วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2550

กิ่วแม่ปานเกือบจะเหมือนเดิม ที่มีเพิ่มคือ....




ครั้งสุดท้ายที่ได้ไปเดินเล่นที่กิ่วแม่ปาน เส้นทางศึกษาธรรมชาติบนดอยอินทนนท์ก็ 10 ปีก่อนแล้วค่ะ (ไม่ถึงก็เกือบๆ ล่ะนะ T-T) ภาพความสวยงามและความเป็นธรรมชาติยังติดตา ก็เลยอยากจะไปอีก อยากจะไปอยู่เรื่อยๆ ปรารถนาอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที เพราะ นาน น้านนนนนน จะมีโอกาสกลับบ้านตอนฤดูหนาว ปีนี้เลยเป็นฤกษ์งามยามดี ได้แวะเวียนไปเยี่ยมเส้นทางที่เคยชอบมากๆ ในอดีต

เพื่อนๆ ติดธุระกันเสียเยอะ บ้างก็ขี้เกียจเดิน ผลสุดท้ายเหลือสมาชิกร่วมทริปเพียง 3 คนคือ เจษ (หนุ่ม consulting ไฟแรง) โอ๋ (คุณหมอสาวแสนสวย) และ ยิ้ม (เอ่อ...ไม่มีคุณสมบัติอะไรให้เชิดหน้าชูตาเท่าไหร่ เอาเป็นว่า มันคือเจ้าของบล็อกก็แล้วกัน)


ยิ้มและหมอโอ๋



เจษ


เรื่องของเรื่องคือ หมอโอ๋กับยิ้มอยากไปรำลึกอดีตอันแสนหวานบนยอดดอย แต่ไม่มีคนขับรถให้ ขับรถขึ้นดอยไม่เป็นกันซะด้วยแฮะ บังเอิญได้รู้ว่าคุณเจษกลับมาเยี่ยมบ้าน และว่างพอดี...จึงต้องรับกรรม เอ๊ย...รับเกียรตินี้ไว้

ตกลงกันว่าจะออกเดินทางตอน 7 โมง ให้คุณเจษมารับอิฉันที่บ้าน และแวะไปรับหมอโอ๋ที่ รพ. (เมื่อคืนชีเข้าเวรดึกน่ะค่ะ) เสร็จแล้วก็ออกเดินทางได้ คุณเจษคงรู้สึกมึนงงในจำนวนเสบียงที่อิฉันถือมาเล็กน้อย แต่พอคุณหมอโอ๋เห็นก็ยิ้มแป้น เพราะว่า...เคยไปเที่ยวด้วยกันมาแล้วหลายๆ ที่ ไปทีไรก็หอบเสบียงที่ล้นหลามกว่าจำนวนคนไปประมาณ 2.5 เท่าเยี่ยงนี้แหละ

ตอนเช้าแวะเติมพลังข้าวมันไก่ที่จอมทอง อันที่จริงก็มีร้านอื่นที่ดูดีกว่านั้นมาก แต่ด้วยความช่างเลือก โน่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่เอา ผลสุดท้ายเลยหมดทางเลือก ต้องกินร้านสุดท้ายก่อนขึ้นดอยนั่นแหละ กินอาหารเช้าเสร็จก็หาเสบียงเพิ่ม (- -' ) อันได้แก่ ไก่ทอด 3 ชิ้น ข้าวเหนียว ขนมขบเคี้ยว น้ำ คุณเจษมองมาด้วยสายตาประหลาดๆ แต่ก็ไม่กล้าหือ เอ๊ย ไม่ได้พูดอะไรตามมารยาท แล้วก็เป็นคนจ่ายค่าไก่ไป มาถึงเชิงดอยอินทนนท์ ยิ้มก็แวะซื้อมะม่วงอีก 2 ลูก หมอโอ๋ยิ้มร่า แต่คนขับคงเริ่มคิดในใจ ว่าตกลงมันจะมาเดินป่าหรือมาปิคนิคกันแน่นะ

มาถึงทางเข้ากิ่วแม่ปาน..โอ้โห นี่เรามาถูกที่จริงเหรอเนี่ย...จากเดิมที่ไม่มีอะไรเลย มีแค่ลานลูกรังกว้างๆ ให้จอดรถ ตอนนี้เป็นลานจอดรถลาดยางกว้างขวาง มีร้านค้ามากมาย ห้องน้ำอีก 2 หลัง และที่สำคัญ...เส้นทางเดินป่านี้ ไม่ฟรีอีกต่อไปแล้วค่ะ จากเดิมที่เคยเดินได้ตามอัธยาศัย เดี๋ยวนี้ต้องจ้างไกด์นำทางสนนราคา 200 บาทต่อกลุ่ม จริงๆ มันก็ไม่แพงหรอกนะ แต่ด้วยความแปลกใจ...ก็เลยอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้

ยิ้ม:"เอ๊ะ เมื่อก่อนเคยมาแล้ว ตอนนั้นเดินเองก็ได้นี่คะ"

แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความอึ้ง...

เจ้าหน้าที่: "ทำไมไม่ศึกษามาก่อนล่ะครับ จริงๆ ก็เคยมีหลายๆ คนมาอ้างว่าเคยมาเดินเองเหมือนกัน บางคนก็บอกว่า 4 รอบ 5 รอบ แต่เราก็ไม่เชื่อ เส้นทางนี้มันเดินเองไม่ได้"

เอ...พูดอย่างนี้ก็แปลว่า

ยิ้ม: (ปรี๊ดดดดดด ปรอทจะแตก นี่หาว่าพวกฉันมาแอบอ้างอย่างนั้นเรอะ เคยมาจริงๆ โว้ย เอ๊ย จริงๆ นะ รูปภาพเก่าๆ เป็นพยาน แหม น่าเสียดาย ถ้าพกมา ก็จะโชว์ให้เห็นกันจะจะไปเลย) "ก็เมื่อก่อนเคยมา ไม่เห็นจะต้องใช้ไกด์เลยนี่ จะรู้ได้ยังไงล่ะคะ ก็คิดว่าทุกๆ อย่างมันจะยังเหมือนเดิม ตอนที่มาครั้งแรกยังไม่มีร้านค้า ไม่มีลานจอดแบบนี้ด้วยซ้ำ สำนักงานนี่ก็ไม่มี"

เจ้าหน้าที่: "งั้นก็แปลว่า เมื่อก่อนก็เข้ามาเพื่อถ่ายรูปอย่างเดียวเลยสิครับ"

ยิ้ม: (ปรี๊ดดดดด รอบสอง นี่คิดว่าคนมาเดินจะไม่สนใจศึกษาความเป็นไปรอบๆ ตัวเลยหรือไง มาถึงก็ถ่ายรูปกับสถานที่แชะๆ ๆ ๆ ๆ แล้วก็ไปเหรอ ไม่อยากจะบอก ตอนนั้นท่านพ่อใช้เส้นทางนีเป็นห้องเรียนสอนวิชาชีววิทยา และภูมิปัญหาชาวบ้านให้เด็กหญิงยิ้มเลยด้วยซ้ำ อยากจะเถียง แต่ก็พูดออกไปแค่) "ตอนนั้นมันก็มีป้ายข้อมูลแทบจะทุกที่เลยนี่คะ เดินผ่านก็อ่าน ไม่ได้ผ่านเฉยๆ"

ไม่ได้โกหก มันเคยมีป้ายจริงๆ ถึงตาน้ำก็มีป้ายบรรยาย ถึงป่าดิบเขาก็มีป้ายบรรยาย อ่านไปได้ความรู้ เชิดชูปัญญาดีออก

เจ้าหน้าที่: "เราเปลี่ยนระบบแล้วครับ"

แอบจี๊ด...ความจริงที่เขาก็พูดไม่ผิด ทำไมเราถึงไม่ศึกษาก่อน แต่เราจะรู้ได้ยังไงล่ะ ก็คนมันเคยเดินได้ตามอัธยาศัย เราไม่รู้เขาก็น่าจะพูดด้วยดีๆ นะ ไม่น่าจะใช้วาจาแบบนี้ แล้วมองด้วยสายตาเหมือนเรามาหลอกเพื่อให้ได้เข้าไปเดินฟรี ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเหมือนนักท่องเที่ยวฉาบฉวยคนหนึ่ง

"เราเปลี่ยนระบบแล้วครับ ถ้าไม่มีคนเข้าไปด้วย นักท่องเที่ยวบางคนก็ทิ้งขยะ ก็เด็ดดอกกุหลาบ เส้นทางมันจะเสื่อมโทรม"

เออ...ก็พูดอย่างนี้เสียตั้งแต่ทีแรกสิคะ ค่อยฟังดูมีเหตุผลหน่อย ไม่ใช่ว่าโผล่มาก็หาว่าเราแอบอ้างบ้าง หาว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวที่สักแต่ว่าถ่ายรูป ไม่รู้จักเรียนรู้บ้าง เฮ้อ...

เจ้าหน้าที่: "ถ้าจะไม่จ้างไกด์ ก็ไปเดินที่อ่างกาสิครับ ง่ายๆ ดี เดินเองได้"

เอ่อ...คุณขา อ่างกา...อิฉันเดินมาแล้วประมาณเกือบ 10 รอบ เดินมาตั้งแต่ยังไม่มีสะพานไม้ให้คนเดินด้วยซ้ำ ครั้งแรกๆ ต้องไต่รากไม้ที่สานเกี่ยวพันเป็นตาข่ายคลุมดินเอา รองเท้าเปื้อนโคลนเพราะมันเปียกชื้น มาครั้งหลังๆ นี้กลายเป็นสะพานไม้หมดแล้ว แต่ก็ยังสวยอยู่

จึงออกมายืนสงบสติอารมณ์ข้างออฟฟิศ หลังจากเจอถ้อยคำแฝงนัยยะว่า

"แกไม่ศึกษามาก่อน"
"แกมาแอบอ้างว่าเคยเดินฟรีเรอะ หนอย โกหกหน้าตาย ไม่เชื่อหรอก"
"ถ้างกก็ไปเดินของฟรีเลยไอ้น้อง ง่ายกว่าด้วย"
"เพราะเข้าไปก็คงจะแค่ถ่ายรูปเฉยๆ ไม่ได้เรียนรู้อะไรหรอก"


(นี่สรุปบทสนทนามาคร่าวๆ นะ จริงๆ มีปรี๊ดกว่านี้อีก ส่วนโทนในการพูด...อิฉันพยายามพูดให้เรียบที่สุด เหมือนกำลังชี้แจงอยู่ทั้งที่กำลังเดือดปุดๆ เกรงใจคนอื่นง่ะ)

กรี๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ
ถ้าเป็นนางเอก (ที่ติดร้าย) ในนิยายก็อาจจะโวยวายให้ตายไปข้างหนึ่ง แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ขืนทำอย่างงั้นอาจจะโดนเหวี่ยง และคงไม่ได้เข้าไปเดินเอ้อระเหยชมธรรมชาติเป็นแน่แท้...

"พี่ครับ"

หนุ่มน้อยหน้าใสเรียกขึ้นจากทางเบื้องหลัง พร้อมกับรอยยิ้มกระจ่าง
คำพูดไม่กี่คำของเขา...ทำให้อารมณ์ที่ร้อนรุ่มของเราสงบลงไปได้


ไม่ใช่ค่ะ มันไม่ใช่นิยาย อิฉันไม่ได้สงบเมื่อหันไปยังต้นเสียงและตะลึงงันเมื่อเห็นว่าใครเป็นผู้พูด แต่ที่สงบลงได้เพราะสิ่งที่ตามมาก็คือการประสานประโยชน์ในชีวิตจริง...

หลังจากนั้น พวกเราก็เลยจัดแจงรวมกลุ่มกับนักท่องเที่ยวขาจรอีก 2 คนที่มาจากกรุงเทพฯ เพื่อจ้างไกด์เข้าไป (หารกันนั่นเอง) ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาถึงก็ควรเดินเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นก็จะมาเสียเที่ยว จริงๆ เขาบอกว่ามีทางเดินอีกหลายเส้นทาง แต่ว่าเวลาไม่พอ เพื่อนๆ ก็โตๆ มีงานรับผิดชอบกันหมดแล้ว จะหาวันว่างทีนี่ก็ยากแสนยาก วันนี้กะจะเลือกเดินเส้นทางนี้เพราะรวบรวมความเป็นป่าดอยอินทนนท์ไว้ได้มากในระยะทางสั้นที่สุด ก็หมอโอ๋เล่นว่างแค่วันเดียวนี่คะ

หลังจากเข้าไปข้างในแล้ว พบว่าสภาพหลายๆ อย่างเกือบจะเหมือนเดิมเลย (ความชื้นลดลงไปนิดหน่อย แต่สภาพยังดูดีอยู่มาก) ทั้งป่าดิบเขา ทุ่งหญ้า ดอกกุหลาบพันปี สภาพยังดูค่อนข้างสมบูรณ์ อาจจะเพราะมาตรการส่งไกด์มาควบคุมนี่ด้วยก็ได้

แต่ว่า...

มีไกด์หรือไม่มีนี่ก็แทบไม่ต่างกันเลย คุณไกด์พูดน้อยมาก ไม่ถามก็ไม่ตอบ ตอนมาเดินกับพ่อจ๋า พ่อจ๋ายังบรรยายมากกว่าเสียอีกนะ แต่ก็เอาเหอะ...ถ้าไม่มีไกด์เราก็เข้าไม่ได้ อย่างน้อยคุณไกด็ก็แนะนำให้เรารู้จักชื่อต้นไม้ต่างๆ ระหว่างทางเดินเข้าไป เช่น ขนุนดิน ต้นก่อ อะไรเทือกนั้น

ทุ่งหญ้าและทางเดินไต่ยอดเขาเป็นส่วนที่เราชอบกันที่สุด หลายปีก่อนทุ่งหญ้าฟูฟ่องแทบจะนอนกลิ้งได้เลย ตอนนี้มันแฟบๆ ลงไปบ้าง แต่ก็ยังดูดี สดชื่น เย็นสบาย แต่ก็ใกล้ชิดกับ รังสี UV อย่างสุดแสน สีผิวตอนนี้เลยดำลงไป 10% โดยไม่ต้องใช้ tanning lotion แบบที่เพื่อนฝูงที่อังกฤษใช้กัน

ต้นกุหลาบพันปีเดียวดายไร้ดอกก็ยังโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่งหญ้า มองไปลิบๆ ตรงสันเขาเห็นคนเดินเรียงแถวมาเหมือนขบวนลูกเป็ด แหม...น่ารักดี อีกสักพักเราก็ต้องไปเดินตรงนั้นด้วยแล้ว



ต้นกุหลาบพันปีไร้ดอก โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย ก็แหม...คนมาดูเยอะขนาดนั้น




ระหว่างทางคุณเจษแอบบ่นเล็กน้อย เพราะว่ามีนัดสัมภาษณ์ intern ทางโทรศัพท์ตอน 11 โมง แต่ว่า...สัญญาณโทรศัพท์กลับหายเกลี้ยง สองสาวก็เห็นใจ...แต่ว่ายังทำท่าลั้ลลากันเหลือเกิน

ยิ่งเดินไปบนสันเขา ก็ยิ่งชอบ อากาศมันดี มองเห็นข้างล่างลิบๆ ลึกลงไป ถ้ากลัวความสูงคงขาสั่น แต่ว่าทางแถวๆ นี้ยังดีนะคะ มีหญ้าต้นสูงๆ ขึ้นริมทาง เลยรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ระหว่างเรากับเหว ที่ Arthur's seat ที่ Edinburgh ไม่มีอะไรกั้นเลย ทางก็แคบมาก ตอนนั้นจะเป็นลม (ทั้งๆ ที่เหวที่กิ่วแม่ปานลึกกว่าหลายเท่า)

ขาออก เราทำสมาชิกหายไป 2 คน
เนื่องด้วยขาจรเป็นช่างภาพ จึงดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติมากเป็นพิเศษ ดังนั้น...ทั้งคู่จึงปล่อยให้พวกเราเดินออกมาก่อน พวกเราก็พยายามเดินช้าๆ แล้วนะ โอ้เอ้ๆ ถ่ายรูปบ้าง กระโดดโลดเต้น ลดอายุลงไป 8 ปีบ้าง เส้นทางแค่ประมาณ 3 กม. ล่อไปเสียเกือบๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ท่านทั้งสองก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเดินตามมาทัน

สรุปว่า...กิ่วแม่ปานนั้นเกือบจะเหมือนเดิม
ที่มีเพิ่มคือ

1. อายุคนไปเที่ยว = =' ขาลงเดินสบาย ขาเดินกลับขึ้นนี่หอบแฮ่กๆ หายใจไม่ทัน อากาศยิ่งบางๆ อยู่ แลบลิ้นเพื่อระบายความร้อนแล้วก็ยังไม่ช่วย สงสัยหมากับคนมันคนละระบบกันนิ

2. การจัดการ อันนี้เป็นสิ่งดี เข้าใจแล้วล่ะ...ว่าถ้าไม่มีคนควบคุมเวลาผ่านมา 10 ปี อาจจะไม่เหลืออะไรไว้ให้เราดูแล้วก็ได้ และชาวบ้านก็จะไม่มีรายได้ ไม่มีความรู้สึกร่วมว่าป่าเป็นของทุกคน ไม่ใช่เป็นของกรมป่าไม้และนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่ควรเรียนจิตวิทยาการบริการมาบ้าง

3. Facility สำหรับนักท่องเที่ยว อันนี้คงจะดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาอีกเยอะ เพราะมันสะดวกสบายขึ้น จะสวยไปอีกนานเท่าไหร่หนอ...กิ่วแม่ปาน

ท่านใดสนใจก็ลองแวะเวียนไปดูได้นะคะ อยู่ตรงข้ามลานจอด เฮลิคอปเตอร์ค่ะ เดินไม่ยาก หากออกกำลังเป็นนิจก็เดินได้สบายมาก (แต่ครั้งนี้เหนื่อยหน่อยค่ะ อายุอานามไม่น้อยแล้ว ^ ^')

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2550

พรสวรรค์แห่งการฟัง

Rating:★★★
Category:Other
หายไปจากการอัพ multiply เสียนานเลย (แต่ก็ยังแวะมาตอบอยู่บ้างนะ ^ ^')
หลังจากญาติผู้ใหญ่สลับกันป่วยแล้ว ช่วงนี้...สุขภาพตัวเองก็เริ่มทรุดโทรมลงบ้างเหมือนกัน
พอย้ายออกจากลอนดอนไปยอร์ค ก็นานๆ จะป่วยหนักเสียที ด้วยความที่อากาศมันดีกว่ามาก เลยไม่ค่อยจะแพ้เท่าไหร่ กลับมาบ้านเรา แหง็ก...(บางทีอาจจะใช้สังขารทรหดไปหน่อยก็ได้มั้งคะ)

ที่ผ่านมาก็...สงสัยจะไข้หวัด นอนจับไข้อยู่แป๊บนึง เลยทำให้เกิดช่วงดาวน์ อะไรที่เขียนค้างๆ ไว้ก็พลอยจะไม่ได้เขียนต่อซะงั้น...

วันนี้อยู่ดีๆ ก็คิดถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาน่ะค่ะ ดังที่จั่วหัวไว้
คือเรื่อง 'พรสวรรค์แห่งการฟัง'

ขอเข้าโหมดจริงจังหน่อยนะคะ ถ้าไม่อยากเครียด ข้ามไปได้...

สุ จิ ปุ ลิ คือหัวใจนักปราชญ์

หนึ่งในนั้นคือ สุตตะ ก็คือการฟัง

มั่นใจว่าเคยเรียนมาในวิชาภาษาไทย หรือไม่ก็พระพุทธศาสนาตอนเด็กๆ แน่ๆ ฟังอย่างไรให้ได้ความรู้ ฟังอย่างไรให้แตกฉาน ฟังแล้วคิด แล้วถาม แล้วจด พร้อมทั้งจำ (จิตตะ ปุจฉา ลิขิต) เพื่อจะนำไปปฏิบัติ

สิ่งเหล่านี้เรียนมามากมาย มีคนอบรมพร่ำสอนมาไม่น้อย บางคนพูดไปในเชิง strategic เลยด้วยซ้ำ ว่าการฟังทำให้รู้เขา รู้เรา รู้ใจคน ก็ชนะใจคนได้ รบร้อยคร้ง ชนะร้อยครั้ง

แต่จะมีใครสักคน..สอนอะไรง่ายๆ อย่างเช่น "การฟัง...ก็เป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างหนึ่ง" บ้างไหมคะ...

ตอนนั้นชีวิตดำเนินมา 15 ปี ขอยอมรับว่าไม่เคยได้ยินอะไรแบบนั้นเลย ตอนที่ซิสเตอร์ซึ่งเป็นที่ปรึกษาชมรม 'เพื่อนทางจิต' ที่จัดขึ้นเป็นวิชาเลือกให้คนมาลงเริ่มต้นชั่วโมงด้วยคำพูดง่ายๆ อย่างนั้น ก็รู้สึกประหลาดใจ กึ่งสงสัยขึ้นมาทันที

จริงเหรอ...
แค่การฟังธรรมดาๆ จะทำให้คนเรารู้สึกดีขึ้นมาจริงๆ เหรอ

ซิสเตอร์บรรยายต่อว่า 'การฟัง เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ใครจะทำก็ได้ แต่เป็นเรื่องยาก...ที่จะหาคนที่ตั้งใจฟังเราอย่างจริงๆ จัง '

ตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจ เพราะชีวิตยังเต็มไปด้วยสีขาว เป็นคนมองโลกในแง่ดีเต็มพิกัด...ปัญหาอะไรก็มีคนช่วยแก้ไข แต่ตอนนี้ หลังจากผ่านอะไรมามากขึ้น ก็เริ่มเข้าใจคำพูดของซิสเตอร์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และไม่นึกเสียใจเลย ที่ตอนนั้นเลือกลงกิจกรรมกับซิสเตอร์ แทนที่จะไปเลือกอะไรที่ดูหวือหวาอย่างการละคร เล่นดนตรี หรืออะไรที่ดูเข้ากับวัยและยุคสมัยมากกว่า

มันเป็นอาหารทางจิตอย่างแท้จริง

คนที่มีพรสวรรค์ในการฟังนั้นหาได้ยาก เพราะในสังคมปัจจุบันนี้...มีแต่คนอยากพูดเสียทั้งสิ้น เพราะทุกๆ คนก็ล้วนมีเรื่องหนักอกหนักใจมามากบ้าง น้อยบ้าง แตกต่างกันไป และแต่ละคนก็มีความต้องการสิ่งที่จะมาบำบัดและแบ่งเบาทุกข์นั้นในรูปแบบต่างๆ แต่ส่วนมาก มนุษย์ต้องการใครสักคนเพื่อรับฟังและแบ่งเบาความทุกข์นั้น

'ไม่ใช่เรื่องยากจนทำไม่ได้ แต่ต้องการพรสวรรค์พอสมควร ที่ซิสเตอร์เรียกว่าพรสวรรค์ ก็เพราะผู้ฟังที่ดีต้องรู้จังหวะจะโคน รู้ว่าตรงไหนควรพูดอะไร รู้ว่าตอนไหนไม่ควรพูดอะไร ตรงไหนควรเงียบ ตรงไหนควรให้กำลังใจ'

ถูกของซิสเตอร์
บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าควรจะหยุดตรงไหน ให้กำลังใจตอนไหน มีท่าทางยังไง

'เป็นตัวของตัวเอง แต่เก็บคำพูดที่จะทำร้ายจิตใจผู้พูดไว้ก่อน หากเขายังไม่พร้อมที่จะรับคำพูดนั้นๆ ถ้าเขามีปัญหา...ก็นิ่ง ฟัง ปล่อยให้เขาระบายออกมาให้หมด แต่อย่าทำให้เขารู้สึกว่าโดดเดี่ยว ด้วยการพูดคนเดียว อย่าเพิ่งแทรกด้วยเรื่องของตัวเองจนเรื่องของตัวเองดูเด่นกว่าเรื่องของเขา แต่แบ่งปันประสบการณ์ของเราให้เขารับฟังได้บ้าง เพื่อให้รู้สึกดีขึ้น' ซิสเตอร์ย้ำคำว่า 'บ้าง'

'และอย่าลืม...สุดท้ายแล้วควรกลับมาสนใจเรื่องราวของเขา ในเวลานั้น...เขาต้องการที่พึ่งพิงทางใจจริงๆ'

ก็ถูกของซิสเตอร์อีกนั่นแหละค่ะ

มนุษย์เรา...อย่างไรเสียก็ยังเป็นสัตว์โลกที่ต้องการความสนใจจากสิ่งรอบข้าง
เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกว่าถูก ทอดทิ้ง ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ก็อาจจะเกิดฏิกิริยาในแบบต่างๆ กัน ลองคิดดูว่าถ้าสภาพทางจิตใจก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ แต่พอมาพูดกับใครคนหนึ่งก็พบว่าคนนั้นเปลี่ยนเรื่องพูดไปเสียทันที ทำเหมือนเรื่องราวของเราไม่สำคัญ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

A: 'กูตกงานว่ะ ทะเลาะกับบอส แม่ง โคตรกลุ้ม'
B: 'เฮ้ย...กลุ้มไปก็ปวดหัว กินเหล้าดีกว่า'

C: เบื่อจัง เค้าไม่สนใจเราเลย
D: หาหนุ่มใหม่ดิ เออ เราจะเลือกของขวัญให้พี่ ก. น่ะ C ช่วยคิดหน่อยสิ ว่าจะเอาอะไรดี'

ทั้ง B และ D ล้วนไม่ได้ตั้งใจจะทำร้าย A กับ C
แต่สิ่งที่พูดออกไป อาจจะทำให้สองคนนั้นรู้สึกแย่ลง

อาจจะยิ่งหดหู่ลงกว่าเดิม
อาจจะหงุดหงิด กลายเป็นความโกรธ
อาจจะถอยหนีผู้ฟังคนนั้นไปเลย

คาดเดาไม่ได้...แต่ผู้ฟังคนไหนก็คงไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นหรอก

จากวันที่นั่งสนทนากันในวันนั้น มาจนถึงวันนี้...เกือบสิบปีแล้ว
ชมรมของซิสเตอร์มีประโยชน์มากมาย
ไม่ใช่แค่เรื่องนี้...
แต่อะไรอีกหลายๆ อย่างที่ซิสเตอร์หยิบยกมาสนทนา
สิทธิสตรี การทอดผ้าป่าข้าวที่หมู่บ้านกะเหรี่ยง การทำแท้ง ฯลฯ วันนี้มันเป็นเหมือนเกราะทางใจ เหมือนอาหารทางจิตวิญญาณ

ขอบคุณค่ะ ^ ^

ที่ผ่านมาอาจจะทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง
อะไรที่ว่าไม่ดีก็อาจจะทำลงไปบ้าง ด้วยความไม่รู้ตัว

แต่ต่อไปนี้จะพยายามเป็นผู้ฟังที่ดีให้กับคนรอบข้างนะคะ ทั้งที่ตัวเองอาจจะไม่มีพรสวรรค์นั้นเลยก็ได้

ไม่ได้เพราะอยากเป็นในสิ่งที่สังคมขาด
ไม่ได้เพราะอยากทำตัวเป็นวีรสตรี

แต่เพราะรู้...ว่าการมีคนคอยรับฟังเราทุกเรื่อง มันทำให้รู้สึกดีมากมายจริงๆ