วันนี้พาตัวเองฝ่าออกมาจากกองงานที่วางอยู่บนบ่า...เพื่อมาหยุดอยู่ตรงนี้ มองดูร่องรอยความรุ่งเรืองของบล็อกเก่าที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมาจาก multiply อดีตสังคมออนไลน์ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักและพบเจอเพื่อนดีๆ มากมายหลายคนที่กำลังจะปิดตัวลง อ่านบทความและบทกวีเก่าๆ แล้วก็ได้แต่ยิ้มอ่อนๆ ที่มุมปาก เวลาหนึ่งชั่วโมงหลังอาหารมื้อเย็นหายวับลงไปในกล่องแห่งความทรงจำที่ข้าพเจ้าเปิดมันขึ้นมาอย่างตั้งใจ แต่ข้าพเจ้าก็ยินดีที่จะอุทิศเวลาเพิ่มเติมให้กับบล็อกนี้อีกหน่อย แม้จะรู้ว่า...ยังมีงานอื่นที่รออยู่ และงานนั้นอาจช่วยให้ข้าพเจ้าขอตำแหน่งทางวิชาการได้...หากทำมันได้ดี มีความหมายพอในเวลาอันสั้น
ถ้าข้าพเจ้าวางมือจากซากอารยธรรมแห่งความคิดเหล่านั้น แล้วกลับไปสู่หนทางสู่วิถีอันเรืองโรจน์ ก็คงจะผิดแผกไปจากวิสัยของข้าพเจ้า ผู้ซึ่งแหวกกฏเกณฑ์ความน่าจะเป็นในการดำเนินชีวิตมาหลายต่อหลายครั้ง
ข้าพเจ้าที่หันหลังให้กับสาขาวิชาที่ต้องใช้คะแนนสอบสูงลิ่วเป็นใบเบิกทาง และรับประกันได้ว่าจะมีรายได้และวิชาชีพที่มั่นคง เพื่ออ้าแขนโอบกอดสาขาวิชาที่ ณ ตอนที่เลือกยังไม่รู้แม้แต่น้อยว่าจะหางานรองรับได้ในอนาคตหรือไม่
ข้าพเจ้าที่หันหลังให้กับมหาวิทยาลัยที่ติด top 10 ของ QS World Ranking ที่อาจารย์พร้อมจะเสนอทุนให้เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในเมืองหลวงอันหนักหน่วงแล้วย้ายไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยในเมืองเล็กๆ เพราะมันสงบเงียบ น่ารัก สวยงาม เยือกเย็น และ 'โดนใจ' กว่ามหานครที่วุ่นวาย
ว่าแล้วข้าพเจ้าก็ใช้เวลาอีกขณะใหญ่ฝังตัวเอง จมจ่อมลงไปกับร่องรอยอดีต ที่เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างตรงหน้า แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ขาดหายไป แต่สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาก็ชัดเจนพอที่จะทำให้นึกถึงวันเก่าๆ อันรุ่งโรจน์ได้ไม่ยากนัก รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก
ในวันนี้...ข้าพเจ้าหวนมาแตะบล็อกส่วนตัวอีกครั้ง แต่การเขียนครั้งนี้...คงไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด มุมมอง สำนวน และจำนวนคนอ่าน เพราะวันนี้ข้าพเจ้าไม่ใช่นักเรียนไทยในอังกฤษที่เพื่อนฝูงล้นเหลือ ข้าพเจ้าไม่ใช่นักเขียนนิยายรักที่มีคนรออ่าน ข้าพเจ้าไม่ใช่ Blogger ที่มีเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยว หรือประสบการณ์ชีวิตมาแบ่งปันคนอ่านได้บ่อยๆ ข้าพเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาที่สรรหาพื้นที่เพื่อแสดงความคิดเห็นและแบ่งปันบางสิ่งแก่เพื่อนร่วมโลกเท่านั้นเอง
บล็อกนี้อาจไม่มีใครหลงเข้ามาอ่านเลย แต่ข้าพเจ้าก็คงจะเขียนต่อไป และหวังว่าหากมีใครเดินผ่านมา ก็อาจได้อะไรบางอย่างไปจากมันบ้าง หากแม้นว่าจะไม่มีใครเข้ามาอ่านเลย ข้าพเจ้าก็ยังยินดีที่จะเขียนต่อไป เพราะอย่างน้อยในวันข้างหน้า...งานเขียนของข้าพเจ้าก็อาจจะกลายเป็นซากอารยธรรมของความทรงจำแก่ตัวข้าพเจ้าเอง ไม่ต่างอะไรไปจากบล็อกนับร้อยจาก multiply ที่ ณ วันนี้เป็นมรดกทางความคิด ตัวตน และมุมมองของข้าพเจ้าคนก่อน ที่ได้ดับสูญไปแล้วในหล่มโลกย์
.
.
.
.
ข้าพเจ้าไล่สายตาไปตามตัวหนังสือที่เคยเรียงร้อยเอาไว้ตั้งแต่ปี 2006 - 2011 กว่า 6 ปีที่ข้าพเจ้าใช้ชีวิตและลมหายใจในพื้นที่ไซเบอร์ ข้าพเจ้ายึดตัวหนังสือเป็นอารมณ์ เป็นตัวตนของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นช่วงสุข หรือช่วงทุกข์ ตัวหนังสือและหน้าบล็อกเป็นประดุจลมหายใจเข้าออก เป็นพลังผลักดันให้ข้าพเจ้าก้าวเดินต่อไป ในวันนั้นข้าพเจ้าไม่เคยสังเกต ว่าบทความหรือบทกลอนในบล็อกล้วนแล้วแต่แฝงความนัยไปในทางเดียวกันเสียเป็นส่วนมาก ไม่ว่าจะเป็นบทความที่่สะท้อนถึงความทุกข์ หรือความสุขสมหวังในชีวิตแต่ละวันของข้าพเจ้า
"ปัญหาเข้ามา ฉันพยายามเข้มแข็งและแก้ไข หากแม้จะแก้ไขได้ และยังมีแรงเดินต่อไปเรื่อยๆ แต่ปัญหาก็เข้ามาหาฉันอีก ครั้งแล้ว..ครั้งเล่า ชีวิตฉันมีทั้งรอยยิ้ม น้ำตา มีกำลังใจจากผู้คนแวดล้อมรอบตัว มีทุกอย่างที่หลายๆ คนต้องการ แต่ทำไมมันถึงดูว่างเปล่า ไร้ค่า ในความทุกข์มีความทรมาน แต่ในความสุขก็มีความอึดอัด สังเวชใจ ฉันไม่เคยรู้สึกได้รับการเติมเต็มในชีวิตเลย นี่ฉันกำลังรอคอยอะไรกัน...พาฉันออกไปจากที่นี่ พาฉันออกไปจากที่นี่...พาฉันออกไปจากที่นี่เสียที"
When nothing seems to go right.
I keep faith in my heart, stand up, and fight
But is there any 'real' solution to ease the pain?
I did try to do so, but they all prove in vain
A problem's come, a problem's gone
Time moved gently from dusk 'til dawn.
Leaving me being stuck here
feeling numb, with no single drop of tears.
สารดังกล่าวนี้ปรากฏอยู่ในงานเขียนแทบทุกครั้งที่ข้าพเจ้าจรดนิ้วลงบนคีย์บอร์ด ในวันนั้นข้าพเจ้าดูไม่ออก ไม่เข้าใจ และไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองจากสภาวะนั้นได้ ข้าพเจ้าจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะได้มาซึ่งคำคำเดียว ที่จะกำจัดความรู้สึกนึกคิดที่กัดกร่อนชีวิตจิตใจของข้าพเจ้าไปเรื่อยๆ คำนั้นคือ.... "ความสุข"
แต่ดูเหมือนยิ่งพยายาม คำคำนั้นยิ่งหลุดลอยห่างไกลเกินเอื้อมไปทุกที ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถทำอะไรได้...นอกจากหวัง...และหวัง....ว่าจะมีสักวิถีทางที่จะทำให้ข้าพเจ้าได้ไปให้พ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่รู้ตัวเลย ว่าสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดนั้นคืออะไรกันแน่
Roses cannot flourish on the bare rock
Nor can I keep going when my mind is still locked,
Wrapped and trapped in the darkest room of uncertainty.
keeping me forlorn from now to eternity.
Get me out of here! ! ! ! ! ! !, I wish I could scream out loud.
but the more I moved, the more I was trapped in a shroud
So I'm helplessly lying, hoping for the best to come...
If you have positive attitude, could you lend me some ? ? ? ?
ข้าพเจ้าจึงดำดิ่งลงไปสู่ความมืดมนอนธกาลของความไม่รู้ และความพยายามรับร้อยนับพันครั้งที่จะผลักตัวเองออกไปจากความรู้สึกอึดอัด เหมือนถูกพันธนาการ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยทำสำเร็จ ในยามทุกข์ข้าพเจ้ารู้ว่าทุกข์ แต่ในยามสุข...ข้าพเจ้าก็ได้แต่พิศวงว่าทำไมมันยังมีความโหยหาอยู่ในใจ ความโหยหาที่ไม่ใช่ความต้องการความรัก ความใส่ใจ การเติมเต็มจากเพศตรงข้ามอย่างที่ข้าพเจ้าเคยคิดมาตลอดว่าใช่...
ความพยายามพ้นจากความอึดอัดในช่วง 2-3 ปีหลังทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกทีๆ และยิ่งข้าพเจ้าพยายามวิ่งไล่หาคำตอบ ปัญหาและบททดสอบก็วิ่งเข้าชนชีวิตข้าพเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดข้าพเจ้าร่วงลงไปสู่่ก้นหลุมของความทุกข์ ความผิดหวัง และความกดดันที่ไม่มีที่สิ้นสุด น่าแปลกที่มือที่ยื่นเข้ามาช่วยในบางครั้งก็ละม้ายจะผลักข้าพเจ้าให้ตกลงไปอย่างรุนแรงกว่าเดิมด้วยในคราเดียวกัน
ข้าพเจ้าร่วงลงไปสูู่ก้นหลุมที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าความมีสติ และความเสียสติมันอยู่ห่างกันเพียงแค่เส้นใยบางๆ ที่กั้นกลาง และเส้นใยบางๆ นั้นก็จวนเจียนจะขาดอยู่รอมร่อ
ณ ก้นหลุมนั้นเอง...มีแสงหนึ่งส่องลอดลงมาจากเบื้องบน..
มาถึงตอนนี้...ผู้อ่านอาจจะคิดว่าข้าพเจ้าเป็นตัวแทนขายตรง ที่่กำลังเข้าเรื่องและพูดถึงวิธีการขายที่จะนำมาซึ่งบ้านใหม่ รถใหม่ เงินทอง สมบัติพัสถาน
หรือบ้างก็คงจะคิดว่าข้าพเจ้าเป็นผู้เผยแผ่ศาสนาบางนิกายที่กำลังจะชักนำ ชักจูงผู้ที่กำลังหลงทางให้ตกเป็นเหยื่อ
ข้าพเจ้าจึงขอสารภาพตรงนี้ อย่างซื่่อตรง...ว่าไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
มือที่ฉุดข้าพเจ้าขึ้นมาจากหลุมคือมือของ "ความจริง" และ "ธรรมชาติ" เท่านั้นเอง
ความจริง และธรรมชาติที่อยู่นอกเหนือพรมแดนแห่งศาสนา และวัฒนธรรมใดๆ
ที่ทำให้ข้าพเจ้าคนเก่าตายไป...พร้อมกับโลกย์เดิมๆ
ข้าพเจ้าจึงอยากเขียนบทความขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ถึงความไม่ง่ายไม่ยากในการถีบตัวเองออกมาจากก้นหลุมแห่งความอึดอัดนั้น บอกเล่าถึงเส้นทางที่เลือกผิด เลือกถูก จนกระทั่งผ่าน 'ความตาย' มาจนถึงวันนี้ วันที่ความอึดอัดนั้นสลายหายไป สู่สภาวะใหม่ในสิ่งแวดล้อมเดิมๆ เผื่อใครบางคนที่ผ่านมาและกำลังตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศ จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
เพื่อที่เราจะได้รู้ว่า...คุณไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นคนเดียวในโลก....
ข้าพเจ้าก็หวังแค่นี้ เท่านั้นเอง