วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2551

ลมเหงา

ลมใด...ยะเยือกใจเท่าลมเหงา
ที่หอบเอาความกำสรวลและหวนหา
ให้คืบคลานแทรกผ่านเนื้อกายา
ร้าวเหน็บเจ็บจนชาหาใดปาน

ลมเบาเบาที่พัดเป่าความอบอุ่น
กรุ่นละมุนให้จำพรากจากสังขาร
ทิ้งไว้เพียงร่างเก่าเงาแห่งกาล
ให้โดดเดี่ยวเนิ่นนานผ่านวารวัน

กิ่งไม้ไหวโยกโบกสะบัด
ก่อนกลับสู่ความสงัดแห่งห้วงฝัน
หวนคำนึงถึงแสงดาวพราวแสงจันทร์
รัตติกาลโปรดผ่านผันสู่วันใหม่

เหตุใดหนอ...ค่ำคืนนี้จึงยาวนัก
หากเฝ้ารอลมแห่งรักจักได้ไหม
ช่วยพัดพาลมเหงาให้จางไป
ช่วยประโลมดวงใจให้หายตรม

เพราะลมเหงาฝังความเศร้าในใจฉัน
อีกเฝ้าเพาะเมล็ดพันธุ์ความขื่นขม
จนเกิดดอกออกผลแห่งความระทม
เชิญสิลม...มาเชยชมให้สมใจ

ใช่อยากให้ลมเหงาเคล้ากายา
แต่หามีฤทธามาสู้ได้
พอรู้ตัวก็ถึงคราต้องปราชัย
ตกอยู่ใน..โลกเหงาเหงาเศร้าเหมือนเดิม

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2551

ปี๋เก่าก็ล่วงไปแล้ว ปีใหม่แก้วก็มาฮอดมาเติง


Rating:★★★★
Category:Other
ไม่ได้สำเหนียกว่าล่วงเข้าเดือนเมษายนเลย จนกระทั่งเหลือบไปเห็น updates มันบอกว่า พี่ยุงจะปิ๊กบ้านปี๋ใหม่เมือง ที่เชียงใหม่ โอ้...เช้านี้เรายังนึกถึง April Fool Day อยู่ กำลังวางแผนว่าจะไปหลอกใครดี ไม่ได้นึกเลย ว่าเวลานี้ของปีก่อนๆ เราทำอะไร หรือเตรียมจะทำอะไร

ไม่ได้เล่นสงกรานต์มานานมากแล้วนะคะ ทั้งที่กลับบ้านช่วงอีสเตอร์บ่อยอยู่ เหตุเพราะมักจะมีสอบหรือ presentation ตามมาช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นประจำ ก็เลยไม่กล้าที่จะออกไปเล่นสงกรานต์หัวหกก้นขวิดอยู่ริมคูเมืองเหมือนสมัยม.ต้น หรือม.ปลายได้ แหม...ก็น้ำคือ (น้ำคู) ของเวียงเจียงใหม่นี่...สะอาดเสียที่ไหนกัน วันแรกๆ ก็ยังพอทนได้ แต่วันหลังๆ นี่ขุ่นคลั่กได้ใจสีอย่างกับกาแฟเลยทีเดียว เพราะว่าคนที่ยืนเล่นอยู่บนฟุตบาทสาดน้ำโครมมมม ใส่คนบนถนน น้ำไหลลงบนพื้น ชะล้างโคลนทราย ลงท่อระบายน้ำ แล้วก็กลับลงไปในคูเมืองอีกที เย่....เล่นๆ ไปอาจติดเชื้อในปอด เป็นหวัด เป็นไข้ ไม่สบายได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีอะไรสำคัญๆ ก็อยากจะเสี่ยงอยู่หรอก แต่ถ้าเข้าห้องสอบไม่ได้นี่ ตาย ๆ ๆ ๆ ๆ หยังเขียด

ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ อากาศเมืองไทยก็ร้อน (แต่ที่อังกฤษยังหนาวอยู่ แม้จะอุ่นขึ้นมา 10% ก็ตาม) เรามาทำให้มันร้อนขึ้นด้วยการ 'เผา' ตัวเองกันดีกว่า ว่าเคยมีประสบการณ์ขำๆ หรือเปิ่นๆ เกี่ยวกับสงกรานต์อะไรกันบ้าง ช่วยๆ แชร์กันหน่อยนะ ^ ^' ไม่อยากเผาตัวเองคนเดียว

อ่ะ แต่อย่างไรก็ตาม เป็นทัพหน้าเผาตัวเองก่อนละกัน

1. จะเล่นน้ำก็เล่นไปให้ตลอดนะ

ตอนเด็กๆ จะไม่ค่อยได้ไปเดินเล่นน้ำคูเท่าไหร่ แบบว่ายังไม่บูมด้วย แล้วก็ยังเด็กเกินไปกว่าที่จะรับอะไรแรงๆ อย่างนั้นด้วย การเล่นน้ำสงกรานต์ส่วนมากในวัยเด็กจึงเป็นการเล่นน้ำกับญาติพี่น้องบนท้ายรถกระบะมากกว่า แต่แบบนี้...โหย เจ็บกว่าเล่นธรรมดาหลายเท่านะคะ เพราะรถมันแล่นเร็ว แล้วคนสาดน้ำก็สาดแรงมาก โดนสาดเข้าไปข้างหลังนี่ แสบถึงหัวใจเลยทีเดียวเชียว

แต่ก็ไม่เคยเข็ด...เจ็บๆ นี่ ชอบนักแล พอมีญาติคนไหนขับรถกระบะมาทีไร ก็เรียกร้องให้มีการตระเตรียมถังน้ำมัน 100 ลิตร กะละมัง ขันน้ำ อุปกรณ์พร้อมชุดใส่ท้ายรถ ออกไปเล่นน้ำเสียทุกครั้งไป แล้วยิ้มก็กระโดดขึ้นรถ พร้อมกับลูกพี่ลูกน้องผู้ชายอีกคน ที่วัยไล่เลี่ยกัน บ้าพอๆ กัน ถูกจับไปปล่อยสวนพร้อมๆ กัน กระดี๊กระด๊ากันใหญ่

"ยิ้มกับ น้อง xx (นามสมมติ ^ ^') ยังเด็กอยู่เลย มานั่งข้างหน้านี่" ท่านแม่เองแหละค่ะ ส่งเสียงดุมาเชียว
"ไม่เอา ยิ้มจะเล่นน้ำ จะนั่งหลัง" รีบแย้งเสียงดังกว่า กลัวอดเล่นน้ำ
"มันหนาวมากเลยนะ เล่นกันแรงด้วย"
"หูยย ไหวอยู่แล้ว"
"ถ้าเล่นก็เล่นไปให้ตลอดนะ"
"แน่นอนอยู่แล้ว"
"ไม่งอแงจะมานั่งข้างหน้านะ"
"ไม่มีอยู่แล้ว"

พอรับคำมั่นเหมาะแล้ว รถกระบะที่บรรทุกคนจนเต็มค่อยๆ ก็เล่นไปเรื่อยๆ รถแล่นออกจาก ต. ป่าซางเข้า ต. ท่าลี่ ไปไกลขึ้นๆ ๆ ๆ ๆ เข้าลำพูน น้ำหมดต้องขอเติมจากข้างทางครั้งแล้วว ครั้งเล่า วกกลับมาเรื่อยๆ เวลาผ่านไป รถแล่นไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพอถึงตรงจุดที่ถนนโล่ง ไม่มีคนสาดน้ำกัน ลมเย็นธรรมดาๆ ที่กระทบผิวกายก็กลายเป็นเย็นเจี๊ยบขึ้นมาทันที เด็กซ่าๆ สองคนที่กระโดดโลดเต้นแต่ทีแรกค่อยๆ ถอยหลบลงไปนั่งอยู่ตรงมุมกระบะรถ หนาวสั่นเป็นลูกหมาตกน้ำ คู้ตัว ชันเข่า สั่นพั่บๆ ฟันกระทบกันกึกๆ ๆ คุณผู้อ่านอาจจะคิดว่ามันคงไม่หนาวขนาดนั้นหรอกหรอก แดดร้อนจะตาย โห...ลองเปียกชุ่มโชกทั้งตัวทั้งผมแล้วนั่งรถให้ลมกระแทกแรงๆ สิคะ แล้วจะถอนคำพูด

จนในที่สุดพี่ป้าน้าอาที่อยู่กระบะหลังต้อง เคาะให้รถหยุด เพราะไอ้ลูกหมาสองตัวคงจะทนไม่ไหวแล้วแน่แท้ ปากเริ่มซีด มือเริ่มเหี่ยว ท่านแม่รอบคอบมาก เตรียมเสื้อผ้าแห้งๆ มาพร้อมสรรพ ยิ้มกับน้อง xx ก็จำต้องปีนลงกระบะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างรถก่อนที่จะยินยอมไปนั่งด้านหน้าโดยไม่มีข้อโต้แย้ง อายก็อาย แต่ไม่สนล่ะวะ มันหนาวนี่

จ๋อยไปเลย หนาวจนพูดไม่ออก เสียหน้าเลยจริงๆ (แต่ก็ดีกว่าปอดบวมแหละวะ)

ป.ล. ถ้าน้องบุ๋มเข้ามาอ่านแล้วสงสัยว่าทำไมไม่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ ขอบอกว่า ตอนนั้นหนูยังไม่เกิด ^ ^ หุหุ

2. Anger Management

โตขึ้นมาหน่อยก็ยังนิยมเล่นน้ำท้ายกระบะรถ แต่ย้ายมาเล่นที่เชียงใหม่กับเพื่อนๆ ตอนม.ต้น ก็อยู่โรงเรียนหญิงล้วนน่ะนะ รถทั้งคันมีแต่สาวๆ เป็นเป้าหมายของพวกหนุ่มๆ และขี้เมาดีนักแล เดี๋ยวมาหยอด เดี๋ยวมาแซว เดี๋ยวเอาแป้งมาโปะ เดี๋ยวเอาน้ำแช่น้ำแข็งเย็นเจี๊ยบบบ มาสาด (อันนี้เกลียดมาก) นิดๆ หน่อยๆ ก็พอไหว มากขึ้นๆ ก็เริ่มโกรธๆ ๆ ๆ ถึงขีดสุด

ตอนนั้นยังจัดการความโกรธของตัวเองได้ไม่ดีเท่าไหร่ โกรธทีไรหน้ามืดตามัว เห็นช้างเท่าหมู มีอยู่ครั้งหนึ่ง รถติดอยู่ใกล้ๆ กับร้านขายอาหาร ยืนอยู่ดีๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีคนเอาปืนฉีดน้ำมาฉีดจ่ออยู่ได้ เจ็บนะว้อย ก็เลยหันไป

"รถก็ติดอยู่นานแล้วนะ ฉีดมาตั้งนานละ ไม่เล่นแล้วค่ะ"

ก็ไม่เห็นว่าจะหยุด คราวนี้เปลี่ยนที่ฉีดจากลำตัวมาเป็นฉีดใส่หน้า + คอ เข้าตาอีกต่างหาก

"ไม่เล่นแล้วน..."

คราวนี้เข้าปากเลยค่ะ ยังพูดไม่ทันจบเลย น้ำอะไรก็ไม่รู้ เกิดเชื้อโรคเข้าร่างกายล้มป่วยไปล่ะ โอ๊ยยยยยย ย้ากกกกกกกกก ลมขึ้น โกรธ ๆ ๆ ๆ ๆ คว้าเอาขันมาตักน้ำสาด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ใส่คนยิงปืนฉีดน้ำนั้น

ขันแล้ว ขันเล่า ไม่มีเหนื่อย พวกนั้นกำลังนั่งกินข้าวอยู่พอดี กะเอาให้อาหารเปียก กินไม่ได้ไปฟากหนึ่งเลย แต่ว่าสาดยังไงก็ไม่โดนโต๊ะอาหารซักที ไอ้ยิ้มก็เลยพยายามสาดให้แรงขึ้น ๆ ๆ ยิ่งโกรธก็ยิ่งสาดแรง ทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มี จนในที่สุด

เฟี้ยวววววววววว

ขันบิน

= ='

โผละ....

กลางวงข้าวสมใจ แต่เราก็สูญเสียขันไปด้วย แล้วจะเอาอะไรมาสู้ต่อล่ะเนี่ย อยากแทรกแผ่นดินหนีจริงๆ เลย

คนในกลุ่มนั้นเลยหัวเราะ กิ๊วก๊าวกันใหญ่ หยิบเอาขันมาคืน แต่ก่อนจะคืนก็เอาน้ำแช่น้ำแข็งเย็นๆ มาสาดข้าพเจ้าเต็มๆ ถังเลยอีก 1 ถัง โดยอ้างว่าเป็นค่าเอาขันมาคืน

ฮือ ๆ ๆ ๆ
มีใครรับซ่อมหน้าแหกๆ บ้างมั้ยคะ

นึกออกแค่นี้อยู่ ไว้นึกออกต่อมาเล่าใหม่นะคะ