วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ว้าวุ่น

วันนี้...ทำงานเสร็จตอนสี่ทุ่มกว่าด้วยความเหนื่อยอ่อน
จริงๆ วันนี้อาการไม่ค่อยดีแต่เช้า เหมือนว่าจะเป็นอาหารเป็นพิษ ปวดท้องบิด
หน้ามืด และมึน แต่เราก็ต้องอ่านหนังสือ ทำงานต่อ เพราะมี assessment พรุ่งนี้

เราเหนื่อย...เราไม่ท้อ...แต่เรานึกถึงชีวิตที่ไม่ต้องกังวลอะไรในอดีต
เออหนอ...เหมือนว่ามันจะผ่านมานานแสนนานแล้วเหลือเกิน
นานจนเราสงสัยว่า เราจะมีวันนั้นอีกไหม...
หรือว่าต้องอยู่กับกองทุกข์ให้ชิน เพราะวันนั้นจะไม่มาถึงอีกแล้ว ต้องอยู่แบบเครียดๆ ให้ได้

นึกถึงกลอนที่เคยเขียนไว้ เมื่อเดือนกันยายน

.........................................................................................

แม้หวั่น...คงต้องก้าวไปข้างหน้า
สู่เส้นสายปลายขอบฟ้าอันกว้างใหญ่
ไร้ทิศทางไร้หางเสือนำทางไป
คลื่นลมแห่งทะเลใจซัดสาดพลัน

วันนั้น...เหน็ดเหนื่อยเจ็บปวดนัก
เพิ่งประจักษ์แจ้งในดวงใจมั่น
ชีวิตเรา..ยากขึ้นทุกๆวัน
เจ็บวันนั้น..ไม่อาจเปรียบเทียบวันนี้

จ้องมองแสงทอทาบอาบฟ้ากว้าง
แสนอ้างว้าง..แสงแห่งใจไยริบหรี่
อีกไม่นาน..วารผกผันพลันราตรี
ดาริการิบหรี่...ใจรอนรอน

แม้หวั่น...ยังคงก้าวไปข้างหน้า
ให้เวลา..เป็นบทเรียนเพียรเฝ้าสอน
ท้อเมื่อไร...มาเรียงถ้อยร้อยบทกลอน
แล้วดึงใจที่จากจร...หวนย้อนคืน

......................................................................

ชีวิตเรายากขึ้นทุกวันจริงๆ และเจ็บในวันนั้น ที่มากกว่าเจ็บในวันก่อนโน้น
เมื่อมาเทียบกับเจ็บในวันนี้ มันก็แทบจะเทียบกันไม่ได้จริงๆ ด้วย

ถาม: ตอนนี้...ทำอะไร
ตอบ: ตอนนี้อยากจะมาเรียงร้อยถ้อยบทกลอน
เพื่อดึงใจที่จากจรให้ย้อนคืน

แต่ทำไม่ได้....หัวมันล้ามากๆ

ทุกทีเราจะเจ็บ จะรัก จะยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้
เราไม่เคยเขียนกลอนไม่ได้
แต่วันนี้ เราเขียนไม่ได้...นึกไม่ออกเลย

ทำยังไงดี...
ไปอาบน้ำก่อนดีกว่า

...............................

ไปอาบน้ำมาละ เย็นกายขึ้นเยอะเลย

...................................................................

ตามองจากช่องหน้าต่าง
ฟ้าร้างไร้จันทร์ประชันแสง
หากดวงใจยังไร้เรี่ยวแรง
หรือโชคกลั่นแกล้งทำแหนงหน่าย

ลมพัดใบไม้ไหวระบัด
คลื่นซัดกระแทกฝั่งกระทั่งหาย
คืนเหงา...ไรัเงา..ดาวพราย
เดียวดายวอนจันทร์ ช่วยฉันที

ก้าวเดินมาไกลจากบ้าน
เดินผ่านทุ่งกว้างทางวิถี
เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ ไม่เหลือดี
วันนี้มี เรื่องมาฝาก จากซอกเงา

ฉันยิ้ม ฉันร่าเริง ฉันหัวเราะ
หากข้างในหยันเยาะกับความเขลา
กองทุกข์กองไว้ใช่ของเรา
กองสุขหมายกอบเอาเคล้าโลกีย์

เมื่อไร จะพ้น จากตัณหา
เวียนว่าย ไปมาอยู่เยี่ยงนี้
ทุกข์ร้องไห้ สุขเปรมใจ กระไรมี
วงจรนี้...เหลือจะทน คนเดินดิน

อยากจะเริ่มเดินบนทางที่ร้างทุกข์
สร้างกองสุข..ให้ไหลหลั่ง ดั่งสายสินธุ์
ต้นบุญออกดอกสะพรั่งดังใจจินต์
ดับเพลิงสิ้น..ความสุขซาบอาบหทัย

หากเส้นทางสายนี้คงยาวนัก
เกินตระหนักว่าสิ้นสุด..ณ จุดไหน
จึงทำได้เพียงข่มร้าว ก้าวเดินไป
แล้วหวังใจ..อีกไม่ไกลถึงปลายทาง

........................................

เขียนได้แล้ว...
แต่แปลกๆ - -

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

เรื่องเก่าๆ เล่าเรื่อยๆ : น้องหมาบ้านสวน


Rating:★★★★★
Category:Other
บล็อกนี้..ขออุทิศให้เพื่อนๆ สี่ขาทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว

วันนี้แหวกกองงานออกมาเขียนอะไรยาวๆ อีก ขณะที่พิมพ์อยู่นี้ก็มีหนังสือกางอยู่ตรงหน้าระหว่างโน้ตบุคกับตัวข้าพเจ้าเอง บนหนังสือมีตุ๊กตาหมาสีเหลืองหน้าตาประหลาดตัวนุ่มวางทับอยู่ ตอนนี้กำลังต้องการความอบอุ่นจากอะไรตัวนุ่มๆ อย่างแรง เข้าใจเลย ว่าทำไมเด็กผู้หญิงหลายๆ คนชอบกอดตุ๊กตาหมี บางทีทำอะไรมาเหนื่อยๆ เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ การได้ซบลงบนอะไรที่นุ่มๆ ก็ให้ความรู้สึกดี กลบเกลื่อนความไม่มั่นใจ หาที่พักพิง (ทฤษฎีอะไรเนี่ย มั่วสุดๆ แต่อย่างน้อยมันก็ใช้ได้สำหรับยิ้มแหละว้า...)

แต่ตุ๊กตามันไม่มีชีวิต...อยากได้น้องหมาจริงๆ มากอดง่าาาาา

เมื่อคืนฝันว่าได้ลูกหมามาเลี้ยง 2 ตัวค่ะ เลี้ยงในหอพักนี่เลย...ท้าทายอำนาจเบื้องสูงมาก แต่ก็เป็นฝันที่ทำให้รู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว เพราะตั้งแต่เกิดมา ยิ้มไม่เคยมีหมาเป็นของตัวเองเลยซักตัว ฮือๆ เนื่องเพราะบ้านที่อยู่มีพื้นที่จำกัดมาก แล้วแต่ละคนก็มีงานการยุ่งเหยิง ไม่มีใครสามารถรับภาระดูแลน้องหมาได้เต็มที่ (จริงๆ แล้วดูเหมือนว่าแม่จ๋าจะไม่ชอบหมาอ่ะค่ะ เลยไม่อยากมีหมาในบ้านมั้ง เดี๋ยวไว้รอแต่งงานก่อน ตอนนั้นจะเลี้ยงหมาชดเชยหลายๆ ตัวเลย - ถ้าวันนั้นจะมาถึงนะ เหอ ๆ ๆ )

เมื่อไม่มีหมาส่วนตัว ยิ้มก็จะชอบทึกทักเอาหมาคนอื่นมาเป็นหมาตัวเอง แล้วก็เพราะว่าไปบ้านยายบ่อยๆ นี่แหละ ก็เลยเหมาเอาว่าหมายายเป็นหมาตัวเอง ก็ได้ผลนา เพราะว่าเมื่อก่อนก็ซื้อปลายข้าวมั่ง ซื้อกระดูกมั่ง ไปให้มันบ่อยๆ บางทีก็เอาขนมไปให้จนมันรั้กกก รัก รัก รัก ยิ้ม ปิดเทอมทีก็ไปเล่นๆ ๆ ๆ ขลุกกับมันจนไม่มีทางลืมกันได้เด็ดขาด เรียกได้ว่ารถแล่นเข้าไปในบ้านสวนทีไร น้องหมาก็มารออยู่แล้ว หูลู่ กระดิกหางดิ๊กๆ ด้วยความคิดถึง เป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ และไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นมานานมาก ๆ ๆ แล้ว

(เขียนไปน้ำตาเริ่มซึมๆ ออกมาแล้วนะเนี่ย คิดถึงน้องหมา)

วันนี้ขอเขียนถึงน้องหมาบางตัว ไม่ใช่เพราะว่าไม่รักตัวที่ไม่เขียนถึงนะ แต่ว่า... 20 กว่าตัวเนี่ย มันก็เยอะอยู่ เขียนถึงทุกตัวก็โน่น...5-6 ชั่วโมงจะจบหรือเปล่าก็ไม่รู้

1. ตาลเล็ก
ตอนนั้นยายเลี้ยงหมา 2 ตัวคู่กันไป เรามีเจ้าตาลใหญ่อยู่มาก่อน แล้วตามมาด้วยตาลเล็ก ตาลเล็กเป็นหมาของพี่สาวคนหนึ่งที่อยู่บ้านข้างๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ตอนนั้นพ่อกับแม่เขาเริ่มขี้เกียจเลี้ยงหมาแล้ว อยากยกให้คนอื่นแต่ก็ไม่รู้จะเอาไปให้ใคร พ่อจ๋าก็เลยขอเอาไปไว้บ้านสวน อย่างน้อยก็ช่วยเฝ้าบ้านได้ เจ้าตาลเล็กเป็นเหมือนดวงตา ดวงใจของพี่สาวคนนั้น พวกเรารับเอาไป พวกเราก็รักมันเหมือนกัน ตาลใหญ่เป็นหมาตัวใหญ่ ตาลเล็กเป็นหมาผสมกับพันธุ์เตี้ย ตัวเล็กก่าตาลใหญ่ เลยเรียกเอาความเอ็นดูจากคนอื่นได้มากกว่า

แต่บ้านสวนในสมัยนั้น..ก็เต็มไปด้วยภัยอันตราย
รั้วไม้ที่ล้อมรอบบ้านไม่มิดชิดพอที่จะกั้นเจ้าสี่ขาขนปุยไม่ให้ออกไปเริงร่าที่โลกภายนอกได้ แล้วบ้านเราก็อยู่ติดกับทุ่งนาเลย หลายๆ ครั้งที่ยายกับตาต้องล่ามโซ่น้องหมาเอาไว้ในฤดูปลูกพริก เพราะว่าช่วงนั้นเขาวางยาเบื่อไว้ตามไร่นา เพื่อป้องกันไม่ใหหนูนาและสัตว์อื่นๆ มาทำร้ายพืชผลเขาเสียหาย แล้วเจ้าหมาๆ ก็ตกเป็นเหยื่อไปหลายๆ ตัวเสียด้วยสิ

เราก็เลีี้ยงข้าวให้มันอิ่มแล้ว แต่สัญชาตญาณหมาบ้านสวน มันก็ยังคงชอบล่า หาอาหารกินเองอยู่ดีล่ะมั้ง...ทั้งๆ ที่ล่ามโซ่แล้ว แต่วันไหนที่เผลอ น้องหมาก็แอบออกไปจนได้ อย่างน้อยขอให้ได้ออกไปเล่นน้ำที่เขาสูบใส่ไร่ ใส่นามันก็มีความสุขแล้ว ตาลเล็กก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย หมารักอิสระ ชอบหนีเที่ยว

ที่ร้ายที่สุดก็คือ วันหนึ่งตาลเล็กก็ไม่รอด...ตกเป็นเหยื่อยานั้นด้วยอีกตัว พวกเราไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้นจนได้

ตอนนั้นพวกเราเศร้ามากๆ เศร้ามากจนไม่รู้ว่าจะบอกพี่สาวคนนั้นได้อย่างไร แต่เมื่อเขาถาม เราก็ต้องบอกไปตามความจริง ยิ้มรู้สึกเสียใจมาก ๆ ๆ บางที...ถ้าตาลเล็กอยู่กับเขา อาจจะอายุยืนมากกว่า 2 ปีก็ได้ล่ะมั้ง

2. เด่น - เด๋อ

ขอเขียนถึง 2 ตัวพร้อมๆ กันเลยก็แล้วกัน เพราะ 2 ตัวนี้มาเป็นคู่ ยายไปขอเขามาเลี้ยง เด่นเป็นหมาตัวสูง เด๋อเป็นหมาตัวเตี้ย ไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากครอกเดียวกัน ยิ้มกลัวเด่นมากกว่า เลยไปสนิทกับเจ้าเด่อ ทั้งที่เด่นมันก็รักเจ้าของเหมือนๆ กับเด๋อนั่นแหละ เด่นเลยเป็นหมาขี้ใจน้อย (ตอนนี้ยังเสียใจอยู่เลย ที่แสดงออกไม่เท่ากัน ก็เด่นมันสูงถึงขาอ่อนเลยอ้ะ กลัวมันกระโจนใส่เอาอ่ะดิ เด๋อสูงแค่ครึ่งน่องเอง)

ตอนนั้นยิ้มสนิทกับเด๋อมากๆ เด๋อมันก็คงจะรักยิ้มมากๆ ๆ ด้วยเหมือนกัน เพราะทุกครั้งที่ไปบ้านยาย เด๋อมันจะมารออยู่แล้ว แล้วก็จะมานอนๆ อยู่ใกล้ๆ ไม่ห่างตลอดเวลาที่ยิ้มอยู่ที่บ้านนั้น เดินเข้าไปในสวนมันก็เดินตามไปเป็นเพื่อน ไปไหนๆ มันก็ตาม มีอะไร...บ่นอะไรให้ฟังมันก็กระดิกหางทำท่าเหมือนจะรับรู้ กอดก็นุ่มแขน อ้วนกลมเต็มไม้เต็มมือดี พอยิ้มจะกลับ มันก็ทำหางลู่ หูตก จ๋องๆ มายืนส่งข้างๆ ยายก่อนที่รถจะออกไป...

ทุกๆ ครั้งที่จะกลับเชียงใหม่ ยิ้มเหลียวหลังมองเด๋อจนลับตา

เด่นกับเด๋อเคยเจอยาเบื่อเหมือนกัน แต่ยายเอาไข่ขาวกับนมกรอกปากมันทันเวลา เลยช่วยชีวิตมันเอาไว้ได้ หลังจากนั้นหมาๆ ทั้งสองก็เข็ด ไม่ไปกินอาหารเรี่ยราดอีก อยู่กับพวกเรามาได้อีกนาน 2-3 ปี

แต่แล้ว...ภัยที่อันตรายมากกว่ายาเบื่อก็มาถึง สมัยนั้น เป็นช่วงที่การกินเนื้อหมาแกล้มเหล้ากำลังมาแรง จากข่าวลือ...คนก็เริ่มแอบจับหมาที่เดินท่อมๆ อยู่ไปปิ้งกินแกล้มเหล้าจริงๆ หมาหน้าตาดีเริ่มหายไปทีละตัว สองตัว ชาวบ้านเจ้าของหมาที่หายไปเริ่มสาปส่ง ด่าแช่งคนที่เป็นเหตุนั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใคร เจ้าของหมางามๆ ก็เริ่มเก็บหมาของตัวเองไว้ให้ดี เด๋อก็เหมือนกัน หมาอ้วนๆ ขนมันเลื่อมดูสุขภาพดีอย่างนั้น...เตะตาคนพวกนั้นได้ง่ายๆ

ช่วงนั้น...เราก็จำต้องล่ามน้องหมาทั้งสองไว้เหมือนกัน แต่จะล่ามเอาไว้ตลอดก็ไม่ได้ หมามันก็มีหัวใจ

เมื่อวันเสาร์หนึ่งพวกเราแวะตลาด ยิ้มกับป้าจ๋าก็ไปซื้อปลายข้าวตามปกติ แต่พอรถแล่นเข้าไปถึงบ้านยาย ยิ้มก็ลงจากรถด้วยความรู้สึกแปลกๆ บ้านมันเงียบไปไม่เหมือนเดิม เด๋อที่เคยมารออยู่เป็นนิจ กลับไม่มีร่องรอยของมัน ยายเดินหน้าเศร้าๆ เข้ามาบอกว่า

"เด๋อหายไปแล้ว ลูกเอ๋ย ยายตามหาทั่วหมู่บ้านก็ไม่พบ"

วินาทีนั้นยิ้มรู้สึกเหมือนโลกถล่มทลาย ถ้าเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบเคยอกหัก ความเจ็บปวดคอนนันก็คงจะแรงพอๆ กับอกหักล่ะมั้ง ความรู้สึกที่เหมือนโลกทั้งโลกมันว่างเปล่า...ครึ่งหนึ่งของชีวิตหายไป ไร้ร่องรอย

ยิ้มร้องไห้จนน้ำตาไม่มีจะไหลอีก...
ตอนที่เขียนนี่ก็ร้องอยู่...ก็เสียงเศร้าๆ ของยายที่บอกเรื่องเด๋อนั้น มันก้องๆ ๆ ๆ ๆ อยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึง

ไม่มีใครเห็นเด๋ออีกเลย แม้ว่ายายจะจ้างคนออกตามหาหลายๆ รอบก็ตาม ไม่มีแม้แต่ซากศพตามทุ่งนา ถ้าเด๋อจะถูกยาเบื่อเหมือนหมาตัวอื่นๆ ก็น่าจะมีร่องรอยอะไรบ้าง

ก็ได้แต่หวังว่า ถ้าเด๋อจะถูกมนุษย์พวกนั้นทำร้ายจริงๆ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นก็คงจะเกิดขึ้นแวบเดียวแล้วหมดไป ไม่ต้องมารับรู้อะไรอีก...

ขาดเด๋อไปแล้ว เด่นก็เหงาลงมาก...ยิ้มไม่กล้าเล่นหัวกับเด่นหมาใหญ่ แต่ยิ้มก็ลูบหัวมันเบาๆ ทุกครั้งที่มา เด่นมันคงเหงา ที่เพื่อนที่โตมาด้วยกันหายไปไม่มีร่องรอย แต่เด่นก็อยู่ต่อมาเรื่อยๆ เพราะยายเอาหมามาเลี้ยงอีก 2 ตัว เด่นกลายเป็นหมารุ่นพี่ไปแล้ว

วันหนึ่ง หลังจากที่เด่นไม่เคยออกไปไหนมานานนับปีๆ มันก็ออกไปเดินเล่นนอกบ้าน พร้อมทั้งกลับมาด้วยน้ำลายฟูมปาก พวกเราเอาไข่ขาวกรอกปากมันเพื่อช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว เด่นขาดใจตายไปต่อหน้าพยานหลายคน

เด่นเคยรอดตายจากยาเบื่อมาแล้วหนหนึ่ง แต่ไม่ใช่หนนี้....
เด่นสำลักเฮือกดิ้นรนอย่างทรมาน ยิ้มตกใจ ไม่มีน้ำตาไหล แต่ความเศร้าเกาะกินใจจนพูดไม่ออก ไม่กล้าแม้แต่จะไปยืนดูศพของเพื่อนตัวหนึ่ง

เด่นคงจะได้ไปอยู่กัยเด๋อแล้ว
แต่ยิ้มเศร้าจนไม่รู้จะทำยังไง
เด่นถูกฝังอยู่ใต้ต้นไม้ในสวน ต้นไหนก็จำไม่ได้แล้วสิ แต่ต้นไม้มันคงจะงอกงามเหมือนๆ กับความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับหมาสองตัวนั้น...

ยิ้มคงลืมไม่ลงเลยจริงๆ

3. หนูหน่องกับเจ้ามอม..

หนูหน่องกับเจ้ามอมเป็นลุกหมา 2 ตัวที่มาอยู่เป็นเพื่อนเด่น หลังจากเด๋อหายไป สองตัวนี้เป็นหมาขนาดไม่ใหญ่ หน้าตาน่ารักไปคนละแบบ หนูหน่องจะออกร่าเริง มอมจะเป็นหมานัยน์ตาโศก แต่ก็สงบเสงี่ยม น่ารัก เรียกเอาความเอ็นดูได้ไปอีกแบบ

ถ้าใครเคยอ่านเรื่อง 'ปลูกหัวใจ ในสวนขวัญ' ก็ต้องขอยอมรับว่า หนูหน่องกับเจ้ามอมเป็นต้นแบบ 'เจ้ามอม' ในเรื่องนั้น เพราะสองตัวนี้เริ่มมาอยู่กับพวกเราในฤดูหนาว ดังนั้น...กองไฟ ข้าวจี่ ข้าวแคบ ข้าวโพดปิ้ง และน้องหมานุ่มๆ ที่นอนพิงเท้าอยู่ ก็คือเจ้าสองตัวนี้เอง

ยิ้มยังไม่ลืมเด๋อน้อยๆ เลย...แต่ก็รักเจ้า 2 ตัวนี้ไม่แพ้กัน...

ตอนนั้น..ยายกับตาคงยังไม่ลืมเรื่องเก่าๆ เลยล่ามเจ้าสองตัวนั้นไว้เกือบตลอดเวลา เพราะจะให้รื้อรั้วไม้ ทำรั้วคอนกรีตรอบบ้านมันก็เรื่องใหญ่เอาการ รั้วไม้นี่หมาบ้าพลังก็พังออกไปอยู่ได้เรื่อยๆ เสียด้วย หนูหน่องเป็นหมาตัวเมียตัวแรกที่เลี้ยง เพราะปกติแล้ว ยายอยากได้ตัวผู้มากกว่า ไม่ต้องมีลูกหมาใหม่ๆ มาเพิ่มภาระ แต่พอมีหนูหน่อง เราก็เริ่มมีสมาชิกใหม่ๆ มาอยู่ด้วย มีเรื่องราวประทับใจ สะเทือนใจอีกมากมาย แต่เริ่มเขียนไม่ไหวละ

หนูหน่องกับเจ้ามอม อยู่กับพวกเราหลายปีเหมือนกัน นานกว่าตัวที่ผ่านๆ มา แต่ในที่สุดก็ค่อยๆ จากเราไป แต่การที่เขาากเราไปเพราะไม่สบาย ยังดีกว่าการจากไปด้วยเหตุอันไม่ควรเยอะแยะมากมาย

ตอนแรกตั้งใจจะเขียนเรื่องน้องหมาร่าเริงนี่นา ทำไมกลายมาเป็นเรื่องหมาเศร้าๆ ได้ก็ไม่รู้
อ่านไปน้ำตาไหลไป ฮืออออ กลับไปทำงานดีกว่า


วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

English cream tea


Rating:★★★★★
Category:Other
ที่เขียนบล็อกนี้ขึ้นมาเนี่ย เหตุผลแรกเป็นเพราะขี้เกียจอ่านหนังสือ นัยว่ายิ่งเครียด ยิ่งชอบเขียนอะไรที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน และเป็นเพราะว่าเพิ่งกินข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นมา กำลังอยากกินของหวานอย่างแรงค่ะ...พอมานั่งปุ๊บ ก็ได้ยินข่าว midterm election ของที่นี่ โถ...พรรค Labour ท่าทางจะแย่แล้วคะแนนเสียงลดลงมากมาย เลือกตั้งครั้งหน้าคนจะเทเสียงไปเลือกพรรค Conservatives เสียหมดก็ไม่รู้

การเมืองก็อย่างนี้แหละเนอะ ปวดหมอง เฮ้อ...อังกฤษก็มีปัญหาซ่อนอยู่มาก ถึงความเป็นอัตลักษณ์ของชาวสก็อต ชาวเวลช์ ไอริช ขนาดในอังกฤษเองยังแบ่งชนชั้นเล้ย...พวกผู้ดี หรือพวกชนชั้นแรงงาน เหอๆ ๆ

พอคิดถึงเรื่องเลยทำให้นึกถึง English cream tea ขึ้นมา เพราะเค้าบอกว่าถ้าจะดูว่าที่นั้นๆ ได้รับอิทธิพลของชาวอังกฤษหรือไม่ ให้ดูที่นิสัยการดื่มชา...อ่า...ชาผลผลิตจากโลกใหม่แท้ๆ เพิ่งเข้าอังกฤษมาไม่เกิน 500 ปี ส่วนน้ำตาลก็ผลิตผลจากโลกใหม่เหมือนกัน ทำไมถึงได้กลายมาเป็นสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของชาติอังกฤษไปได้หนอ...เอิ๊ก เขียนไปๆ ชักเหมือนเขียน essay แล้วอ้ะ เรื่องเดียวกันเด๊ะเลย เปลี่ยนดีกว่า


มาพูดถึงครีมทีกัน...เจ้าครีมทีนี้เป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของอังกฤษมากๆ ได้ยินครั้งแรกหลงคิดว่าเป็นชาที่ใส่วิปครีม - -' พอดีตอนนั้นเพิ่งมาถึงอังกฤษได้ 2 สัปดาห์ แอนนา..เพื่อนที่เคยไปเช่าบ้านอยู่ตรงข้ามกันที่เชียงใหม่เลยขันอาสาพาไปเที่ยว ไปสัมผัสชีวิตแบบอังกฤษแท้ๆ

ดังนั้น...เวลาสั้นๆ 2 วันสุดปสัปดาห์เมื่อเกือบหกปีมาแล้ว ก็เลยได้สัมผัสอะไรที่อังกริ๊ด อังกฤษเช่นอาหารบ่ายวันอาทิตย์ที่เป็นเนื้อย่างราดเกรวี่กินกับมันฝรั่ง ผักต้ม (Sunday Roast), Fish 'n chips ปลาทอดเหลืองอร่ามกับมันฝรั่งทอด, ผับยามค่ำ, หมู่บ้านเล็กๆ, เมืองชายทะเลและเครื่องเล่น (Folkstone), โบสถ์ใหญ่ (Canterbury Cathedral) และปราสาท (Dover Castle) รวมถึงเจ้าครีมทีนี่ด้วย (โปรแกรมอัดแน่นมาก)

บ่ายวันนั้นเอง เราไปนั่งเล่นกันที่หมู่บ้านเล็กๆ มีแต่บ้านหลังขนาดน่ารักทำด้วยหิน คล้ายกะบ้านแถวๆ Cotswold หมู่บ้านอังกฤษโบราณเลย

แอนนา "ยิ้มจะดื่มอะไร เดี๋ยวแอนนาเลี้ยงเอง"
ยิ้ม "อู๊ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวจ่ายเองก็ได้"
แอนนา "เอาเถอะน่า ฉันทำานแล้ว มีเงิน นักเรียนยากจนรอให้เลี้ยงเถอะ (- -') ว่าแต่ จะเอาครีมทีเหมือนกันไหม"
ยิ้ม "อื๋อ...ครีมทีเหรอ ชาใส่ครีม เลี่ยนแน่ๆ ขอชอกโกแลตร้อนๆ ดีกว่า"
แอนนา "บ้า ของเธอสิเลี่ยนกว่า เดี๋ยวรอดูก็แล้วกัน"

พอเขายกอาหารมาเสิร์ฟ โอ้โห...หรูมาก ครีมทีแบบอังกฤษ ที่แท้มันก็คือชาธรรมดาๆ เสิร์ฟพร้อมกับขนมสโกน (Scone) 2 ก้อน กับครีมสด และแยมรสสตอเบอรี่นั่นเอง เวลากินก็ผ่าขนมออกครึ่งหนึ่งแล้วทาครีม แล้วก็ทาแยม...

โอ๊ยยยย อร่อย และอ้วน

วันนั้นก็เลยแอบกินของแอนนาไปครึ่งอัน แบบว่าติดใจ...

หลังจากนั้นอีกไม่นาน เข้าเรียน A-level อาจารย์พาไปจิบน้ำชายามบ่ายที่บ้าน คราวนี้ขนมทำเอง อบออกมาร้อนๆ ครีมสดมากๆ แยมสตอเบอรี่ก็ของดี มีเนื้อสตอเบอรี่เต็มที่ ข้าพเจ้าก็เลยตกเป็นทาสของการจิบชายามบ่ายพร้อมกับขนมสโกนมาตั้งแต่บัดนั้น

พอเรียนที่เมืองเคมบริดจ์ไปได้ระยะใหญ่ๆ ก็รู้มาว่าถ้าเดินเลียบแม่น้ำเคมไปทางทิศใต้เป็นเวลาประมาณ 30 นาที จะถึงหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ แกรนเชสเตอร์ ที่มีร้านน้ำชาน่ารักชื่อ The Orchard จริงๆ ร้านนี้เปิดทั้งปี แต่หน้าหนาวมันนั่งข้างนอกไม่ได้ เค้กของเขาอร่อยมาก เค้กแครอทก็นุ่มนิ่มเหนียวได้ใจ ฤดูร้อนมาถึงที...ก็ผู้คนล้นหลาม กางเก้าอี้กันใต้ต้นแอปเปิ้ลริมทุ่งดอกบัตเตอร์คัพที่เหลืองๆ

ติดงอมแงมครับท่าน...มีโอกาสก็ต้องไป แต่ไม่ได้แวะไปมาเสียนานแล้ว เพราะย้ายถิ่นฐานมาเสียไกล งือๆ

ครีมที...เป็นอาหารที่เขาชอบทานกันหน้าร้อน ใต้ต้นแอปเปิ้ลที่ออกลูกสีแดงๆ สวยงาม กลางทุ่งหญ้าเขียวๆ จิบชาหอมๆ ขนมหวานๆ อ่า...มีความสุข

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้น้ำหนักขึ้นได้ไงอ้ะ ฮือ ๆ ๆ