ใกล้เทศกาลแห่งความรักแล้วนะคะ ^ ^' หาอะไรรักๆ มาลงให้เลี่ยนๆ กันบ้าง เลยไปคุ้ย ๆ ๆ ไฟล์งานเขียนดู ว่ายังไม่เคยเอาชิ้นไหนไปตีพิมพ์ หรือแปะบล็อกบ้าง อุ๊ย...เจอเรื่องสั้นอยู่ 2-3 เรื่อง แต่เรื่องนี้สมบูรณ์ที่สุด - -' เลยเอามาปัดฝุ่น ขัดเกลา แล้วลงรับเทศกาลดีกว่า 555
เรื่องนี้เขียนไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว (โอ...ตรูแก่) เพื่อเก็บบรรยากาศการท่องเที่ยวเบลเยียมเมื่อ 6 ปีที่แล้ว (กรี๊ดดดด นานขนาดนั้นเลยเรอะ) ดังนั้นจึงไม่อาจจะมีภาพประกอบได้ เพราะช่วงนั้นกล้องดิจิตอลที่มียังไม่ค่อยพัฒนา เมมเล็กมากกก เลยมีแต่รูปตัวเอง แถมเวลาถ่ายก็สักๆ แต่ว่ากดชัตเตอร์ ยังไม่ค่อยสนใจองค์ประกอบภาพเท่าไหร่นัก
มาลงเลยดีกว่าเนอะ ^ ^
โปรดปล่อยใจดวงนี้เถิดที่รัก (Please let me go)
.
.
December, Winter
.
.
ท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าสดใส และแสงแดดสีเหลืองทองส่องสว่างสวยงามดังเช่นยามที่ภัทรก้าวเท้าลงมาจากรถไฟระหว่างประเทศ ‘ยูโรสตาร์’ ใหม่ๆ เริ่มแปรเปลี่ยน หากการแบกกระเป๋าใบใหญ่เดินลัดเลาะผ่านผู้คนมากมายในสถานีรถไฟบรัสเซลส์จน ร่างกายเมื่อยล้าไปหมด ทำให้เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับสภาพอากาศเท่าไรนัก มารู้ตัวอีกทีลมก็เริ่มพัดแรง เมฆก้อนใหญ่สีเทากำลังเคลื่อนที่กินอาณาเขตทั่วผืนฟ้าอย่างรวดเร็วราวกับ แมงมุมคืบคลานหาเหยื่อ ชายหนุ่มควักเอาแผนที่ขึ้นมาดูอีกครั้งก่อนที่จะสาวเท้าไปในทิศทางที่ต้องการ แต่ทว่า...ฝนฟ้ากลับอยากจะแกล้งเขามากกว่าที่คิดไว้ หยดน้ำเม็ดเล็กๆ เริ่มหยาดลงมาทำให้เสื้อผ้าเริ่มเปียกเป็นดวงๆ ภัทรรีบวิ่งหลบเข้าไปในบริเวณชายคาผ้าใบหน้าร้านอินเตอร์เนตที่อยู่ไม่ ห่างออกไปนักพลางนึกตำหนิตนเองที่เก็บร่มเอาไว้เสียลึกสุดกระเป๋าจนไม่อาจจะ หยิบใช้ได้ทันการณ์ ด้วยความรีบร้อนเพราะกลัวว่าข้าวของจะเปียกฝนเสียหมด...เขาจึงไม่ได้ระมัด ระวังสัมภาระในความรับผิดชอบของเขาเท่าที่ควร เป้แบ็คแพ็คใบใหญ่ที่สะพายอยู่บนหลังกระแทกใส่หญิงสาวชาวเอเชียร่างบอบบาง ที่ยืนหลบฝนอยู่ก่อนหน้าจนเธอถึงกับหน้าคะมำถลาออกไปตากฝนนอกชายคา
“โอ๊ย…”
“เอ๊กซ์ คิวส์ เซ มัวร์” คำขอโทษเป็นภาษาฝรั่งเศสของเขาถูกเปล่งออกมาพร้อมกับเสียงร้องแสดงความตกใจของเธอ ก่อนที่น้ำเสียงแสดงความแปลกใจจะตามมาติดๆ เมื่อภัทรได้ยินคำอุทานอันบ่งบอกจุดร่วมของภาษาหลักที่ใช้ของเขาและเธอ
“อ้าว คนไทยเหรอครับ” ดวงตาที่ขุ่นเขียวนิดๆ ยามที่ถูกชนจนเซออกไปจากบริเวณใต้ร่มผ้าใบหน้าร้านอินเตอร์เนตคาเฟ่เปลี่ยน เป็นดวงตาโตดำขลับที่ฉายแววยินดีทันทีที่ได้ยินภาษาบ้านเกิด
“ค่ะ โอ๊ย...คุณเป็นคนไทยเหมือนกันเหรอ ดีใจจัง คิดว่าจะไม่รอดเสียแล้ว” สาวน้อยรัวคำพูดออกมาไม่ยั้ง ภัทรเชื่อว่าถ้าเธอเกาะแขนเขาแล้วเข่าแรงๆ ด้วยความดีใจได้ ก็คงจะทำไปแล้ว ดูจากดวงตากลมโตที่ฉายแววสุกใสเปล่งประกายราวกับดวงดาวในตอนนี้
“ครับ ขอโทษด้วยที่ชนคุณเมื่อกี้นี้” ภัทรเอ่ยขอโทษขึ้นอีกครั้งด้วยความเสียใจ เมื่อเห็นท่าทางทุลักทุเลของสาวร่างแบบบางที่กำลังสะพายกระเป๋าเป้ใบที่ขนาด เกือบจะใหญ่กว่าตัวเองเสียด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไรค่ะ ดีใจที่ได้เจอคนที่พูดจากันรู้เรื่อง ฉันพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้ แล้วคนแถวนี้ก็ไม่ค่อยชอบพูดภาษาอังกฤษเสียด้วย...แย่เลย” ในเมื่อต้องติดอยู่ใต้ร่มผ้าใบแคบๆ กันสองคนเพื่อหลบฝนบทสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้นโดยอัตโนมัติ
“คนที่พูดภาษาฝรั่งเศสเขาออกจะภูมิใจในภาษาของเขาหน่อยน่ะครับ เลยไม่นิยมพูดภาษาอื่น แต่ที่นี่ยังดีกว่าปารีสเยอะนะ ที่โน่นพูดภาษาอังกฤษน้อยกว่าที่นี่อีก ถ้าเป็นที่สวิตเซอร์แลนด์ก็สบายหน่อย เพราะขนาดประชากรประเทศเดียวกันยังพูดคนละภาษาเลยทั้งฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาเลียน คนของเขาก็เลยพูดภาษาอังกฤษกันได้ดีเกือบทุกคน”
“ท่าทางคุณคงจะเที่ยวมาหลายที่แล้วนะคะ เอ่อ...ถ้าไม่รังเกียจ อยากขอความช่วยเหลือหน่อยได้มั้ย” น้ำเสียงที่ตอบกลับมามีแววเกรงใจนิดๆ “คือ...ฉันอ่านแผนที่ไม่ค่อยเป็นน่ะค่ะ กำลังตามหาที่พักชื่อนี้อยู่ คุณพอจะรู้ไหมคะ ว่ามันอยู่ห่างจากที่นี่มากหรือเปล่า” ดวง ตากลมโตสุกใสที่มองมาทำให้ภัทรใจอ่อน คว้าเอากระดาษที่เริ่มเปียกปอนในมือของเธอมาดู แล้วก็ต้องแย้มริมฝีปากออกเป็นเชิงยิ้ม เพราะสถานที่แห่งนั้นคือที่แห่งเดียวกับที่เขากำลังจะไปนั่นเอง
“ไปด้วยกันก็ได้ครับ ผมพักที่นี่เหมือนกัน” คราวนี้ดวงหน้าอ่อนใสกระจ่างขึ้นในความสลัวของยามเย็นที่พายุฝนกำลังโหมกระหน่ำทันที “แต่ต้องรอฝนซาก่อนนะ ออกไปตอนนี้คงเปียกโชกแน่ๆ”
“ค่ะ” เสียงหวานตอบรับมาเบาๆ ภัทรเหลือบมองด้วยหางตาพลางนึกฉงนอยู่ในใจ ท่าทางเปราะบาง ติดจะคล้ายคุณหนูแบบนี้น่ะหรือ กล้าเดินทางมาท่องเที่ยวต่างประเทศคนเดียวแถมยังเลือกพักตามหอพักนักเดินทาง หรือที่เรียกกันว่า Hostel ซึ่งมักจะรวมเอาคนรักการผจญภัยผ่านมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำไว้ด้วยกัน
เอาเถิด...ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจนทำให้คุณหนูต้องออกมาจากคฤหาสน์เพื่อผจญชีวิต เยี่ยงนักเดินทางงบประมาณต่ำ ก็คงเป็นเขาเองที่ดูคนผิดพลาด เห็นท่าทีอ่อนปวกเปียกแบบนี้แต่เอาเข้าจริงเธออาจจะเป็นขาลุยขนานแท้และดั้ง เดิมก็ได้ ใครจะรู้...
แต่แล้ว...ภัทรก็รู้ว่าสายตาในการ ‘มองคน’ ของเขาก็ไม่ได้ด้อยลงแต่ประการใด เด็กสาวคนนั้นหรือ ‘ปิ่น’ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะมาเจอที่พักในสภาพแบบนี้ หลังจากเช็คอินและทราบว่าต้องพักที่ห้องใดแล้ว ริมฝีปากรูปกระจับที่อ้าค้างและตากลมโตที่เบิกโพลงของสาวน้อยทำให้เขาถึงกับ กลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้ด้วยความเอ็นดูแกมสงสาร
“ตกใจอะไรเหรอปิ่น ให้ผมช่วยยกของไปที่ห้องมั้ย เราได้พักห้องเดียวกันนี่”
“ปิ่นเพิ่งรู้ว่า...ที่นี่เขาไม่แยกห้องพักหญิงชาย พวก Youth Hostel เขายังมีแยกเลยนะคะ” เสียงหวานๆ ที่เจือแววประหลาดใจพึมพำออกมา ใบหน้าเริ่มแหย
“ตอนจองที่พัก ปิ่นไม่ได้อ่านรายละเอียดเหรอครับ ปกติแล้วหอพักนักเดินทางแบบแบ็คแพ็คเกอร์ก็เป็นแบบนี้แหละ พักรวมกัน มีมุมกาแฟ มีบาร์เล็กๆ ให้นักท่องเที่ยวแต่ละคนมาจับกลุ่มเล่าเรื่องแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ผมเลือกพักตามที่แบบนี้ก็เพราะติดใจในความเป็นกันเองแล้วก็มิตรภาพที่ได้จาก เพื่อนนักเดินทางนั่นแหละครับ ได้เพื่อนใหม่มาแล้วหลายคน ทุกวันนี้ยังติดต่อกัน ส่งภาพสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้พบเจอให้กันอยู่เลย เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์กับความรู้สึกดีๆ ก็สนุกไปอีกแบบนะ...แล้วเท่าที่ผ่านมาก็ปลอดภัยดี” ภัทร พยายามจะเรียกขวัญที่กระเจิดกระเจิงของเพื่อนร่วมชาติกลับคืนมา เขาเกือบจะหลุดปากออกไปแล้วว่าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเขาช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยให้อีกแรงก็ได้ แต่เผอิญนึกได้เสียก่อน ว่าตัวเองก็เป็นแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่งก็เลยกลืนคำอาสาลงไป
“ปิ่นเพิ่งจะมาเที่ยวยุโรปครั้งแรกเองค่ะ นี่ก็ให้เอเย่นต์เขาจองให้ ขอแบบที่ถูกที่สุดแต่คุณภาพปานกลาง ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้” คราวนี้สาวน้อยเริ่มตั้งตัวติด ท่าที ‘ช็อค’ สุด ขีดเริ่มบรรเทาเบาบางลงไป ภัทรคว้าเอากระเป๋าใบใหญ่ของเธอมาสะพายด้วยแขนอีกข้างไว้แทน เมื่อเห็นว่าทางเดินขึ้นไปห้องพักนั้นต้องผ่านบันไดที่ค่อนข้างชันเอาเรื่อง “ไม่ได้ตั้งแง่อะไรหรอกค่ะ แค่ตกใจนิดหน่อย พอดีเพิ่งมาเรียนต่อปริญญาโทอยู่ที่อังกฤษ ยังไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนเลย ช่วงคริสต์มาสเพื่อนกลับเมืองไทยหมด ปิ่นเองมัวแต่ยุ่งๆกับเรื่องการปรับตัว ซื้อตั๋วกลับเมืองไทยไม่ทัน เที่ยวบินมันเต็มเสียก่อน เลยได้มาเที่ยวแทนเลย” หน้าอ่อนๆ ใสๆ แบบนี้เรียนปริญญาโทแล้วเหรอ ภัทรอดที่จะแปลกใจไม่ได้ แล้วยังท่าทางไม่ประสีประสาต่อโลกนี่อีก ถ้าบอกว่าเรียนปริญญาตรีอยู่ เขาก็พร้อมจะเชื่อโดยไม่ตั้งข้อสงสัยเลย
“ผมก็เรียนที่อังกฤษเหมือนกันครับ แต่เรียนปริญญาเอกแล้ว ท่าทางจะแก่กว่าปิ่นอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ถ้าอย่างงั้นปิ่นขอเรียกพี่ภัทรนะคะ” ดวงตากลมโตที่ฉายแววตกใจอยู่เมื่อครู่ถูกประดับประดาด้วยดวงดาวระยิบระยับเหมือนเคย เสียงหัวเราะใสๆ ดังก้องไปทั่วทั้งบันได เออ...แฮะ ถึงจะดูเป็นคุณหนู แต่ก็ปรับตัวให้เข้ากับประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ไม่เลวเลยทีเดียว อย่างน้อยก็ไม่โวยวาย ไม่บ่น ไม่งอแง ให้เขาต้องลำบากใจที่ไม่รู้ว่าควรจะช่วยเหลือเธอในระดับไหน
และ ในที่สุด...ทั้งคู่ก็เดินมาถึงห้องพักซึ่งดูสะอาดสะอ้าน และตกแต่งได้น่ารักพอใช้ เตียงสองชั้นสองตัวถูกตั้งอยู่คนละมุมห้อง หนึ่งในสองถูกวางสัมภาระเพื่อจับจองไว้เรียบร้อยแล้ว
“เตียงโน้นมีคนจองไปแล้วล่ะ เราคงจะต้องใช้เตียงนี้แหละครับ ปิ่นจะนอนเตียงบนหรือเตียงล่าง” ปิ่นทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจ
“ขอเตียงบนดีกว่าค่ะ” อย่างน้อยคงจะไม่กล้ามีใครคิดจะปีนขึ้นมาทำอะไรหรอก ถ้ายังดึงดันจะทำเตียงก็คงจะได้ถล่มลงมาปะไร สาวหน้าใสแอบคิดในใจคนเดียว
เครื่องทำความร้อนในห้องพักทำงานได้ไม่เลว อากาศภายในจึงอบอุ่นสบายกว่าภายนอกมากนัก ภัทรหยิบสมุดไดอารี่ขึ้นมาเปิดและเริ่มขีดเขียนด้วยความเพลิดเพลิน เวลาผ่านไปนานโขชายหนุ่มจึงเพิ่งนึกออกว่าค่ำแล้วแต่ยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง เลยสักนิด ร่างสูงใหญ่ขยับตัวนิดๆ เพื่อไล่ความเมื่อยขบ เสียงลมหายใจยาวเป็นจังหวะสม่ำเสมอของคนที่อยู่เตียงบนทำให้เขาค่อยๆ ลุกขึ้นและชะโงกหน้าไปสำรวจว่าเจ้าของเสียงลมหายใจนั้นสลบไสลไปแล้วหรืออย่างไร ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้คนแอบมองถึงกับต้องอมยิ้ม เพราะสาวน้อยตากลมผมยาวกำลังนอนคว่ำฟุบคาสมุดบันทึกทั้งที่ปากกายังอยู่ในมือ อดใจไว้ไม่ได้...ภัทรยื่นมือเข้าไปเสยปอยผมที่ตกลงมาระแก้มให้อย่างอ่อนโยน และส่งเสียงเรียกเบาๆ เพื่อปลุก ดูจากท่าทีแล้ว...เธอคงยังไม่มีแผนการสำหรับอาหารมื้อเย็นวันนี้หรอก
“ปิ่น ค่ำแล้ว จะออกไปหาอะไรกินกันมั้ย”
“หืม...อ้าว ว้าเผลอหลับไปเฉยเลย” เสียงใสๆ พึมพำออกมาก่อนที่เจ้าตัวจะยกมือเล็กๆ ขึ้นขยี้ตาเพื่อแก้เขิน “นอนเขียนไดอารี่อยู่แท้ๆ ขี้เซาจริง ว่าแต่พี่ภัทรจะออกไปทานอาหารเย็นที่ไหนเหรอคะ”
“พี่กะว่าจะออกไปเดินดู กรอง ปลาซ (Grande Place) จตุรัสใหญ่กลางเมืองเวลาค่ำคืนหน่อยน่ะแล้วก็กะว่าจะออกไปลองอาหารเบลเยียม อร่อยๆ นอกจากช็อกโกแลตกับเบียร์แล้ว ที่นี่ยังขึ้นขึ้นชื่อเรื่องปลากับหอยแมลงภู่อบด้วยนะครับ” ดวงตากลมโตสุกใสวาววับราวกับเด็กได้ยินเรื่องถูกใจ
“ฟังดูดีจังเลย พี่ภัทรจะว่าอะไรไหมคะ ถ้าปิ่นขอติดตามไปด้วย” ถึง เธอจะไม่เอ่ยปากขอ ภัทรก็ตั้งใจว่าจะชวนไปด้วยอยู่แล้ว เขาอดที่จะเป็นห่วงมิตรใหม่คนนี้ไม่น้อย ท่าทางยังไม่คุ้นเคยกับการท่องเที่ยวต่างประเทศเท่าไรนัก ถ้าไปเที่ยวด้วยกัน อย่างน้อยเขาก็คงพอจะช่วยเหลือได้บ้างในยามที่เธอประสบปัญหา
ฝนที่ตกกระหน่ำเมื่อยามเย็นหยุดไปได้พักใหญ่ มีเพียงน้ำขังอยู่บนพื้นประปราย ภัทรเปิดแผนที่และเป็นฝ่ายนำทางมาเรื่อยๆ จนถึงมาถึงใจกลางเมือง
“ลุงคนที่พี่ถามทางเมื่อครู่นี้เขาบอกว่า วันนี้มีตลาดนัดวันคริสต์มาสด้วย มีอาหารมาขายเยอะแยะเลย ปิ่นจะเปลี่ยนใจมั้ย วันนี้หาอะไรกินตามร้านค้าพวกนี้ไปก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยนั่งร้านหรูๆ กัน ของพวกนี้ก็ดูน่าสนใจดี” พูดไปแล้วภัทรถึงจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าแสดงอาการเผด็จการมากไปแล้ว ร่างสูงชะงักไปครู่หนึ่ง “ขอโทษครับ พี่เหมาเอาเองหน้าตาเฉย ว่าปิ่นจะไปไหนมาไหนกับพี่ด้วย” หากคนข้างตัวกลับยิ้มหวานให้ โดยไม่มีท่าทีถือโทษ
“ถ้าพี่ภัทรไม่เหมาเอาเอง ปิ่นก็คงขอเกาะติดไปด้วยอยู่ดีล่ะค่ะ พูดภาษาฝรั่งเศสก็ไม่ได้แล้วยังเงอะๆ งะๆ ไม่เคยไปไหน ไม่เคยทำอะไรเองอีก ขอบคุณพี่ภัทรมากๆ เลยที่ไม่ลืมปิ่น กลัวแต่ว่าปิ่นจะเป็นภาระของพี่ภัทรน่ะสิ”
“ไม่หรอก ไปด้วยกันก็ไม่เหงาดี ดีกว่าอยู่คนเดียว” ภัทรพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า
“แหม...ถ้าไม่ชอบอยู่คนเดียว แล้วมาเที่ยวคนเดียวทำไมล่ะคะ” ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ แต่กลับทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของภัทรกลับกลายเป็นรอยยิ้มเจื่อนไปในทันที ดวงตาที่ฉายแววอารมณ์ดีเป็นนิจ ปรากฏแววเจ็บปวดวูบหนึ่งก่อนเลือนหาย
ในวันเก่าๆ นั้น...เขาไม่เคยต้องท่องเที่ยวคนเดียวอย่างนี้ไม่ใช่หรือ
ในวันเก่าๆ นั้น...เขาไปไหนมาไหนกับ ‘เธอ’ หญิงสาวผู้ตัดผมสั้นราวกับผู้ชาย และยังเข้มแข็ง ทะมัดทะแมง กระฉับกระเฉง มั่นใจในตัวเองเป็นที่สุด มีลักษณะตรงกันข้ามกับหญิงสาวที่ยืนตรงหน้าเขาในวันนี้โดยสิ้นเชิงไม่ใช่หรือ
ในวันเก่าๆ นั้น...เขาท่องเที่ยวไปด้วยใจรัก และด้วยความรักที่อัดแน่นในหัวใจ เดินทางไปพร้อมๆ กับเธอ ขึ้นเขา ลงห้วย ระหกระเหินด้วยกัน ไม่เคยมีใครบ่น ในบรรยากาศมีแต่ความเข้าใจแทรกอยู่ทุกอณู กลิ่นไอแห่งความสุขที่เขาไม่เคยลืมเลือน...ไม่ใช่หรือ
หากในวันนี้...เขาไม่มีใครอีกแล้ว เธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับเมื่อปีที่แล้วด้วยอุบัติเหตุระหว่างการเล่นสกีบนยอดเขาสูง จากไปโดยที่เขาไม่มีแม้แต่โอกาสจะกล่าวลา และไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเธอได้ นับแต่วันนั้น...เขาออกท่องเที่ยวไปอย่างบ้าระห่ำ ปิดภาคเรียนครั้งใดเขาไม่เคยอยู่กับที่ เมื่อใดที่อาจารย์ที่ปรึกษาลางานไปสัมมนาที่ต่างประเทศ ตัวเขาเองก็เก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋าเพื่อออกเดินทางเช่นกัน ท่องเที่ยวไปด้วยความหวังว่าภาพทิวทัศน์สวยๆ ผู้คนใหม่ๆ ที่พบเจอจะทำให้เขาลืมความเจ็บปวดในใจได้ แต่เปล่าเลย...ยิ่งท่องเที่ยวไป หัวใจของเขาก็ยิ่งเจ็บ ภาพอันงดงามของทิวทัศน์เบื้องหน้ามักจะมีภาพของ ‘เธอ’ แทรกอยู่ด้วยทุกครั้งไป อีกนานแค่ไหนเขาถึงจะลืมเธอได้
เธอผู้เป็นทั้งคนพิเศษ เพื่อนร่วมอุดมการณ์ และเพื่อนร่วมทางผู้พิสมัยความเป็นอิสระเสรี และการเสพย์ผลผลิตทางวัฒนธรรม
เขาคงไม่เหมาะกับการเที่ยวคนเดียวจริงๆ นั่นแหละ...
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคิดว่าไม่มีใครจะแทนที่เธอได้ ไม่มีใครที่จะสามารถเข้าใจเขา และมีรสนิยมในการเดินทางเข้ากับเขาได้เท่าเธอ ภัทรจึงไม่คิดจะชักชวนใครให้มาท่องเที่ยวด้วยกันอีกเลย แต่วันนี้...ความจริงฉายชัดอยู่ในใจ เขาก็เป็นคนธรรมดาที่อยากให้มีใครสักคนมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และความรู้สึกดีๆ ที่ได้จากการท่องเที่ยวเหมือนกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าในวันนี้...วันที่เขาได้พบ ได้ให้ความช่วยเหลือกับหญิงสาวอีกคน หญิงสาวที่แตกต่างกับ ‘เธอ’ ราว ฟ้ากับดิน เขารู้สึกเจ็บปวดน้อยลงอย่างประหลาด ความว้าเหว่เดียวดายเมื่อยามที่ต้องท่องเที่ยวไปคนเดียวคงจะเริ่มเลือนหาย ถ้าสาวน้อยคนนี้จะไม่เป็นฝ่ายสะกิดแผลของเขาขึ้นมาอีกครั้ง บัดนี้...ความเจ็บปวดที่เกิดจากการสะกิดของคนข้างตัวเพิ่มขึ้นร้อยเท่าพันทวี
ไม่สิ...ความเจ็บปวดเมื่อนึกถึงวันเก่าๆ ที่มีความสุขยังคงรักษาระดับเท่าเดิม แต่ความเจ็บปวดแบบใหม่ที่คล้ายจะเจือด้วยความรู้สึกผิดแบบแปลกๆ เริ่มหลั่งล้นเข้าในห้วงความรู้สึกทีละนิดๆ
มันคืออะไรกันแน่...ภัทรเองไม่อยากจะหาคำตอบ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะลึกๆ แล้วเขารู้ดีว่าคำตอบนั้นคืออะไร จึงอยากจะหลีกหนีมันไปให้ไกลก็เป็นได้
“พี่ภัทร เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ” ดวงตากลมโตสุกใสมองมาด้วยความเป็นห่วงเมื่อภัทรเงียบไป ชายหนุ่มซ่อนอาการถอนใจยาวเอาไว้แล้วดัดน้ำเสียงให้ฟังดูร่าเริงทันที
“เปล๊า...พี่หิวแล้วน่ะ ลองอาหารร้านนี้ดูมั้ยปิ่น ขนมปังกับขาหมู ดูน่ากินดีนะ” หญิงสาวที่ท่าทางดูเหมือนกับเด็กสาวมากกว่าเดินนำไปทันที
“น่ากินมากเลยค่ะ ดีเลย...ขอปิ่นเลี้ยงพี่ภัทรนะคะ ตอบแทนที่ช่วยนำทางไปหาที่พัก แล้วก็ช่วยพาเข้ามาเที่ยวในเมือง” ภัทรทำได้เพียงแค่ส่งยิ้มอ่อนๆ ให้ไป เพราะยามนี้ความสนุกสนานกระตือรือร้นที่เคยมี เริ่มจางหายลงไปมากแล้ว
บรรยากาศตลาดนัดคริสต์มาสของเมืองบรัสเซลส์ เมืองหลวงแห่งประเทศเบลเยียมช่างคึกคัก มีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยสีสันสดใส ไม่ว่าจะเป็นสีสันจากแสงไฟที่ถูกนำมาประดับประดาร้านรวงต่างๆ และต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ที่ถูกตั้งไว้กลางจัตุรัส แสงไฟจากอาคารหลังใหญ่น่าเกรงขามที่ล้อมรอบจัตุรัสนี้สะท้อนกับพื้นหินที่ เห็นเป็นมันเลื่อมเนื่องจากถูกกัดกร่อนอยู่นานวันประกอบกับน้ำแอ่งเล็กๆ ที่ขังอยู่บนพื้น ภัทรพาสาวน้อยข้างกายเดินเข้าออกร้านช็อกโกแลตและร้านขนม ‘วาฟเฟิล’ อาหารขึ้นชื่ออีกอย่างของประเทศเบลเยียมหลายต่อหลายร้าน จนในที่สุดปิ่นก็อุทานออกมาอย่างยอมแพ้
“โอย พี่ภัทร ปิ่นกินไม่ไหวแล้วววว ทั้งขนมปังหน้าขาหมู โดนัทโรยน้ำตาลไอซิ่ง วาฟเฟิลราดช็อกโกแลตตั้งสองอัน ไหนจะเที่ยวชิมช็อกโกแลตอีกหลายร้าน ขืนกินมากกว่านี้ปิ่นกลับบ้านไปคงไม่มีใครจำได้แน่ๆ คุณแม่จะได้ว่าปิ่นน้อยกลายร่างเป็นหมูน้อยไปเสียแล้ว”
“เราน่ะผอมจะตาย กินได้อีกเยอะ ผู้หญิงสมัยนี้นี่เป็นอะไรกันนะ กินเท่าแมวดม ตัวบางจะปลิวลมก็หาว่าตัวเองอ้วนอยู่ได้” หลังจากเริ่มสนิทสนมกันมากกว่าเดิมแล้วภัทรก็กล้าที่จะหยอกเย้าขึ้นมาบ้าง
“อ้าว...ก็ใครกันล่ะคะที่สร้างกฎเกณฑ์ให้ผู้หญิงต้องเป็นแบบนี้ ถ้าผู้ชายไม่ชอบแต่ผู้หญิงผอมๆ มองข้ามผู้หญิงอวบๆ แถมยังประณามหยามเหยียดอีก พวกเราก็ไม่ต้องทนลำบากขนาดนี้ร้อก...” ปลายประโยคน้ำเสียงขึ้นสูงปรี๊ดราวกับจะกล่าวหาอยู่ในที ภัทรยิ้มออกมาได้อีกครั้ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้ดูแลใครสักคนบ้าง...มันก็ทำให้รู้สึกดี ดูเหมือนตัวเองมีค่า ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เป็นอิสระ ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ แต่โดดเดี่ยวไร้คนต้องการอย่างที่เคยเป็นในตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา
“พี่ คนหนึ่งล่ะ ที่ไม่ชอบผู้หญิงตัวบางๆ เห็นทีไรอดคิดไม่ได้ว่าจะเอากระเพาะ ลำไส้เก็บไว้ที่ไหน ไปเถอะ เราไปลองเบียร์เบลเยียมกันดีกว่า เมื่อกี้พี่เห็นร้านน่านั่งเล่นอยู่”
“ไม่เอาดีกว่าค่ะ ปิ่นไม่ชอบดื่มเบียร์”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปนั่งเป็นเพื่อนพี่หน่อยเถอะ” อาจเพราะดวงตาที่มองตรงมาไม่ได้เต็มไปด้วยร่องรอยขี้เล่นเหมือนอย่างเคย หากเหมือนกับมีเงาอะไรบางอย่างเข้ามาบดบัง ปิ่นจึงเผลอตัวพยักหน้าตอบตกลงไปอย่างว่าง่าย
“เอ้า...ก็ได้ค่ะ” ว่าแล้วเธอก็สาวเท้าตามเขาเข้าไปในผับขนาดกลางโดยที่ไม่รู้ว่า...จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างในเวลาอันใกล้
เบียร์สีทองแก้วแล้วแก้วเล่าผ่านลงคอของชายหนุ่มจนแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าเริ่มซ้อนกันสูง แต่เบียร์สีแดงที่เรียกว่า ครี้ก (Kriek) ซึ่งเป็นเบียร์กลั่นจากเชอรี่ รสชาติอมหวานไม่ขื่นคอที่วางอยู่ตรงหน้าของปิ่น กลับพร่องลงไปไม่ถึงครึ่ง ยิ่งน้ำเมาผ่านลงคอชายหนุ่มตรงหน้าไปมากเท่าไหร่ ความเงียบก็เข้าปกคลุมมากขึ้นเท่านั้น ปิ่นนึกแปลกใจที่ชายหนุ่มท่าทางอารมณ์ดี อบอุ่น ที่เธอได้พบเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่รู้สึกสนิทสนมและไว้เนื้อเชื่อใจอย่างประหลาดกลับแปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มผู้อมทุกข์ ราวกับโลกทั้งโลกจะทอดทิ้งเขาไว้คนเดียว และที่น่าเจ็บปวดก็คือ เธอรู้สึกอยู่เต็มอกว่าเขามีโลกส่วนตัวที่เธอเข้าไปไม่ถึง
“กลับเถอะค่ะ พี่ภัทร” ปิ่นเป็นฝ่ายทนไม่ไหว ชักเอาแก้วเบียร์ออกจากมือของคนดื่มจัด แล้วดึงแขนของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แรงๆ หมายจะให้รู้สึกตัว ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองด้านลบอย่างที่เธอนึกกลัว ดวงตาคู่ที่เคยเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม บัดนี้...คมลึก และฉาบไว้ด้วยความเจ็บปวด
“อย่าทิ้งผมไปนะ” มือใหญ่จับข้อมือบางเอาไว้แน่น ปิ่นไม่กล้าออกแรงชักกลับเพราะดวงตาเจือโศกคู่นั้น และเธอก็นึกเสียใจที่เธอไม่ทำอย่างนั้น เพราะจู่ๆ ท่อนแขนแข็งแรงก็รั้งเอาร่างบางเข้ามากอดแนบอก แน่นเสียจนร่างนุ่มนิ่มไม่อาจขัดขืนได้ ใบหน้าคร้ามคมขยับเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจถี่และในที่สุดก็ได้สัมผัส ไออุ่นจากลมหายใจนั้น ภัทรซบหน้าลงกับซอกคอของเพื่อนใหม่ผู้ที่เพิ่งจะพบกันได้ไม่กี่ชั่วโมง และเธอเองก็รู้สึกได้ถึงหยาดน้ำอุ่นๆ ที่แทรกเนื้อผ้าลงไปสัมผัสกับผิวกายของเธอ
“พี่ภัทร” เสียงหวานจางหายไปในลำคอด้วยความหวั่นไหวด้วยความที่ไม่เคยใกล้ชิดกับใครมากมายขนาดนี้มาก่อน เวลาเพียงไม่กี่วินาทีช่างทอดยาวจนเหมือนศตวรรษ ริมฝีปากอุ่นจัดขยับเลื่อนมาจรดข้างแก้ม นิ่ง...นาน ปิ่นเบิกตาโพลง ตอบสนองอากัปกิริยานั้นไม่ถูกเพราะไม่อาจคาดเดาจุดประสงค์ของผู้กระทำได้
“กิ่ง...” หากคำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากร้อนผ่าวที่เพิ่งถอนออกไปนั้นกลับทำให้ปิ่นตกตะลึงตัวแข็ง หากในที่สุดก็รวบรวมสติผลัก ‘คนเมา’ ออก ไปจากตัวของเธอได้ กิ่ง...เธอไม่ได้ชื่อกิ่ง เขากำลังคิดถึงคนอื่น...ไม่ใช่เธอ ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงมีปฏิกิริยาตอบสนองทันควัน แขนเล็กๆ ยันร่างใหญ่ออกจากตัวโดยเร็ว ร่างของภัทรเอนกองรูดลงไปกับโซฟาตัวใหญ่
“พี่ภัทร...” มือเล็กพยายามเขย่าท่อนแขนแข็งแรงเพื่อเรียกสติ หากร่างสูงใหญ่ที่กองอยู่ตรงมุมโซฟามิได้ขยับเขยื้อน มีเพียงเสียงสะอื้นและรำพันแผ่วเบาลอดออกมา
“กิ่ง...ผมคิดถึงกิ่ง อย่าจากผมไป”
“ใครคือกิ่งกันนะ...” ปิ่นได้แต่พึมพำกับตัวเอง เมื่อคนเมาไม่มีทีท่าว่าจะได้สติขึ้นมา
“กิ่งรอผมอยู่บนโน้นใช่ไหม บนที่ที่มีดาวเต็มฟ้า...กิ่งคงจะได้เป็นนางฟ้าตัวน้อยๆ เหมือนที่ผมอยากจะให้กิ่งเป็น ผมคิดถึงคุณ...ตั้งแต่คุณจากไป ผมเหงา ผมไม่มีใคร ผมจะตามกิ่งไป เราไปอยู่ด้วยกันนะ” เสียงของคนเมาจางหายไปในลำคอ เมื่อได้ยินประโยคยาวๆ แบบนั้น ดวงตากลมโตเริ่มเบิกโพลง และปะติดปะต่อเรื่องราวได้
“บนโน้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นคุณกิ่งก็...ไม่มีชีวิตอยู่แล้วสิ” เจ้าของร่างบาง เริ่มหันซ้ายหันขวาด้วยท่าทีตื่นกลัว “เหวอ...ทำไมจู่ๆ ก็เพ้อออกมาอย่างนี้ล่ะคะ พี่ภัทร” หากในที่สุดแล้วเธอก็เริ่มได้สติ...นี่ก็ดึกมากแล้ว เธอต้องพาเขาและตัวเองกลับไปยังที่พักให้จงได้...ว่าแต่ จะโดยวิธีใดนั้น เจ้าตัวเองก็ยังไม่อาจจะรู้
แสงแดดที่ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้เจ้าของร่างสูงใหญ่คว้าเอาผ้าห่มนวมหนา ขึ้นมาคลุมโปงจนมิด หากก็ต้องร้องอุทานออกมาเมื่อพบว่ามีอาการปวดจนเหมือนมีอะไรเต้นตุบๆ อยู่ในศีรษะ แถมเมื่อลองขยับตัวก็รู้สึกว่าศีรษะของเขาหนักราวกับมีตุ้มเหล็กถ่วงเอาไว้
“ตื่นแล้วเหรอคะ ว่าแล้วว่าพี่ภัทรต้องตื่นไม่ทันอาหารเช้าแน่ๆ ปิ่นเลยแอบเก็บครัวซองกับแยมไว้ให้ค่ะ ทานแก้หิวไปก่อนนะคะ” ชายหนุ่มพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างยากเย็น
“ปวดหัว...”
“นี่ค่ะ น้ำกับยาแก้ปวดที่ปิ่นพกมา”
“ขอบคุณครับ นี่กี่โมงแล้ว”
“แปดโมงกว่าแล้วค่ะ พี่ภัทรยังแฮงก์อยู่ไหมคะ สาวชาวอเมริกันที่อยู่ห้องเดียวกันเขาบอกว่ามีร้านกาแฟอยู่ถัดไปหน่อยเดียวเอง ให้ปิ่นไปหากาแฟดำขมๆ ร้อนๆ มาให้พี่ภัทร เอาไหมคะ เดี๋ยวปิ่นจะไปจัดการให้” เสียงหวานยังฟังดูอ่อนๆ เหมือนเคย แต่ที่มีเพิ่มมาคือกระแสแห่งความมั่นใจในตัวเอง แม้จะไม่มากนัก...แต่ก็ดูต่างไปจาก ‘คุณหนู’ ที่เขาเพิ่งเจอมาเมื่อวานจนรู้สึกได้
“ไม่เป็นไรหรอกปิ่น พี่ยังไม่แย่มากขนาดนั้น แล้วนี่...เมื่อคืนพี่กลับมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงน่ะ” ไม่มีคำตอบนอกจากรอยยิ้มทั้งจากดวงตาสุกใสและริมฝีปากจิ้มลิ้ม นัยน์ตากลมโตเริ่มล่องลอยเมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
ภัทรนอนสิ้นสติอยู่บนโซฟาเอาแต่พร่ำเพ้อถึงคนที่ชื่อ ‘กิ่ง’ เธอพยายามจะสื่อสารกับพนักงานต้อนรับของร้านให้ช่วยเรียกแท็กซี่เพื่อพาไปส่ง ยังที่พัก พนักงานต้อนรับซึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ดีพอสมควรช่วยประคองชายหนุ่มออกไปถึงหน้าร้าน และช่วยบอกทางให้แก่คนขับแท็กซี่ซึ่งไม่พูดภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย เมื่อมาถึงที่พักก็เป็นโชคดีของเธออีก ที่เพื่อนร่วมห้องชาวอเมริกันทั้งสองกลับมาพอดี ทั้งคู่จึงเข้ามาช่วยประคองกึ่งลากพ่อหนุ่มขึ้นมาถึงห้องพักจนได้ เมื่อวาง ‘คนเมา’ ลงไปบนที่นอนได้สำเร็จ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปจัดการธุระส่วนตัวแล้วคลานขึ้นเตียงด้วยความเหนื่อย อ่อน ในที่สุดคนที่ไม่เคยไปไหนมาไหนอย่างเธอก็จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยได้ด้วยดี
“พี่ขอโทษจริงๆ นะปิ่น ที่ปล่อยตัวให้เมาแบบเมื่อวาน เดี๋ยววันนี้จะพาเที่ยวแล้วเลี้ยงอาหารกลางวันเป็นการขอโทษเลย” น้ำ เสียงนุ่มเจือด้วยความรู้สึกผิดอย่างแท้จริง ปิ่น...ซึ่งกำลังจะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังว่าเขาทำอะไรลงไปบ้างจึงเปลี่ยน ใจ และเลิกล้มความตั้งใจที่จะกล่าวโทษบุรุษผู้น่าสงสารตรงหน้าไปเสีย
“ไปเที่ยวไหวเหรอคะ”
“ไหวสิ ขอเวลาพี่อาบน้ำแป๊บเดียวนะครับ ว่าแต่ปิ่นเถอะ ยังกล้าจะไปเที่ยวกับพี่อยู่อีกหรือเปล่า” ดวงหน้าอ่อนใสกระจ่างขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าพี่มีแรงเป็นผู้นำ ปิ่นก็กล้าเป็นผู้ตามไปเที่ยวกับพี่ค่ะ” รอย ยิ้มจริงใจบนดวงหน้าอ่อนใส ทำให้อาการหนักศีรษะของเขาเบาบางลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่เลวร้ายนักหรอก แต่เมื่อมองไปที่รอยยิ้มนั้นอีกครั้งเขาก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที...นี่เธอ ไว้ใจคนง่ายแบบนี้ทุกครั้งหรือเปล่า และถ้าคนที่เธอไว้ใจไม่ใช่เขา แต่เป็นคนที่หวังอะไรบางอย่างจากเธอ จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ภัทรนึกเป็นห่วงคนตรงหน้าไปร้อยแปดโดยที่ไม่ได้สังหรณ์ใจซักนิดว่าเมื่อคืนก่อน เขาก็หวุดหวิดจะทำในสิ่งที่เขากำลังเป็นห่วงเธออยู่นี่เหมือนกัน และในทางกลับกัน...ถ้าปิ่นเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้เสียเอง ตัวเขานั่นแหละที่อาจประสบชะตากรรมที่ไม่อาจคาดเดาได้
แต่ ณ วินาทีนี้ วิญญาณนักเดินทางสองดวงต่างดึงดูดกันและกันโดยที่ต่างคนต่างก็หาเหตุผลมา อธิบายความรู้สึกนี้ไม่ได้...
ภัทรใช้เวลาในห้องน้ำไม่นานจริงๆ ดังที่เจ้าตัวรับประกัน ชายหนุ่มใช้หนังสือนำเที่ยว ‘Lonely Planet’ ได้เป็นประโยชน์เหลือเกิน เพราะเขาสามารถใช้มันเพื่อการบรรยายให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์แก่ผู้ตามได้ แทบจะทุกสถานที่ที่แวะชมทั้งที่เพิ่งจะมาเหยียบแผ่นดินบรัสเซลส์ในเวลาไล่ เลี่ยกันแท้ๆ ลักษณะการนำทาง การเดินชมสถานที่ต่างๆ การวางแผนเดินชมเมืองแสดงให้เห็นว่าชายผู้นี้ผ่านการท่องเที่ยวมาแล้วอย่าง โชกโชน ปิ่นเหลือบมองร่างสูงที่เดินนำอยู่ด้านหน้าด้วยความชื่นชม ด้วยความที่เธอเป็นลูกคนเดียวและเป็นที่ห่วงและหวงของพ่อแม่มานานจึงทำให้ เธอไม่มีโอกาสได้ออกไปเผชิญโลกกว้างมากนัก แน่นอน...โอกาสพบปะเพศตรงข้ามก็ย่อมมีน้อยตามไปด้วย นี่ถ้าเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้เกิดขึ้น เธอก็คงจะเผลอใจไปกับบรรยากาศ ความใกล้ชิดและความอ่อนไหวในใจไปแล้ว
แต่ว่า...ทำอย่างไรได้ ‘กิ่ง’ ชื่อนั้นยังติดอยู่ในใจมิรู้วาย เธอผู้นั้นคงเป็นคนที่ครอบครองพื้นที่หัวใจของเขาจนหมดสิ้น จนไม่มีที่เหลือให้เธอแทรกเข้าไป อย่างเธอ...คงเป็นได้มากที่สุดก็แค่เพื่อนใหม่ที่เพิ่มภาระให้เขาต้องมาดูแล เท่านั้นแหละ
“มาเที่ยวตอนหน้าหนาว บรรยากาศก็เลยดูสีเทาไปหน่อยนะ ต้นไม้สลัดใบทิ้งหมดเลย อากาศก็ทึมๆ หม่นๆ เอ้า...ทำไมหน้าจ๋อยจังเลยล่ะเรา หนาวหรือเปล่า ลมแรงนี่ เอ้า...เอาผ้าพันคอของพี่ไหม” พูดแล้วไม่รอให้ใครได้ปฏิเสธ ภัทรคว้าเอาผ้าพันคอของตัวเองไปพันทับให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยน ดวงตาที่เคยสุกใสหม่นแสงนิดหนึ่งจนมือใหญ่ที่กำลังจัดผ้าพันคอชะงักไป หรือเขาจะยุ่งกับเรื่องส่วนตัวมากเกินไป นั่นสิ...ปิ่นไม่ใช่เธอคนนั้น ไม่ใช่ผู้หญิงของเขา เธอก็เป็นแค่นักเดินทางอิสระที่โคจรมาเจอกัน แล้วก็คงจะโคจรผ่านไปในอีกไม่นาน
“เดี๋ยวเราขึ้นรถรางไปดูอะตอมเมียมกัน สัญลักษณ์งานเอ๊กซ์โปเลยนะ หลายปีก่อน พองานจบแล้วเขาไม่ได้รื้อออกเลยกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว” ภัทรไม่ปล่อยให้ความสงสัยเกาะกินหัวใจนานนัก เขาต้องการนำเที่ยว เขาต้องการหากิจกรรมทำ เพื่อลืม...ลืมความเจ็บปวดที่เคยมีและยังมีอยู่ ร่างสูงเดินนำไปไกลแล้ว หากเขาจะมองย้อนกลับมาหน่อย ก็คงจะมองเห็นว่า ดวงตากลมโตคู่นั้นฉายแววสับสน เป็นห่วง และเสียใจปะปนกัน จะไม่ให้เสียใจได้หรือ แม้ว่าเขาแสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใยเธอถึงเพียงนี้ แต่ความจริงแล้วเขานึกถึงคนอื่นอยู่ในใจตลอดเวลาต่างหาก
“แวะดื่มเบียร์อีกไหมคะ พี่ภัทร ฆ่าเวลายามค่ำ” เสียงใสๆ ร้องถามขึ้นหลังจากอาหารมื้อเย็นอันประกอบด้วยหอบแมลงภู่อบไวน์ขาวและปลาอบชีสได้จบลงอย่างสวยงาม
“ไม่เอาล่ะ พี่กลัวใจตัวเอง กลัวว่าเดี๋ยวจะเมาแบบเมื่อวาน”
“ถ้าอย่างนั้นเล่นเกมกันไหมคะ มีเงินเริ่มต้นคนละ 5 ยูโร ผลัดกันถามคำถามคนละหนึ่งคำถาม ถ้าไม่ต้องการตอบให้จ่ายเงินครั้งละ 50 เซนต์ ถ้าหมดเงินแล้ว คนตอบต้องตอบ ห้ามเลี่ยง ห้ามโกหก ” ดวงหน้าอ่อนใสมีร่องรอยเอาจริงเอาจัง
“เล่นอะไรเหมือนเด็กๆ ไม่ใช่สิ นี่ไม่ใช่เกมแล้ว มันคือการหลอกถามมากกว่า หรือหลอกเอาเงินเนี่ย” ภัทรบ่นไม่จริงจังนัก
“เขาเรียกละลายพฤติกรรม และทำความรู้จักกันให้ดีขึ้นต่างหาก” เสียงใสแย้งออกมา
“ยังจะต้องละลายอะไรอีก ปิ่นสนิทกับคนง่ายจะตาย ง่ายจนพี่นึกเป็นห่วง”
“ปิ่นเชื่อสัญชาตญาณตัวเองค่ะ ว่าควรหรือไม่ควรให้ความสนิทสนมกับใคร กับพี่นี่...ปิ่นรู้สึกได้ว่าไม่มีอันตราย และรู้สึกได้ว่ามันเป็นสิ่งที่ปิ่นต้องทำ” ภัทรนึกแปลกใจ แม่สาวอ่อนหวานของเขาก็มีจุดยืนของตัวเอง และกล้าพอที่จะยืนยันความเชื่อของตน
“ดื้อเหมือนกันนะเรา”
“ปิ่นไม่ได้ดื้อหรอก แต่ปิ่นแค่อยากเล่น นะพี่ภัทรนะ จะได้รู้จักกันมากขึ้น”
“ก็ได้” รอยยิ้มปรากฏขึ้นนิดหนึ่งที่มุมปาก เล่นกับเด็ก...บางทีก็คงจะเพลินดีเหมือนกัน
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผู้เล่นไม่อาจจะหยั่งรู้ได้ รู้เพียงว่าในยามนี้ไม่มี ‘พี่ภัทร’ ไม่มี ‘ปิ่น’ มี เพียงคนสองคนที่ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ ผลัดกันไล่เบี้ยเอาฝ่ายตรงข้ามจนต่างก็เหนื่อยอ่อนใจไปตามกัน และจากการเล่นเกมนี้เอง ตัวตนของกันและกันก็เปิดเผยออกมามากขึ้น
ภัทร...ชายหนุ่มผู้รักอิสระ รักการท่องเที่ยว เขาออกจากบ้านมาเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่อายุ 15 งาน หลักคือเรียนหนังสือ งานรองคือการถ่ายภาพและเขียนบทความให้กับนิตยสารท่องเที่ยวทั้งในและนอก ประเทศ นั่นเป็นเหตุผลให้เขาต้องออกเดินทางไม่หยุดหย่อน
ปิ่น...เด็กสาวเพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัย ไม่เคยจากบ้านไปไหนนานเกินกว่า 2 สัปดาห์ พ่อแม่รักราวกับแก้วตาดวงใจ ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ทุกวันนี้พ่อกับแม่ยังโทรศัพท์มากล่าว ราตรีสวัสดิ์ทุกคืนแม้กระทั่งยามเดินทางแบบนี้
“เป็นคุณหนูอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ทำไมถึงอยากจะออกมาเที่ยวล่ะ อยากได้อิสรภาพหรือไง” เพราะหมดคำถามที่จะถามแล้ว ภัทรจึงหยิบยกเอาข้อสงสัยแรกที่เกิดขึ้นเมื่อแรกพบมาถาม
“ปิ่นไม่เคยสิ้นอิสรภาพนะคะพี่ภัทร ถึงปิ่นจะไม่เคยไปไหนไกลๆ ถึงพ่อแม่จะห่วงและหวงมากๆ ถึงจะต้องกลับบ้านตามเวลาที่กำหนดทุกครั้ง แต่หัวใจของปิ่นไม่เคยยึดติดกับพันธนาการใดๆ และไม่เคยเห็นว่านั่นคือทุกข์”
“อะไรคือพันธนาการ”
“แน้...ขี้โกง ตาปิ่นถามนี่นา”
“ก็มันกำลังติดพัน ตอบมาก่อนสิ เดี๋ยวพี่ให้ปิ่นถามสองข้อติดๆ กันเลย”
“เอ้า...ก็ได้ ปิ่นไม่เคยคิดว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำคือโซ่ที่ล่ามปิ่นเอาไว้ให้หมดอิสรภาพไง ท่านทำก็เพราะรัก ก็มองไปเสียว่าอีกหน่อยพอท่านไม่มีแรง ก็ไม่มีโอกาสที่จะแสดงความเป็นห่วงเราได้มากถึงเพียงนี้แล้ว แล้วที่สำคัญก็คือ...ปิ่นไม่เคยยึดติดกับความทุกข์ใดๆ ทุกอย่างเกิดขึ้น คงอยู่...แล้วก็แตกดับ ถ้าปิ่นเอาใจไปยึดติด ปิ่นก็คงทุกข์แย่เลย มีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นใหม่ทุกวันๆ นี่นา เอาล่ะ ตาปิ่นถามบ้างนะ” เสียงใสๆ ขาดหายไปครู่ใหญ่
“ใครคือ ‘กิ่ง’ คะ” มือ ใหญ่ที่กำลังจะหยิบชอกโกแล็ตร้อนๆ ขึ้นจิบชะงักไป ดวงตาดำคมลึกที่มองตรงมา มีแววเจ็บปวดเต้นระริกอยู่ในนั้น วูบหนึ่งที่คนถามรู้สึกเสียใจ เธอเปิดปากแผลเก่าของเขาอีกแล้ว แต่เธอก็อยากทำ เธอไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ผ่านความเจ็บปวดมามากแค่ไหน แต่เธอต้องการปัดเป่ามันออกไปให้หมดสิ้น และเธอคงจะทำไม่สำเร็จถ้าเขาเก็บมันซุกซ่อนเอาไว้ในซอกลึกของหัวใจ เก็บเอาไว้ให้เป็นแผลกลัดหนองอยู่อย่างนั้น
“กิ่งคือแฟนเก่าของพี่เอง” น้ำเสียงของชายหนุ่มแหบแห้ง เจ้าตัวยังรู้สึกเจ็บแปลบเมื่อนึกถึงชื่อนั้น อยากจะซุกหัวลงกับหมอนเพื่อหลบหน้าคนถาม หรืออยากลุกขึ้นแล้วเดินไปให้ไกลจากความเป็นจริง แต่เมื่อมองสบดวงตาสุกใสที่มองมาอย่างให้กำลังใจ เขาก็รู้ตัว...ว่าสิ่งที่เขาคิดอยากทำ มันเป็นไปไม่ได้ทั้งสองอย่าง
“ปิ่นคงไม่ถามนะคะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ปิ่นขอถามค่ะ...ว่าทำไมพี่ภัทรถึงยังไม่ลืม” เสียงหวานไร้รอยหยอกเล่นดังเช่นเคย ภัทรหลับตาลงก่อนที่จะตัดสินใจระบายความในใจออกมาจนหมดสิ้น
“เรารักกันมาก รักอิสระ รักการท่องเที่ยวเหมือนกัน เขาเสียชีวิตในอุบัติเหตุตอนที่เราเล่นสกีอยู่บนยอดเขาโดยที่พี่ยังไม่ทันจะบอกลา ต่อหน้าต่อตา...โดยที่พี่ช่วยอะไรไม่ได้เลย เขาจากไปอย่างกะทันหันเกินไป พี่ควรจะได้ช่วยเหลือเขา พี่มันไม่เอาไหน...เขาอยู่แค่เอื้อมมือแค่นี้แต่ช่วยอะไรไม่ได้เลย พี่ยังรู้สึกว่าเขายังอยู่ใกล้ๆ ยังรอพี่อยู่ ยังเป็นเจ้าของหัวใจพี่อยู่ พี่เลยออกเดินทางไม่หยุด นอกจากจะหวังว่าสถานที่ใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ จะทำให้พี่ลืมเหตุการณ์ที่ติดตาในวันนั้นแล้ว พี่ยังคิดว่า การเดินทางจะทำให้เขาซึ่งยังอยู่ใกล้ๆ พี่พลอยมีความสุขไปด้วย ปิ่น...เมื่อคืน พี่พูดอะไรออกไปปิ่นถึงได้ถามพี่แบบนี้” น้ำเสียงที่ถามมาร้อนรน
“เมื่อคืนพี่เมาแล้วรำพึงถึงพี่กิ่งตลอดเลยค่ะ แล้วพี่ก็...” ปิ่นตัดสินใจละความจริงบางส่วนเอาไว้ “ก็ร้องไห้ เสียใจ” ความเงียบเข้ามาครอบคลุมบรรยากาศระหว่างคนสองคนอึดใจใหญ่
“พี่ภัทรรู้ไหมคะ...ไม่ใช่พี่กิ่งหรอกค่ะที่ยังเป็นเจ้าของใจหรือยังอยู่ในใจของ พี่ ตัวพี่ภัทรเองต่างหากเอาใจของพี่ไปผูกติดไว้กับสิ่งที่เคยเป็นพี่กิ่ง ทุกวันนี้สิ่งนั้นได้แตกดับไปแล้วพี่ภัทรก็ยังคงปล่อยวางไม่ได้ หัวใจของพี่ภัทรพันธนาการตัวพี่ไว้กับอดีตเอง ถึงตัวพี่จะเดินทางไปเรื่อยๆ แต่หัวใจยังไม่อาจเป็นอิสระจากสิ่งที่เป็นเพียงสิ่งสมมติ เพื่อใช้บรรเทาความรู้สึกผิด ต่อให้ไปไกลเกินครึ่งค่อนโลก ก็เหมือนหัวใจอยู่กับที่นั่นแหละค่ะ”
น้ำเสียงหวานปลอบประโลม ไม่มีริ้วรอยแห่งการโจมตีด้วยคำพูด หากทุกๆ ถ้อยคำเสียดลึกเข้าไปในอก น่าแปลกที่ภัทรไม่ได้รู้สึกโกรธที่ปิ่นปล่อยคำพูดแทงใจออกมาเป็นชุดแบบนั้นเลย มีแต่ความแปลกใจที่สาวน้อยท่าทางเปราะบางดูอ่อนต่อโลกจะลุกขึ้นมาแสดงท่าทีแบบนี้ได้ ทุกประโยคที่เอ่ยออกมาค่อยๆ ชำระล้างตะกอนที่นอนก้นอยู่ในหัวใจของเขาออกไปทีละนิดๆ
“ปิ่นไม่อาจจะเดินทางไปสุดขอบโลกได้ แต่ปิ่นไม่เคยยึดติดกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นและดับไปแล้ว คู่หมั้นของปิ่นเพิ่งจะเสียไปเพราะโรคร้ายก่อนที่ปิ่นจะมาเรียนต่อนี่เอง ตอนแรกเราตั้งใจจะแต่งงานกันแล้วมาเรียนด้วยกันแต่ก็กลับตรวจพบเนื้อร้ายนั่น เขาไม่มีอาการมาก่อนเลยพอพบมันก็ลุกลามไปจนยากจะแก้ไขแล้ว กำลังใจเขาดีแต่สภาวะร่างกายของเขามันไม่เอื้อ เราพยายามทำใจกันอยู่นานมาก เขาบอกปิ่นว่าถ้าเขาเสียไปแล้ว อย่าขังตัวเองกับกล่องความทรงจำในอดีตอีก ปล่อยหัวใจให้เป็นอิสระ...ปล่อยให้หัวใจออกเดินทางอีกครั้ง เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้รับรู้อะไรด้วย เขาจากไปด้วยความทรงจำดีๆ ระหว่างเรา” น้ำตาเริ่มไหลลงมาจากดวงตาคู่สวย
“พี่ ภัทรรู้ไหมคะ ปิ่นคิดว่าคนรักอิสระอย่างพี่กิ่งเขาก็คงอยากพูดแบบคู่หมั้นของปิ่นค่ะ เพียงแต่เขาไม่มีโอกาส ปล่อยหัวใจดวงนี้ให้เป็นอิสระเถิดนะคะพี่ภัทร ปิ่นไม่อยากให้คนที่ปิ่นรู้สึกชื่นชม และประทับใจตั้งแต่แรกเห็นต้องทุกข์ใจแบบนี้ไปนานๆ”
พูดจบแล้วร่างบางก็ลุกขึ้นและเดินจากร้านไป ภัทรไม่ได้เดินตามออกไปทันที หากกลับค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินตามเธอไปช้าๆ พร้อมทั้งทบทวนสิ่งที่มิตรใหม่พูดไปด้วยอย่างตั้งใจและจริงจัง ความจริงแล้วสิ่งที่เธอพูดก็เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ใครก็รู้ แต่มันคงง่ายเกินไป...เขาถึงได้มองข้ามมันจนต้องให้คนอื่นมาเตือน ใช่ว่าจะไม่เคยมีคนพยายามบอกกล่าวเขาแบบนี้มาก่อน แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน...ว่าทำไมครั้งนี้เสียงหวานๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งจารลงไปในใจของเขาอย่างง่ายดาย มันคงถึงเวลาที่เขาต้อง 'ตื่น' เสียทีกระมัง
ภัทรเดินไปช้าๆ แต่ทุกอย่างก้าวเริ่มเป็นก้าวที่มีจุดหมาย เมื่อภัทรเดินทางกลับมาถึงห้องพักก็พบว่า ร่างบางได้นอนขดอยู่ในโปงผ้า เสียงลมหายใจสม่ำเสมอเหมือนคนนอนหลับไปเสียแล้ว ภัทรส่งยิ้มบางๆ ออกมา พรุ่งนี้เช้า...เขาจะเริ่มคุยกับเธออีกครั้ง เขาจะเริ่มปลดปล่อยพันธนาการหัวใจของตนเองดังที่เขาควรจะทำ และเธอ...ในฐานะคนที่พูดเรื่องพวกนี้ออกมาจะต้องช่วยให้เขาทำได้สำเร็จ
หากภัทรกลับไม่มีโอกาส...เพราะเมื่อแสงอรุณมาถึง ปิ่นก็ได้จากไปแล้ว โดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้เป็นหนทางในการติดต่อไปหาเธอได้เลย
.
.
June, Summer
.
.
ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสไร้เมฆ และแสงแดดส่องสว่างสวยงามเมื่อยามที่ภัทรก้าวออกมาจากสถานีรถไฟเมืองเวนิซ ฤดูร้อนแบบนี้ผู้คนคลาคล่ำจริงๆ เวนิซ-เมืองไร้ถนนแต่สัญจรไปมาด้วยทางน้ำที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ เขากางแผนที่ออกมาและสอดส่ายสายตามองหาท่าเรือเพื่อจะเดินทางต่อไปยังที่พักที่ได้จองไว้ เวลาผ่านไปหกเดือนแล้วนับแต่วันที่เขาเดินทางไปบรัสเซลส์ วันนี้เขาออกเดินทางอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่ต่างจากวันนั้นโดยสิ้นเชิง คำพูดของมิตรใหม่ที่ได้จากการเดินทางคนหนึ่งทำให้เขากลับมาขบคิดถึงเรื่องเก่าๆ และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ติดต่อกับเธออีกเลยนับแต่วันนั้น แต่เขาก็ยังคงระลึกถึงเธอเสมอ เด็กสาวผู้มีดวงตากลมโตสุกใส ผู้มีหัวใจเป็นอิสระจากความทุกข์ใดๆ
ด้วยความรีบร้อนปนกับอาการจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเขาจึงกระแทกใส่หญิงสาวชาวเอเชียร่างบอบบางที่ยืนอยู่ก่อนหน้าจนเธอถึงกับหน้าคะมำจนเกือบจะตกน้ำตกท่า หากโชคยังดีที่เขาหันไปคว้าตัวเธอไว้ทันเวลา
“โอ๊ย เจ็บนะ”
“sorry”
ตาสบตา...อีกครั้ง ดวงตากลมโตเบิกกว้างแสดงถึงความตกใจก่อนที่ริมฝีปากรูปกระจับจิ้มลิ้มบนดวง หน้าหวานละมุนละไมของร่างบางที่อยู่ในอ้อมแขนจะแย้มออกเต็มที่ รอยยิ้มอย่างจริงใจปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากหยักได้รูปของเจ้าของวงแขนด้วยเช่น กัน
“ปิ่น”
“พี่ภัทร”
“ไม่น่าเชื่อเลย ว่าจะได้เจอปิ่นอีกครั้ง นี่มาเที่ยวกับใครเนี่ย”
“มาคนเดียวค่ะ” ดวงตาสุกใสส่องประกายวับวาว ไม่มีวี่แววลังเลหวาดหวั่นอย่างสาวน้อยที่เขาเคยพบเมื่อครึ่งปีก่อนอีก “ตั้งแต่วันนั้นปิ่นก็ติดใจ ไปเที่ยวคนเดียวอีกหลายที่เลย ปารีส ปราก เวียนนา เยอะแยะ เดี๋ยวนี้ปิ่นคล่องแล้วนะ ไม่เหมือนตอนที่เราเจอกันครั้งก่อนแน่นอน” ปิ่นทรงตัวได้แล้ว แต่สองมือของภัทรยังประคองต้นแขนของเธอไว้อยู่ ดวงตาดำคมจ้องลึกลงไปในดวงตากลมโตสุกใสแน่วแน่ และเขาก็ไม่ผิดหวัง ถึงเธอจะดูมีความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาก แต่ดวงดาวในดวงตาของเธอยังเปล่งประกายสุกใสเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อนไม่มีผิดเพี้ยน ตาสบตา นิ่ง...นาน
“วันนั้นหนีพี่ไปก่อนได้ยังไงนะปิ่น...เกมยังไม่จบเลย ถึงตาปิ่นตั้งคำถามไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงของภัทรร่าเริงไร้รอยกังวล หรือจดจ่อกับอดีตอีก
“อ้าว เกมยังไม่จบเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นปิ่นถามต่อก็ได้” ปิ่นยันตัวออกจากอ้อมแขนของภัทร ร่างสองร่างเดินเคียงกันไปโดยมีจุดหมายอยู่ที่ท่าเรือ แดดเวลาเที่ยงวันร้อนจัดแต่ความร้อนไม่อาจจะทำร้ายความรู้สึกสดชื่นแจ่มใส ให้เหือดหายจากดวงใจของคนที่เดินเคียงกันไปได้เลย
“วันนี้...หัวใจพี่ภัทรเป็นอิสระหรือยังคะ”
“แน่นอน วันนี้...หัวใจพี่เป็นอิสระแล้ว”
บนทางเดินเลียบคลองนั้นแสงแดดส่องสว่าง เสียงหัวเราะแทรกมากับเสียงนกร้องบรรเลงบทเพลงแห่งคิมหันตฤดู สายลมพัดโบกแผ่วเบา...อ่อนโยน เรือที่สัญจรไปมาบ้างก็เข้าใกล้กัน บ้างก็สวนทางกัน นักเดินทางแต่ละคนยังก้าวไป...จนกว่าจะถึงจุดหมาย ร่างสองร่างของภัทรและปิ่นเดินเคียงคู่กันไปด้วยใจที่เป็นอิสระ อิสระ...เหมือนนกโบยบิน ไม่ว่าจุดหมายจะอยู่ ณ แห่งหนตำบลไหน แต่หัวใจของแต่ละคนรู้แน่ ว่าไม่อาจมีสิ่งใดเหนี่ยวรั้งหัวใจเอาไว้ ไม่ให้ออกเดินทางครั้งใหม่ได้อีกแล้ว