วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

เรื่องเก่าๆ เล่าเรื่อยๆ: อาหารไดเร็คเซลล์

Rating:★★★★
Category:Other
โอยยยย คิดถึง multiply และการเขียนบล็อกมากมายค่ะ ทรมานมากกับการที่มีงานมากองอยู่ตรงหน้า ออนไลน์อยู่ทุกวันแต่ไม่สามารถเขียนระบายได้ วันนี้ฤกษ์งามยามดี ฝนหยุดตกตอนเย้น แถมเพิ่งส่งงานดราฟต์แรกไป ก็เลยถือโอกาสมาระบายออกทางปลายนิ้วเสียหน่อย...เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าการเขียนระบาย มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจนไม่สามารถละทิ้งได้ซะแล้ว...

ช่วงนี้...ซูเปอร์มาเก็ต costcutter ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยปิดเร็วค่ะ ไม่เหลือนักศึกษาปริญญาตรีแล้ว เหลือแต่คนแก่ๆ อย่างเราเท่านั้น กว่าจะรู้ตัวว่าอยากได้น้ำผลไม้มาดื่มก็เลยหกโมงเย็นไปละ เลยอึ้งเลย...อดต่อไป ก็เลยทำให้นึกย้อนกลับไปถึงเรื่องการซื้ออาหารในสมัยเด็กๆ (นึกไปได้เนอะ) ตามประสาคนเริ่มสูงวัยขึ้นแล้วน่ะค่ะ อดีตผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเลยทีเดียว

ด้วยความหิว...ทำให้นึกถึงสมัยที่พ่อจ๋า กับแม่จ๋าส่งไปปล่อยเกาะอยู่บ้านยายที่เป็นสวนลำไยช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ที่เรียกว่าปล่อยเกาะเพราะว่าไม่มีหนทางเข้าเมืองได้เลยค่ะ หุหุ เข้าแล้วเข้าเลย ออกไปไหนไม่ได้ ไม่งั้นต้องเดินจากบ้านยายเข้าตัวอำเภอ แล้วต่อรถสองแถวสีฟ้าเข้าเชียงใหม่ หลายกิโลนะนั่น หรือไม่ก็ต้องตื่นเช้าแล้วขอติดรถลุงคนที่ขับรถสองแถวระหว่างเชียงใหม่ - ลำพูนเพื่อเข้าเมือง

จริงๆ แล้วมันก็ไม่ลำบากหรอกนะ จะว่าอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ก็ว่าได้เลยล่ะ ปลา ผัก ผลไม้ พืชหัว ของสดน่ะหาง่าย เข้าสวนก็ได้มะม่วงมาฝานๆ ใส่น้ำปลา น้ำตาล กุ้งแห้งแล้ว ฝรั่ง กระท้อน ขนุน ส้มโอ ก็ค่อยๆ ทยอยออกมาตามฤดูของมัน แต่อาหารพวกขนมกรอบแกรบ ของหวาน ของกินเล่น โอ่ยยยย หากินยากเหลือเกิน หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านในตอนนั้นมีร้านของชำ ร้านสะดวกซื้อไม่กี่ที่หรอก เจ้าประจำก็พอมีขนมขายบ้าง แต่ส่วนมากจะเน้นอาหารมากกว่า แม่ค้าจะตื่นแต่เช้า นั่งรถสองแถวไปซื้อของสด ของคาว เนื้อ หมู ไก่ พวกนั้นมาขาย ชาวบ้านก็ไปซื้อหามา ส่วนมากเขาก็กินกันพอดีมื้อไป ไม่ค่อยมีของกินเล่นเท่าไหร่ กินอยู่แบบพอเพียงน่ะ...

แต่ตอนนั้นเด็กหญิงยิ้มก็วัยกำลังกำลังกินกำลังนอนอ่ะนะ กินข้าวเป็นมื้อๆ แล้วก็อยากกินของหวาน อยากกินไอติม อยากกินอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วแถวนั้นน่ะ - -' มีซะที่ไหน ด้านหลังก็สวนลำไย ด้านข้างก็สวนลำไย ด้านหน้าก็สวนลำไย (อ๊ากกก มีแต่ลำไย) อยากกินขนมก็ต้องขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปในตัวอำเภอ (ยังเด็กอยู่ ขี่ไม่เป็น) รถยนต์ก็ไม่มี (ถึงจะมีตอนนั้นก็ขับไม่ได้ - - )

ความหวัง...จึงฝากไว้กับแม่ค้าไดเร็คเซลล์ หุหุ ไม่ใช่ขายของตรงพวกเครื่องสำอางค์ เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างที่คิดหรอกค่ะ ยิ้มหมายถึงอาหารไดเร็คเซลล์นี่แหละ

คงจะรู้ว่ามีคนรอคอยมากมายเพราะขี้เกียจเข้าตัวอำเภอ แม่ค้าเลยแวะเวียนมาทุกวัน เขาจะเอาไม้ไผ่พาดขวางที่นั่งแล้วเอากระบุงใหญ่ๆ (ใหญ่มาก) ห้อยสองข้าง ของสด ของแห้งใส่ในกระบุงและห้อยที่ปากกระบุงเต็มไปหมด แต่ละคนนี่ ทักษะการจัดของเป็นเลิศ เพราะในขณะเดียวกันเบาะหลังก็มีกระติกน้ำแข็งเอาไว้ใส่ของพวกของสด ข้ำแข็งไส อะไรทำนองนั้นด้วย

แม่ค้าเขาไม่แวะทุกบ้านนะคะ เขาจะแวะแค่บ้านหลังที่เป็นที่ชุมนุมของเหล่าชาวบ้านเท่านั้นค่ะ แล้วก็จะบีบแตร แต๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ เรียกให้คนไปซื้อของ บ่ายมา..เด็กหญิงยิ้มก็หูผึ่งเลย พอได้ยินเสียงก็วิ่งไปแล้ว

โดยส่วนตัวแล้ว...ทึ่งในความสามารถของแม่ค้ามากค่ะ ที่สามารถทรงตัวขี่มอเตอร์ไซค์ที่เต็มไปด้วยของมากมายหลายสิบโลอย่างนั้นได้ ของที่เขาจัดก็แบ่งเป็นหมวดหมู่ชัดเจนด้วย มีทั้งผักต่างๆ นาๆ ผักกาด ผักบุ้ง ผักพื้นเมือง บวบ แตงกวา เห็ด มะเขือเทศ เนื้อสดพวกไก่ หมู ปลาช่อน ปลาดุก บางทีมีปูด้วย อาหารสุกจำพวกหมุทอด ไก่ทอด แคบหมู แกงต่างๆ ห่อแอ็บ ไส้อั่ว ของหวาน น้ำแข็ง ขนมกรุบกรอบซองๆ ถ้าเอามาวางเรียงบนโต๊ะ คงจะวางเรียงบนโต๊ะขนาด 1.5* 2.5 เมตรได้เต็ม (หรืออาจจะต้องวางซ้อนเลยด้วยซ้ำ) อาหารประจำที่รอซื้อคือ ตือคาโค ถั่วดำ ลอดช่องสิงคโปร์ ชาเย็น โอเลี้ยง นมเย็นสีชมพู (ที่ว่ามานั่น...ไม่ได้กินหมดทีเดียวนะคะ หมุนเวียนกันไป)

ยิ้มว่ามันเป็นอาชีพที่รายได้ค่อนข้างแน่นอนเลยแหละ ไม่เคยมีวันไหนที่คนไม่ซื้อ แต่คงต้องอาศัยวินัยมากเหมือนกัน แล้วก็เป็นงาน routine ต้องทำแบบเดิมๆ ทุกวัน แวะไปที่เดิมทุกๆ วัน อาจจะเบื่อได้ พึ่งพาแม่ค้าไดเร็คเซลล์ได้ระยะใหญ่ๆ พ่อจ๋า แม่จ๋าก็เริ่มกลัวและห่วง

"อาหารมันจะสะอาดรึเปล่าน่ะ"
"ถ้าอาหารมันสะอาด น้ำแข็งที่เขาใช้ก็น่ากลัวเหมือนกัน แล้วนมสีๆ น่ะ ใส่สีอะไรก็ไม่รู้ ชมพูแจ๊ดเลย ชาเย็นก็สีส้มมมม"

ก็ด้วยความเป็นห่วงล่ะนะ - - เข้าใจอยู่หรอก เพราะตอนนั้นก็ท้องไส้ไม่ค่อยดี เคยท้องเสียนอนหยอดน้ำข้าวต้มสิ้นไร้เรี่ยวแรง ถ่ายจนน้ำออกมาใสๆ หลายทีอยู่ ในที่สุดก็โดนตัดตอน สั่งห้ามไม่ให้ซื้อขนมที่แม่ค้าละ แต่ของสด ของคาวยังซื้อได้อยู่ นัยว่าเอามาทำให้สุกก่อนได้...ก็เลยมองตามตาละห้อย ตอนเด็กๆ ไม่ค่อยมีฤทธิ์อะไร ออกจะเป็นเด็กเรียบร้อย สั่งให้ดื่มนมก็ดื่มนม ห้ามอมลูกอม ก็ไม่อม ในที่สุดก็เลยไม่ได้กินขนม กับน้ำหวานพวกนั้นแล้ว อาหารว่างยามบ่ายเลยกลายมาเป็นน้ำหวาน Hale's blue boy หรือ น้ำส้มผสมน้ำเอาไปแช่แข็งแทน เป็นไอติมหวานเย็นทำเอง (แต่ก็แอบคิดถึงกลิ่นหอมของชาเย็น นมเย็นพวกนั้นอยู่ดี รสชาติมันเป็นเอกลักษณ์มากๆ เลย) ไม่อยากบอกเลย ว่าเพราะน้ำหวานถุงๆ แบบนั้น ทำให้ยิ้มกินโอเลี้ยงเป็น และชอบโอเลี้ยงมาจนถึงทุกวันนี้

วันนี้บ้านสวนเปลี่ยนสภาพไปหมดแล้วค่ะ ร้านสะดวกซื้อผุดขึันมากมาย อยากได้ขนม อยากได้อะไรก็อยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ ร้านที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเหมือน 7/11 ก็มี...แม่ค้าไดเร็คเซลล์เริ่มถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ

ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเล็กก็กินปลาเล็กกว่า (ปรากฏการณ์ที่แม่ค้าอาหารไดเร็คเซลล์ถูกแทนที่ด้วยร้านสะดวกซื้อ และร้านสะดวกซื้อกำลังต้องดิ้นรนต้านกระแสซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่กว่าอย่าง Big C, Tesco หรือ Carrefour)

คงจะไม่มีโอกาสได้ยินเสียงแตรอีกแล้ว...เช่นกันกับที่จะไม่ได้เห็นฝูงวัวเดินผ่านหน้าบ้านสวน หรือไม่ได้ยินเสียงสูบน้ำใส่นาข้าวอีกต่อไป...

กงล้ออดีตและปัจจุบันมันหมุนไปเรื่อยๆ ในขณะที่ความทรงจำมันยังถูกกำหนดไว้ที่เดิม ก็รู้อยู่ว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่เปลี่ยนแปลง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากให้สิ่งที่เคยเป็น ยังเป็นอยู่อย่างนั้น แต่ต้นไม้น้ำต้นเล็กๆ อย่างไรเสียก็ต้านกระแสน้ำไหลไม่ได้อยู่ดี...

ความทรงจำก็คงถูกเก็บไว้เป็นแค่ตัวหนังสือ และเก็บไว้ในใจคนขี้บ่นคนนี้ต่อๆ ไป

10 ความคิดเห็น:

a mossy กล่าวว่า...

แวะมาบอกว่า พี่เพิ่งรู้ว่า นัท v1 เนี่ยเป็นน้องชายของเพื่อนสนิทของเพื่อนพี่อีกที

โลกกลมแฮะ ^ ^"

Yim S. กล่าวว่า...

^ ^'

กลมเนอะ
เชียงใหม่มันเล็กๆ อิอิ

Heathrow :D กล่าวว่า...

จะว่าไป จริงๆ เค้าก็เป็น น้องชายของเพื่อนสนิทของเพื่อนของเพื่อนของพี่ของเพื่อนของเพื่อนพี่อีกทีนะ โลกมันกลมเนอะ


แต่น้องยิ้มจำรายละเอียดได้ดีจัง แถวบ้านต่ะก่อนก็มีเหมือนกัน แต่ไม่ขายเยอะขนาดนั้น เค้ขาย ขนมหวาน "ทองหยิบทองหยอด" ครับ พูดมาชักหิวๆนะเนี่ย

จะเป็นรถถีบ ข้างหลังมี ขนมเต็มเลย ทองหยิบทองหยอด สาคูใส้หมู หม้อแกง ขนมชั้น ขนมไรนะ ดำๆ ชอบกิน ดันจำชือ่ไม่ได้

เวลามาขายเค้าก็จะ บีบแตร ตะแล้ด ตะแล้ด ตอนค่ำๆ

ว่าไปก็ไม่ได้กินขนมพวกนี้มานานแล้วนะเนี่ย ใน กทม ก็ไม่รู้ว่าขายแถวๆไหน

วิถีชีวิต ของชาวบ้านแบบนั้น หายไปเลยเนอะ มันสมัยของนายทุน เสียดายเหมือนกัน ตะแล๊ด ตะแล๊ด

Yim S. กล่าวว่า...

อ่า ใช่เลย ตะแล็ด ๆ ๆ อิอิ
คิดถึงง่า......

(เมื่อวานเขียนเพราะหิว)

Pumpim S กล่าวว่า...

สมัยก่อนแถวบ้านก้อมีเหมือนกัน
มีคนขายของแบบนี้บีบแตรมา เค้าจะเรียกชื่อคุณยายปุ๋มเวลามาแถวบ้าน
"จีเจี้ยง เอาไหรหม้ายครับ" แปลว่า คุณเจี้ยง(ชื่อยาย)เอาอะไรมั๊ยครับ
ยายก็จะขาน จ๋า เอาจ้าเอา แต่ตั้งแต่คุณยายเสีย เค้าก้อไม่ค่อยแวะมาเลย
สงสัยกลัวเรียกแล้วจะมีเสียงตอบกลับมา อิอิ
คิดถึงคุณยายจัง แงๆๆๆ

Yim S. กล่าวว่า...

เก็บภาพดีๆ เอาไว้เนอะปุ๋มเนอะ
โอ๋ ๆ ๆ มามะกอดทีนึง

whoami * กล่าวว่า...

คูณ ขนมดำๆ เค้าเรียกขนมเปียกปูนจ้ะ เก่งมะ เรานึกออก
อยากกินเหมือนกัน ดำๆ หนึบๆ ^_^

Yim S. กล่าวว่า...

กรี๊ดดด
หิวเลยฮ่ะ
อยากกินหนมเปียกปูนด้วย

Gift waidhaya กล่าวว่า...

อยากเป็นทุนนิยมก็ต้องทำใจ

ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ นี่เนอะ

เหมือน FTA กับจีนที่ซีพีไปทำฟาร์มไก่ได้ แต่ต้องแลกกับกระเทียมของลำพูน แถมยังผลหมากรากไม้ที่ราคาตกร่องลึกมาเรียนนาอย่างถาวรอีก

เฮ้อ

อยากกินน้ำแข็งเต๊กใส่เฮลส์ฯ สีเขียวเหยาะนมแมวไปหน่อยเนอะ T-T

Yim S. กล่าวว่า...

ใช่ๆ
ราคาผลไม้จมดินไม่โผล่เลย ชาวสวนก็จมหนี้แล้ว จมหนี้อีก

ป.ล. อยากกินด้วยจ้า งือๆ ๆ ชอบสีเขียวเหมือนกันเลย หอมโซดา