วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2549

ไฟฝัน




ไฟฝัน...

ไม่นานพลันคงถึงวันหมดสิ้นเชื้อ

เปลวเพลิงแห่งความสุข...มีทุกข์เจือ

สักวันคงไม่เหลือ...แม้ร่องรอย



ทุกคราที่ฟ้าร้องไห้

เปลวไฟ...ไอฝันพลันถดถอย

หยาดฝนแทนน้ำตาแห่งการรอคอย

ทีละน้อย..ค่อยซึมซาบอาบดวงใจ



ชะล้างความรู้สึกให้เลือนหาย

ดีหรือร้ายไม่พรั่นไม่หวั่นไหว

รู้เพียงแต่สองขาต้องก้าวไป

ไกลแสนไกล...ใกล้แสนใกล้...ไม่รับรู้



เปรียบประดุจตุ๊กตามีชีวิต

ที่ไร้จิต...เหลือเพียงร่างวางตั้งอยู่

แม้จะคิดฝืนทุกข์ลุกขึ้นสู้

ให้อดีตเป็นครู...คอยสอนใจ



แต่เปลวไฟที่มีนั้นมันสิ้นเชื้อ

จะไม่เหลือ...แม้ภาพเก่าเงาสดใส

จึงก้าวย่างบนทางฝันยาวไกล

อย่างสิ้นไฟ ไร้พลัง...เช่นวันวาน



..............................................................



หมดไฟแล้ว....  T_T

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2549

Ophelia






And will he not come again?

And will he not come again?

No no, he is dead,

Go to thy death bed

He never will come again

His beard is as white as snow

All flaxen was his poll:

He is gone, he is gone,

and we cast away moan;

Gramercy, on his soul!

And of all Christian souls, I pray God

God be wi' you.



บทเพลงข้างบนนี้ เป็นเพลงที่ขับร้องโดย Ophelia (โอฟีเลีย) ซึ่งเป็นตัวละครหนึ่งในเรื่องแฮมเล็ท ซึ่งเป็นบทละครของเชคสเปียร์ เป็นตัวละครที่...น่าสงสารและป็นที่วิพากษ์กันกว้างขวางพอสมควรเลยในวงการวรรณกรรม

(คราวนี้ไม่ได้แต่งเอง ^ ^)

ก่อนอื่นขอเล่าเรื่องย่อๆ ก่อนนะคะ
แฮมเล็ทนี่เป็นองค์ชายของเดนมาร์ค กลับบ้านกลับเมืองมาเพราะพ่อโดนฆ่าตาย แล้วอาขึ้นครองราชย์แทนแถมยังแต่งงานกับแม่ตัวเองอีก แกก็เลยแสร้งทำเป็นบ้าๆ บวมๆ ส่วนโอฟีเลียก็คือคน(เคย)รัก เป็นลูกสาวของที่ปรึกษาด้านการปกครองของท่านอา เรื่องมันเลยเศร้าเพราะเธอต้องตกเป้นเหยื่อของทุกๆ ทาง

พ่อ กับกษัตริย์ก็พยายามจะให้เป็นเครื่องมือในการสืบหาข้อมูลจากแฮมเล็ท...
ส่วนอีตาแฮมเล็ทก็อาละวาดเอากับสาวเจ้า ประมาณว่าสิ้นรักแล้ว เพราะพ่อเธอมีส่วนร่วมในการฆ่าพ่อฉัน...

แต่โอฟีเลียก็ยังรักแฮมเล็ทเหมือนเดิมและต้องทนกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของฝ่ายชายด้วย ความรักก็เลยลุ่มๆ ดอนๆ เพราะนายแฮมเล็ทเอง (จริงๆ ก็น่าสงสาร จู่ๆ พ่อก็ถูกฆ่าตาย แต่โอฟีเลียน่าสงสารกว่าเพราะไม่รู้อะไรด้วยแต่โดนจิกกัดด้วยวาจาประชดประชันตลอด ตามประสานางเอกละครสมัยก่อน)

วันหนึ่ง แฮมเล็ทคุยกับแม่เรื่องคนฆ่าพ่อ และพบว่ามีคนมาแอบฟังอยู่หลังม่านเลยฆ่าทิ้งเสียเพราะคิดว่าเป็นอา แต่ปรากฏว่าจริงๆ แล้วเป็นพ่อของโอฟีเลีย ซึ่งเมื่อเธอรู้ความจริงเข้าก็ถึงกับเสียสติไปเลย เพราะคนที่รัก...นอกจากจะไม่รักตอบแล้วยังกลับกลายเป็นคนฆ่าพ่อตัวเอง ในที่สุดเธอก็จบชีวิตลงในแม่น้ำ ก็คงจะฆ่าตัวตายแหละค่ะ ไม่เคยอ่านที่เป้นบทละครจริงๆ เสียที มันยาวแล้วก็ภาษาซับซ้อนเหลือเกิน -__-"

เรื่องราวยังดำเนินต่อไป แล้วในที่สุดก็ตายกันหมด เพราะวางยากันไปมา หรือไม่ก็ประลองกำลังกัน
เศร้าไหมล่ะนั่น

จิตรกรหลายๆ ท่านได้รับแรงบันดาลใจจากเธอผู้นี้ เพราะว่าดูเป็นตัวละครที่มีมิติ คล้ายๆ กับว่า หัวใจ vs ภาระ vs ความแค้น ของลูกผู้หญิงที่ไม่มีสิทธิเลือกทางชีวิตตัวเองได้ ภาพประกอบนี้เป็นภาพของ Sir John Everett Millais วาดในปี 1851-1852 ใช้เวลานานมากๆ กับภาพแบคกราวน์ที่เป็นดอกไม้

ภาพนี้ปัจจุบันแสดงอยู่ที่ Tate Britain Gallery ที่ลอนดอนค่ะ พอดีตอนไปเดินดูแอบสะดุดตา ก็เลยมาหาต่อในเนตว่าเธอผู้นี้เป็นใคร ภาพวาดยังมีของอีกหลายๆ ท่านเลย สามารถดูได้ที่ http://www.mythicalrealm.com/legends/ophelia.html

เห็นรูปเศร้าๆ แล้วรู้สึกเหมือนถูกบีบที่หัวใจ แล้วก็สะกิดใจดีจริงๆ
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ชอบแต่รูปเศร้าๆ ^__^ เดี๋ยวครั้งต่อไปเอารูปอื่นที่ชอบมาลงมั่งแล้วกันนะคะ


วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2549

ชีวิต (ไม่) ธรรมดาของนักขุด: Barcombe Roman Villa ตอนที่ 1


Rating:★★★★★
Category:Other
ภาค 2 : Barcombe Roman Villa, Sussex

จุดเริ่มต้น

นัยน์ตาฉันจวนจะปิดอยู่ริบหรี่ ขณะที่นั่งรอเพื่อนอยู่ ณ สถานีรถไฟวิกตอเรีย ประเทศอังกฤษ ทั้งๆ ที่ในกำหนดการบอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่ารถไฟขบวนที่พวกเราควรจะนั่งไปคือขบวนที่ออกจากลอนดอนเมื่อเวลา 16.30 ซึ่งถ้ารถขบวนนั้นไม่เสียเวลาขณะเดินทาง ก็ควรจะถึงสถานี Cooksbridge เมื่อเวลา 18.00 ซึ่งทางไซต์ชุดจะส่งรถตู้มารับอีกที

ฉันตั้งใจเอาไว้ว่าจะออกจากบ้านเมื่อ 15.00 นาฬิกา หากสาวญี่ปุ่น เนลลี่ ผู้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉันจะไม่รีบนัดหมายทางอินเตอร์เนตเมื่อเช้านี้ว่า “เจอกันที่วิกตอเรียบ่ายโมงนะยิ้ม ” แล้วรีบตัดบทการสนทนา ฉันไม่อยากเดินทางคนเดียวก็จำต้องยอมออกจากหอพักตั้งแต่เที่ยงครึ่งเพื่อให้มาถึงสถานีรถไฟตามเวลานัดหมาย
ไม่น่าเชื่อ นับจากวันแรกที่ฉันได้ลงภาคสนามที่ค่าย Primtech จนถึงวันนี้ เป็นเวลานานกว่าครึ่งปีแล้ว ความรู้สึกในยามนี้ก็แตกต่างจากตอนนั้นลิบลับ ความมั่นใจในตัวเอง และ ความกล้าที่จะเผชิญปัญหาเพิ่มมากขึ้น จะหวาดหวั่นอยู่บ้างก็คือกลัวว่าจะทำความเสียหายให้หลุมขุดค้นบ้างไม่มากก็น้อย เพราะการลงภาคสนามครั้งนี้ ฉันต้องสำรวจ ขุดค้น และจัดการเกี่ยวกับโบราณวัตถุที่หามาได้จริงๆ

ฉันไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้มาก่อน สิ่งเดียวที่มีอยู่คือความรู้จากตัวหนังสือบนหน้ากระดาษ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เทียบไม่ได้เลยกับการได้ลงมือปฏิบัติ เพราะทฤษฎีก็เป็นได้เพียง “แนวทาง” เวลาอยู่ในหลุมขุดค้นจริง ๆ ยังมีปัจจัยอีกมากมายที่ทำให้โบราณสถาน และ โบราณวัตถุมีสภาพแตกต่างไปจากที่ควรจะเป็น เรียกได้ว่า ความชำนาญเป็นเรื่องของประสบการณ์เลยทีเดียว

“ยิ้ม มาเร็วเชียวนะ” เสียงเนลลี่ร้องทัก ฉันตื่นจากภวังค์หันไปมองพบว่า เนลลี่ยืนอยู่กับคานาโกะ สาวญี่ปุ่นร่างเล็กอีกคน และ มิเกล ลูกครึ่งไทย-สวีเดน คนนั้น จะไม่ให้มาเร็วได้อย่างไรในเมื่อเธอเป็นคนนัดให้มาเจอกันเอง ฉันตอบในใจ แล้วส่งยิ้มให้เธอและทุก ๆ คน
รถไฟแล่นเทียบชานชาลาที่ Cooksbridge ทางมหาวิทยาลัยแจ้งมาแล้วว่าจะมีเรือนโรงนาให้พวกเราได้ซุกหัวนอน ฉันไม่ได้คาดหวังจะให้ที่พักดีเยี่ยมเหมือนหอพัก หรือโรงแรม แค่มีชายคาป้องกันฝนและลมหนาวก็เพียงพอแล้ว

เส้นทางจากสถานีรถไฟและที่พัก คดเคี้ยว ลัดเลาะไปมาผ่านทุ่งข้าวสาลี และทุ่งหญ้าสีเขียวอมเหลือง มองไม่เห็นหมู่บ้าน หรือร้านค้าที่พอจะซื้อหาสิ่งของที่ต้องการได้เลย “ เพียง 8 วัน 8 คืนเท่านั้น” ฉันปลอบใจตัวเองอยู่เนือง ๆ มองไปนานเท่าไรก็ยิ่งมองเห็นความงดงามของธรรมชาติ และ กลิ่นไอชนบท ที่ห่างไกลความเจริญเสียเหลือเกิน
เมื่อถึงที่พัก นักศึกษาก็ทยอยขนสัมภาระลงมาจากหลังรถตู้ที่ผู้จัดการไซต์ขับมารับ ถ้าเขาไม่มาพวกเราก็คงไม่มีทางอื่นที่จะเดินทางมายังที่พักซึ่งเป็นโรงนาเก่าก่อสร้างอย่างหยาบๆ อยู่กลางฟาร์มที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทุ่งกลางไร่อย่างนี้ได้

ที่พักไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ถึงแม้ตัวเรือนจะเป็นไม้แผ่นตีประกบ ๆ แต่ก็มิดชิดและกันลมได้ดี ถึงแม้จะไม่มีระบบปรับอุณหภูมิ แต่ถุงนอนที่นำมาก็คงให้ความอบอุ่นได้พอสมควร ห้องที่พักแบ่งย่อยออกเป็น หลายห้องเพื่อรองรับสมาชิก 21 คน แต่ละห้องมีเตียงสองชั้นห้องละ 2 เตียง ฉันเลือกนอนห้องเดียวกับ เนลลี่ และ คานาโกะ ส่วนเตียงที่เหลือ มิเกลยึดครอง ออกภาคสนามอย่างนี้ความสนิทสนมกลมเกลียวมักจะมาก่อนเหตุผลอื่น ๆ จะออกมาโวยวายว่า “ไม่ให้นอน ผู้ชายห้ามเข้า” ก็ไม่ได้

ติดกับอาคารที่พักมีห้องครัวซึ่งเป็นเรือนไม้ก่อสร้างอย่างหยาบ ๆ ไม่มีฝาผนัง จะว่าไปแล้วห้องที่ฉันพัก อยู่ติดกับบริเวณโต๊ะอาหารพอดี อาจจะมีเสียงรบกวนเวลากลางคืนได้ เพราะมองไม่เห็นที่อื่นที่เพื่อน ๆ จะจับกลุ่มสนทนากันได้นอกจากในครัว และ ในห้องนอน แต่นั่นทำให้ห้องนอนห้องนี้มีเพียงผนังด้านเดียวที่เปิดรับลม เพราะอีกสองด้านก็อยู่ติดกับห้องพักอื่น ๆ จึงน่าจะเป็นห้องที่อุ่นกว่าห้องอื่น ๆ

นักศึกษารุ่นพี่ 2 คนเป็นอาสาสมัครมาจัดการเรื่องอาหาร และ ความเป็นอยู่ทั่วไป เมื่อพวกเราจัดการจัดของเสร็จเรียบร้อย อาหารก็วางตั้งรออยู่บนโต๊ะยาวในห้องอาหารแล้ว
“กรี๊ด........” เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังออกมาจากห้องข้าง ๆ ฉันและเพื่อนร่วมห้องวิ่งไปดูด้วยความตกใจ

“เกิดอะไรขี้น”
“แมงมุม ดูสิ แมงมุมตั้งหลายตัว เต็มห้องไปหมดเลย” ฉันเหลือบตามองดูแมงมุมตัวเล็ก ๆ 3 ตัวที่อยู่ตรงขอบผนังด้วยความไม่เข้าใจ แมงมุมมันตัวเล็กกว่าเราตั้งหลายเท่า แต่สาวๆก็ร้องโหยหวนราวกับว่าเจอมังกรอยู่ใต้เตียง เอาเถิด...ฉันยังกลัวจิ้งจกได้เลย คนเราก็มีความกลัวในสิ่งต่างๆกัน คิดได้ดังนั้นก็เลยถอยออกมาจากห้องพักของพวกสาวๆอังกฤษ

จะว่าไปแล้ว สภาพที่พักที่นี่ออกจะดีเกินกว่าที่ฉันคาดคิดอยู่มากเสียด้วยซ้ำ มีไฟฟ้า มีเตาแก๊สไว้ใช้ มีตู้เย็นที่ใช้บรรจุเนื้อสัตว์มาประกอบอาหารได้ ในห้องพักก็มีอ่างล้างหน้าให้ใช้ ห้องน้ำถึงแม้จะเป็นแค่ฝาไม้อัดกั้น ๆ เอาไว้ และมีห้องอาบน้ำเพียง 4 ห้อง แต่ก็ใช้การได้ดี ดังนั้นแมลงตัวเล็กตัวน้อยที่หลุดรอดเข้ามาในห้องได้จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของฉัน เราอยู่ส่วนเรา เขาอยู่ส่วนเขา แต่เสียงกรีดกราดในห้องนั้นก็ยังไม่เงียบลงเสียทีเดียว จนเพื่อนผู้ชายต้องเข้าไปเก็บแมงมุมโชคร้ายพวกนั้นออกมาจากห้อง เสียงโหวกเหวกจึงเงียบลงไป

ยิ่งตกดึกอากาศยิ่งเย็น จนเสื้อแขนยาวบาง ๆ ที่ใส่อยู่ไม่อาจต้านทานความหนาวได้ เสื้อกันหนาวแบบมีหมวกก็ยังไม่ทำให้อุ่นขึ้นมากนัก จนฉันต้องเอาเสื้อแจ๊กเกตชั้นนอกตัวหนามาใส่ถึงจะนั่งอยู่ในสภาพอากาศอย่างนั้นได้ เมื่อถึงเวลาเข้านอน พื้นห้องเย็นเฉียบเมื่อเท้าเปล่าได้สัมผัสจนแทบเป็นตะคริว ฉันเตรียมจะปีนขึ้นไปนอนบนเตียงชั้นสองที่ได้จับจองไว้ตั้งแต่แรกมาถึงเพราะเตียงนี้ไม่มีบันไดให้ไต่ขึ้น แต่ดูเหมือนแขนขาจะหมดแรงจนต้องร่วงลงมาเหมือนเดิม

ปกติแล้ว ฉันชอบนอนบนเตียงชั้นสองเพราะได้รับอากาศปลอดโปร่งกว่านอนชั้นล่าง และฉันก็ไม่เคยประสบปัญหาในการปีนขึ้นเตียงมาก่อนเลย ฉันตั้งสติยืนมองเตียงชั้นสองอีกครั้งแล้วจึ่งมองเห็นว่าเตียงชั้นล่างนั้นจัดได้ว่าต่ำกว่าเตียงมาตรฐานทั่วไปและเตียงชั้นสองก็สูงเกินกว่าปลายคางของฉันเสียอีกถึงแม้จะเหยียบเตียงชั้นล่างเพื่อเป็นการดันตัวเองขึ้นไปฉันก็ยังต้องยกขาอีกสูงพอดูเพื่อให้ถึงขอบเตียงชั้นบน ซึ่งไม่มีอะไรให้ยึดเกาะเพื่อดึงตัวเองขึ้นไปเลยแม้แต่น้อย ใครหนอช่างออกแบบดีแท้

ฉันลากเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้อ่างล้างหน้ามาวางไว้ปลายเตียงเพื่อใช้เป็นพื้นแข็ง ๆ ในการถีบส่งตัวเองขึ้นไป ด้วยความง่วงงุนฉันจึงเผลอหลับไปก่อนเพื่อนคนอื่น ๆ จะกลับเข้าห้อง ในภวังค์ครึ่งฝันครึ่งจริง ฉันได้ยินเสียงเนลลี่บ่นพึมพำ

“อะไรกันนี่ ใครออกแบบเตียงนี้น่ะ สูงจะตาย ใครจะปีนขี้นไปได้ อ้าว แล้วยิ้มขึ้นไปได้ด้วยเหรอนี่ แหม...หลับไปแล้ว ถ้าไม่หลับจะถามสักหน่อยว่าขี้นไปได้ยังไง” เปลือกตาฉันหนักเกินกว่าจะลุกขึ้นชี้บอกให้เธอใช้เก้าอี้ เธอก็เป็นผู้หญิงแกร่งคนหนึ่ง คงช่วยตัวเองได้ในที่สุด

To be continued

ป.ล. ไปครั้งนี้ก็ไม่กล้าเอากล้องถ่ายรูปไปอยู่ดีค่ะ เพราะกลัวจะหาย กลางวันไม่มีคนเฝ้า Chicken shed หรือบ้านเล้าไก่ของพวกเรา เลยได้แต่ขโมยภาพของคนอื่นมาลงนะเนี่ย
ในภาพนะคะ คนหัวใส ๆ ที่ยืนอยู่คืออาหารย์ ชื่อ Clive ที่มักจะโดนกล่าวถึงบ่อยๆ ทั้งในบทความนี้และในนิยายเรื่อง "เก็บรักไว้ใต้ผืนดิน" แหะๆ อาจารย์แกเป็นคนน่ารักค่ะ

อ้างอิง: http://www.msfat.com/Projects/Barcombe_Roman_Villa/BV05_July_Diary.htm


ซ่อน...




ชอบเอางานเก่ามา รีไซเคิลลงตามที่ต่างๆ จริงๆ เลย แหะๆ



แต่เข้าใจว่าไม่เคยลงบทนี้ที่ไหนนอกจาก Webboard ของ tsuk ซึ่งล่มไปแล้ว และไม่มีใครกู้คืนกลับมาสานต่อ (เป็นผลให้กลอนที่แต่งไว้หลายสิบบทอันตรธานไปกับเวบที่ล่มด้วย คนแต่งน้ำตาแทบไหลพรากๆแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เลยคิดว่าหาเวบที่รวบรวมงานได้เป็นระบบระเบียบก็จะเอามารวมๆ กันให้หมด ในที่สุดก็เจอแล้ว...อา เสร็จฉันล่ะ Multiply)



จั่วหัวเอาไว้ว่า "ซ่อน"

เพราะอยู่ดีๆ วันหนึ่งก็ฉุกใจขึ้นมา ว่าคนเรา "ซ่อน" อะไรไว้บ้าง

ซ่อนไว้...โดยตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจ

สิ่งที่ซ่อนไว้โดยตั้งใจ เพราะเราไม่ต้องการให้คนอื่นรู้

แล้วสิ่งที่ซ่อนไว้โดยไม่ได้ตั้งใจล่ะ....

เป็นเพราะสัญชาตญาณของคนเราต้องการหนีความจริงหรือไม่อยากจะรับรู้สิ่งนั้นๆ เมื่อรู้ว่ามันจะย้อนมาทำร้ายจิตใจตัวเองหรือเปล่า



ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน...ว่าตัวเองซ่อนอะไรเอาไว้โดยไม่ตั้งใจบ้าง

เพราะถ้ารู้ก็คงไม่เรียกว่าซ่อน...

บางครั้งภาวะวิกฤต กลับเป็นตัวกระตุ้นให้สิ่งที่ซ่อนเอาไว้เผยออกมา

อาจจะเป็นสิ่งที่ซ่อนเอาไว้ในรูปของศักยภาพ

อาจจะเป็นความเห็นแก่ตัวหรือด้านมืดที่แฝงอยู่ในใจ

อาจจะเป็นความเสียสละแบบที่ไม่คาดว่าตัวเองจะทำได้



นับจากวันนี้...จะลองมองย้อนดูตัว แล้วค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่



Upon speaking,

Words can be distorted by minds.

In silence lies my true self.



ระหว่างที่เราพูด...

คำพูดอาจจะถูกบิดเบือนให้เป็นไปตามความต้องการของคนพูดและคนฟัง

ด้วยจิตที่ยังมีโลภะ โทสะ โมหะของปุถุชน



หากไม่พูด...

ให้จิตซึมซับความจริงจากต้นขั้ว

อาจจะได้รับสิ่งที่บิดเบือนน้อยกว่าการซึมซับเอาคำพูดซึ่งมักจะถูกบิดเบือนถึงสองครั้ง

จากคนพูด และคนฟัง

ตัวตนของเรา...ซ่อนอยู่ในความเงียบ



Upon seeing,

Illusions are provoked by the light.

In darkness lies the very truth.



มนุษย์...รับรู้ และเรียนรู้ด้วยการมองเช่นกัน

การมองเห็นเกิดจากแสงตกกระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าดวงตา

หากแสง...ก็อาจก่อให้เกิดการบิดเบือนของภาพที่ปรากฎ หรือที่เราเรียกว่าภาพลวงตา

ในความมืด...

เรามองไม่เห็นอะไร

แต่เราก็จะไม่ถูกหลอกลวงโดยกลของแสง

ฤๅความจริง...จะซ่อนอยู่ในความมืด



Upon loving,

All reasons are outdone by passions

In loneliness lies true self-awareness



เมื่ออยู่ในความรัก

ความมีเหตุผล...โดนกลืนกินโดยแรงปรารถนาอันยากจะต้านทาน

การอยู่ในความเหงา...ความเดียวดาย

อาจจะทำให้เรารู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง

หากในความทรมานนั้น เราก็ยังมีความเป็นตัวของตัวเองซ่อนอยู่

ความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่ถูกชี้นำ...โดยคำว่า 'รัก'



Upon smiling,

A deep pain is hidden inside

In tears lie the true feelings of mine.



เวลายิ้ม...

ความเจ็บปวดอาจซุกซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าที่ฉาบไว้ด้วยความสดใส

ความเหงา ความสับสนไม่แน่ใจ ความขุ่นข้องโกรธเคือง

และสิ่งที่คอยบั่นทอนจิตใจ

ถูกพับลงไปในหีบของความทรงจำ



เวลาร้องไห้...

นั่นแหละ

ความรู้สึกที่แท้จริงที่ถูกซ่อนไว้มานานแสนนานก็จะถูกเปิดเผยออกมา

เจ็บปวด...

แต่มันเป็นความรู้สึกที่แท้จริง

ที่ไม่ได้ซ่อนไว้ใต้รอยยิ้ม...อีกต่อไป



พล่ามมานานพอสมควรแก่เวลา ไปละล่ะค่ะ



ป.ล. ภาพประกอบไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย -__-" มันคือดอก 'ซ่อน'กลิ่น น่ะค่ะ เอามาจาก www.panmai.com/ Food/List_07.htm