วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่องจริง เล่าจัง เบื้องหลังชุดขาว (ตอนที่ 1 )

Rating:★★★★★
Category:Other

สวัสดีค่ะ พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนพ้องทั้งหลาย

อาจจะสงสัยกัน..ว่าอยู่ดีๆ ยิ้มมันจะหันมาเขียนเรื่องเกี่ยวกับการแพทย์หรือสุขภาพหรือไง ถึงได้เปิดเรื่องมาด้วยคำว่า 'เบื้องหลังชุดขาว' ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า เบื้องหลังชุดขาวนี่ ไม่ได้หมายถึงชุดพยาบาล ไม่ใช่เสื้อกาวน์ของแพทย์ ไม่ใช่ชุดข้าราชการ..และไม่ใช่ชุดเจ้าสาวด้วย(ถึงกรณีหลังสุดนี้จะแอบอยากให้ใช่เหมือนกัน 55 ช่วงนี้เพื่อนสาวแซงหน้าแต่งงานกันไปเยอะแย้ว...เจ้าบ่าวเรายังไม่เกิดเลย กรี๊ดดดด)

กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า เอาเป็นว่าบล็อกนี้หมายถึง เสื้อขาว กางเกงขาว และผ้าสไบขาวของโยคี อุบาสก อุบาสิกาต่างหาก ^ ^'

มาถึงจุดนี้หลายๆ ท่านคงเตรียมจะกดปิดหน้าต่างไปแล้ว โหย อะไรกัน เรื่องปฏิบัติธรรมเหรอ อ่านแล้วร้อน เอ๊ยไม่ใช่ อ่านแล้วคงน่าเบื่อแน่ๆ ต้องมาแนวอะไรคือสติปัฏฐาน กำหนดรู้หายใจเข้าออก เดี๊ยวววว....ยิ้มไม่ได้กะจะเขียนถึงหลักธรรม หรืออะไรอย่างนั้นหรอก (ถึงจะเป็นเรื่องดีๆ ที่ควรเขียนถึงก็ตาม) ข้าพเจ้ายังคงยึดหลักว่าบล็อกนี้เป็นที่แบ่งปันประสบการณ์และความคิดเห็นที่เน้นภาคบันเทิงอยู่ ฮ่าๆ

วันนี้ฤกษ์งามยามดี เลยถือโอกาสมาเริ่มอัพบล็อกดีกว่า หลังจากที่ว่างเว้นไม่ได้อัพมานานมากกก ปลายเดือนมกราคมนี่เอง ยิ้มได้ไปทำบุญเก้าวัดมา เลยมีแรงบันดาลใจมาเขียนอะไรนิดหน่อย เพราะตอนที่พวกเราไปถึงวัดพระธาตุห้าดวง ที่อ.ลี้ ก็เจอค่ายธรรมะ ที่กำลังมีการอบรมพุทธบุตรอยู่พอดี บริเวณศาลารายเต็มไปด้วยเต็นท์ที่พักของเด็กๆ (จริงๆ ก็ไม่เด็ก น่าจะเรียกว่าวัยรุ่นดีกว่า ดูแล้วคิดว่าเป็นวัยที่กำลังคึกคะนองเลย) ยิ้ม พ่อ แม่ ย่า ลงไปทำบุญไหว้พระที่ศาลา จากนั้นก็เดินกลับมาที่รถ ขณะที่กำลังขับกลับออกมานั่นเอง ก็เห็นเด็กใส่ชุดขาวสองคน กำลังเดินออกมาทางหน้าวัด มองซ้ายมองขวาล่อกแล่กด้วยท่าทีเหมือนคนกำลังจะหนีค่าย...หรือไม่ก็กำลังหาทางออกมาเดินเล่นข้างนอกวัดแก้เบื่อ

อ้าว พุทธบุตร คิดจะทำอะไรคะนั่น เฮ้อ เด็กสมัยนี้ ยิ้มกำลังจะบ่นแกมเทศนาอยู่ในใจ หากชั่วขณะหนึ่งภาพเด็กชายวัยรุ่นสองคนที่เดินอยู่ข้างถนนก็หายไป แต่ภาพเด็กผู้หญิงวัย 11 ขวบ 3 คนกำลังวิ่งลัดเลาะตามคันนาเบื้องหลังสำนักแม่ชีก็กลับปรากฎชัดขึ้นมาในดวงจิต ภาพนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นใบหน้าของหนึ่งในสามคนนั้นชัดเจน

โอ้...ทำเป็นว่าเขาจริงๆ เราก็เคยผ่านช่วงนี้มาก่อนนี่นา ก็ไอ้เด็กคนนั้นมันตัวเองเอง

แหะๆ จริงด้วยค่ะ ยอมรับโดยไม่มีข้อแม้ ตอนเด็กๆ ก็เคยทำอะไรด้วยความคะนองระหว่างการปฏิบัติธรรมมาเย้ออออออ ไม่ใช่แค่หลบออกไปเดินเล่นข้างนอกสำนักปฏิบัติธรรมด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่(ตอนนั้น)อายุยังน้อยก็เลยไม่ค่อยคิดอะไร พ่อแม่อยากให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดก็ไป ตัวเราเองก็อยากลองไปสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ก็ไป ไม่ได้คิดว่าจะไปเพราะอยากฝึกใจให้สงบ ฝึกให้มีสติถึงพร้อม หรือฝึกให้เกิดฌาณขั้นไหนๆ สภาพก็เลยเหมือนไปเข้าค่ายฤดูร้อนมากกว่า

ตอนที่ริไปปฏิบัติธรรมครั้งแรกนั้น อายุ 11 ขวบ ไปอยู่ที่สำนักแม่ชีเป็นเวลาทั้งสิ้น 9 วัน นับว่าเป็นช่วงเวลาไปฝึกวิปัสสนาที่ยาวนานที่สุดแล้ว เพราะพออายุมากขึ้น ก็มีภาระทางโลกมากขึ้นๆ ส่วนมากก็เลยได้ไปแค่ 5 วัน 7 วัน เท่านั้นเอง (ยิ่งตอนเรียนเอกนี่ ไปได้ 3 วันก็หรูแล้ว) แต่ถึงครั้งแรกๆ นั้นจะไม่ได้ไปด้วยใจปรารถนาจะเข้าให้ถึงองค์พระธรรม แต่ประสบการณ์เหล่านั้นก็เป็นการปูพื้นฐานความสนใจในช่วงเวลาต่อๆ มา

นับว่า...ถึงจะไม่ได้ผลทางธรรม ณ จุดนั้น แต่มันก็มีผลต่อการตั้งเป้าหมายในชีวิตในกาลต่อไปค่อนข้างมากนะคะ

บล็อกนี้ไม่ได้จะมาเขียนถึงคุณประโยชน์ของการฝึกวิปัสนากรรมฐานอะไรหรอก เพราะตัวยิ้มเองก็ยังขั้นปฐมมากๆ แค่เรียกสติให้อยู่กับตัวก็ยากเย็นเต็มทีแล้ว ยังมิบังอาจไปชี้แนะใคร แต่เรื่องที่จะมาเล่านี่นำมาเพื่อให้อ่านเป็นเยี่ยง(แต่อย่าเอาเป็นอย่าง) เพราะว่าแต่ละเรื่องนั้น เหอๆ ๆ นึกไปก็คิดไปว่าช่างทำไปด๊ายยยยยย


อารัมภบท

สำนักปฏิบัติธรรมของแม่ชีที่ยิ้มได้ไปเริ่มต้นฝึกปฏิบัติวิปัสนานี้ อยู่ในเขตอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ สมัยก่อนยังไม่มีถนนสี่เลนตัดผ่านจากกลางใจเมืองมาถึงแบบสมัยนี้ ก็เลยนับว่าอยู่ห่างไกลตัวเมืองเชียงใหม่พอสมควรเลย ขับรถมาทีก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ (สำนักตั้งอยู่ใกล้กับวัดหนองบัว เขื่อนแม่กวง กับอุทยานแห่งชาติห้วยฮ่องไคร้ เป็นทางผ่านไปจังหวัดเชียงราย) ใกล้จะเข้าป่าเข้าดงอยู่แล้ว รอบข้าง(ณ เวลานั้น) ไม่มีร้านค้าอะไรเลย มีแค่ทุ่งนาๆ ป่า เขา และที่ว่าง เหมาะแก่การหลบลี้หนีความวุ่นวายไปปฏิบัติธรรมเป็นที่สุด

ตอนแรกญาติที่สนิทจะชวนยิ้มไปวัดพระธรรมกายค่ะ แต่เอาไปเอามา...รู้สึกว่าจะติดข้อขัดข้องเรื่องเวลา ชุดขาวที่ตัดไว้ก็เลยเกือบจะเก้อ โชคดี ที่เพื่อนรัก (ต่อไปนี้ขอเรียกว่าเพื่อน อ.) ที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันเอ่ยปากชวนเสียก่อน

"ยิ้ม ไปปฏิบัติธรรมกับเรามั้ย ที่ดอยสะเก็ด เป็นสำนักแม่ชี อยู่สบายนา ที่ทางก็ดี" (เอ...ทำไมเอาความสบายเข้ามาล่อล่ะคะ - -' )

คุณแม่ของเพื่อน อ. เป็นศิษย์ประจำของสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนั้นน่ะค่ะ เลยพาลูกสาวไปด้วย คุณลูกก็เลยอยากไปอีก ติดที่ไม่มีเพื่อนไป เพราะคุณแม่ต้องทำงาน เพื่อน อ. เลยลองชวนเพื่อนยิ้มเล่นๆ เผื่อจะฟลุก ตอนนั้น...ยิ้มก็ไม่คิดว่าพ่อกับแม่จะให้ไปหรอก เพราะยังไม่เคยจากบ้านไปไกลๆ ที่ไหนเลย ตอนแรกที่อาจะชวนไปวัดพระธรรมกายก็คิดว่าจะได้ไปกับอา แล้วระยะเวลาก็ไม่นานมาก นี่มาครั้งแรกก็ล่อไปเก้าวันทีเดียว จะรอดรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่พ่อกับแม่ก็อนุญาตอย่างง่ายดายมากจนนึกแปลกใจ แถมยังส่งลูกพี่ลูกน้องสาวอายุประมาณ 16-17 มาร่วมขบวนการด้วยอีกคน (ขอใช้ชื่อว่าพี่ ย.- นามสมมติ) จึงกลายเป็นคณะสามสาว สองวัย หัวใจไม่ค่อยตรงกัน (ก็ตอนนั้นเรายังเด็ก แต่พี่ ย. แกอยู่ในวัยรุ่นแล้วนี่นา ^ ^' มันก็มีมุมมองที่ต่างกันบ้างแหละน่า)

สถานที่

อย่างที่เกริ่นๆ เอาไว้นะคะ ว่าตัวสำนักปฏิบัติธรรมนี้อยู่ใกล้จะถึงป่าเขาเส้นทางเชื่อมต่อจังหวัดเชียงใหม่กับเชียงรายอยู่แล้ว ดังนั้นบรรยากาศทั่วไปจึงสงบ ร่มเย็นดี สำนักตั้งอยู่ห่างจากถนนใหญ่เข้าไปอีกจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ น่าจะประมาณหนึ่งกิโลเมตรมั้ง มีถนนลาดยางเล็กๆ ลัดเลาะไปตามทุ่งนาของชาวบ้าน ตัวสำนักกว้างขวาง มีตัววิหารที่กำลังสร้างอยู่ตรงกลาง ถัดไปก็เป็นศาลาปฏิบัติธรรมรวมที่ใช้การอยู่ ณ ตอนนั้น (ตอนนี้ถูกรื้อทิ้งแล้ว กลายเป็นศาลาใหญ่) มีสระน้ำลึกมากจนมองไม่เห็นก้น เห็นแต่สาหร่ายและกอบัวบานสะพรั่ง(น่ากลัว) มีศาลาไม้อยู่ตรงกลาง ส่วนกุฏิแม่ชีและโยคีก็รายล้อมสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นอยู่ กุฏิที่เราได้ไปพักกันหน้าเข้าหาศูนย์กลาง ด้านหลังเป็นทุ่งนาที่ตอนที่ยิ้มไป(มีนาคม)เหลือแค่ซังข้าว เพราะพ้นฤดูเก็บเกี่ยวมานานแล้ว มีขนำ (ห้างไม้เล็กๆ ที่พัก) ของชาวนาตั้งอยู่เป็นระยะๆ ห่างออกไป มองเห็นภูเขาสลับซับซ้อนอยู่เบื้องหน้า และ...ถึงแม้ว่าทุ่งนาจะไม่เขียวชอุ่ม แต่ก็มีน้ำไหลอยู่ตามร่องน้ำในทุ่งนาอยู่รินๆ ตัวกุฏิยกสูงจากพื้นทุ่งนาประมาณเมตรกว่าๆ ข้างล่างมีผักบุ้งขึ้นเต็มเพราะอยู่ใกล้น้ำและที่ค่อนข้างลุ่มต่ำ

สารภาพว่า ณ ตอนนั้น ยิ้มตื่นเต้นกับทิวทัศน์มากกว่าการจะได้ปฏิบัติธรรมอีกค่ะ แหะๆ ^ ^' เพราะการได้นั่งตรงระเบียงด้านหลังกุฏิ มองทุ่งนากว้างไกล มองทิวเขาสลับซับซ้อน ปล่อยให้จินตนาการล่องลอยไปไม่มีที่สิ้นสุด ช่างเป็นอะไรที่ถูกจริตอิฉันจริงๆ

วัตรปฏิบัติ ตารางเวลา

ที่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ศีลและกฏระเบียบเคร่งครัดมากค่ะ ดำเนินตามหลักสติปัฎฐาน 4 เน้นให้ผู้เข้าปฏิบัติ (ซึ่งเรียกว่าโยคี) มีสติอยู่กับตนตลอดเวลา ดังนั้น...เวลาสวดมนต์ หรือเยื้องย่างทำอะไร เขาจะเน้นให้ทำช้าๆ เป็นพิเศษ เพราะการทำอะไรที่ช้ากว่าปกติ มีโอกาสที่สติจะอยู่กับกายมากกว่าทำอะไรไวๆ ตามความเคยชิน ไอ้เด็กซนๆ กะเปิ๊บกะป๊าบคนหนึ่งก็เลยพบว่าชีวิตในจังหวะที่ช้าลงกว่าเดิมช่างยากเย็นอะไรขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกิน นอน นั่งเดิน หรือสวดมนต์ กว่าจะทำวัตรเสร็จแต่ละครั้งเหน็บกินครั้งแล้วครั้งเล่า

ตารางเวลาของการปฏิบัติธรมนั้นก็แทบจะเต็มวันเลยค่ะ วันเวลาเริ่มตั้งแต่ตี 4 (ใช่ค่ะ ตี 4 T-T เด็กขี้เซาเคยตื่นเช้าที่สุดก็ ตี 5 ครึ่ง) มีการปฏิบัติรวมกัน ร่วมพิธีถวายสังฆทานและทานอาหารเพลรวมกัน มีการทดสอบอารมณ์ (ว่าปฏิบัติได้แค่ไหนแล้ว) กับอาจารย์ ปฏิบัติรวมกัน(อีกหลายๆ รอบ) และจบลงแยกย้ายกันเข้านอนตอน 4 ทุ่ม

ในทางทฤษฏีพวกเราควรมีเวลานอน 6 ชั่วโมง แต่ว่า...ยิ้มไม่ใช่คนที่หัวถึงหมอนแล้วหลับเลย ยิ่งเป็นโอกาสแรกๆ ที่ได้ใช้เวลากับเพื่อนเต็มที่แบบนี้ด้วย โอ้โห...กว่าจะนอนได้ ก็ต้องเล่นกันแล้วเล่นกันอีก หัวเราะคิกคักๆ พี่ย. ก็ทั้งดุ ทั้งขู่ ทั้งปลอบ แต่ก็ไม่ได้ผล กว่าจะข่มตาให้หลับได้ก็โน่น...เกือบเที่ยงคืน

เรื่องนอนเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเด็กๆ ดังนั้น...หากพวกเราตื่นไปทำวัตรเช้าพร้อมคนอื่นๆ พวกเราจะมีเวลานอนน้อยมาก.การละเมิดกฏข้อแรกของเราคือ ไม่เคยไปทำวัตรเช้าเลยตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นั่น - -' เพราะหากนับไปหกชั่วโมงหลังจากหมดแรงสลบไสลไป ก็ได้เวลาหกโมง เวลาทานอาหารเช้าพอดี พอแม่ชีและโยคีท่านอื่นๆ สวดมนต์เสร็จ ออกมากรวดน้ำแล้วมายกถาดอาหารที่โรงครัว พวกเราก็เนียนๆ เข้าไปหยิบถาดอาหารออกมา แล้วก็มานั่งรับประทานด้วย

อีกข้อหนึ่งคือ ผู้มาปฏิบัติธรรมต้องถือศีล 8 เป็นสรณะ หากท่านพ่อ ท่านแม่ของเพื่อน อ. เป็นห่วงสวัสดิภาพของกระเพาะเด็กๆ ก็เลยบอกว่าครั้งนี้ถือศีล 5 ก่อนก็ได้ เดี๋ยวโตขึ้นค่อยถือศีล 8 ก็แล้วกัน แถมยังจัดการฝากฝังแม่ชีที่มีหน้าที่ดูแลโรงครัว พร้อมนำเสบียงมาฝากไว้ให้อยู่บ่อยๆ

นับว่าได้อภิสิทธิ์จริงๆ เลยนะคะ แถมความเป็นอยู่ก็สบายยิ่งกว่าโยคีคนอื่นเยอะมาก แต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครว่าอะไร เพราะพวกเรายังดูเด็กกว่าโยคีท่านอื่นๆ มากอยู่..


ความซุกซน ของเราเริ่มต้นขึ้นเมื่อพี่ ย. ขอย้ายออกไปพักอยู่กุฏิอื่นกับเพื่อนสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่เพิ่งพบกันที่สำนักปฏิบัติธรรมนี้

"พี่ ย. จะไปอยู่ไหน" ยิ้มตาแดงๆ รู้สึกเหมือนจะโดนทิ้งหน่อยๆ ทั้งๆ ที่เพื่อน อ. ก็ยังอยู่

"ก็พี่น่ะโตแล้ว ควรจะได้ปฏิบัติจริงๆ จังๆ นะยิ้มนะ แยกไปอยู่เป็นกิจจะลักษณะก็ดีออก พี่จะถือศีล 8 ด้วยเพราะว่าพี่ก็ไม่ใช่เด็กๆ จะมาถือศีล 5 เหมือนน้องๆ คนอื่นเขาก็มองหน้า ยิ้มก็ยังมีน้อง อ. ไง"

เออ...เนอะ พี่ย. ก็มีเหตุผลอันสมควร ไม่มีอะไรมาแย้งได้เลย
แล้วพี่ ย. ก็จากไปพร้อมกับความก้าวหน้าในธรรม ส่วนพวกเรานั้น...ก็มีเพื่อนคนใหม่มาอยู่ด้วย เพราะแม่ชีเห็นว่ากุฏิใหญ่ นอนกัน 2 คนก็เป็นการใช้สอยพื้นที่ที่ออกจะไม่คุ้ม เลยส่งยาย ก. เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างกับสวรรค์ (หรือนรกก็ไม่รู้) จับวางมาพักอยู่ด้วย

"สวัสดีนะ เราชื่อ ก." เพื่อนสาวแนะนำตัวอย่างคนอัธยาศัยดี "เคยบวชชีมาแล้วที่นี่ ขอมาพักด้วย แม่เราทำงานเป็นดีเจ พ่อเรา...." เอ่อ...ยังไม่ได้ถามเลยค่ะ - -' แต่ก็ขอบคุณ ที่ช่างพูด ช่างคุย อยากเป็นมิตรกับเรานะ

"เราเคยมาหลายครั้ง มีเรื่องสนุกๆ จะเล่าเยอะแยะเลย ไว้เดี๋ยวเราเล่าให้ฟังนะ "

เอ้า...เอาล่ะสิ...ยิ้มว่าเรื่องยุ่งๆ มันเริ่มต้นขึ้นเพราะเพื่อน ก. ย้ายเข้ามาอยู่นี่แหละ เด็กซนๆ 3 คน อยู่ในกุฏิเดียวกัน อุแม่เจ้า...สงสารโยคีและแม่ชีที่อยู่รอบข้างนั้นจริงๆ

ตอนนี้รู้สึกจะเขียนมายาวแล้ว...หยุดไว้ก่อนดีกว่า ค่อยมาเล่าต่อครั้งต่อไป (ตกลงบล็อกนี้ได้เนื้ออะไรบ้างเนี่ย มีแต่น้ำ) เอาเป็นว่า เป็นการ set scene ก่อนก็แล้วกันนะ ครั้งต่อไปจะได้เล่าต่อได้เลยถึงเบื้องหลังชุดขาวของอิฉัน เพื่อน อ. และ เพื่อน ก.

จริงๆ ต้องบอกว่าเพื่อน ก. เป็นหัวโจก เป็นตัวแม่เลย เพราะก่อนหน้านั้นเราก็อยู่ของเรามาดีๆ แต่เพื่อน ก. คงบอกว่า "ดูก่อนเพื่อนๆ ที่รัก ถ้าพวกเธอเรียบร้อยอยู่ในวินัยกันจริงๆ ตบมือข้างเดียวมันจะไปดังได้ยังไง"

ซึ่งก็จริงของเขาแฮะ...

ก่อนหน้านั้นที่เรียบร้อย(เหรอ)เพราะมีพี่ ย. มานั่งคุมอยู่ด้วยแหละ แถมช่วงแรกๆ ยิ้มก็ยังไม่ชินกับสถานที่ จริงๆ เชื้อขบถมันก็เพาะเอาไว้เต็มตัวอยู่แล้ว

ไว้เจอกันบล็อกหน้าค่ะ