะๆๆ ^^

พูดถึง สาวเครือฟ้า แล้วก็ทำให้นึกถึงคำว่า " ผีฟ้า " ขึ้นมา ยังหาคำนิยามคำนี้ ไม่ได้ชัดเจนนัก คือเท่าที่สังเกตในหนังบ้าง ละครบ้าง ตามคำบอกเล่าบ้าง รู้แค่ว่า ผีฟ้า เป็นความเชื่อมาจากทางเหนือ บ้างก็บอกว่า เป็็นคน บ้างบอกว่า เป็นสิ่งศักดิ์ที่ปกปักษ์รักษาคนในบางหมู่บ้านตามเขาตามดอย ต้องมีประเพณีไหว้และเซ่นสรวงผีฟ้า แล้วอยู่ดีๆ ผีฟ้า กลายเป็น ปอบ ไปได้อย่างไรละเนี่ย ส่วนมากในหนังจะทำออกมาในลักษณะที่ว่า มีผู้หญิงไปขโมยกินเครื่องบวงสรวงของผีฟ้า ของเลยเข้าตัว กลายเป็นปอบผีฟ้า ^^'

โอ๊ะ..หลงประเด็น พูดถึง สาวเหนือ อยู่ แล้วท่าไหนไปถึง ปอบผีฟ้า ละเนี่ย ^^'

Krisiri Kanthasate กล่าวว่า...

ไผว่าจาวเหนียเจื้อบ่ด้ายย 555

ขุดประวัติมาซะละเีอียดยิบอ่านกันเพลินไปเลยยิ้ม ชอบๆๆๆ ^ ^

Yim S. กล่าวว่า...

เออ ยิ้มก็ไม่แน่ใจเรื่องผีฟ้าเหมือนกัน ^ ^
แต่ทางเหนือเหมือนจะเชื่อเรื่องผีปู่ผีย่าผีบรรพบุรุษน่ะ

ส่วนเรื่องผีปอบ (ผีกะในภาคเหนือ) ที่เราเคยรู้ๆ มา มันเป็นความเชื่อของไทยอง ไทลื้อ น่าจะคล้ายๆ กับความเชื่อคนเมือง (ไทยวน) และคล้ายกับความเชื่อของทางอีสานด้วย
ผู้ใหญ่เคยเล่ามาว่า...บ้านไหนมีใครเป็นปอบ บางครั้งคนในบ้านบางคนยังไม่รู้ตัวเลย มันเป็นการบูชาวิญญาณด้วยสวย (กรวย) ดอกไม้ ตั้งไว้ในบ้านต่อๆ กันมา (คิดว่าถ่ายทอดทาง matrilineal line เหมือนกันมั้ง) บางคนถ้าไม่บอกลูกหลานว่าต้องบูชาต่อ ลูกหลานไม่รู้ตัว ไม่ดูแล วิญญาณเขาก็อาจจะออกมาอาละวาด ไปสิงคนโน้น คนนี้ ขอกินอาหารโน่นนี่ แบบแปลกๆ ที่ตามปกติเจ้าของร่างเขาไม่กิน

Yim S. กล่าวว่า...

^ ^'

ตอนโพสต์ลงไปก็ตกใจ
เฮ้ยมันยาวจัง ใครจะอ่านจนจบเนี่ย

Gift waidhaya กล่าวว่า...

ความจริง myth พวกนี้ก็ทำให้ภาพพจน์สาวเหนือเป็นอย่างนี้อ่ะนะ

แต่ myth กะ real ก็ไม่เหมือนกันนั่นแหละ อิอิ

Yim S. กล่าวว่า...

นั่นสิเนอะ ^ ^ ช่วงก่อนหน้าเราเกิด หรือช่วงเราเด็กๆ กระแสนี้คงแรงกว่านี้
เออ จริงๆ ก็เคยได้ยินพวก "สาวเหนือใจง่าย" "สาวเหนือเจ้าชู้" "สาวเหนือแรงโคตร" อะไรพวกนี้ด้วย ทำไมมันขัดกันเองอย่างนี้หนอ = ='


น่าเอามาลองวิจัย และเขียน paper จัง อิอิ

Northern Thai girls: beauty, naivety and tragedy
The likely distortion of images in the discourse of feminism in Northern Thailand

vee .. กล่าวว่า...

ได้กลับมาอ่านงานเขียนของน้องยิ้มอีกครั้ง
หลังจากไม่ได้อ่านมานานแสนนาน
อ่านเรื่องแล้วก็ทำให้อินกับเพลงไทยเดิมที่กำลังฟังเป็นประจำในช่วงนี้เลย
โดยเฉพาะลาวดวงเดือน ที่ฟังจากวงมโหรี เพราะมากๆ

vee .. กล่าวว่า...

โหวต

a mossy กล่าวว่า...

พ่อกะแม่พี่ก็ หนุ่มใต้สาวเหนือ เหมือนกันนะเนี่ย...

Heathrow :D กล่าวว่า...

น้องยิ้ม มาแนวรักข้ามพรมแดนเลยนะเนี่ย
เอ หายไปนานๆแบบนี้ไปได้รับแรงบันดาลใจจากไหนหรือเปล่า :P

ไม่เห็นมุเขียนถึงหนุ่มเหนือเลย หนุ่มเหนือน้อยใจ T_T 5 5 5

เซ็งหนุ่มเหนือโบราณเลย ปล่อยให้ "หนุ่มใต้" มาจีบบ่อยๆ
เดี๋ยวพี่ต้องไป ควงซะล้อซอซึง ไปลดความขาดดุลย์ก่อนละ :P

Yim S. กล่าวว่า...

^ ^

หวัดดีค่า คิดถึงพีวีจังเลย อิอิ
ไม่ได้เจอนาน
(แต่ยังแวะเวียนไปดูรูปสวยๆ อยู่นะคะ)

Yim S. กล่าวว่า...

^ ^

แล้วพี่ยุงล่ะจ๊าาา อิอิ

Yim S. กล่าวว่า...

ได้รับแรงบันดาลใจจากงานที่ต้องส่งต้นเดือนหน้าค่ะพี่คูณ
ชีวิตช่วงนี้...เฮ้อ...


ป.ล. เซ็งหนุ่มเหนือโบราณเลย ปล่อยให้ "หนุ่มใต้" มาจีบบ่อยๆ <-- กำกวมออกแนว Y นะเนี่ย

Heathrow :D กล่าวว่า...

Y คืออะไรน้องยิ้ม งง

Heathrow :D กล่าวว่า...

Y ได้อีก

Yim S. กล่าวว่า...

อะไรเนี่ย ป๋าคูณ ไม่รู้จักคำว่า Y เหรอ
ยิ่งกำลังอินเทรนด์ในประเทศไทยอยู่

Yim S. กล่าวว่า...

อ้ะ อธิบายก็ล่าย..

คำว่า Y เป็นตัวย่ออ้ะ มันฮิตมาจากการใช้เป็น adjective บรรยายลักษณะการ์ตูนญี่ปุ่น

Yaoi = ชายรักชาย
Yuri = หญิงรักหญิง

แต่ถ้าพูดถึงการ์ตูนหรือนิยาย Y ส่วนมากคนน่าจะคิดถึงชายรักชายมาก่อน

Gift waidhaya กล่าวว่า...

จะทำรีเสิร์จเรื่องนี้เมื่อไหร่บอกนะ

จะช่วย กร๊าก

atithep chaiyasit กล่าวว่า...

เอ้ย ป้าอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นด้วยเรอะ -_- ว่าแต่ paper นี้น่าสน ฮาาา อยากร่วม "วิวาทะ" ด้วย

panuwat charoenphol กล่าวว่า...

สาวเหนือใจร้าย T-T

ratchanon studio กล่าวว่า...

เย้ย นี่ผม เป็น fcบทความอาจารย์มานานแล้ว หรอเนี่ย สุดยอด ว่าต้องมีเคส แบบบว่า คนที่เพิ่งเขียนไปเมื่อวันก่อน ต้องมา อ่านขิงอาจารย์แน่เลย...