Rating: | ★★★★ |
Category: | Other |
ชื่อเรื่องอาจจะดูน่ากลัวไปหน่อย แต่ไม่ได้ตั้งใจจะมาเขียนให้เครียดนะจ๊ะ เรื่องของเรื่องก็คือ วันนี้มันง่วงๆ เพลียๆ ออกไปข้างนอกก็ไม่ได้เพราะฝนตกพรำๆ มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ยิ้มก็เลยไปต้มน้ำมาหม้อหนึ่ง เพื่อจะได้นำมาซึมซาบรสชาติ Yorkshire Tea กับนมสด หลังจากที่ห่างหายจากชาใส่นมมาตั้งนาน (เนื่องเพราะขี้เกียจออกไปซื้อนม)
ตัวยิ้มเองนั้นก็จำไม่ค่อยได้ว่าเริ่มดื่มชา-กาแฟมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เริ่มดื่มเป็นจริงเป็นจังก็เมื่อมาถึงอังกฤษใหม่ๆ ก็แหม..ตอนอยู่ม.ปลายนอนหลับ 4 ทุ่ม แต่พอมาเรียนที่นี่ปีแรกๆ ก็แอบเรียนหนัก ถ้าไม่ถ่างตาถึงเที่ยงคืนงานก็ไม่เสร็จ ก็เลยตาโหลเป็นหมีแพนด้า ไปง่วงเหงาหาวนอนในชั้นเรียน จนต้องพึ่งพาเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
นับจากนั้นมา ชา English Breakfast พร้อมกับนมสดก็กลายมาเป็นของคู่ใจในยามเช้าไป
มีคนบอกว่า นิสัยดื่มชานี่มันอังกริ๊ดดด อังกฤษ ก็อาจจะใช่นะ พอพูดถึงชาและประเทศอังกฤษ คนก็คงคิดถึงชุดเครื่องกระเบื้องพอร์ซเลนบางๆ ละม้ายเปลือกไข่ ท่านลอร์ด ท่านเลดี้ในชุดหรูหราฟู่ฟ่า ชา ขนมหวาน ของกินจุกจิกในจานน่ารัก พร้อมทั้งสุนัขพันธุ์เทอเรียตัวเล็กๆ หมอบอยู่ปลายเท้าท่านสุภาพสตรี อะไรเทือกนั้น...โอ๊ยยย ดูผู้ดี๊...ผู้ดี อังกฤษมากกกกกกกกกก ค่ะ
ไอระเหยอบอวลของแก้วชาอุ่นๆ ที่อยู่ในมือลอยกระทบหน้า ขับไล่ความง่วงงุนจากอาหารหวัดอ่อนๆ ที่เกิดจากการตากฝนจกเปียกโชกเมื่อวาน แต่ความร้อนที่แทรกผ่านเนื้อถ้วยกระเบื้องหนาๆ มาถึงมือ มันเริ่มร้อน...ร้อนจัดจนทำให้อดนึกถึงความเป็นจริงบางประการไม่ได้
ความจริงแล้วนิสัยดื่มชาของคนอังกฤษ เริ่มเข้ามาตอนที่ประเทศนี้เริ่มล่าอาณานิคมเองค่ะ ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะเป็นราวๆ ปี ค.ศ. 1600 กว่าๆ โดยชาที่บริโภคในประเทศในเวลานั้น ถูกนำเข้าจากอินเดียและจีน ซึ่งอินเดียนี่ก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นอาณานิคมของอังกฤษ แล้วก็เป็นชาติที่มีไร่ปลูกชามากมายตามแคว้นต่างๆ ส่วนจีนนี่...คุณผู้ดีอังกฤษก็ไปข่มขู่ขอเอาของไปแลกชาของเขามา (ซึ่งเป็นผลบังคับจาก Treaties ทั้งหลายที่จีนต้อง sign อันเนื่องมาจาก Opium War - อยากรู้ว่าคืออะไร ไปหาใน google ก็แล้วกันนะ)
คนอังกฤษในสมัยก่อนไม่ได้ดื่มชาอย่างเดียวนะคะ เขาดื่มชาใส่นม + น้ำตาล และใน 3 อย่างนี้ มีเพียงแค่นมจากเต้าเรามีฟาร์มเท่านั้นที่ผลิตได้ในประเทศ เพราะเจ้าน้ำตาลทรายนี่ คุณท่านก็ได้มาจากประเทศแถวแอฟริกา หรืออเมริกาใต้
มาจากไหนกันนะ อืม....เคยได้ยินคำว่า Triangular Trade ไหมคะ ถ้าเคยก็เงียบๆ ไว้ก่อน แกล้งอ่านต่อไป ถ้าไม่เคย มามะ...เดี๋ยวเล่าให้ฟัง
Triangular trade คือทางเดินเรือขนส่งสินค้าและทาสที่เชื่อมระหว่างทวีปแอฟริกา อังกฤษ และอเมริกา โดยการออกเรือจากยุโรป ไปขนเอาทาส (บางทีก็สินค้า) มาจากแอฟริกา แล้วก็ออกเรือจากที่นั่นไปที่ทวีปอเมริกา อเมริกาเหนือบ้าง อเมริกาใต้แถบ Andes บ้าง เพื่อเอาทาสไปขาย ให้ไปปลูกอ้อย หรือทำงานในโรงงานในแถบนั้น แล้วขากลับก็บรรทุกเอาสินค้าพวกน้ำตาล ผ้าฝ้าย ยาสูบ กลับมายุโรปอีกที
มีทาสหลายล้านคนตายระหว่างทาง เพราะสภาพความเป็นอยู่มันแย่มาก อีกมากมายก็ต้องตายในโรงงาน (Plantation) เพราะเจ้านายโหดร้าย ทารุณ ทำเหมือนคนผิวดำไม่ใช่คน
การดื่มชา...ก็เลยเป็นการดื่มความขมขื่นของชาติอาณานิคม และเป็นการจิบความรื่นรมย์แห่งการเป็นเจ้ามหาอำนาจของผู้ที่อยู่เหนือกว่า
ชาแก้วที่สองหมดไปอย่างรวดเร็ว...เราควรจะจิบชาแล้วระลึกถึงอะไรดีล่ะ
ในฐานะประชาชนชาวไทย เราจะอยู่ในสถานะไหนกันดีล่ะเนี่ย ในทางทฤษฎีนั้นเราไม่เคยสูญเสียเอกราชทางการเมืองแก่ชาติตะวันตก แต่อิฉันคิดว่าเอกราชทางวัฒนธรรมของเราก็ถูกรุกรานไปไม่น้อย จนทุกวันนี้ก็ยังงงๆ อยู่ว่ามันยังเหลืออีกหรือไม่
เอกราชทางละครซีรี่ส์...อาจจะถูกอเมริกาเข้าตีก่อน ตามมาด้วยเกาหลี - ญี่ปุ่นที่เข้ามาแย่งชิงพื้นที่ได้มากขึ้นในช่วงหลังๆ ส่วนเอกราชทางพฤติกรรมวัยรุ่นนั้นสูญสิ้นไปเกือบสิ้นเชิงแล้ว ทุกวันนี้เดินในสยาม...วัยรุ่นทำตัวจุด จุด จุด เสียยิ่งกว่าเดินใน Oxford Street อีก
Anyway, มันไม่เกี่ยวกับชา....กลับมา ๆ ๆ ๆ
กลับมาที่อังกฤษใหม่ ทุกวันนี้...คนในชาติและคนนอกชาติเยี่ยงอิฉัน อาจจะละเลียดชา สัมผัสรสชาติละมุนลิ้นโดยไม่ได้นึกถึงที่มาที่ไป แต่พอบังเอิญนึกขึ้นมา ก็อดยิ้มแค่นๆ กับ Politics in the Past ไม่ได้ นอกจากชาจะเป็นเครื่องหมายของ Britishness และ British Colonialism แล้ว ยังมีคนเสนอว่า มันยังเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งชนชั้นด้วย โดยให้ดูที่วีธีการเทนม
เขาบอกว่า...ชนชั้นกรรมาชีพจะเทนมลงไปก่อน แต่ผู้ดีอังกฤษจะเทนมลงไปทีหลัง เพราะว่าเครื่องกระเบื้องของคนงานในสมัยก่อนไม่แข็งแรงเท่าของขุนน้ำขุนนาง การใส่นมลงไปก่อน เป็นการช่วยลดอุณหภูมิของชาร้อนๆ ที่เทลงไป ในขณะที่ขุนน้ำขุนนางจะเทตามลงไปทีหลัง เพราะหลักการการชงชาดำ (Black tea) การจะให้ชาได้รสชาติดีที่สุด ต้องให้ชามันแช่ในน้ำที่ 100 องศาเซลเซียส หรือใกล้เคียง ไม่อย่างนั้นจะเสียรส
แต่ก็มีคนแย้งว่า...ถ้าใส่นมทีหลัง น้ำร้อนๆ จะทำให้นมเสียโครงสร้างโปรตีน จะไม่ได้รสชาติชาที่คุณคู่ควร ถ้าภาษาวัยรุ่นก็น่าจะเรียกว่าออกแนวรสชาติเหียก อะไรทำนองนั้น
ก็เถียงกันไป...แต่โดยส่วนตัวอิฉันชอบเทนมตามลงไปมากกว่า จะได้กำหนดปริมาณนมจากสีชาได้ ว่าเราใส่ไปมากน้อยแค่ไหน ส่วนน้ำตาลนั้นคงไม่ต้อง เพราะคิดว่าชาหวานๆ มันเลี่ยน ดื่มแล้ว อยากได้น้ำตามอีกเยอะๆ เอาชาเพียวๆ ใส่นมนี่แหละ
ทุกวันนี้..นอกจากชา English Breakfast แล้ว อิฉันยังชอบ Genmaicha (ชาเขียวใส่ข้าวคั่ว), Lady Grey, ชาเขียวใส่น้ำผึ้ง, ชามินต์, ชาแอปเปิ้ล, ชาอู่หลง และอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะจิบชาให้สบายใจ คงต้องลืมๆ ประวัติของชาไปเสียบ้างนั่นแหละ
บางครั้ง...ก็หาเหตุผลและคำตอบให้กับเหตุการในอดีตไม่ได้ หรือถึงหาได้..ยึดถือมากไปก็ปวดหมอง ความเท่าเทียมมันมีแต่ในโลกอุดมคติอยู่แล้ว
บ่นไร้สาระมานานละ...เห็นทีต้องกลับไปทำงานต่อ
บายๆ ค่ะ
20 ความคิดเห็น:
ชา
ไม่ค่อยดื่มครับ กลายเป็นน้ำอัดลมสะเยอะ
น่าสนใจมากๆน้องยิ้ม เรื่องแนวนี้ชอบ แต่ตอนนี้ขอปั่นเอกสารแป๊บ เดี๋ยวพรุ่งนี้สอบสัมภาษณ์เสร็จมาดูเลย
ชาอังกะริด อะไรพี่ไม่รู้จัก
พี่รู้จักแต่ชาอาแปะขายที่ตลาด ชอบสั่งชามะนาวหวานน้อย ใส่น้ำตาลแค่ปลายช้อนพอให้ตัดเปรี้ยวได้บ้าง
ส่วนเกรย์ๆ หรือทวายแน่นิ่งพี่ไม่เคยกิน อาจจะเป็นเพราะว่าพี่ลิ้นจระเข้ เลยไม่มีปัญญาแยกแยะรสได้ว่ามันต่างจากไอ้ชาแก้วละสิบบาทที่ตลาดอย่างไร
เห็นด้วยกับยิ้มเรื่องการเสียเอกราชทางวัฒนธรรม สงสัยว่าเราคงจะเสียไปตั้งแต่การสร้าง "ความเป็นไทย" แล้วกระมัง
แรกๆ ก็เป็นอาณานิคมของจักรวรรดิ์ฟิชแอนด์ชิพ
ต่อมาก็เป็นอาณานิคมของจักรวรรดิ์แฮมเบอร์เกอร์
หลังจากนั้นก็เป็นของจักรวรรดิ์ชาเขียว
และคั่นกลางอีกหน่อยด้วยจักรวรรดิ์เสี่ยวหลงเปา
ล่าสุดก็นี่ จักรรดิ์กิมจิ
ดีไม่มี อีกหลายสิบปีข้างหน้าเราอาจจะเป็นทาสทางวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้านที่เราอุปโลกน์ว่าเราเป็น "บ้านพี่" ส่วนเขาเป็น "เมืองน้อง" ก็ได้
เอ๊ะ ฉันพล่ามอะไรออกไปเนี่ย
ป.ล. โออิชิเก็นมัย อร่อยดี ขวดละยี่สิบห้าบาท
นั่นจิเนอะ ^ ^'
เอกราชทางวัฒนธรรมนี่แย่ด้วย
ไม่รู้จะกู้ได้ยังไง เฮ้อ
ชาบ้านเราก็ชอบเหมือนกัน
เพิ่งฝากเพื่อนซื้อชาตราหมามาจากเมืองไทย
คิดถึงชานมเย็นใส่นมข้น แหะๆ
โชคดีเด้อค่ะ พี่คูณ
^ ^
น้ำอัดลมก็ชื่นใจไปอีกแบบ
ชาจีนแบบเดิมๆเท่านั้นคับ ไปบ้านก๋งก็ต้มกันทีหม้อเบ้อเร่อ ไม่กินน้ำเปล่ากันเลยคับ
^ ^ ชาจีนก็ชอบ
กินกับข้าวหน้าเป็ด
(ทำไมต้องข้าวหน้าเป็ดด้วยหว่า งง แหะๆ)
แต่พี่ว่าชาจีนต้องกินกับข้าวมันไก่
ชอบเวลาไปกินเกียรติโอชามากๆ อิอิ
(ยั่วให้น้องคิดถึงบ้าน กร๊าก)
^ ^
นั่นดิ หิวนะเนี่ย (ฮาาาาา)
ตอนนี้อยากกินโอเลี้ยงด้วยอ้ะ แก่ๆ หอมไหม้ๆ เอิ๊กกกกก
อยู่นี่แล้วติดชาขาดไม่ได้ กินชาก็ต้องมีบิสกิต หรือเค้ก หรืออะไรหวานๆกินด้วย
ไม่งั้ั้นไม่ได้รสชาติการจิบชาที่แท้จริง (มิน่าถึงไม่ผอมซะที)
แต่พอกลับไทยก็ไม่ค่อยได้ละเลียดดื่มชาร้อนๆเท่าไหร่
อากาศร้อนยิ่งร้อนไปกันใหญ่ ชอบกินชาเย็นส่ายนมเยอะๆแทน อิอิ
ปล ว่าแต่ lady grey เนี่ยเป็นไงหรอ ปกติชอบกิน Earl grey แต่ไม่แน่ใจว่าเคยลอง lady grey แล้วยัง
เออ
กลับเมืองไทยพี่ก็กินชาไทยโบราณเย็นๆ ไม่ก็ชาดำเย็น โอเลี้ยง ^ ^'
มาจิบชาร้อนๆ คงเหงื่อตกเนอะ อิอิ
Lady Grey จะมีกลิ่นเบอร์กาม็อทเหมือน Earl อ้ะ แต่ว่าจะมีกลิ่นส้ม มะนาวแถมเข้าไปด้วย กลิ่นมันจะแหลมๆ ดี
อดีตของ ของแต่ละอย่างมันช่างเจ็บปวดได้เหลือเกิน..
(แต่ก็ยังจะกิน เพื่อช่วยถ่างตากันต่อไป) -_-'
เพราะเก้านั้นอ่อนหัดมาก เจอชาแค่แก้วเดียว
ก็ตาสว่างโพลงไปถึงอีกวันนึงเลยทีเดียว
ตาสว่าง..................แต่สมองกลวง O_o
เห็นด้วยกะปุ๋มนะพี่ยิ้ม ที่มีชา ก็ต้องมีขนม -_-'
เห้อ วัฎจักรแท้ แท้....
ชา-ขนม-อ้วน-ไม่ผอม-งาน-ชา-ขนม-อ้วน-ไม่ผอม-งาน-ชา"""
มาอ่านแล้ว สนุกดีครับ จริงๆ เรื่องพวกนี้คุยได้ไม่รู้จบ
ขอบคุณเกร็ดความรู้ที่แทรกระหว่างทางนะครับ เคยอ่านเหมือนกันครับ เรื่องชานี่ ถือเป็น 1 ใน 6 เครื่องคื่มที่ "เปลี่ยนโลก" เลยล่ะครับ คนตะวันตกเค้าว่างั้น
ส่วนตัวปกติไม่ค่อยกินชากาแฟครับ พึ่งมากิน 2-3 ปีนี่เอง
ชอบชาเย็นสีส้มๆอ่ะครับ ที่ชงจากร้านกาแฟโบราณ หอมดี เวลาจะไปเรียนชอบกินเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด
เคยไปประเทศแถวๆเอเชียตะวันออกประเทศหนึ่ง เค้ามีร้านบุฟเฟ่ ชาด้วยแบบว่า ชิมชาทีละจอก ชานั้นมาจากเทือกเขานั้น เทือกเขานี้ รสชาติต่างกัน ชานี้ซึมซับน้ำธรรมชาติจากป่าปิดตรงนั้นตรงนี้ โห ละเอียดอ่อนเหมือนกันเนอะ
แต่ปกติไม่ค่อยกินชาดำแบบตะวันตกอ่ะครับ ชอบศึกษาเฉยๆ :D
ปล. เดี๋ยวจะสร้างวัฒนธรรมชากระเจี๊ยบ ดูก่อน จะเอาไปขาย 'เมกา
^ ^'
นั่นดิ...พี่ก็เข้าใจละ ว่าที่พี่ชอบชาไม่ใส่น้ำตาล เป็นเพราะพี่กินกะขนมหวานนี่เอง
ถ้าชาหวานไปด้วยจะไม่มีอะไรล้างปาก แหะๆ
แต่หลังๆ ปรับเปลี่ยนนิสัยละนะ มากินชากะผลไม้แทน
ยิ้มชอบไปชิมชาฟรีตามร้านขายชาค่ะ แหะๆ ซื้อน่ะ ไม่มากมายเท่าไหร่หรอก
อ๊ากกก แต่อ่านแล้วอยากดื่มน้ำกระเจี๊ยบบ
กินได้หลายๆชาครับ
แต่อยากกิน ชาอะไรก็ได้ที่กินแล้ว สาวๆ ไม่เย็นชา 5 5 5 :P
พี่ว่าคุณยิ้มนี้มีเอกทัคคะและพรสวรรค์ในการเขียนนะคะ เล่าเรื่องอะไรก็สนุก ไม่ว่านิยาย สารตดี หรือเกร็ดความรู้ต่างๆ ถ้าเป็นอาจารย์สอนเด็กๆหรือเขียนตำราวิชาการ คงน่าอ่าน เด้กไทยคงไม่โง่เหมือนทุกวันนี้ จำได้ว่าสมัยเด็กๆได้เรียนอะไรที่เป็นความรู้และมีประโยชน์มากมายจนถึงวันนี้ ไม่ทราบว่าหลักสูตรของกระทรวงศึกษาฯทกวันนี้เป็นอย่างไรคุณภาพของเด็กไทยจึงได้เป็นแบบนี้ ต่อไปคงด้อยกว่าเด็กเขมรหรือเด็กพม่าแน่ๆ..ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป........
เมื่อได้อ่านมุกของท่านพี่แล้ว ข้าพเจ้าก็ถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว
ขอบคุณมากมายเลยค่ะ ที่ติดตามอ่าน ^ ^
ในอนาคต...ยิ้มก็คงจะได้ทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นบ้างน่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการสอนหนังสือ เขียนตำรา หรือเขียนนิยาย ตอนนี้ก็ขอสั่งสมประสบการณ์ไปก่อนก็แล้กันนะคะ
แสดงความคิดเห็น