วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2551

บอลยูโร ความเงียบเหงาเดียวดาย...

Rating:
Category:Other


ประเทศอังกฤษกับกีฬาฟุตบอลมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นนะคะ ใครชอบบอลก็ดูกันไป...จบฤดูกาลนั้น ก็มีฤดูกาลนี้ต่อ โอ๊ย...สวรรค์ของคนดูบอลเค้าล่ะ

ยิ้มไม่ได้ติดตามบอลลีคแถวนี้ แต่เวลามีบอลโลกหรือบอลยูโรก็อดที่จะดูไม่ได้ เพราะว่ามันมีอารมณ์ร่วมดี จะได้เอนจอยบรรยากาศคึกคักอย่างเต็มที่ แถมอยู่แถวนี้เขาก็ให้ความสนใจมากมาย แข่งทีนึงพวกแฟนบอลก็มารวมตัวกันตามผับ ถามจัตุรัสต่างๆ ที่เขาฉายการถ่ายทอดสดผ่านจอยักษ์ มันก็สร้างความรื่นรมย์สมอุราได้อีกแบบ ดื่มอะไรเย็นๆ เชียร์บอลไปกะเด็กแว็นท์ เด็กแซ้บอังกฤษ ^ ^' แหะๆ

บอลโลกปี 2002
ตอนนั้นอยู่ A-level ปีแรก เรียนยังไม่ซีเรียสมาก อาจจะชั่วโมงเรียนเยอะ แต่เนื้อหาชิวๆ ที่สำคัญคือสอบ IELTS ผ่านแล้ว คะแนนปีแรกก็ทำไว้ค่อนข้างดี ไม่มีแรงกดดัน เลยแอบโดดเรียนมาดูบอลกับเพื่อนเป็นครั้งคราว โดนดุไปก็มี (กะว่าโดดเรียนนัดที่อังกฤษลงแข่งน่าจะไม่โดน เพราะอุตส่าห์ช่วยเชียร์ แต่ก็โดนจนได้ -*- อาจารย์บอกว่ามันคนละเรื่องกัน)

เพื่อนร่วมบ้านก็มีกัน 4 สาวไทย ดูไป บ่นไป วิพากษ์หน้าตาของนักฟุตบอลไป ปีนั้นเริ่มตกหลุมรักพี่ Casillas ของทีมกระทิงดุเป็นครั้งแรก สนุกดี ตอนนั้นอยู่ในช่วงหน้าร้อน อากาศดี๊ดีด้วย (อยู่เคมบริดจ์ แดดดี + อบอุ่นกว่าที่ยอร์คเยอะ ^ ^')

บอลยูโร 2004
ตอนนั้นอยู่ปี 1 ได้ดูครึ่งแรกที่หอ ไม่มีทีวีเป็นของตัวเองด้วย ต้องลงมาดูจอห้องส่วนรวมข้างล่าง ส่วนรอบ Quarter Final เป็นต้นไป ต้องไปดูตามผับ เพราะตอนนั้นลงภาคสนามอยู่ นอนเต็นท์ ไม่มีไฟฟ้า - -' แล้วก็นี่เอง..ที่อังกฤษพ่ายการยิงลูกโทษให้แก่โปรตุเกสหลังจากต่อเวลาแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ผล ลุ้นจนแทบขาดใจ แถมยังเสียบรรยากาศอีก จนทำให้พานไม่ชอบทีมโปรตุเกสมาจนบัดนี้

แต่การดูบอลในผับในหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ค่อนข้างห่างเมือง รอบตัวมีแต่ผู้ชายอังกฤษถือแก้วเบียร์คนละไพน์ จ้องจอตาไม่กระพริบก็ได้อารมณ์สนุกสนานไปอีกแบบ ส่วนความเหนื่อยล้าจากการขุดค้นก็...หายไป เมื่อได้อะไรเย็นๆ ดื่ม แล้วก็ได้นั่งในผับ ในอาคารที่ก่อด้วยอิฐด้วยหิน ไม่ต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย แหะๆ ^ ^'

บอลโลก 2006
ตอนนั้นเรียนตรี ปีสุดท้าย นัดแรกมาถึงตอนที่เรากำลังร่อนเร่พอดี เลยไปดูที่เขาฉายจอยักษ์ที่เคมบริดจ์ อังกฤษเจอกะเอควาดอร์ ตอนนั้นอากาศดีมากกกกก ฟ้าใสแจ๋ววววววว ดูไปได้ครึ่งแรกแดดเผาจนตัวเกรียมเป็นหมูย่าง ต้องรีบหาผับเข้าไปนั่งพัก ดื่มน้ำดื่มท่า แต่ก็สนุกดี...ปีนี้คึกคักค่อนข้างมาก แถมไร้ความกดดันเพราะสอบเสร็จหมดแล้ว การบ้านก็ไม่มี เพราะเป็นรอยต่อป. ตรี - ป.โท สบายมากกกก กลับไปดูรอบท้ายๆ ที่เมืองไทย ดูนัดชิงพร้อมกับพ่อ อา และลูกพี่ลูกน้อง (ไม่ได้ดูด้วยกันมานานแล้วนะเนี่ย)

ยูโร 2008
อังกฤษไม่ผ่านรอบแรก = =' ตอนนี้เงียบเหงาสุดๆ เสื้อบอลที่เคยขายกันให้พรึ่บก็ไม่มี เสียงคนเชียร์บอลตามผับตามถนนก็ม่ายยย มี ผิดหูผิดตาไปมาก รู้สึกเศร้าหมองเล็กน้อย คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงซัมเมอร์ด้วย ทำไมบรรยากาศมันช่างต่างจากครั้งก่อนๆ จากหน้ามือเป็นหลังมือเนี่ย

แถมตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นสภาพที่...ต้องปั่นงานส่งหัวฟู หางตั้ง หูตกอีก เฮ้อ...ทำไมมันช่างหดหู่เยี่ยงนี้ แต่เอาเหอะ ปั่นงานมาเครียดๆ พักซักวันละ 90 นาที หรือ 180 นาทีก็โอเคอยู่นะ อีก 2 ปีข้างหน้าก็มีบอลโลกอีก ตอนนั้นเราก็คงยังอยู่ที่นี่...จะรอดู ว่าบอลโลกครั้งสุดท้ายที่จะได้ดูในอังกฤษ จะมีบรรยากาศเป็นยังไง

ปีนี้เริ่มตกหลุมรักพี่ Casillas อีกครั้ง ถึงเวลาที่ผ่านไปจะทำให้หนุ่มน้อยหน้าใสกลายเป็นหนุ่มใหญ่หน้าคมเข้ม
.
.
.
อย่างไรก็ดี...

ปีนี้ข้าพเจ้าเชียร์ทีมกังหันลมนะ

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ไม่มีสวรรค์สำหรับคนเดินดิน

ไม่มีสวรรค์สำหรับคนเดินดิน
ความฝันมันพังภิณฑ์เป็นชิ้นน้อย
ความสุขมันคล้อยเคลื่อนดูเลื่อนลอย
การรอคอยกลับคงอยู่คู่ชีวิต
ไม่มีหยาดน้ำใสในวันแล้ง
ประจักษ์แจ้งสลักไว้ในดวงจิต
ภาพมายาที่ลวงตาอยู่เป็นนิจ
คือน้ำหวานเคลือบยาพิษปลิดชีวา
ไม่มีความช่วยเหลือเอื้ออาทร
ไม่มีลมมาข่มร้อนเดือดองศา
มีเพียงทุกข์เข้าขยี้ย่ำบีฑา
จนเหลือเพียงกายาไร้หัวใจ
ไม่มีคำปลอบโยนในคืนร้าง
มีเพียงความอ้างว้างเป็นมิตรใหม่
และคงเป็นเยี่ยงนี้อยู่ร่ำไป
จะมีใครมาต่อสู้อยู่คู่เคียง
ต่อจากนี้จะก้าวไปไม่แคร์คน
ไม่ร้อนรนแม้เอากายไปขึ้นเขียง
เป็นคนดีมันช่างท้อไม่พอเพียง
เลิกหลบเลี่ยงบ่วงแห่งพรานพร่าผลาญใจ
เพราะทุกสิ่งที่ได้เห็นเป็นภาพลวง
เมื่อวันล่วง...เกินปัญญาไขว่คว้าได้
ทำได้เพียงแค่นยิ้มแล้วเดินไป
แม้หยาดน้ำใสใสมันหลั่งริน
ก็แค่อีกเส้นทางว่างเปล่าดาย
เมื่อสุดสายชีวันก็พลันสิ้น
ท้ายที่สุดก็แค่คนบนผืนดิน
ที่ริอ่านจะโบยบินถึงถิ่นฟ้า
ไม่มีสวรรค์สำหรับคนเดินดิน
แว่วได้ยินเสียงบรรเลงเพลงตัณหา
ท้ายที่สุดก็ไม่พ้นคนธรรมดา
เลิกใฝ่ฝันถึงวันหน้า....น้ำตานอง

..................................................................................................


อย่าถามว่าแปลว่าอะไร เพราะคนแต่งไม่บอก และแปลไม่ออกด้วย
แค่อยากเขียนแบบนี้...ก็เลยเขียนแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกัน ว่าออกมาแบบนี้ได้ยังไง



วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เส้นทางสายฝัน...กับวันที่ต้องก้าวต่อไป

Rating:★★★★★
Category:Other
วันนี้...ขอยกเอาบล็อกเก่ามาเล่าใหม่ เคยเขียนไว้ใน msn space นานมาแล้ว อยู่ในลักษณะของไดอารี่นะเนี่ย สมัยนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตมีความสุขม้ากกกกกกกก มาก ถึงจะเป็นบางช่วงที่มีทุกข์เจือปนแต่ก็เป็นอะไรที่ bitter sweet ยังมีแสงสว่างเรืองรอง อ่านไปจะได้ยิ้มได้กับวันเก่าๆ แล้วมีแรงเดินต่อไป

................................................................................................................

เส้นทางสายฝัน...กับวันนี้ วันที่ต้องก้าวต่อไป (1) (written on 23/03/2006)


และแล้ววันนี้ก็ได้ฤกษ์งามยามดีอัพบล๊อกอีกครั้ง เพราะคำพูดประโยคเดียวของอาจารย์แท้ ๆ เชียวที่ทำให้เราเกิดอารมณ์ได้หลายหลากขนาดนี้

"วันนี้เลิกเร็วหน่อยนะ เพราะรู้ว่าเป็นคลาสสุดท้ายของหลาย ๆ คน"

เราระลึกได้ทันที
สามปีแล้วเหรอนี่...กับเวลาที่เราใช้ไปในลอนดอน ณ มหาวิทยาลัยแห่งนี้

University College London

พรุ่งนี้ หลังจาก 11 นาฬิกาเป็นต้นไปก็คงจะไม่มีอีกแล้ว ห้องเรียน slide projector เนื้อหาที่มีทั้งน่าเบื่อและน่าสนใจ ทุกอย่างจะกลายเป็นความหลังไปในทันที เพราะในเทอมสามก็จะมีเพียงแค่ revision session อีกนิดหน่อย และการสอบอันน่าหวาดหวั่นเท่านั้น

ใจหาย...

คิดถึงสิ่งที่เคยทำ เคยสัมผัสมาทุกวัน...ถนนที่เคยเดิน ตึกที่เคยเรียน เพื่อนที่เคยพบหน้า พูดคุย เดินผ่าน ยิ้มให้ ทักทาย ต้นไม้..ดอกไม้ นก กระรอกในสวน Gordon Square ที่เคยนั่งกินอาหารเที่ยง หรือนอนเล่นเมื่ออ่านหนังสือยามสอบเสร็จแล้ว

สถานี underground Euston, King's cross ที่อยู่ใกล้ ๆ ป้ายรถเมล์, ร้านหนังสือ Waterstone's, ULU และ บาร์ พร้อมกับ Belgian Waffle ราด Chocolate Fudge แสนอร่อย, Bloomsbury Cafe ที่แวะไปซื้อชามาโด้ประหว่างเบรคเพื่อให้ลืมตาตื่นได้

ต่อไปนี้..ทุกสิ่งทุกอย่างคงกลายเป็นแค่จุดจุดหนึ่งในอดีต เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ


ปีหนึ่ง

ยังจำได้ดีว่าวันแรกที่เราก้าวเดินเข้าไปในหอพักของมหาวิทยาลัย...เรามีความรู้สึกอย่างไร
ห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ พรมสีแดง โต๊ะทำงานตัวใหญ่ เตียงเดี่ยว เก้าอี้บุพรม อาหารเช้าเย็นตามเวลา ชีวิตเด็กหอ ที่ก็พอจะเรียกได้ว่าดีกว่าหอพักเมืองไทยอยู่เอาการ

เพื่อนใหม่นานาชาติ หลากมหาวิทยาลัย พบปะพูดจากันด้วยอัธยาศัยไมตรี แปลกใหม่ แต่น่าสนุก และเราก็พอใจกับมัน ดีกว่าต้องอยู่บ้านตั้งแต่ปีแรกล่ะน่า อย่างน้อยเราก็มีสังคม

เช้าวันแรกที่เข้าไปที่คณะ เราก้าวไปด้วยความมั่นใจ รอยยิ้มเต็มใบหน้า ก็แหม...ออกจะตื่นตัวอะไรขนาดนั้น ตั้งแต่รู้ว่าเขาตอบรับมาก็บังไม่ได้เอกสารอะไรสักอย่าง เพราะ ก.พ. ในลอนดอนส่งจดหมายของเราต่อไปที่ ก.พ. ในเมืองไทย แล้วเรื่องก็โดนกั๊กไว้อย่างเคย

ประโยคแรกที่อาจารย์บอกกับเรา

"อะไรนะคะ ไม่ได้จดหมายเลยเหรอ ตายแล้ว เอ้า เอาไปอ่าน ใจเย็น ๆ นะคะ นั่งอ่านก่อน แล้วค่อย ๆ คิดว่าจะทำยังไง"

ฟังดูร้ายแรงแฮะ อะไรจะขนาดนั้น แค่เข้าปีหนึ่งเอง อยากรู้จังจดหมายมันเขียนอะไรไว้น่ะ
เลยเปิดดูและเดินไปที่โซฟา

พระเจ้า...
เข้าใจแล้วว่าอาจารย์หมายถึงอะไร

เราต้องจัดเตรียมหาอุปกรณ์ในการออกค่ายภายในเวลา 3 วัน รวมทั้งวันที่กำลังอ่านจดหมายนี่ด้วย เรื่องของเรื่องคือเราต้องการ เต๊นท์ ถุงนอน insulating mat กระป๋องอาหาร กระติกน้ำเก็บความร้อน เสื้อกางเกงกันน้ำ ช้อน ส้อม จาน ถ้วย ถุงใส่แซนด์วิช ถุงดำ มีดพับ ไฟฉาย กระเป๋าแบคแพคใบใหญ่

จะเป็นลม

อย่างน้อยก็ขอบคุณหนูวาวที่มีกระเป๋าและให้ยืมได้ทันเวลา

เป็นการเริ่มต้นที่ดี

แล้วก็มีดพับ Swiss army knife Victorinox สลักชื่อคู่ชีพ

ที่เหลือยิ้มไม่มีอะไรสักอย่างเลยค่ะ เพิ่งมาจากเมืองไทย มีของในกระเป๋าเดินทางแค่ใบเดียว ของที่เคยมีฝากกับ storage ที่เคมบริดจ์หมดเลย คนอื่นมีเวลาเตรียม 3 เดือน เรามีเวลา 3 วัน ไม่ใช่สิ!!! สามบ่ายต่างหาก เพราะทุกวัน ๆ ครึ่งเช้า ทางคณะก็จัดกิจกรรมให้เสียแน่นเอี๊ยด ไหนจะการลงทะเบียน เดินชมคณะ และอะไรอื่นๆ อีกมากมาย การออกค่ายครั้งนี้ เป็นภาคบังคับอีกต่างหาก ถ้าไม่ไปก็ต้องประเมินผลปลายปีวิธีอื่น แล้วเราจะพลาดได้ยังไง
โธ่เอ๋ย ที่สำคัญก็คือถ้าไม่ได้ฉีดยากันบาดทะยักหรือมีหลักฐานมารับรองการฉีดยาก็ไปไม่ได้อีก เอ้า เอาก็เอา(ฟะ) ฉีดก็ฉีด ยังไง ๆ ฉัน็จะไปให้ได้ ค่ายนี้ เฮ้อ...โชคชะตา

สามบ่ายกับการวิ่งวุ่น ฉีดยา ซื้อของ โทรเรียกหา Storage ที่เราฝากของเอาไว้ (ดันเอามาส่งซะเช้าวันพุธ ไปเข้าค่ายวันพฤหัส -__-") ในที่สุดก็รอดตาย...จัดการทุกอย่างได้ทันเวลาพอดี เกือบจะแย่แน่ะ

ขอบคุณ ลอรี่ เพื่อนใหม่ที่อุตส่าห์เสนอจะให้พักด้วยถ้าเราหาซื้อเต๊นท์ไม่ทัน ถึงซื้อทันก็ยังอุตส่าห์มาช่วยกาง (เพราะท่าทางคงจะงก ๆ เงิ่น ๆ เต็มที แต่ตอนนี้ เรากางได้คล่องแล้วนะ ^^) ขอบคุณอีกเช่นกันที่ชวนไปดูคอนเสิร์ตวงดนตรีของอาของเธอบ่อยๆ แม้ว่าไปทีไร จะโดนคนเบียดจนแทบจะกลายเป็นหมูแผ่น หมูอัดก็ตาม

ขอบคุณ แครี่ และชารอน ที่คุยด้วยอย่างเป็นมิตรตลอดมา แม้ว่าบางทีเราจะทำตัวน่าเบื่อมาก ๆ

ขอบคุณ เนลลี่ คานะ ที่เป็นเพื่อนที่แสนดี (แม้ว่าจะเริ่มมาสนิทกันก็ปลายปีเข้าไปแล้ว)

ขอบคุณ มิเกล ที่คุยเป็นเพื่อน เล่าถึงชีวิตในวัยเด็กและจุดหมายในอนาคตที่ Prim'tech ด้วยกันถึงดึกดื่น ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้...นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนนึงของเราเลยนะ ถึงนายจะมีความเป็นไทยแค่ครึ่งเดียว แต่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรที่คล้าย ๆ กันอยู่ ขอโทษถ้าเราเคยทำอะไรไม่ดีให้

ขอบคุณ แอนโทนี่ คุณเป็นคนตั้งใจ เอาจริงเอาจังมาก ทักษะทางการทหารชาวแสกนดิเนเวียนของคุณสร้างความประทับใจให้เพื่อน ๆ ได้ไม่น้อย คุณอาจจะผิดหวังกับสิ่งที่เป็นลอนดอน...เราก็คิดไม่ต่างกัน แต่โลกของเรามันก็มีทั้งข้อดี ข้อเสียไม่ใช่เหรอคะ เลือกเก็บเอาแต่ส่วนดี ๆ ไว้ได้มั้ย ขอโทษเหมือนกัน...ที่เราทำตัวเป็นเพื่อนที่ไม่ได้เรื่องเลยในสายตาของคุณ

ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้ออกนามอีกเยอะแยะ

ชีวิตในปีแรกไม่ง่ายเลย กับคำศัพท์มากมายทีต้องมาเรียนรู้ใหม่ ห้องเลกเชอร์ที่ใหญ่โต เพื่อนที่กระจายๆ กันไป แถมแต่ละคนนิสัยยังเหมือนเด็กเสียจนเราไม่อาจจะคุยกับใครได้เข้าใจ เหมือนอยู่คนเดียว มีเพื่อน แต่ก็เหมือนเพื่อนในคณะไม่เข้าใจเราเลย

ความผิดหวังกับคะแนน essay ตัวแรก จนถึงรอยยิ้มเมื่อได้ 1st ครั้งแรก

ชีวิตนักศึกษา ใช่ แบบนี้แหละ เป็นวงจรแบบนี้

แต่ชีวิตมันว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร ตัววิชาเหรอ...เรียนไปก็แค่นั้น เย็นมาก็ต้องกลับมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม เล่นอินเตอร์เนต ดูทีวี หรือไม่ก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อน

ไม่อยากสารภาพเลย ว่าเรานับวันที่สามารถโดดได้ แล้วก็ใช้สิทธิ์นั้นจนครบเลยด้วยซ้ำ
เบื่อเลกเชอร์ เบื่อ study group
.
.
.
เป็นอย่างนั้นทุกวันจนครบ 2 เทอม

การสอบผ่านพ้นไป

จนกระทั่งมาถึงภาคปฏิบัติ
เราถึงเริ่มยิ้มออก โอ้ ที่แท้เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้นี่เอง นี่ต่างหากที่เรารอ...ใช่ นักโบราณคดีที่แท้จริงต้องแบบนี้ 9 วันสั้น ๆ สอนอะไร ๆ ได้มากกว่าที่เรียนมาทั้งปี ที่เราทุกข์ทรมานมาทั้งปี...ความเซ็งถูกชะล้างออกไปด้วยการลงภาคปฏิบัติที่ Barcomb Roman Villa

ที่สำคัญ...ที่นั่นเราได้มิตรภาพกลับมามากมาย ได้ประสบการณ์กลับมาอีกมากมาย ได้ความประทับใจมากมาย

จากต้นปีถึงหปลายปี มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง จากเด็กคนหนึ่งที่เข้ามาในโลกแห่งโบราณคดีด้วยความไม่รู้อะไรเลย กลายเป็นคนที่เริ่มมีความฝัน มีความตั้งใจวาดเส้นทางให้ชีวิตในเส้นทางสายนี้ มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนขึ้น

จากเด็กคนหนึ่งที่เพิ่งผ่านระยะเวลาที่คิดว่าไม่มีใครรักเราเลย ไม่เดียงสา (เหรอ -__-) กลายมาเป็นคนที่เริ่มเอนจอยกับการเข้าสังคมกับเพื่อน ๆ ในหอพัก และเพื่อน ๆ ที่คณะ พร้อมกับเริ่มคุ้นเคยกับชีวิตแบบอังกฤษ ๆ มากขึ้น จากเด็กคนหนึ่ง ที่มองโลกในแง่ดี มีรอยยิ้มให้กับปัญหาต่าง ๆ อยู่เสมอ โลกทั้งโลกเป็นสีฟ้า เขียวสดใส เด็กคนนั้นตายไปแล้ว แต่มีคนใหม่ที่มองโลกด้วยสายตาแห่งความเป็นจริงมากขึ้น สีเทา ดำ คราม เริ่มปรากฏในพจนานุกรมของเธอ

น่าเสียดาย...ที่ความสดใสแบบวัยเยาว์มันลดลงไปด้วย...
แต่น่าดีใจ...ที่เธอจะได้ไม่ถูกเปลือกสีสวยห่อหุ้มเอาไว้ตลอดเวลา

จากเด็กคนหนึ่ง ที่เคยอยู่ในอันดับต้น ๆ ของชั้นเรียนที่เมืองไทย หรือแม้แต่ในระดับ A-level - ดวงจันทร์ (มีดวงเดียว) กลายมาเป็นเด็กนักเรียนธรรมดาๆ ของชั้นเรียนที่ใหญ่กว่าในต่างประเทศ - ดวงดาว (มีเป็นล้าน)

ท่องมันเข้าไปสิ

แม้นมิได้เป็นเช่นกุหลาบหอม
ก็จงยอมเป็นเพียงลดาขาว
แม้นมิได้เป็นจันทร์อันสกาว
จงเป็นดาวเดือนแจ่มแอร่มตา


จากเด็กคนหนึ่ง...ที่ไม่เคยพบกับปัญหายุ่งยากที่เกินจะแก้ กลายมาเป็นคนที่รู้ว่า เรื่องบางเรื่อง...แก้ไขไม่ได้ ทำได้แค่บรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว และก็ยอมรับมันด้วยจิตใจที่มั่นคง มีสติ

แต่ก็นั่นแหละ...
ทุก ๆ อย่างมันทำให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เติบโตขึ้นเป็นยิ้ม...

ไปดีกว่า ว่าง ๆ ค่อยมาบ่นถึงปีสอง ปีสามต่อ


หวิว ๆ ในใจจังเลย...
จะจบมหาลัยแล้วเหรอนี่...

................................................................................................................


เส้นทางสายฝัน...กับวันนี้ วันที่ต้องก้าวต่อไป (2)(27/03/2006)


ปี 1 ผ่านไปด้วยรอยยิ้มและน้ำตา...

หลังจากผ่านประสบการณ์สุขและเศร้า ปนเหงาอมโศก ในการลงปฏิบัติงานนานสามสัปดาห์ที่แบมเบิร์ก ระหว่างนั้น พ่อแม่ เพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่เมืองไทยคงจะได้รับโทรศัพท์จากยิ้มเพื่อที่จะบ่น ๆ ๆ หลายต่อหลายครั้ง ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ อยากบอกว่า เพียงแค่ 5-10 นาทีของท่าน ๆ ช่วยชุบชีวิตให้ยิ้มมีกำลังใจสู้ต่อไป (เว่อร์จริงๆ) จะโทรทั้งทีก็ยากเย็น แสนเข็ญ
สัญญาณโทรศัพท์ในที่พักก็ไม่มี ต้องเดินไปที่ปากอ่าว...

และในที่สุด...
เกรดก็ออก

ไม่เลวร้ายเท่าที่คิดแฮะ เรียกได้ว่าพอใจเลยล่ะ การทำให้ได้ 1st ยากเย็น ถึงแม้ว่าจะยังเอื้อมไม่ถึงแต่ที่ได้มาก็พอใจ มีแรงที่จะเริ่มต้นปี 2 ด้วยความมั่นใจมากกว่าเดิม

ปี2

ในที่สุดก็ได้เข้าอยู่หอพักที่เดิม แต่ชีวิตต่างไปจากเดิมเพราะ
1 แจ๋มมีแฟน
2 มีน้องคนใหม่มาอยู่ในหอพักเดียวกัน แต่คนละชั้น (น้องต่อ เพื่อนร่วมบ้านในปัจจุบันนั่นเอง) ดีใจจัง มีรุ่นน้องมาให้รังแก เอ๊ย ให้ได้ดูแลแล้ว

ตัววิชาที่เรียนในปีนี้เป็นวิชาที่ออกแนวประยุกต์มากกว่าเดิม และมีตัวเลือกมากขึ้นด้วยอาทิ Conservation Public archaeology, research and presentation skills

ศศิษยาก็ไฟแรงกว่าเดิมหลายเท่า เนื่องเพราะได้ฝึกงานมาอย่างโชกโชนในช่วงปิดเทอม คราวนี้ไม่ได้เรียนไปตามแกน วันต่อวันอีกต่อไปแล้ว ทุกครั้งที่เข้าเรียน เราเรียนด้วยหัวใจ ด้วยความซาบซึ้ง

งานชิ้นหนึ่งของวิชา Conservation ทำให้เราได้มีโอกาสติดต่อกับนักวิชาการ และนักโบราณคดีในเมืองไทยหลาย ๆ ค น และยังได้ติดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ (ขอบคุณมากค่ะ พี่โต้ง) นับจากวันนั้น ศศิษยา สรรหาหนังสือที่เกี่ยวกับประเทศไทยมาอ่านด้วยความตั้งใจ ด้วยความอยากรู้

ไม่ใช่แค่งานด้านวิชาการอย่างเดียวเสียด้วย ปี 2 นี้เป็นปีที่สามารถแต่งนิยายได้มากที่สุด
เรื่องแล้ว เรื่องเล่า ไม่เคยเหน็ดเหนื่อย โดยแรงบันดาลใจแรกก็มาจากโบราณคดีนี่เอง

มาถึงตอนนี้ ขอบคุณ สนพ. แจ่มใสที่ให้โอกาสพิมพ์ค่ะ

นอกจากงานในมหาวิทยาลัย งานนิยาย ศศิษยาก็ฟิตพอที่จะไปเป็นอาสาสมัครที่ Archive ของ Museum of London เพื่อทำงานด้าน Conservation และช่วยจัดงานในวัน open day ที่เขาเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ เข้าร่วมสัมผัสโบราณวัตถุอย่างใกล้ชิด มองย้อนกลับไปแล้วบอกได้คำเดียว "ไม่น่าเชื่อว่าจะมีแรงขนาดนั้น ฟิตว่ะ"

นอกจากเรื่องเรียนจะดีขึ้นแล้ว ปีนี้ก็สนิทสนมกับเพื่อน ๆ มากขึ้นไปด้วย เริ่มต้นด้วยความอยากอาหารไทยของเพื่อน ๆ ทำให้แม่ครัวมือใหม่จำต้องลงไม้ลงมือ

ปกติก็ทำกินเองได้ พวกผัด ๆ ทอด ๆ อะไรง่าย ๆ เพราะอยู่เมืองไทยก็ซื้อกินเอาง่ายกว่า
ลงครัวครั้งแรกกลัวเสียหน้ามาก เพราะมีเพื่อนต่างชาติอีก 4 คน มารอชิมอยู่ เลยตัดสินใจทำแกงเขียวหวาน ไก่ทอดกระเทียม ไข่ยัดไส้ และมีข้าวเกรียบทอดเป็น Appitiser ก็ดูไทย ๆ ดีมั้ย ง่ายด้วย

ผลลัพธ์:
ไม่เลวแฮะ แกงเขียวหวานออกมาเหมือนแกงเมืองไทยมาก มากเสียจนคนอื่น ๆ กินไม่ได้ และเราต้องกินมันเป็นหลักโดยต้องสละอาหารอื่นที่ไม่เผ็ดให้เพื่อน ๆ ไป ไก่กระเทียมก็อร่อยดี แหงสิ โลโบรับประกัน ส่วนไข่ยัดไส้นี่ปรุงเอง หน้าตาออกมาสวยดี (ก็ชอบอะไรที่มันประดิดประดอยนี่นา ^^ )

หลังจากนั้น ก็ได้พึ่งพาครัวของเพื่อน ๆ อยู่เสมอ ในยามที่ต้องการหลบหนีจากอาหารหอ ที่มาตรฐานในด้านรสชาติลดลงทีละนิด ๆ ๆ ๆ จนถึงขั้นไม่อยากกินอีกต่อไป

ชีวิตก็เป็นไปอย่างเรียบ ๆ ง่าย จนกระทั่งช่วงคริสต์มาส ช่วงเวลาที่เรารู้เลย...ว่าความเหงามีจริง มันอยู่รอบตัวคุณ อยู่ในฝูงชน มันรอเวลา...ดูดกลืนคุณให้เป็นทาสของมัน คุณยอมแพ้ให้แก่มันเมื่อไหร่ ความเจ็บปวดจะรัดเอาตัวคุณลงไปในห้วงแห่งความเหงาโดยที่ไม่มีทางเลี่ยง (นี่ก็เว่อร์อีกแล้ว)

ช่วงนั้นแจ๋มไปเที่ยวต่างประเทศ ต่อพงศ์มีคนมาพักด้วย เพื่อน ๆ ที่คณะกลับบ้าน วาวอยู่ไกล
แล้วศศิษยาก็ไม่สบาย....จำเพาะเจาะจงต้องมาไม่สบายเอาตอนไม่มีใครอยู่ ขอบคุณค่ะ..โชคชะตา เป็นครั้งแรกในอังกฤษที่ไข้ขึ้นจนไม่สามารถลุกออกมาจากเตียงได้ ทุกครั้งพยายามรักษาร่างกายให้แข็งแรงมาตลอด

แต่ว่า แหม...ไข้จะไม่ขึ้นได้ยังไงล่ะ ก็วันศุกร์ก่อนหน้าวันเสาร์ที่จะเริ่มทรุดหนักนั้น ตอนเช้าเราฝ่าฝนออกไปกินข้าวกับรุ่นน้องที่มาพักด้วย ตอนเย็นเราไป Pub กับน้องอีกคนนั่งคุยปัญหาหัวใจถึง 5 ทุ่ม แล้วไปต่อด้วย Clubbing ทันที

"นี่ถือว่าเป็นเดทนะครับพี่"

ฮ่า ๆ หนุ่มน้อย... แน่ใจเหรอจ๊ะ แต่เราก็ have a good time

เลิกออกมาจากคลับตอนตีหนึ่งยังเดินไป China Town เพื่อกินมื้อดึก กลับถึงหอตีสามท่ามกลางลมหนาวบาดเนื้อ เช้าวันเสาร์ วันถัดมา ปวดหัว ไข้ขึ้นทันที แต่กำหนดการก็ยังมีนั่นคือการไปกินข้าวกับรุ่นพี่อีกคน (ฟังดูเหมือน Popular มาก จริง ๆ แล้วเราผองพี่น้องกันทั้งนั้น)

นัดไว้แล้วก็ลากสังขารไป เพื่อที่จะพบว่า มันทำให้ไข้หนักไปกว่าเดิม วันอาทิตย์ ก็อยากจะนอนพักผ่อนให้ฟื้นตัว แต่ว่า...กำหนดการก็มีอีก ต้องไปเอายาที่คนจากทางเมืองไทยฝากมากับแอร์โฮสเตสให้รุ่นพี่อีกคน เราก็จำต้องคลานลงเตียงไป

วันจันทร์ - อังคาร - พุธ ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนอน จ้องหน้าจอคอม หาคนคุยด้วย
อ้อนคนในเนต และโทรกลับบ้าน อ้อนพ่อ อ้อนแม่

เหงาจับใจ...หอพักเงียบสนิท ท้องฟ้าเป้นสีเทา อากาศหนาว ฝนตก

เงียบ...
มีเพียงความเงียบเป็นเพื่อน
น้ำตาไหล

โชคยังดีที่ต่อยังแวะมาเป็นพัก ๆ เพื่อซื้ออาหารมาส่ง และชวนลงไปกินข้าวด้วยกัน ในยามนั้น ได้เห็นหน้าใครสักคนมันดีมาก เลยยกตำแหน่งน้องรักให้ไปโดยปริยาย ^^

ลุกขึ้นได้ก็เลยเดินไปซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้านช่วงอีสเตอร์ทันที (จริง ๆ สัญญากับแม่ไว้ด้วยว่าจะกลับ) บางคนอาจจะบอกว่า ศศิษยา กลับบ้านบ่อยเหลือเกิน แต่ว่าการกลับบ้านช่วงอีสเตอร์มันทำให้เราสามารถทำงานได้ดีขึ้น เหมือนกับมีกำลังใจอยู่ใกล้ ๆ เมื่อพ่อกับแม่คอยเป็นห่วง มันก็จะทบทวนตำราได้มากกว่าเดิม ถึงชีวิตในเมืองไทยช่วงนั้นจะค่อนข้างอาภัพก็เถิด

"ยิ้ม มาเจอกันมั้ย"
"กินข้าวอย่างเดียวนะ ออกไปเที่ยวไม่ได้เดี๋ยวสอบไม่ทัน" T_T

"ยิ้ม ไปเที่ยวเวียงกุมกามมั้ย โรงเรียนแม่จ๋าจัดทัวร์"
"ไปไม่ได้อ่ะจ้ะ ออกบ้านวันเดียวก็อ่านไม่ทันแล้ว"

"ยิ้ม พี่จะขอเอาของที่ฝากซื้ออ้ะ ออกมาเจอกันหน่อยได้มั้ย"
"เอ่อ เข้ามาเอาที่บ้านได้มั้ยคะ T_T"

การอ่านหนังสือทบทวนไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย เพราะเนื้อหามันเยอะมากจริง ๆ ไม่อยากบอกใครด้วยซ้ำว่ากลับบ้านเพราะต้องการเวลาไว้ทำงาน แต่เพื่อนบางคนก็ไอเดียบรรเจิด

"ยิก็มานานบ้านโอ๊ะ สิ เอาหนังสือมาอ่านด้วย เพราะเรียนแพทย์ก็สอบบ่อย ๆ เหมือนกัน แล้ววันถัดไปก็ไปอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟ"

เออ...ก็ดีแฮะ ได้อ่านหนังสือด้วย ได้อยู่ใกล้ ๆ เพื่อนที่รักด้วย มีกำลังใจไปอีกแบบ

ปีสองเป็นปีที่ productive มากในเชิงการเรียน การงาน แต่ไม่ Productive เลยในด้านความรัก เพราะเป็นปีที่หัวใจด้านชามาก นอกจากอาจารย์ที่สอน Conservation สุดฮ็อต ผู้ซึ่งมีแหวนแต่งงานวงเบ้อเริ่มปรากฏที่นิ้วนางข้างซ้ายในเวลาต่อมาอีกไม่นานแล้ว เราก็ไม่กรี๊ดกร๊าดใครอีกเลย จริง ๆ ก็น่าจะดี จะได้มีสมาธิในการทำงาน แต่มีคนบางคนว่าเราตายด้านนี่น่ะสิ T_T รับไม่ได้

ปีสองสิ้นสุดลงด้วยความวุ่นวายในการหาบ้าน และฝึกงานเช่นเคย ไม่ได้นึกรู้เลย...ว่าเวลาผ่านไปเร็วนัก พอๆ กับความสุขในวัยเยาว์ ชีวิตมหาวิทยาลัยกำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว

ความสุขเหล่านั้น จะไม่หวนย้อนคืน
หากแต่จะฝังรากลึกลงไปในความทรงจำ...

...............................................................................................................

เส้นทางสายฝันฯ ตอนที่ 3 (30/03/2006)


ปี 2 เป็นปีที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากพอสมควร ทั้งทางกายภาพ และทางด้านจิตใจ(นน. ขึ้น แฟนคลับเลยหายเกลี้ยง เอ๊ย ไม่ใช่... )

มีอะไรเกิดขึ้นมากมายในปีนั้น

1. จากยิ้มก็กลายเป็น ฟ้าปรายฝน
2. สนุกกับวิชาที่เรียนไปเลย
3. เอนจอยชีวิตมากที่สุด
4. สถานธรรมที่แม่จ๋ากับน้าโอ๋สร้างเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
5. นึกไม่ออก มีอีกเยอะ เอาเป็นว่ามีก็แล้วกันล่ะ

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ปลายปีสอง เราให้รางวัลกับตัวเองด้วยการไปเที่ยว Lake District มีความสุขที่สุด ถึงแม้ว่าฝนจะตกเกือบตลอดเวลา ต้องเปียกม่อล่อกม่อแล่กเหมือนลูกหมา ต้องลุยน้ำ ลุยโคลน ต้องรอรถบัสเหงือกแห้ง ต้องเดินขึ้นเขา 3 ไมล์ไปหาที่พักที่จองไว้

แต่เป็นการปิดท้ายปีที่ดี...

ถ้าไม่นับเรื่องวุ่น ๆ กับการตามหา Housemate คนสุดท้าย ที่ทำให้ปวดหัวนิดหน่อย แล้วก็ปวดหัวเรื่องบริษัทอินเตอร์เนต ที่ปัญหาเยอะเหลือเกิน ขนาดกลับเมืองไทยยังค้องโทรศัพท์มาตามจี้ ตามจิก แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ลงตัว...เฮ้อ...

รอยต่อระหว่างปีสองกับปีสามเป็นอะไรที่ผ่านไปรวดเร็ว เราใช้เวลาส่วนมากคลุกคลีกับเวียงกุมกามเพื่อทำวิทยานิพนธิ์ และหาความรู้ให้ตัวเอง มีเรื่องแปลกมาเล่าด้วย ใครจะเชื่อมั่ง...
เค้าบอกว่าให้จุดธูปบอกกล่าวก่อนทำงานที่เกี่ยวกับเวียงกุมกาม วันไหนลืมจดธูป 5 ดอกบอกกล่าวพ่อขุนมังราย วันนั้นงานไม่เดินเลย ขอความช่วยเหลือใครก็ไม่ได้ แจก questionaire ก็ไม่มีคนทำ

จริงเหรอเนี่ย...
ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่า แต่ไหว้แล้วงานไหลลื่นทุกครั้ง ลืมจุดทีไรก็ติด ๆ ขัด ๆ ต้องวกรถไปจุดธูปที่วัดช้างค้ำใหม่

อื่ม...
ถ้างั้นก็จุดดิ...
แค่ธูปเอง ไหว้ไม่นานด้วย ไม่ได้เสียหายอะไร

ปีสาม

แก่แล้วนะ เป็นรุ่นพี่ปีสุดท้ายแล้ว มีน้องๆ คนใหม่ ๆ เข้าเรียนที่ UCL มากมาย เรายิ้มรับ...ดีใจที่เห็นเด็ก ๆ สดใส มีความสุข เราก็มานั่งทำงานหัวฟูต่อไป

ปีสามเป็นปีที่เรียนน้อยมาก แต่งานเยอะสุด ๆ วัน ๆ หมดไปกับการเข้าห้องสมุด ส่วนเสาร์ อาทิตย์ ก็เก็บเอาไว้นอน แล้วก็เอ้อระเหยเล่น msn แต่อย่างน้อยก็ยังดี ที่ปีนี้...ไม่ต้องลงปฏิบัติมากมายเหมือนปีหนึ่ง มือที่ด้าน ๆ เริ่มนุ่มขึ้น แต่ก็คงนุ่มไปได้อีกไม่นาน ช่วงที่ต้องลงปฏิบัติตอน ป. โท ก็คงด้านอีกรอบล่ะ -___-"

ไม่เป็นไร ชินแล้ว...

เอ...จะมีใครเลือกผู้หญิงที่มือด้าน ๆ มั่งมั้ยคะ
แบบว่ามือทำงานไง หุหุ

สมัยก่อนเค้าว่า แม่สามีเลือกลูกสะใภ้ที่มือไม่นุ่มนิ่ม เพราะถือว่าทำงานไม่เป็น เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ประเด็นแล้วมั้ง...จ้างคนทำก็ได้ เฮ้ย...แล้วงี้เราจะขายออกเรอะ 23 ฝน 23 หนาว เข้าไปแล้ว

สงสัยต้องประกาศ

" ซักผ้า รีดผ้า ถูบ้าน ทำความสะอาดบ้าน เปลี่ยนหลอดไฟ ล้างจาน ได้หมดเลยนะคะ
เสียอย่างเดียว ทำอาหารไม่เก่ง เอิ๊ก...ขาดเสน่ห์ปลายจวักอย่างแรง "

ปีนี้เริ่มห่วงเรื่องขึ้นคานเป็นพิเศษ เพราะรู้ ว่าตัวเองเป็นคนใช้เวลานานในการตัดสินใจ
ตอนนี้ 23 สมมติว่าดูใจ 3 ปี 26 กว่าจะได้แต่ง กว่าจะมีลูก เอิ๊ก...แก่ตายพอดี แม่ชอบเอาดวงข้าพเจ้าไปให้หมอดู สงสัยคิดว่าลูกอยู่เมืองนอก ไม่มีโอกาส ปีนี้ก็ดูไป 2 หมอ...

"มีแน่ ๆ ปีนี้มีดวงแต่งงาน ระวังตัวด้วย" (เอ่อ หมอ...หนูจะระวังยังไงล่ะ)

"ปีนี้มีสองคนนะคะ อายุมากกว่า อายุเท่ากัน เป็นได้ทั้งคนต่างชาติ และคนไทยค่ะ"

(จริงอย่างที่พี่ปุณว่า พูดอย่างงี้มันก็เหวี่ยงแหรวมไปหมดเลยสิเคอะ ไทยก็ได้ ต่างชาติก็ได้ แถมยัง range กว้างตั้งแต่ 23 ขึ้นไปอีก ถ้ามีคนเข้ามามากกว่าสอง ก็อาจจะเป็นเพราะว่าที่เหลือไม่ใช่คู่ แค่สร้างบุญกรรมร่วมกันมา)

เฮ้อ...ตกลงจะเจอไม่เจอเนี่ย ช่างมันเถอะ...ขี้เกียจวิ่งตามหาแล้วค่ะ ขออยู่เฉย ๆ ไปก่อน ถ้าจะมีคนเข้ามาก็มีเองแหละ

ปีนี้ติดพี่สาวในอินเตอร์เนตคนหนึ่งมาก บอกชื่อดีมั้ยน้อ...ไม่บอกก็ได้ ถ้ามาอ่าน เค้าก็รู้ตัวแหละ เวลามีปัญหา ไม่สบายใจอะไร ก็ได้พี่สาวคนนี้คอยคุยด้วยตลอดเลย บางที แค่รู้สึกว่ามีคนรับฟัง...ก็โอเคแล้ว

ปีนี้ความเครียดมันก่อตัวขึ้นมา ทั้งที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผล ทั้งที่บอกสาเหตุได้ และบอกสาเหตุไม่ได้

ขอบคุณมาก ๆ ...ที่คอยรับฟังทุก ๆ อย่าง โทรมาหาเมื่อหายหน้าไปนาน แล้วก็ความห่วงใย
ยิ้มไม่เคยมีพี่น้อง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากมีพี่สาว ดีใจจังที่ได้รู้จักกัน รู้สึกดี ๆ นะ ^^ กลับไปไปกินติ่มซำกันเถอะ อิอิ


ปีนี้ย้ายออกจากหอมาอยู่บ้าน ก็วุ่นวายนิด ๆ ตามประสาคนจากต่างครอบครัว ต่างการเลี้ยงดูมาอยู่รวมกัน ทำให้คิดว่า...ปีหน้า ป.โท ปีสุดท้ายในอังกฤษ ขออยู่หอละกัน สบาย ๆ หน่อย

แล้วก็เริ่มคิดว่า...บางทีการอยู่ก่อนแต่งก็เป็นไอเดียที่ดี ^^ จะได้เรียนรู้นิสัยก่อนจะแต่งงาน มีอะไรรับได้ รับไม่ได้ จะได้รู้ตัวก่อน หุหุ

ปีนี้ไม่ค่อยมีความก้าวหน้าเท่าไหร่
งาน: เหมือนเดิม
ชีวิต: โดยรวมก็ไม่ต่างอะไรจากปีสองมาก
บุญ: ปีนี้ตั้งกองผ้าป่า กับแจ๋ม ไม่ง่ายเลยนะเนี่ย ตอนปิดเทอมก็ต้องพิมพ์โครงการ เอาไปส่งโรงพิมพ์ ทะยอยแจกซองอีก เพื่อน ๆ เราก็ Atheist กันเยอะเหลือเกิน แต่ก็ดีใจ...ที่อุตส่าห์ร่วมทำบุญกันอยู่ จริงๆ แล้วไม่ได้หวังว่าจะได้ถึงแสน แต่เอาเข้าจริงได้ สองแสนกว่า...

สาธุ
มอบให้สถานปฏิบัติธรรมเอาไปสร้างรั้วต่อไป จริง ๆ โรงครัวเร่งด่วนกว่า แต่มีคนมารับจะสร้างให้แล้ว ก็คงจะโอเคล่ะมั้ง ที่เหลือเก็บฮอมไว้สร้างบ้านร่มธรรม ที่จะขึ้นที่ลำพูนต่อไป

ถึงตอนนี้เริ่มคิด...ถึงจะขายไม่ออกจริงๆ ชีวิตเราก็มีเป้าหมาย...พิพิธภัณฑ์ กับ บ้านร่มธรรมไง อ้า..ไม่เลว อุทิศชีวิตให้พุทธศาสนาไปเลย

ป.ล. ขอขอบคุณเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่อุทิศชื่อมาเป็นกรรมการผ้าป่า และร่วมทำบุญ พร้อมกระจายซองให้ ยิ้มไม่เคยทำผ้าป่ามาก่อน ไม่ค่อยรู้หรอกว่าต้องทำยังไง แต่เมื่อได้ผลน่าชื่นใจอย่างนี้...
.
.
ก็มีกำลังใจตั้งกองต่อ ๆ ไป อิอิ

พูดเล่นนะคะ
ต่อไปจะหล่อพระประจำวันอังคาร กับ พระวันพฤหัสค่ะ ส่วนคนที่เกิดวันที่เหลือ อยากร่วมทำบุญ พระบรมครูก็ได้นะคะ ใครสนใจก็บอกด้วย หล่อทองต้นเดือนกรกฎาคมค่ะ

เวลาผ่านไปไวเหลือเกิน...ปีนี้ผ่านไปไวมาก ๆ ไม่ทันตั้งตัวก็ปลายปี เพื่อน ๆ จะกลับประเทศกันหมดแล้ว T_T เพื่อนที่ตั้งใจว่าจะมาหาที่ลอนดอน เอาเข้าจริงปีนี้ มาไม่ได้สักคน แต่คนที่ไม่ได้คิดว่าจะมา กลับมากันแฮะ

ดีใจ..ที่เพื่อนสนิทคนหนึ่งมาเรียนต่อที่ลอนดอน
ไม่เอ่ยชื่อนะ ถ้าเข้ามาอ่านก็รู้ตัวเอง

ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่ได้เดินริมแม่น้ำเทมส์ด้วยกัน ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ซื้อของใน China town ด้วยกัน เพราะคิงมัน โปรอเมริกามากกว่านี่หว่า...

แต่ว่า...เวลามีปัญหาอะไรช่วยบอกกันหน่อยได้ไหม ไม่สบาย ก็ช่วยบอกกันหน่อย
เหงา/ ดาวน์ ก็ช่วยบอกกันหน่อย อย่าเอาแต่ "ไม่บอกหรอก เพราะรู้ว่าบอกแล้วคิงต้องมา"

แหม..พูดออกมาได้ -___-" ถ้างั้น คิงจะมีเพื่อนเอาไว้ทำอะไรล่ะ A friend in need is a friend indeed ไม่ใช่เหรอ

(หมายเหตุ: คิง = สรรพนามบุรุษที่ 2 ใช้ในบริบทที่คล้าย ๆ กับคำว่า แก )

ที่ไม่คาดคิดอีกเรื่องก็คือ มีพี่ชายอีกคนหนึ่งถูกส่งมาทำงานที่ลอนดอนเหมือนกัน

"เดี๋ยว มกรานี้พี่ไปทำงานที่ลอนดอนนะ 10 อาทิตย์"

"ฮ้า...จิงดิ"

รายนี้ก็โปรอเมริกา เอ๊ยไม่ใช่ ไปอเมริกาบ่อย ๆ

ใครจะไปคิด ว่าปีนี้...คนสองคนที่แนวโน้มว่าจะไปอเมริกา กลับมาอังกฤษหมดเลย...แล้วคนบางคนที่ชอบให้วางแผนเก้อน่ะ ฮึ่ม...จำเอาไว้

ปีนี้ไม่มีเพื่อนไป แบ็คแพคแล้วสิ ไปคนเดียวก็ได้

ปีนี้ก็มีเท่านี้ล่ะมั้ง
วันนี้เป็นอย่างนี้
อนาคตจะเป็นยังไงก็ไม่รู้
ปีหน้าไป York น่ะ ใช่แน่ ๆ
แต่ว่าหลังจากนั้นล่ะ

highly likely เป็นอาจารย์ชัวร์ ๆ
กำลังคิดอยู่ ว่าเด็กจะเชื่อฟังมั้ย
เกิดวันหนึ่งเด็กนักเรียนมาเห็นบลอกนี้เข้า แหม...อาจารย์ศศิษยาก็พล่ามไว้เยอะพอสมควร
หรือไม่ก็...เด็กไปอ่านนิยายที่โพสต์เอาไว้ในพันทิป...

เอ่อ...
แต่ละเรื่องก็ รักหวานแหววเหลือเกิน

ท้อหรือกลัวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงก็คงไม่ได้
ยิ้ม...แล้วเดินต่อไปจะดีกว่า
ว่าแล้วก็ไปกรอกใบสมัครหอที่ York
เลือกห้องขนาดกลางนะคะ เห็นว่ามีเตียงเสริมให้ด้วย

ปีหน้ายินดีต้อนรับเพื่อน ๆ ทุกคนค่า....แต่อย่าขนกันมาเยอะนะคะ
ขอดูขนาดห้องก่อน

ไปล่ะ
ปิดท้ายได้ไม่ซึ้งเลย...

ก็ง่วงนี่นา ทำงานในห้องสมุดมาทั้งวัน หุหุ

...........................................................................................................

จบแล้วชีวิต 3 ปีในลอนดอน ตอนนี้ก็ผ่านวันสุดท้ายในลอนดอนมาแล้วเกือบ 2 ปี บางเรื่องก็เป็นไปตามที่คาด บางเรื่องก็ไม่เป็นไปตามที่คาด เช่นพอมาอยู่ยอร์คจริงก็ไม่ได้จองห้อง medium แต่จองห้อง standard และกว่าจะได้มาก็แสนเข็ญ หรือพอมาเรียนโทก็กลับไม่ได้ขุดเลย แต่ได้ลงภาคสนามแบบอื่นแทน หรือแม้กระทั่งตอนนี้...อิฉันก็ยังไม่ได้กลับไปเป็นอาจารย์ แถมยังต้องมานั่งเรียนเอกอีก

เฮ้อ...แต่อ่านแล้วก็มีกำลังใจทำงานต่อไป หุหุหุ
เพราะอ่านแล้วก็ระลึกได้ว่าถึงบางครั้งมันจะทุกข์ ช่วงเวลาแห่งความสุขก็ยังพอมี

ตอนเรียนตรีปี 1 เราก็ทรมานเหมือนกัน...

ไปล่ะ ไปทำงานต่อ

แล้วมันคล้ายๆ เหมือนดังก่อนเก่ามา...ฉันยังต้องไขว่คว้า หาสิ่งที่สุขสันต์
คง...มีสักวัน ที่ฉันจะสมใจ....อิ่มเอม

(เพลงค่ะเพลง เปิดไปฟังได้ที่หน้า music)