วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Alnwick - Seahouses - Berwick upon Tweed






สวัสดีค่ะ

พอฤดูร้อนเยี่ยมกรายมาถึง เหล่านักเรียนไทยในอังกฤษก็พากันออกเดินทางกันใหญ่ ปีนี้งานการพันหัวหาง ไปทริปยาวๆ ต่างประเทศไม่ไหว เลยหันเห มาท่องเที่ยวในประเทศแบบวีคเอนด์ทริปแทน จริงๆ ทริปนี้ไม่ได้เป็นตัวตั้งตัวตี เพราะว่าที่มาของการเดินทางก็คือการที่พี่เบียร์อยากจะพาจัน(แฟนสาว) ไปเที่ยวที่ไหนสักที่ แต่บังเอิญไม่มีใครเลือกสถานที่ และด้วยความที่อิฉันอยากหวนกลับคืนสู่ Northumberland ดินแดนที่เคยไปร่วมงานขุดค้นของ Bamburgh Research Project อยู่นานถึง 3 สัปดาห์เมื่อ...เอ่อ....6 ปีก่อน(ไม่อยากบอกเลย ฟังดูแก่จริงๆ) และด้วยความที่ปันๆ ตากล้องประจำบ้านอยากได้ภาพสวยๆ ของปราสาทริมทะเลกับแสงเรื่อๆ ดึจทองทาบยามสนธยาที่ถ่ายย้อนจากชายหาดหรือสันทรายอย่างสุดแสน พวกเราเลยถือโอกาสเลือกจุดหมายปลายทางเองเสียเลย 555

และในเมื่อได้มีโอกาสเดินทางย้อนไปสู่ถิ่นที่เป็นเสมือนแคปซูลเวลา ที่ย้อนกลับไปเมือไหร่ก็มีความสุขเมื่อนั้น ก็เลยต้องถือโอกาสเขียนบล็อกยาวๆ แบบที่ไม่ได้เขียนมานาน น้าน....นานเสียหน่อย

การเดินทางครั้งนี้ ค่อนข้างจะเป็นการเดินทางตามรอยตัวละครหลักในนิยายเรื่อง "เก็บรักไว้...ใต้ผืนดิน" อันได้แก่ 'สิตา' นักศึกษาวิชาโบราณคดี และ 'อธิป' ผู้เป็นทั้งรุ่นพี่และ Site Supervisor เพราะเขาทั้งคู่ใช้เวลาครึ่งเล่มหลังอยู่ในไซต์ขุดค้น ณ เมือง Bamburgh อดีตเมืองหลวงของ Northumbria นี่เอง ทิวทัศน์ที่สวยงามและดูมีมนต์ขลัง (เพราะความเก่า) ของ Northmbria จึงกลายมาเป็นสถานที่บ่มรักตัวละครทั้งคู่

หรือจะพูดให้ถูก...คนที่หลงใหลต้องมนต์เสน่ห์ของดินแดนแถบนี้ก็คงจะเป็นเจ้าของบล็อกนี่แหละค่าาา อิฉันเองที่ที่ต้องมานอนกลางดิน กินกลางทราย หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ขุดๆ ค้นๆ อยู่แถวนี้เมื่อสมัยอยู่ปี 1 ปริญญาตรี ต้องขอขอบคุณสถานที่เหล่านี้ด้วยนะคะ ถ้ายิ้มไม่ได้มาทำงานที่นี่ นิยายเรื่องนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น (นิยายบทแรกถูกเขียนขึ้นในไดอารี่เล่มโปรดขณะที่นอนแกร่วๆ อยู่ในเต็นท์ด้วยซ้ำ)

เข้าเรื่องกันดีกว่า

Northumbria หรือที่ปัจจุบันรู้จักกันในนามของ Nortumberland คือ ดินแดนทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ อยู่ติดกับ Scotland นะคะ จากสถิติของประเทศ เป็นเขตที่ยากจนที่สุด - -' แต่จากสายตาของยิ้ม...เป็นเขตทีมีมนต์ขลังและเสน่ห์ดึงดูดมากที่สุดแล้วค่ะ

ทำไมถึงมีมนต์ขลังน่ะเหรอ...ก็พูดยากนะ ถ้าพูดถึงความสวยของทิวทัศน์ อื่ม..ก็สวยนะ แต่คงไม่วิจิตรบรรจงเท่าแถบ Cornwall หรือ Ireland แรงดึงดูดของมันคงมาจากอดีตอันน่าสนใจกระมัง ดินแดนแถบนี้อยู่ระหว่างอังกฤษกับสก็อตแลนด์พอดี มีข้อขัดแย้งและคามเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในพื้นที่มากมายนัก แถมภูมิประเทศแบบชายทะเล หน้าผา เนินเขา ยังเอื้อต่อการสร้างตำนานที่เล่าต่อๆ กันมาปากต่อปากอีก

Northumbria เป็นอาณาจักรเก่าแก่สมัย Anglo-Saxon (ซึ่งเริ่มมีอำนาจหลังจากชาว Roman อพยพไปจากเกาะบริเตนในปี ค.ศ. 410) เริ่มมีอำนาจสูงสุดประมาณต้น ค.ศ. 700 เพราะเกิดการรวมตัวของสองอาณาจักร อันได้แก่ Bernicia (Northumberland ในปัจจุบัน) และ Deira (Yorkshire ในปัจจุบัน) ช่วงแรกๆ เมืองศูนย์กลางคือ Bamburgh ปราสาทที่จะกล่าวถึงในอัลบั้มต่อไปนี่เองนะเคอะ ส่วนช่วงหลังๆ ศูนย์กลางย้ายลงมา York เมืองที่อิฉันอยู่ในปัจจุบัน โอ้...ที่แท้เราก็ผูกพันโยงใยกันไปมาแบบนี้นี่เอง

เส้นทางการเดินทางของเรานี้ เริ่มจาก Alnwick - Seahouses - Berwick upon Tweed - Lindisfarne (Holy Island) และ ปิดท้ายด้วย Bamburgh ไม่บ่นมากละ เดี๋ยวคนอ่านจะตาลาย บรรยายเลยดีกว่า

Alnwick Castle


เป้าหมายแรกของพวกเรา ก็คือ Alnwick Castle ซึ่งเป็นนิวาสถานของตระกูล Northumberland (Dukes and Earls of Northumberland) ซึ่งแต่ละท่านหน้าตาดีม้ากกกก ตระกูลนี้ตระกูลใหญ่นะคะ ถ้าอ่านประวัติศาสตร์อังกฤษ พวกตระกูล Northumberland มีบทบาทปราสาทเป็นอย่างมาก ทั้งทางบวกและทางลบ

ปราสาทแห่งนี้เริ่มสร้างครั้งแรกในสมัยที่ชาว Norman เอาชนะ Anglo-Saxons ได้แล้ว Alnwick Castle ก็กลายมาเป็นฐานกำลังสอดส่องความเป็นไประหว่างชายแดนอังกฤษ-สก็อตแลนด์ ปราสาทแห่งนี้เริ่มมีชื่อเสียงในฐานะแหล่งท่องเที่ยวมากกว่าเดิมเมื่อกองถ่าย Harry Potter ภาคแรกๆ มาใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากควิดดิช ก็แหงล่ะเนอะ ฟังดูน่าดึงดูดขึ้นไม่น้อย


ทางปราสาทเองเลยจัดคนหน้าคล้ายมาทำกิจกรรมกับเด็กๆ เลย


นอกจากการจัดปราสาทเป็นบ้านพิพิธภัณฑ์ให้ผู้ใหญ่ชมและเรียนรู้ประวัติศาสตร์แล้ว ทางปราสาทก็ยังมีโซนสำหรับให้เด็กๆ เล่นด้วย (คนนี้เด็กเหรอ???) โดยส่วนนั้นเขาจัดให้เป็นโซนฝึกหัดอัศวิน มีอุปกรณ์ให้เด็กๆ ได้ทดลองเล่นหลายอย่าง



โดยรวมแล้วก็สวยดีค่ะ มีทั้งความยิ่งใหญ่ มีสวนสวยงาม(ที่ไม่มีเวลาเข้า) มีเมืองเล็กๆ ที่มีความสำคัญมาตั้งแต่สมัย ค.ศ.1000 กว่าๆ น่ามาเที่ยวอยู่นะ

Seahouses:

Seahouses เป็นเมืองท่าอยู่ห่างจาก Alnwick ประมาณ 15 ไมล์ ห่างจาก Bamburgh แค่ 3 ไมล์เท่านั้นเอง


ตัวเมืองไม่มีอะไรมาก เป็นที่พัก ร้านขายของ ร้านอาหาร น่าจะเป็นเมืองที่คนมาพักเพื่อท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลเหนือ ส่วนมากคนจะมาลงเรือที่ท่าเรือในเมืองนี้เพื่อล่องออกไปชม Farne Islands ซึ่งเป็นหมู่เกาะเล็กๆ ที่ถือว่าเป็น wildlife sanctuary ที่สำคัญของอังกฤษ มีแมวน้ำ นกพัฟฟิน และอื่นๆ อีกหลายอย่างในหมู่เกาะนี้(แต่ถ้าจะลงไปเดินบนเกาะ ต้องเสียเงินค่าเหยียบแผ่นดินอีก ราวๆ 3-4 ปอนด์: ข้อมูลปี 2010 นะ) ทริปก็มีตั้งแต่ชั่วโมงครึ่งจนถึงทั้งวันเลย



แต่พวกเราไม่ทันลงเรือ เพราะว่ารอบสุดท้ายคือบ่ายสามโมง (ขณะนั้นยังเริงร่าอยู่ที่ Alnwick อยู่เลย) ก็เลยรวดไป Berwick-upon-Tweed เลยก็แล้วกัน

Berwick-upon-Tweed:

Berwick-upon-Tweed เป็นเมืองชายแดนกั้นระหว่างอังกฤษ กับสก็อตแลนด์ ไม่น่าแปลกใจที่เมืองนี้จะยังคงรักษาแนวกำแพงและป้อมติดอาวุธเอาไว้ได้เป็นอย่างดี (ดีกว่า York อีก) เพราะป้อมเหล่านี้คงจะได้ใช้งานมาเรื่อยๆ ตั้งแต่อดีตอันไกลโพ้น ตัวเมืองก็ถูกอังกฤษลากไป สก็อตแลนด์ลากมา จนกระทั่งถึงยุคที่อังกฤษกับสก็อตแลนด์ถูกผนวกเข้าด้วยกัน



กำแพงเมืองและป้อมปืนแน่นหนา

พอเรามาถึงก็เข้าที่พัก วางของ และออกไปเดินเล่นบนกำแพงเมือง Berwick ยังรักษากำแพงได้เกือบรอบเมือง เดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ก็มาถึงมุมที่หันเข้าสู่ทะเล สวยงามแล้วก็ได้อารมณ์ดีเหมือนกันเนอะ หลายร้อยปีก่อนคนที่เดินไปเดินมาคงเป็นทหารแหละ ไม่น่าเชื่อเลยว่าปัจจุบันจะกลายเป็นที่เดินเล่นของนักท่องเที่ยวไป



สะพานเต็มไปหมด ทั้งสะพานรถข้าม และสะพานรถไฟ ก็สวยแปลกตาไปอีกแบบ



วันแรกของทริปก็จบลงที่ Berwick นะคะ พบกันต่อในอัลบั้มหน้า Lindisfarne และ Bamburgh สถานที่ที่ยิ้มชอบม้ากกก มากกกก ประหนึ่งเคยอยู่ที่นั่นมาแล้วอย่างไงก็อย่างงั้น

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หนึ่งปีให้หลัง

Rating:★★★★
Category:Other

การได้อ่านกระทู้หนึ่งในพันทิปในวันนี้ ที่เจ้าของกระทู้เป็นโรค major depressive disorder (โรคซึมเศร้า) ทำให้รู้สึกว่ามันช่างน่าสะท้อนใจนัก การตอบสนองต่อคนที่มาตอบกระทู้ของเขาแสดงให้เห็นถึงสภาพที่ไม่ปกติของร่างกาย อารมณ์และจิตใจอย่างชัดเจน และการที่มีเพื่อนพ้องน้องพี่ใกล้ตัวกำลังต่อสู้กับภาวะเครียด หรือภาวะซึมเศร้าอยู่มากมายหลายคนเหลือเกินในช่วงนี้ทำให้ยิ้มนึกอยากเขียนอะไรขึ้นมา เพราะระลึกขึ้นได้ว่า ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ของปีที่แล้ว (จริงๆ มีช่วงเดือนมีนาคมด้วย) ตัวยิ้มเองก็กำลังต่อสู้กับสภาพจิตใจตัวเองอย่างหนักหน่วงเช่นกัน

อาการเครียดและซึมเศร้า บทจะมามันก็มา...ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากจะให้เกิดขึ้น บางครั้งมันก็ดูููรุนแรงกว่าสภาพปัญหาที่เกิด บางครั้งมันก็ดูไร้สาระ แต่คนที่ตกอยู่ในหุบเหวแห่งความหดหู่นั้น อาจจะยังไม่ถึงเวลาช่วยตัวเองขึ้นมาเบื้องบนได้ประหนึ่งเส้นผมบังภูเขา หรือฝุ่นเข้าตาตัวเองเลยเขี่ยไม่ออก บทความทางการแพทย์บางบทบอกไว้...ว่าภาวะที่สารเคมีในสมองเสียสมดุลอย่างนั้นทำให้สมองจัดการกับสิ่งเร้าได้ไม่ดีเท่าที่ควร และการที่คนรอบข้างไม่เข้าใจ ก็รังแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ 'คนที่ล้มก็ต้องยืนให้ได้ด้วยตัวเอง' คนที่ไม่เคยอยู่ ณ จุดนี้อาจจะไม่เข้าใจ คนที่เคยอยู่แต่ก้าวพ้นล่วงออกมาแล้วก็อาจจะลืมความรู้สึกในขณะนั้นไปบ้าง แต่ถ้าเป็นไปได้ อ่านบทความนี้แล้ว....ขอความเห็นใจและความอดทนกับผู้ที่ตกอยู่ในโรคซึมเศร้าหน่อยนะคะ บางที...เขาไม่ได้ต้องการอะไรมาก อาจจะแค่ต้องการคนรับฟัง ต้องการคนคุยด้วย ต้องการมีคนเข้าใจ (หรืออย่างน้อยแสดงออกว่าเข้าใจ) เท่านั้นเอง

ยิ้มไม่เคยคิดว่า ยิ้มจะมีอาการซึมเศร้า อาการเครียด หรืออาการอะไรที่เกิดจากสภาพจิตใจ(และสมอง)ขาดสมดุลมาก่อน และมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเคยเป็นโรคซึมเศร้ามั้ย แต่อาการที่เคยเกิดขึ้นมันคล้ายอาการของโรคนี้พอสมควร ยิ้มคิดเสมอว่าตัวเองเป็นคนมองโลกในแง่ดีค่อนข้างมาก และมีพื้นฐานการฝึกจิตปฏิบัติสมาธิวิปัสนามาบ้าง แต่ในที่สุดเมื่อกลางปี 2552 ยิ้มก็ได้เรียนรู้ว่าไม่มีอะไรเที่ยงสักอย่าง ทั้งความสุข ความทุกข์ และความอดทนของมนุษย์ปุถุชนมันก็มีขอบเขตของมัน

เรื่องที่จะเขียนในบล็อกนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว ปัญหาเล็กน้อยเท่าขี้ผงสำหรับบางท่านที่เข้ามาอ่าน ตอนนี้เมื่อมองย้อนกลับไปยิ้มเองก็ยังคิดว่าตัวเองควรจะจัดการกับสถานการณ์ได้ดีกว่านี้เลย แต่ยิ้มก็ยังอยากจะเขียนเป็นอุทธาหรณ์ไว้ สำหรับผู้ที่กำลังเป็นโรคเครียด และผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคเครียดในอนาคตอยู่ดี ว่าความเครียดมันเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวหากเราไม่รู้จักปล่อยวาง ไม่ว่าปัญหาจะใหญ่หรือเล็กแค่ไหน และวิธีรักษาที่ดีที่สุดก็คือการเริ่มเอาชนะจิตใจตัวเองนั่นแหละ

ในวันนี้...วันคืนอันหดหู่ ซึ่งแท้จริงก็ผ่านมาแค่ราวๆ หนึ่งปี กลับดูช่างห่างไกล ราวกับเป็นแค่จุดเล็กๆ ในอดีตเท่านั้น และเมื่อเราผ่านมันมาได้ ไม่ว่าจะอย่างสง่างามหรือไม่ก็ตาม วิธีคิด วิธีมองโลก ของเราก็เปลี่ยน

วันนี้ขอเขียนบล็อกบันทึกเอาไว้สักหน่อยเถอะ ว่าขณะนี้ความรู้สึกนึกคิดของยิ้มเป็นยังไง ณ เวลาหนึ่งปีให้หลังจากช่วงที่มองสิ่งใดในโลกก็เป็นสีเทา หดหู่จนไม่อยากจะทำอะไร และมองไม่เห็นในคุณค่าของตัวเองและการมีชีวิตอยู่

ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ประสบภาวะตึงเครียดทุกท่านที่เข้ามาอ่านบล็อกนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจิตใจนะคะ เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง คนใกล้ตัว มีส่วนช่วยให้กำลังใจ แต่คนที่จะทำให้ภาวะซึมเศร้า เครียด กดดัน นั้นหายไปก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นแหละ ยิ้มเป็นห่วงนะคะ

จุดเริ่ม:

หากติดตามบล็อกนี้มาบ้าง ก็คงพอจำกันได้ ว่าต้นปี 2552 มีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิตนิดหน่อย อันได้แก่ ปู่กับยายเสีย(โดยที่ไม่มีโอกาสได้ดูใจ) พ่อเส้นเลือดในสมองแตก(โดยที่ช่วงที่กำลังอยู่ใน ICU และช่วงที่ออกมาใหม่ๆ ยิ้มก็ไม่มีโอกาสได้ไปดูแล) แม่เข้าโรงพยาบาล 2 รอบ ไปผ่าตัดแล้วก็ไปรักษาอาการติดเชื้อ(ในช่วงที่กำลังจัดงานศพของยาย) ซึ่งเรื่องหลักๆ 4 เรื่องนี้ก็นำมาซึ่งปัญหาลูกโซ่ต่างๆ เช่น ไม่มีเวลาทำงาน คุณภาพงานป.เอก ย่ำแย่มาก เก็บข้อมูลในเมืองไทยไม่ได้ดั่งใจ (จะว่าไปต้องพูดว่าไม่มีโอกาสทำเลยมากกว่า) ต้องหยุดการเรียนไว้ การเงินไม่สมดุล และยังปัญหาอื่นๆ ที่ไม่สมควรจะนำมากล่าวเพราะเป็นเรื่องภายใน

ตอนนี้ลองมาคิดๆ ดู ยิ้มว่า ณ ตอนนั้นมีปมอยู่ 3 ปมหลักที่น่าจะนำมาซึ่งความเครียดที่ส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ

ปมที่หนึ่ง: เครียดเรื่องการเรียน(มาก) สภาพจิตใจแย่ที่สุด มองทางไหนก็เห็นแต่หินขรุขระ มองไม่ออกเลยว่าจะได้กลับมาเรียนต่อที่อังกฤษได้ตอนไหน ตัวยิ้มเองก็ต้องอยู่บ้านตลอด แทบไม่มีเวลาออกไปทำงานเก็บข้อมูลตามที่วางแผนไว้จนร่ำๆ คิดจะขอพักทุนเอาไว้ก่อน แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจปล่อยไป แล้วจะเร่งสปีดเอาทีหลัง เพราะพ่อแม่ก็อยากให้จบเร็วๆ ค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าทำเรื่องพักทุน...ยิ้มคงได้พักยาวเป็นปีแน่ๆ

ปมที่สอง: อีกปมหนึ่งคือความเครียดอันเกิดจากการเป็นนางพยาบาลจำเป็น การดูแลพ่อแม่คือสิ่งที่ลูกควรทำอยู่แล้ว ใช่...แต่มันก็นำมาซึ่งความเครียดอย่างใหญ่หลวง (บางคนอาจจะบอกว่า จ้างคนมาดูแลเอาสิ...แต่เอ่อ...บอกตรงๆ ว่าไม่มีเงิน จ้างคนดูแล...แพงนะเนี่ย แล้วถึงจะจ้างคนไหว จะหาใครที่ไว้ใจได้? ญาติพี่น้องทั้งสองฝั่งก็มัวแต่ยุ่งกับงานศพและเรื่องที่ต้องสะสางอื่นๆ ที่ตามมา และประเด็นที่สำคัญที่สุด...พ่อแม่จะรู้สึกยังไง? แค่เล็กน้อยลูกก็ทำให้ไม่ได้เหรอ? )

การมีคนป่วยสองคนอยู่ในบ้านมันเหนื่อยมาก...เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่...แต่มันทำให้เหนื่อยใจด้วย คนป่วยไม่ได้มีสภาพจิตใจปกติ และการดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องนานๆ ก็ทำให้คนเฝ้าสภาพจิตใจไม่ปกติได้เหมือนกัน จริงๆ แล้วท่านพ่ออดทนและใจเย็นพอสมควร แต่ตอนท่านแม่เริ่มป่วย ความเครียดที่สะสมมาตั้งแต่ช่วงที่ต้องเฝ้าพยาบาลพ่อมาก่อนก็เริ่มแผลงฤทธิ์ ท่านแม่เริ่มอารมณ์ฉุนเฉียวและจู้จี้โดยที่ท่านแม่เองก็อาจจะไม่รู้ตัว และคนที่รองรับอารมณ์ขั้นสุดท้ายก็คือยิ้มนี่แหละ บ่นก็ไม่ได้ แถมยังต้องคอยเป็นกันชนระหว่างพ่อกับแม่อีก พอถึงเดือนมีนาคม ตอนที่เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเสร็จสรรพและถึงจุดที่ย่ำแย่ที่สุด สภาพจิตใจทุกคนก็เหนื่อยล้าไปตามๆ กัน

ปมที่สาม: ความรู้สึกผิด คือน้ำกรดขวดที่สามที่กัดกร่อนใจอยู่เนืองๆ รู้สึกผิดที่ไม่มีโอกาสได้ร่ำลาญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรัก รู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่บ้านในช่วงเวลาที่พ่อแม่ต้องการเราที่สุด ปัญหาก็คือ...ยิ้มเคยพลาดไม่ทันอยู่ดูใจตาก่อนที่ตาจะเสียเพราะต้องลงไปทำธุระที่กรุงเทพฯ ทั้งที่ญาติคนอื่นมากันเต็มบ้าน ทำให้ยิ้มคาดหวังจะได้พบหน้าญาติผู้ใหญ่ที่สนิทสนมเลี้ยงดูกันมาท่านอื่นๆ ในวาระสุดท้ายของชีวิตเพื่อร่ำลา แต่พอไม่สามารถได้ไปดูใจ และไม่สามารถแม้แต่จะไปร่วมงานศพของทั้งปู่และยาย รวมถึงไม่มีโอกาสได้ช่วยแม่ดูแลพ่อในช่วงแรกๆ ซึ่งเป็นช่วงที่พ่อต้องการกำลังใจที่สุด และเป็นช่วงที่แม่ต้องเหนื่อยที่สุดเช่นกัน ยิ้มเลยไม่อาจจะให้อภัยตัวเองได้ ทำไมต้องเป็นแบบนี้? ทำไมเราไม่พยายามกว่านี้? ทำไมๆ ๆ ๆ ทำไม ไม่มีใครยอมบอกเรา? พันธมิตรปิดสนามบินยิ้มก็ไปลงที่ย่างกุ้ง มาเลเซีย สิงคโปร์ หรืออะไรก็ได้ เลยนำมาซึ่งความรู้สึกผิดที่ทำให้ทุกคนต้องมาห่วงใยความรู้สึกอีก โตป่านนี้แล้วยังต้องให้คนมาทะนุถนอม มาแคร์ง่าเราต้องรู้สึกยังไงเหมือนเด็กเล็กๆ งั้นเหรอ ทำไมเรามันไร้ค่าแบบนี้

พออยู่บ้านไปได้สองสามเดือนก็มีความรู้สึกผิดในรูปแบบอื่นๆ ตามมาอีกขบวนใหญ่ รู้สึกผิดที่เหนื่อยกับการดูแลคนที่บ้าน มันควรเป็นหน้าที่ของเราไม่ใช่เหรอ? รู้สึกผิดที่เราโมโหเวลาแม่บ่น แต่ทำไมแม่ไม่เข้าใจเราบ้าง? รู้สึกผิดที่เราควรจะทำได้ดีกว่านี้ และอื่นๆ อีกมากมาย....

ความเครียดสะสมทั้งหมดทำให้เกิดอาการต่างๆ ดังนี้

อาการ:

- ปวดหัวแบบไมเกรน(เคยเป็นมาก่อน เลยพอจะรู้ว่ามันมาเยือนอีกละ)
- ประจำเดือนไม่มา (กลับเมืองไทยไปราวๆ 6 เดือน แต่ประจำเดือนมาแค่ 2 ครั้ง)
- อาหารไม่ย่อย
- เป็นโรคกระเพาะอาหาร
- นอนไม่ค่อยหลับ ถึงหลับก็ฝันร้าย
- จิตตกมาก กิจกรรมอะไรที่เคยชอบก็ไม่มีอารมณ์ทำ อ่านนิยายไม่ได้ เล่นดนตรีไม่ได้ ร้องเพลงไม่ได้ เบื่อแม้กระทั่งอินเตอร์เน็ต
- รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า สิ้นหวัง เกลียดตัวเอง รู้สึกผิดกับคนรอบข้าง โดยเฉพาะพ่อแม่
- ไม่มีสมาธิ สมาธิสั้นมากๆ อ่านอะไรหนึ่งหน้ากระดาษยังไม่ค่อยจะได้ สวดมนต์ทำวัตรนี่ เป็นไปด้วยความยากลำบาก นั่งสมาธิไม่ได้เลย
- เศร้า หดหู่ นั่งเฉยๆ น้ำตาก็ไหลออกมา โดยเฉพาะเวลาอยู่คนเดียว
- กังวลตลอดเวลา ไม่มีช่วงจิตว่างเลย บางทีก็หงุดหงิด คำพูดคนไม่เข้าหูได้ง่ายๆ
- เวลานั่งเฉยๆ จะควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายบางส่วนไม่ได้ เช่นบางทีถ้าเผลอใจลอย พอสติกลับมาก็จะพบว่ากำลังบีบเค้นกำมือแน่นอยู่ บางทีก็เอามือถูกับหน้าขาซ้ำๆ พร้อมกับโยกตัวไปด้วย
- ไม่อยากพบเจอผู้คน เก็บตัว สูญเสียความมั่นใจในการเข้าสังคม (อาการนี้คงอยู่นับจากเดือนมีนา จนถึงเดือนกรกฎาคมเลยทีเดียว !! )
- ช่วงที่เครียดมากๆ สมองตอบสนองช้า และประมวลผลช้าลงกว่าเดิม ใครถามอะไร ไม่สามารถตอบได้เลยทันที ต้องใช้เวลาคิดก่อน เบลอเป็นปกติ
- อยู่ในที่ที่เสียงดังๆ ไม่ได้ จะปวดหัว และรู้สึกหงุดหงิดอย่างรุนแรง ได้ยินเสียงแม่บ่นหรือเถียงกับพ่อก็ปวดหัวลึกๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เคยเผลอหลุดกรีดร้องออกมาในที่สาธารณะครั้งหนึ่ง และเผลอระเบิดใส่พ่อแม่อีกสักครั้งนึง ที่เหลือพยายามกัดริมฝีปากข่มใจไว้

พอค้นพบว่ามีอาการที่ไม่เคยเป็นดังที่กล่าวมา และรู้สึกว่ามันออกจะมากกว่าปกติไปสักหน่อย ก็เลยทดลองนำไปค้นหาจากบทความในอินเตอร์เน็ต พบว่ามันคล้ายกับอาการโรคซึมเศร้าหลายข้ออยู่ (แต่ยังไม่เคยคิดอยากฆ่าตัวตาย เพราะถ้ายิ้มตายในตอนนั้น ตอนนั้นพ่อกับแม่ก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน) ก็เลยลองนำไปปรึกษากับเพื่อนที่เรียนจิตแพทย์ (แต่เพื่อนไม่ได้อยู่เชียงใหม่ด้วย) เพื่อนฟังอาการแล้วก็บอกว่าสารในสมองอาจเสียสมดุลเพราะเจอเรื่องกระทบใจติดต่อกันหลายครั้ง ถ้าอยู่ใกล้ๆ กันเพื่อนจะสั่งยาตัวหนึ่งให้ แต่ให้ไปหาหมอที่อยู่ใกล้ตัวดีกว่า - -' หรือจะให้ดีที่สุด ยิ้มควรรักษาให้หายด้วยตัวเองโดยการแก้ที่ใจ เพราะยาก็ช่วยได้แค่ปรับสารเคมีในสมองเท่านั้นไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ เพื่อนที่เชียงใหม่ที่พอจะทราบอาการของยิ้มก็ช่วยโทรไปปรึกษาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกจิตเวชที่โรงพยาบาลสวนดอกให้เช่นกัน พร้อมกับเอาเบอร์โทรศัพท์ของแผนกจิตเวช พร้อมชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ของหมอมาให้ เตรียมเอาไว้เผื่อทนไม่ไหวจริงๆ

ช่วงกลางเดือนมีนาคมเป็นช่วงที่อาการเหล่านั้นเกิดขึ้นพร้อมกันหมดและรุนแรงที่สุด จนทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ลุกขึ้นไปอุ่นอาหารเช้าให้พ่อกับแม่...แต่พอระลึกได้ว่าไม่มีคนทำ ก็ต้องลุกขึ้นไปทำอยู่ดี ช่วงไหนที่ลุกไม่ขึ้น (เพราะคืนก่อนหน้านอนไม่หลับ) พ่อก็ต้องมาอุ่นอาหารเอง ณ ตอนนั้น พ่อซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากอาการเส้นเลือดในสมองแตกแค่ 4 เดือน (ถึงจะไม่ใช่เส้นใหญ่ก็เถอะ) ก็ต้องพยายามทำทุกอย่าง แม่ก็บ่นระบายความรู้สึกไม่ได้ เพราะถ้าแม่บ่น ยิ้มก็จะปวดหัวขึ้นมา ทุกๆ อย่าง อย่างละนิดละน้อยยิ่งทับถมและทำให้รู้สึกผิด รู้สึกหดหู่ รู้สึกแย่ และรู้สึกเหมือนคนใกล้บ้าเข้าไปทุกทีๆ

มันเป็นภาวะเครียดที่ต้องการการระบายออก และต้องการเวลาอยู่กับตัวเองมากๆ เพื่อทบทวนความคิดและกำจัดสิ่งที่เราสร้างหรือปรุงแต่งขึ้นมาทำร้ายตัวเอง แต่ยิ้มไม่ค่อยจะมีโอกาสนั้น กลับบ้านหกเดือนยิ้มได้ออกไปเจอเพื่อนไม่เกิน 10 ครั้ง กว่าครึ่งเป็นการเจอกันที่กรุงเทพฯ ตอนที่ลงไปเก็บข้อมูล ตอนอยู่เชียงใหม่แทบไม่ได้ออกไปพบเจอใคร(แต่จริงๆ ช่วงนั้นก็ไม่ได้อยากเจอผู้คนอยู่แล้วด้วย) เวลาคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวแทบจะไม่มี ขยะของความคิดเลยตกตะกอนในใจหนาขึ้นๆ รอวันที่มีอะไรมากวนให้น้ำขุ่นอีกรอบ เมื่อปลายเดือนมีนาคมมาถึง อาการของพ่อแม่พอจะทุเลาบ้าง ยิ้มก็ต้องเร่งเก็บข้อมูลทั้งที่งานก็ถูกวิพากษ์อย่างแรงมาแล้ว และยังมองไม่เห็นว่าข้อมูลจะออกมาเป็นแบบไหน เป็นการทำงานที่มองไม่เห็นอนาคตจริงๆ (ความเชื่อ ณ ตอนนั้น)

งานเก็บข้อมูลทำวิทยานิพนธ์หนักและยาวจนถึงปลายเดือนพฤษภาคม ยิ้มจึงตัดสินใจว่า จะกลับอังกฤษ เพราะอาการของพ่อกับแม่ก็ดูดีขึ้นกว่าช่วงเดือนแรกที่กลับมาประเทศไทยมากแล้ว แต่การที่ยิ้มกดอาการดังกล่าวไว้ได้ถึงเกือบ 2 เดือนไม่ได้แปลว่าอาการมันจะหายขาด ทันที่ที่พ้นจากเชียงใหม่ มานั่งรอขึ้นเครื่องบินที่สุวรรณภูมิ ยิ้มก็นั่งน้ำตาหยดเป็นทางต่อหน้ารุ่นพี่ที่มาส่งกลางร้านอาหาร พอขึ้นเครื่องได้ ไฟหรี่ลง...ไม่ต้องสงสัยเลย น้ำตาไหลพรากๆ แบบไม่ต้องอายใคร ยิ่งมาถึงอังกฤษ...อาการเกือบทุกอย่างกลับมาหมด แต่อย่างน้อย ณ ตอนนั้น ยิ้มมีเวลาอยู่กับตัวเองเต็มที่ มีเวลาใคร่ครวญถึงสิ่งที่ผ่านมา มีเวลารักษาจิตตัวเองบ้าง

ช่วงนั้นยิ้มก็พยายามไม่แสดงอาการมากเท่าไหร่ แต่สิ่งที่กลบเกลื่อนไม่ได้เลยจริงๆ คืออาการไม่อยากพบใคร บางครั้งก็ฝืนตัวเองออกไปกินข้าวกับเพื่อนกับพี่ที่รู้จักบ้าง (ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่พยายามชวนและทำให้ยิ้มรู้สึกว่ายังอยู่ในสังคมนะคะ) แต่ก็ยังไม่อยากออกไปกับคนกลุ่มใหญ่ๆ รู้สึกว่าความมั่นใจที่เคยมีมันหายไปหมด และที่สำคัญ...ยิ้มยังเล่นดนตรี กับร้องเพลงไม่ได้ สมาธิยังไม่ดีพอ มีอยู่ครั้งหนึ่งออกไปกินข้าวกับกลุ่มเพื่อนๆ พี่ๆ ที่รู้จักที่มาจากลอนดอน พี่ชายที่เล่นกีตาร์เป็นประจำชวนให้ยิ้มร้องเพลงซึ่งมันก็เป็นกิจกรรมทีทำร่วมกันบ่อยๆ ก่อนที่จะกลับไปเมืองไทยแล้วไปพบเจอเหตุการณ์อย่างที่เล่ามา ก็เลยลองร้องดู นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบหกเดือนที่ยิ้มต้องร้องเพลง พยายามร้องแบบฝืนๆ แต่พบว่ามันไร้อารมณ์และตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุขจากกิจกรรมนั้นเท่าไหร่เลย

เลยเริ่มคิดว่า...สภาพจิตใจย่ำแย่เต็มทีแล้ว

วิธีแก้ไข:

ช่วงเดือนมีนาคม เป็นช่วงที่ทรมานที่สุดจนยิ้มคิดว่า ขั้นแรกยิ้มควรหาที่ระบายออก นอกจากคุยกับเพื่อนสองสามคนอย่างที่เป็นมา ก็เลยลองเอาไปตั้งกระทู้ในห้องสวนลุม ณ เว็บพันทิป เพื่อขอคำแนะนำเรื่องคลินิกทางจิตเวชที่เชียงใหม่ และวิธีแก้ไขโดยเริ่มที่ใจ จริงๆ ก็ไม่มีใครเข้ามาให้คำแนะนำอะไรได้ นอกจากให้กำลังใจ บางความคิดเห็นก็ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม เพราะตอบมาเหมือนอ่านข้อความไม่แตก ยิ้มก็ได้บรรยายสถานการณ์ของตัวเองไว้หมดแล้ว และย้ำว่า 'ไม่สามารถปลีกตัวจากการดูแลพ่อแม่ไปที่ไหนได้' อย่างชัดเจน ก็ยังอุตส่าห์จะบอกว่าให้หนีไปเข้าวัดซักสัปดาห์หนึ่ง ใจที่ไม่ปกติ ณ เวลานั้น ร่ำๆ จะโวยวายตอบกลับไปว่าอ่านอย่างมีสติบ้างไหม แต่ก็ยังมีสำนึกว่าเพราะเขาห่วงหรอก เขาถึงตอบมา จะอ่านพลาดไปบ้างเพราะเราเขียนไว้ยาวก็จะเป็นไรไป....

ช่วงนั้น...ยิ้มเริ่มสรรหาเบอร์โทรศัพท์ฮอตไลน์ของโรงพยาบาลสวนปรุงมาแล้ว แต่ลึกๆ ก็ยังอยากลองรักษาด้วยตัวเองก่อน ด้วยการพูดคุยกับคนรอบตัว ยิ้มลองระบายให้เพื่อนๆ ฟังบ้าง ก็รู้สึกเบาขึ้นเล็กน้อย...ณ ตอนนี้ก็ต้องของขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หลายท่านที่คอยรับฟัง และให้กำลังใจในช่วงนั้น

ต่อมาก็เริ่มแบ่งเวลาไปว่ายน้ำ ยิ้มพยายามไปว่ายน้ำเรื่อยๆ ถ้ากลับมาจากเก็บข้อมูลทันเวลาก่อนค่ำ เพราะเวลาที่อยู่ในน้ำ เวลาที่จ้วงมือจ้วงเท้าลงไปแรงๆ พยายามรักษาสมดุลไม่ให้จม จิตใจที่เคยว้าวุ่นมันเริ่มว่างเปล่า...อะไรที่ฟุ้งซ่าน เลื่อนลอย ก็ค่อยๆ กลับมาปะติดปะต่อกันมากขึ้น

นับว่ายังโชคดี ที่จิตสำนึก และจิตใต้สำนึกของยิ้มยังเห็นงานมาก่อนอะไร ทั้งที่อาการแย่ๆ พอถึงเวลาทำงาน ก็กัดฟันทำไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็อย่างที่เขียนไว้ข้างต้น พองานเสร็จ ยิ้มก็กลับลงไปที่ก้นหุบเหวของอารมณ์อีก เศร้า หดหู่ รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ณ ตอนนั้น....กลับมาอังกฤษแล้ว เบอร์โทรศัพท์คลินิคจิตเวชทั้งหลายก็คงไม่มีโอกาสใช้ หรือจะลองโทรไป hot line สายด่วนที่นี่ดี...ฝรั่งจะเข้าใจไหม...ความสัมพันธ์ในครอบครัวของที่อังกฤษจะแน่นแฟ้นเท่าครอบครัว Extended Family แบบล้านนาเหรอ...ในที่สุดก็ตัดสินใจไม่โทรอีกนั่นแหละ และ....หันไป - -' ดูละครแทน ยิ้มจมจ่อมลงไปในโลกแห่งละครและซีรี่ส์เกาหลี ญี่ปุ่น จนลงทุนสมัครเป็นแฟนคลับดาราท่านหนึ่ง พี่เคลลี่นั่นเอง... ก็ได้ผลนะ โลกมายาทำให้ลืมเรื่องของตัวเองไปได้พักหนึ่ง แต่มันก็คงไม่ใช่ต้นเหตุอยู่ดี

เดือนกรกฎาคม ยิ้มเริ่มทนสภาพขึ้นๆ ลงๆ ของอารมณ์ตัวเองไม่ไหวแล้ว ณ จุดนั้นพ่อแม่ก็พยายามทุกอย่างที่จะทำให้สบายใจ ทำให้ไม่ห่วง ทำแม้กระทั่งชวนสวดมนต์พร้อมกันผ่านทาง skype ในที่สุดก็ตัดสินใจติดต่อสมัครคอร์สวิปัสนาช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ของวัดป่าสันติธรรมและเดินทางไปอย่างค่อนข้างกะทันหัน และการเข้าวัดปฏิบัติธรรมครั้งนี้ของยิ้มนี่เอง...ก็ทำให้ยิ้มเริ่มมองเห็นในสิ่งที่เคยมองข้ามมาตลอด

1. เราเรียนศาสนาและพระธรรมคำสอน รวมถึงปฏิบัติธรรมไปเพื่ออะไร

- ต้องยอมรับเลย...ว่าคำตอบก่อนหน้าเหตุการณ์นี้ ถึงจะตอบไปว่า 'เพื่อเข้าใจชีวิต และกฎของความไม่เที่ยง' แต่ก็สักแต่ว่าพูดไปอย่างนั้นแหละ ด้วยความที่คนรอบข้างใกล้วัดมาก จึงมีโอกาสไปวัดมาก แต่จุดมุ่งหมายที่ผู้ใหญ่ถ่ายทอดมาให้เราตั้งแต่เด็กจนโตที่เหมือนจะเป็นเหตุผลหลักที่ซึมลงไปในความรับรู้ของยิ้มมากกว่าเหตุผลข้างต้นก็คือ 'เพื่อบุญกุศล' 'เพื่อเป็นธรรมเนียมสืบต่อกันมา' 'เพื่อให้ได้ฌาณ' และอื่นๆ อีกมากมาย ที่มันไม่อาจจะเห็นผลได้เป็นรูปธรรม

แต่พอมีทุกข์...เห็นชัดเลย...ว่าเรามีพุทธศาสนาและพระธรรมคำสั่งสอนไว้เพื่ออะไร...
ที่ยิ้มเข้าวัดปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่ยังเด็ก ยังเล็กนี่...สิ่งที่ต้องการที่สุด...ก็คือการ 'ปล่อยวาง' แค่นั้นเอง ละให้ได้ วางให้ได้ มองให้เห็นความไม่เที่ยง และใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ไม่ใช่ปฐมฌาณ ทุติยฌาณ ตติยฌาณ อภิญญาหรือนิมิตใดๆ

ทำไม๊....ทำไม ถ้าไม่ทุกข์ ถึงคิดไม่ได้นะ

2. ที่ผ่านมา ทุกข์เพราะคาดหวังใช่มั้ย? คาดหวังว่าจะทำให้พ่อแม่ได้ดีกว่านี้? คาดหวังว่าจะเรียนให้ได้ดีๆ คาดหวังต่างๆ นาๆ ร้อยแปดพันเก้าอย่าง ก็อย่างว่านั่นแหละ ปล่อยวางให้ได้...ทำใจให้นิ่งซะ ยึดไว้ ถือไว้ก็หนักเปล่าๆ นั่นสิ...ยิ้มเคยเป็น Perfectionist และยิ้มก็เคยพยายามลดการกะเกณฑ์บังคับตนเองมาเยอะแล้ว จนคิดว่าตัวเองทำได้ดี ลืมไปเลย...ว่ายังยึดติดกับอะไรอีกมาก และที่ทำมาก็คงจะยังไม่พอ ก็นั่นแหละ ที่ผ่านมาเรานึกถึงสิ่งที่เราทำ และสิ่งที่ควบคุมได้นี่ แต่ที่ต้องประสบมันเป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องที่ควบคุมไม่ได้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใครๆ ก็ผ่านมาแล้วทั้งนั้น จะจิตตกไปหาสวรรค์วิมานอะไร

ถูกที่สุด....พอเริ่มนึกได้ยิ้มก็เลยค่อยๆ วางสิ่งที่แบกมา ณ ตรงนั้น (ที่บอกว่าค่อยๆ เพราะมันก็ทำไม่ได้เลยทีเดียว ต้องค่อยเป็นค่อยไป ก็คนมันเคยคาดหวังมาตลอดชีวิตนี่นา) ไม่ใช่แค่ความคาดหวังอ่างเดียว ยิ้มพยายามวางขยะอื่นๆ ที่แบกใส่ใจมานานหลายเดือนด้วย ก่อนหน้านี้มีปัญหาอะไรที่แม่เล่า แม่ระบายให้ฟังยิ้มก็เก็บมาสุมไว้ในใจหมดสิ้น ฟังมาตั้งแต่ 4-5 ขวบก็เก็บสะสมไว้ตั้งแต่ 4-5 ขวบ จนอาบุได้ยี่สิบกว่าไม่เคยคิดจะโละทิ้งไปจากใจ พอเริ่มทำใจว่า...แบกไปก็เท่านั้น น้ำหนักไร้ที่มาที่กดอยู่บนบ่าก็ค่อยๆ หายไป ปัญหาอะไรที่เราไม่สามารถควบคุมได้ก็ช่าง(แม่ง)มัน อันไหนที่แก้ได้ก็ค่อยๆ ทำไป

พอยิ้มประกาศว่าจะปล่อยวางก็มีคนมาแย้งอีก ว่าถ้าสิ้นหวังแล้วชีวิตจะก้าวไปได้ยังไง

ท่านพุทธทาสภิกขุท่านเคยสอนไว้นะคะ ว่าปล่อยวาง คนละอย่างกับสิ้นหวังเลย....ปล่อยวางก็แค่ไม่ยึดติดกับความหวังนั้นๆ เท่านั้นเอง ถ้าอยากได้อะไร ก็ลงมือทำเลย...ถ้าทำได้ก็ดี ทำไม่ได้ก็ต้องเข้าใจกฏของมัน (แล้วจะพยายามใหม่ หรืออย่างไรก็ว่ากัน)

หลังจากเดือนกรกฎาคม และหลังจากไปปฏิบัติธรรมมา อาการก็ดีขึ้นมากจนกระทั่งเดือนกันยายน จิตก็เริ่มตกอีกครั้งเมื่อเจอมรสุมการเรียนระลอกเล็กๆ ทำให้เขวไปอีกนิดหน่อย แต่นับว่ายังดีกว่าช่วงก่อนหน้านั้นมาก ช่วงนั้นสวดมนต์กับทางบ้านผ่านทาง skype กันบ่อยมากเลยทีเดียว

สรุป ก็แล้วกัน

บ่นมานานขนาดนี้ ตรงประเด็นมั่ง นอกประเด็นมั่ง ก็แค่อยากจะนำเสนอว่า

1. โรคเครียด โรคซึมเศร้า เกิดขึ้นได้ อย่าประมาท พยายามรักษาจิตใจและฝึกจิตให้รู้จักปล่อยวาง เข้าใจกฏธรรมชาติและเข้าใจชีวิตอยู่เนืองๆ จะดีกว่า

2. หากเกิดโรคซึมเศร้าขึ้นแล้ว ยาก็ช่วยได้แค่อาการทางกาย ต้นเหตุก็คือจิตใจของเจ้าตัว

3. การออกกำลังที่ใช้แรงเยอะๆ ช่วยในการรวบรวมสมาธิเบื้องต้นได้ดี การดูละครก็ช่วยให้ลืมภาวะปัจจุบันได้บ้าง แต่วิธีแก้ที่ดีที่สุด....ยิ้มว่าการทำสมาธิ แล้วก็ฟังธรรมน่าจะช่วยที่ต้นตอนะ (แต่ต้องเลือกผู้ถ่ายทอดธรรมะด้วย ยิ่งพูดซับซ้อนจะยิ่งมึน ยิ้มว่าพระสายวัดป่าสอนดีทีเดียว) โรคพวกนี้มันเริ่มที่จิตใจไม่สามารถทำงานได้ปกติ เราก็ต้องซ่อมมัน ต้องสำรวจว่าผิดปกติที่ไหน แล้วจะแก้ยังไง

4. คนที่อยู่ในภาวะเครียด อาจจะต้องการการแสดงออกจากคนรอบข้างที่ต่างๆ กัน บางคนต้องการความสนใจ และต้องการการแสดงออกว่าเห็นใจ เข้าใจ แต่บางคน...ยิ่งพูด ยิ่งแนะนำ ยิ่งแสดงความเสียใจยิ่งทำให้รู้สึกแย่ คนรอบข้างต้องคอยสังเกตด้วย

5. ตอนนี้จิตปกติแล้วค่ะ บ้าบอเหมือนเดิม งานอดิเรกเหรอ ฮู้ยยยย ทำเยอะกว่างานวิทยานิพนธ์อีก ร้องเพลงเล่นดนตรีเหรอ ฮู้ยยยย ถามว่าวันไหนไม่ร้องจะดีกว่ามั้ง

6. คิดว่าพอแค่นี้ก่อนดีกว่า สาธยายมานานเกินไปละ ขอลาไปก่อน สวัสดีค่ะ



วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

British pastime: Summer 2010




ตอนแรกตั้งใจจะเขียนเป็นบล็อกไปด้วยในตัว
แต่คิดไปคิดมา เขียนแยกออกไปในโซนที่มีไว้เขียนดีกว่า

รูปโดยปันๆ ถ่ายเป็นหลักเหมือนเดิมค่า

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Rowntree Park@ York




ภาพโดย พี่เบียร์ ปัน เป็นหลัก และยิ้มบ้างเป็นบางภาพ
สถานที่: Rowntree Park สวนสาธารณะริมน้ำ ที่ York

ทำไมต้อง Rowntree อื้ม...มาเล่าประวัติกันก่อนนะคะ (ไม่เล่าก็ไม่ใช่บล็อกยิ้มสิเนาะ)

Rowntree คือชื่อตระกูลใหญ่ และบริษัทขนมหวานที่ตั้งอยู่ในYork ตั้งแต่กลางๆ ศตวรรษที่ 19 มาแล้วนะคะ ชื่อแบรนด์ที่อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ที่ทุกท่านรู้จักกันดีก็คือ Kit Kat, smartie แล้วก็พวก fruit gum ทั้งหลาย มาถึงตอนนี้บางท่านอาจจะเถียงว่า เฮ้ย...ขนมพวกนั้นมันอยู่ภายใต้ชื่อแบรนด์ของเนสต์เล่ต่างหาก ซึ่งก็ถูกกกก เพราะ Rowntree ได้มารวมตัวกับ Nestle แล้ว Nestle ก็กลายมาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ จนชื่อบริษัทที่เดิมเคยเป็น Nestle Rowntree ก็หดหายลงไป

โรงงานขนมตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมือง York ที่สถานีรถไฟที่ York ยังมีป้ายโฆษณาติดเลย ว่า "York, Home of Nestle" แต่ว่าในปี 2006 โรงงานก็ย้ายไปต่างประเทศ ทำให้คนงานที่ York หลายคนตกงานกันใหญ่ เป็นอันปิดตำนานโรงงานขนมในยอร์คไป

แต่ตระกูล Rowntree ก็เรียกได้ว่าเป็นตระกูลสำคัญ ที่มีบทบาทในยอร์คมากมายนะคะ สวนสาธารณะนี้ ก็ได้รับการสนับสนุนจาก Joseph Rowntree ในปี 1921 ด้วยค่ะ

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เมื่อดอกไม้ร่วงหล่นบนผืนหญ้า...




ขอขอบคุณปันๆ ตากล้องสาวสวยคนเดิม ^ ^

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

เด็กเอ๋ย...เด็กน้อย

เด็กเอ๋ย...เด็กน้อย
ความรู้เจ้ายังด้อยเร่งศึกษา
ณ วันนี้เอ็งครอบครองสองปริญญา
อย่ารอช้าคว้าที่สามเถิดทรามวัย

เรียนแต่เด็กจนขึ้นคานชาญวิชา
สมองบวมเหนื่อยล้าอย่าหวั่นไหว
สายตาสั้น กล้ามเนื้อฝ่อ ท้อทำไม
ต้องสู้ไปเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา

ตื่นแต่เช้าเรากดสวิตช์คอมฯ
เริ่มทำงานพร้อมพร้อมแสงอุษา
สีชมพูระเรื่ออาบทาบนภา
แต่เด็กน้อยทอดสายตามองหน้าจอ

ไมโครเวฟร้องขับขานอาหารสุก
เด็กน้อยลุกไปหยิบจานแล้วสานต่อ
แดรกไป..ทำงานไป เพื่อแม่พ่อ
จบไวไว ไม่ต้องรอ จนท้อใจ

นั่งแต่เช้าจรดเย็นแสนเป็นสุข
เมื่อยก็ลุกบิดตัวแล้วนั่งใหม่
เบื่อก็เปิดพันทิปเป็นคราวไป
ไม่ทันไร...ตะวันลับ นกกลับรัง

หยิบอาหารจานเดิมมายัดปาก
วางจานเก่าลงอีกฟากของที่นั่ง
อุ๊ย..แมงสาบวิ่งเร็วรี่ ยี้...น่าชัง
ออกจากลังจานใช้แล้วกับแก้วชา

อีกสักวันค่อยหันมาดูดฝุ่น
ตอนนี้ลุ้นปั่นให้ทันเพื่อวันหน้า
น้ำดื่มหมด..ซดน้ำเหงื่อเจือน้ำตา
ซากเสื้อผ้าเริ่มสั่งสมทับถมกัน

กองหนังสือซ้อนทับประดับบ้าน
บ่งบอกว่ากรูทำงานด้วยใจมั่น
ลืมอาบน้ำ...ไม่เป็นไรไว้อีกวัน
เพื่อสานฝันหนูทำได้ไม่คลาดคลา

วันเวลาผ่านไปไวเหลือหลาย..
ดาริกาทอประกายที่ปลายฟ้า
รัวปลายนิ้วพลิ้วผ่านเส้นแบ่งทิวา
พ่อแม่ขา...ราตรีนี้ยังเยาว์

หวนคิดถึงยามตัวเล็กยังเด็กนัก
จิตตระหนักหวนสะอื้นคืนสู่เหย้า
ภาพอดีตอันลางเลือนเหมือนเพียงเงา
ความทุกข์เก่าหรือจะเท่าของวันนี้

เด็กเอ๋ย...เด็กน้อย
ความรู้เจ้ายังด้อย...อย่าหลีกหนี
จงขวนขวายเก็บความรู้คู่ชีวี
จะได้มีเครื่องเลี้ยงชีพสำหรับตน

ได้ประโยชน์หลายสถานเพราะการเรียน
จงพากเพียรไปเถิดจะเกิดผล
หากมุเรียนอ่านเขียนจนวายชนม์
ทั่วสากลยกย่องหนูเชิดชูเอย...
.
.
.


dedicated to my 'happy' PhD Life

If only I could turn back time...
.
.
.

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โปรดปล่อยใจดวงนี้เถิดที่รัก (Please let me go)


ใกล้เทศกาลแห่งความรักแล้วนะคะ ^ ^' หาอะไรรักๆ มาลงให้เลี่ยนๆ กันบ้าง เลยไปคุ้ย ๆ ๆ ไฟล์งานเขียนดู ว่ายังไม่เคยเอาชิ้นไหนไปตีพิมพ์ หรือแปะบล็อกบ้าง อุ๊ย...เจอเรื่องสั้นอยู่ 2-3 เรื่อง แต่เรื่องนี้สมบูรณ์ที่สุด - -' เลยเอามาปัดฝุ่น ขัดเกลา แล้วลงรับเทศกาลดีกว่า 555

เรื่องนี้เขียนไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว (โอ...ตรูแก่) เพื่อเก็บบรรยากาศการท่องเที่ยวเบลเยียมเมื่อ 6 ปีที่แล้ว (กรี๊ดดดด นานขนาดนั้นเลยเรอะ) ดังนั้นจึงไม่อาจจะมีภาพประกอบได้ เพราะช่วงนั้นกล้องดิจิตอลที่มียังไม่ค่อยพัฒนา เมมเล็กมากกก เลยมีแต่รูปตัวเอง แถมเวลาถ่ายก็สักๆ แต่ว่ากดชัตเตอร์ ยังไม่ค่อยสนใจองค์ประกอบภาพเท่าไหร่นัก

มาลงเลยดีกว่าเนอะ ^ ^


โปรดปล่อยใจดวงนี้เถิดที่รัก (Please let me go)

.
.

December, Winter

.

.

ท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าสดใส และแสงแดดสีเหลืองทองส่องสว่างสวยงามดังเช่นยามที่ภัทรก้าวเท้าลงมาจากรถไฟระหว่างประเทศ ‘ยูโรสตาร์’ ใหม่ๆ เริ่มแปรเปลี่ยน หากการแบกกระเป๋าใบใหญ่เดินลัดเลาะผ่านผู้คนมากมายในสถานีรถไฟบรัสเซลส์จน ร่างกายเมื่อยล้าไปหมด ทำให้เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับสภาพอากาศเท่าไรนัก มารู้ตัวอีกทีลมก็เริ่มพัดแรง เมฆก้อนใหญ่สีเทากำลังเคลื่อนที่กินอาณาเขตทั่วผืนฟ้าอย่างรวดเร็วราวกับ แมงมุมคืบคลานหาเหยื่อ ชายหนุ่มควักเอาแผนที่ขึ้นมาดูอีกครั้งก่อนที่จะสาวเท้าไปในทิศทางที่ต้องการ แต่ทว่า...ฝนฟ้ากลับอยากจะแกล้งเขามากกว่าที่คิดไว้ หยดน้ำเม็ดเล็กๆ เริ่มหยาดลงมาทำให้เสื้อผ้าเริ่มเปียกเป็นดวงๆ ภัทรรีบวิ่งหลบเข้าไปในบริเวณชายคาผ้าใบหน้าร้านอินเตอร์เนตที่อยู่ไม่ ห่างออกไปนักพลางนึกตำหนิตนเองที่เก็บร่มเอาไว้เสียลึกสุดกระเป๋าจนไม่อาจจะ หยิบใช้ได้ทันการณ์ ด้วยความรีบร้อนเพราะกลัวว่าข้าวของจะเปียกฝนเสียหมด...เขาจึงไม่ได้ระมัด ระวังสัมภาระในความรับผิดชอบของเขาเท่าที่ควร เป้แบ็คแพ็คใบใหญ่ที่สะพายอยู่บนหลังกระแทกใส่หญิงสาวชาวเอเชียร่างบอบบาง ที่ยืนหลบฝนอยู่ก่อนหน้าจนเธอถึงกับหน้าคะมำถลาออกไปตากฝนนอกชายคา

“โอ๊ย…”

“เอ๊กซ์ คิวส์ เซ มัวร์” คำขอโทษเป็นภาษาฝรั่งเศสของเขาถูกเปล่งออกมาพร้อมกับเสียงร้องแสดงความตกใจของเธอ ก่อนที่น้ำเสียงแสดงความแปลกใจจะตามมาติดๆ เมื่อภัทรได้ยินคำอุทานอันบ่งบอกจุดร่วมของภาษาหลักที่ใช้ของเขาและเธอ

“อ้าว คนไทยเหรอครับ” ดวงตาที่ขุ่นเขียวนิดๆ ยามที่ถูกชนจนเซออกไปจากบริเวณใต้ร่มผ้าใบหน้าร้านอินเตอร์เนตคาเฟ่เปลี่ยน เป็นดวงตาโตดำขลับที่ฉายแววยินดีทันทีที่ได้ยินภาษาบ้านเกิด

“ค่ะ โอ๊ย...คุณเป็นคนไทยเหมือนกันเหรอ ดีใจจัง คิดว่าจะไม่รอดเสียแล้ว” สาวน้อยรัวคำพูดออกมาไม่ยั้ง ภัทรเชื่อว่าถ้าเธอเกาะแขนเขาแล้วเข่าแรงๆ ด้วยความดีใจได้ ก็คงจะทำไปแล้ว ดูจากดวงตากลมโตที่ฉายแววสุกใสเปล่งประกายราวกับดวงดาวในตอนนี้

“ครับ ขอโทษด้วยที่ชนคุณเมื่อกี้นี้” ภัทรเอ่ยขอโทษขึ้นอีกครั้งด้วยความเสียใจ เมื่อเห็นท่าทางทุลักทุเลของสาวร่างแบบบางที่กำลังสะพายกระเป๋าเป้ใบที่ขนาด เกือบจะใหญ่กว่าตัวเองเสียด้วยซ้ำ

“ไม่เป็นไรค่ะ ดีใจที่ได้เจอคนที่พูดจากันรู้เรื่อง ฉันพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้ แล้วคนแถวนี้ก็ไม่ค่อยชอบพูดภาษาอังกฤษเสียด้วย...แย่เลย” ในเมื่อต้องติดอยู่ใต้ร่มผ้าใบแคบๆ กันสองคนเพื่อหลบฝนบทสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้นโดยอัตโนมัติ

“คนที่พูดภาษาฝรั่งเศสเขาออกจะภูมิใจในภาษาของเขาหน่อยน่ะครับ เลยไม่นิยมพูดภาษาอื่น แต่ที่นี่ยังดีกว่าปารีสเยอะนะ ที่โน่นพูดภาษาอังกฤษน้อยกว่าที่นี่อีก ถ้าเป็นที่สวิตเซอร์แลนด์ก็สบายหน่อย เพราะขนาดประชากรประเทศเดียวกันยังพูดคนละภาษาเลยทั้งฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาเลียน คนของเขาก็เลยพูดภาษาอังกฤษกันได้ดีเกือบทุกคน”

“ท่าทางคุณคงจะเที่ยวมาหลายที่แล้วนะคะ เอ่อ...ถ้าไม่รังเกียจ อยากขอความช่วยเหลือหน่อยได้มั้ย” น้ำเสียงที่ตอบกลับมามีแววเกรงใจนิดๆ “คือ...ฉันอ่านแผนที่ไม่ค่อยเป็นน่ะค่ะ กำลังตามหาที่พักชื่อนี้อยู่ คุณพอจะรู้ไหมคะ ว่ามันอยู่ห่างจากที่นี่มากหรือเปล่า” ดวง ตากลมโตสุกใสที่มองมาทำให้ภัทรใจอ่อน คว้าเอากระดาษที่เริ่มเปียกปอนในมือของเธอมาดู แล้วก็ต้องแย้มริมฝีปากออกเป็นเชิงยิ้ม เพราะสถานที่แห่งนั้นคือที่แห่งเดียวกับที่เขากำลังจะไปนั่นเอง

“ไปด้วยกันก็ได้ครับ ผมพักที่นี่เหมือนกัน” คราวนี้ดวงหน้าอ่อนใสกระจ่างขึ้นในความสลัวของยามเย็นที่พายุฝนกำลังโหมกระหน่ำทันที “แต่ต้องรอฝนซาก่อนนะ ออกไปตอนนี้คงเปียกโชกแน่ๆ”

“ค่ะ” เสียงหวานตอบรับมาเบาๆ ภัทรเหลือบมองด้วยหางตาพลางนึกฉงนอยู่ในใจ ท่าทางเปราะบาง ติดจะคล้ายคุณหนูแบบนี้น่ะหรือ กล้าเดินทางมาท่องเที่ยวต่างประเทศคนเดียวแถมยังเลือกพักตามหอพักนักเดินทาง หรือที่เรียกกันว่า Hostel ซึ่งมักจะรวมเอาคนรักการผจญภัยผ่านมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำไว้ด้วยกัน

เอาเถิด...ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจนทำให้คุณหนูต้องออกมาจากคฤหาสน์เพื่อผจญชีวิต เยี่ยงนักเดินทางงบประมาณต่ำ ก็คงเป็นเขาเองที่ดูคนผิดพลาด เห็นท่าทีอ่อนปวกเปียกแบบนี้แต่เอาเข้าจริงเธออาจจะเป็นขาลุยขนานแท้และดั้ง เดิมก็ได้ ใครจะรู้...



แต่แล้ว...ภัทรก็รู้ว่าสายตาในการ ‘มองคน’ ของเขาก็ไม่ได้ด้อยลงแต่ประการใด เด็กสาวคนนั้นหรือ ‘ปิ่น’ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะมาเจอที่พักในสภาพแบบนี้ หลังจากเช็คอินและทราบว่าต้องพักที่ห้องใดแล้ว ริมฝีปากรูปกระจับที่อ้าค้างและตากลมโตที่เบิกโพลงของสาวน้อยทำให้เขาถึงกับ กลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้ด้วยความเอ็นดูแกมสงสาร

“ตกใจอะไรเหรอปิ่น ให้ผมช่วยยกของไปที่ห้องมั้ย เราได้พักห้องเดียวกันนี่”

“ปิ่นเพิ่งรู้ว่า...ที่นี่เขาไม่แยกห้องพักหญิงชาย พวก Youth Hostel เขายังมีแยกเลยนะคะ” เสียงหวานๆ ที่เจือแววประหลาดใจพึมพำออกมา ใบหน้าเริ่มแหย

“ตอนจองที่พัก ปิ่นไม่ได้อ่านรายละเอียดเหรอครับ ปกติแล้วหอพักนักเดินทางแบบแบ็คแพ็คเกอร์ก็เป็นแบบนี้แหละ พักรวมกัน มีมุมกาแฟ มีบาร์เล็กๆ ให้นักท่องเที่ยวแต่ละคนมาจับกลุ่มเล่าเรื่องแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ผมเลือกพักตามที่แบบนี้ก็เพราะติดใจในความเป็นกันเองแล้วก็มิตรภาพที่ได้จาก เพื่อนนักเดินทางนั่นแหละครับ ได้เพื่อนใหม่มาแล้วหลายคน ทุกวันนี้ยังติดต่อกัน ส่งภาพสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้พบเจอให้กันอยู่เลย เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์กับความรู้สึกดีๆ ก็สนุกไปอีกแบบนะ...แล้วเท่าที่ผ่านมาก็ปลอดภัยดี” ภัทร พยายามจะเรียกขวัญที่กระเจิดกระเจิงของเพื่อนร่วมชาติกลับคืนมา เขาเกือบจะหลุดปากออกไปแล้วว่าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเขาช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยให้อีกแรงก็ได้ แต่เผอิญนึกได้เสียก่อน ว่าตัวเองก็เป็นแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่งก็เลยกลืนคำอาสาลงไป

“ปิ่นเพิ่งจะมาเที่ยวยุโรปครั้งแรกเองค่ะ นี่ก็ให้เอเย่นต์เขาจองให้ ขอแบบที่ถูกที่สุดแต่คุณภาพปานกลาง ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้” คราวนี้สาวน้อยเริ่มตั้งตัวติด ท่าที ‘ช็อค’ สุด ขีดเริ่มบรรเทาเบาบางลงไป ภัทรคว้าเอากระเป๋าใบใหญ่ของเธอมาสะพายด้วยแขนอีกข้างไว้แทน เมื่อเห็นว่าทางเดินขึ้นไปห้องพักนั้นต้องผ่านบันไดที่ค่อนข้างชันเอาเรื่อง    “ไม่ได้ตั้งแง่อะไรหรอกค่ะ แค่ตกใจนิดหน่อย พอดีเพิ่งมาเรียนต่อปริญญาโทอยู่ที่อังกฤษ ยังไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนเลย ช่วงคริสต์มาสเพื่อนกลับเมืองไทยหมด ปิ่นเองมัวแต่ยุ่งๆกับเรื่องการปรับตัว ซื้อตั๋วกลับเมืองไทยไม่ทัน เที่ยวบินมันเต็มเสียก่อน เลยได้มาเที่ยวแทนเลย” หน้าอ่อนๆ ใสๆ แบบนี้เรียนปริญญาโทแล้วเหรอ ภัทรอดที่จะแปลกใจไม่ได้ แล้วยังท่าทางไม่ประสีประสาต่อโลกนี่อีก ถ้าบอกว่าเรียนปริญญาตรีอยู่ เขาก็พร้อมจะเชื่อโดยไม่ตั้งข้อสงสัยเลย

“ผมก็เรียนที่อังกฤษเหมือนกันครับ แต่เรียนปริญญาเอกแล้ว ท่าทางจะแก่กว่าปิ่นอย่างไม่ต้องสงสัย”

“ถ้าอย่างงั้นปิ่นขอเรียกพี่ภัทรนะคะ” ดวงตากลมโตที่ฉายแววตกใจอยู่เมื่อครู่ถูกประดับประดาด้วยดวงดาวระยิบระยับเหมือนเคย เสียงหัวเราะใสๆ ดังก้องไปทั่วทั้งบันได เออ...แฮะ ถึงจะดูเป็นคุณหนู แต่ก็ปรับตัวให้เข้ากับประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ไม่เลวเลยทีเดียว อย่างน้อยก็ไม่โวยวาย ไม่บ่น ไม่งอแง ให้เขาต้องลำบากใจที่ไม่รู้ว่าควรจะช่วยเหลือเธอในระดับไหน

และ ในที่สุด...ทั้งคู่ก็เดินมาถึงห้องพักซึ่งดูสะอาดสะอ้าน และตกแต่งได้น่ารักพอใช้ เตียงสองชั้นสองตัวถูกตั้งอยู่คนละมุมห้อง หนึ่งในสองถูกวางสัมภาระเพื่อจับจองไว้เรียบร้อยแล้ว

“เตียงโน้นมีคนจองไปแล้วล่ะ เราคงจะต้องใช้เตียงนี้แหละครับ ปิ่นจะนอนเตียงบนหรือเตียงล่าง” ปิ่นทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจ

“ขอเตียงบนดีกว่าค่ะ” อย่างน้อยคงจะไม่กล้ามีใครคิดจะปีนขึ้นมาทำอะไรหรอก ถ้ายังดึงดันจะทำเตียงก็คงจะได้ถล่มลงมาปะไร สาวหน้าใสแอบคิดในใจคนเดียว



เครื่องทำความร้อนในห้องพักทำงานได้ไม่เลว อากาศภายในจึงอบอุ่นสบายกว่าภายนอกมากนัก ภัทรหยิบสมุดไดอารี่ขึ้นมาเปิดและเริ่มขีดเขียนด้วยความเพลิดเพลิน เวลาผ่านไปนานโขชายหนุ่มจึงเพิ่งนึกออกว่าค่ำแล้วแต่ยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง เลยสักนิด ร่างสูงใหญ่ขยับตัวนิดๆ เพื่อไล่ความเมื่อยขบ เสียงลมหายใจยาวเป็นจังหวะสม่ำเสมอของคนที่อยู่เตียงบนทำให้เขาค่อยๆ ลุกขึ้นและชะโงกหน้าไปสำรวจว่าเจ้าของเสียงลมหายใจนั้นสลบไสลไปแล้วหรืออย่างไร ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้คนแอบมองถึงกับต้องอมยิ้ม เพราะสาวน้อยตากลมผมยาวกำลังนอนคว่ำฟุบคาสมุดบันทึกทั้งที่ปากกายังอยู่ในมือ อดใจไว้ไม่ได้...ภัทรยื่นมือเข้าไปเสยปอยผมที่ตกลงมาระแก้มให้อย่างอ่อนโยน และส่งเสียงเรียกเบาๆ เพื่อปลุก ดูจากท่าทีแล้ว...เธอคงยังไม่มีแผนการสำหรับอาหารมื้อเย็นวันนี้หรอก

“ปิ่น ค่ำแล้ว จะออกไปหาอะไรกินกันมั้ย”

“หืม...อ้าว ว้าเผลอหลับไปเฉยเลย” เสียงใสๆ พึมพำออกมาก่อนที่เจ้าตัวจะยกมือเล็กๆ ขึ้นขยี้ตาเพื่อแก้เขิน “นอนเขียนไดอารี่อยู่แท้ๆ ขี้เซาจริง ว่าแต่พี่ภัทรจะออกไปทานอาหารเย็นที่ไหนเหรอคะ”

“พี่กะว่าจะออกไปเดินดู กรอง ปลาซ (Grande Place) จตุรัสใหญ่กลางเมืองเวลาค่ำคืนหน่อยน่ะแล้วก็กะว่าจะออกไปลองอาหารเบลเยียม อร่อยๆ นอกจากช็อกโกแลตกับเบียร์แล้ว ที่นี่ยังขึ้นขึ้นชื่อเรื่องปลากับหอยแมลงภู่อบด้วยนะครับ” ดวงตากลมโตสุกใสวาววับราวกับเด็กได้ยินเรื่องถูกใจ

“ฟังดูดีจังเลย พี่ภัทรจะว่าอะไรไหมคะ ถ้าปิ่นขอติดตามไปด้วย” ถึง เธอจะไม่เอ่ยปากขอ ภัทรก็ตั้งใจว่าจะชวนไปด้วยอยู่แล้ว เขาอดที่จะเป็นห่วงมิตรใหม่คนนี้ไม่น้อย ท่าทางยังไม่คุ้นเคยกับการท่องเที่ยวต่างประเทศเท่าไรนัก ถ้าไปเที่ยวด้วยกัน อย่างน้อยเขาก็คงพอจะช่วยเหลือได้บ้างในยามที่เธอประสบปัญหา



ฝนที่ตกกระหน่ำเมื่อยามเย็นหยุดไปได้พักใหญ่ มีเพียงน้ำขังอยู่บนพื้นประปราย ภัทรเปิดแผนที่และเป็นฝ่ายนำทางมาเรื่อยๆ จนถึงมาถึงใจกลางเมือง

“ลุงคนที่พี่ถามทางเมื่อครู่นี้เขาบอกว่า วันนี้มีตลาดนัดวันคริสต์มาสด้วย มีอาหารมาขายเยอะแยะเลย ปิ่นจะเปลี่ยนใจมั้ย วันนี้หาอะไรกินตามร้านค้าพวกนี้ไปก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยนั่งร้านหรูๆ กัน ของพวกนี้ก็ดูน่าสนใจดี” พูดไปแล้วภัทรถึงจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าแสดงอาการเผด็จการมากไปแล้ว ร่างสูงชะงักไปครู่หนึ่ง “ขอโทษครับ พี่เหมาเอาเองหน้าตาเฉย ว่าปิ่นจะไปไหนมาไหนกับพี่ด้วย” หากคนข้างตัวกลับยิ้มหวานให้ โดยไม่มีท่าทีถือโทษ

“ถ้าพี่ภัทรไม่เหมาเอาเอง ปิ่นก็คงขอเกาะติดไปด้วยอยู่ดีล่ะค่ะ พูดภาษาฝรั่งเศสก็ไม่ได้แล้วยังเงอะๆ งะๆ ไม่เคยไปไหน ไม่เคยทำอะไรเองอีก ขอบคุณพี่ภัทรมากๆ เลยที่ไม่ลืมปิ่น กลัวแต่ว่าปิ่นจะเป็นภาระของพี่ภัทรน่ะสิ”

“ไม่หรอก ไปด้วยกันก็ไม่เหงาดี ดีกว่าอยู่คนเดียว” ภัทรพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า

“แหม...ถ้าไม่ชอบอยู่คนเดียว แล้วมาเที่ยวคนเดียวทำไมล่ะคะ” ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ แต่กลับทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของภัทรกลับกลายเป็นรอยยิ้มเจื่อนไปในทันที ดวงตาที่ฉายแววอารมณ์ดีเป็นนิจ ปรากฏแววเจ็บปวดวูบหนึ่งก่อนเลือนหาย

ในวันเก่าๆ นั้น...เขาไม่เคยต้องท่องเที่ยวคนเดียวอย่างนี้ไม่ใช่หรือ
ในวันเก่าๆ นั้น...เขาไปไหนมาไหนกับ ‘เธอ’ หญิงสาวผู้ตัดผมสั้นราวกับผู้ชาย และยังเข้มแข็ง ทะมัดทะแมง กระฉับกระเฉง มั่นใจในตัวเองเป็นที่สุด มีลักษณะตรงกันข้ามกับหญิงสาวที่ยืนตรงหน้าเขาในวันนี้โดยสิ้นเชิงไม่ใช่หรือ

ในวันเก่าๆ นั้น...เขาท่องเที่ยวไปด้วยใจรัก และด้วยความรักที่อัดแน่นในหัวใจ เดินทางไปพร้อมๆ กับเธอ ขึ้นเขา ลงห้วย ระหกระเหินด้วยกัน ไม่เคยมีใครบ่น ในบรรยากาศมีแต่ความเข้าใจแทรกอยู่ทุกอณู กลิ่นไอแห่งความสุขที่เขาไม่เคยลืมเลือน...ไม่ใช่หรือ

หากในวันนี้...เขาไม่มีใครอีกแล้ว เธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับเมื่อปีที่แล้วด้วยอุบัติเหตุระหว่างการเล่นสกีบนยอดเขาสูง จากไปโดยที่เขาไม่มีแม้แต่โอกาสจะกล่าวลา และไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเธอได้ นับแต่วันนั้น...เขาออกท่องเที่ยวไปอย่างบ้าระห่ำ ปิดภาคเรียนครั้งใดเขาไม่เคยอยู่กับที่ เมื่อใดที่อาจารย์ที่ปรึกษาลางานไปสัมมนาที่ต่างประเทศ ตัวเขาเองก็เก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋าเพื่อออกเดินทางเช่นกัน ท่องเที่ยวไปด้วยความหวังว่าภาพทิวทัศน์สวยๆ ผู้คนใหม่ๆ ที่พบเจอจะทำให้เขาลืมความเจ็บปวดในใจได้ แต่เปล่าเลย...ยิ่งท่องเที่ยวไป หัวใจของเขาก็ยิ่งเจ็บ ภาพอันงดงามของทิวทัศน์เบื้องหน้ามักจะมีภาพของ ‘เธอ’ แทรกอยู่ด้วยทุกครั้งไป อีกนานแค่ไหนเขาถึงจะลืมเธอได้

เธอผู้เป็นทั้งคนพิเศษ เพื่อนร่วมอุดมการณ์ และเพื่อนร่วมทางผู้พิสมัยความเป็นอิสระเสรี และการเสพย์ผลผลิตทางวัฒนธรรม

เขาคงไม่เหมาะกับการเที่ยวคนเดียวจริงๆ นั่นแหละ...
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคิดว่าไม่มีใครจะแทนที่เธอได้ ไม่มีใครที่จะสามารถเข้าใจเขา และมีรสนิยมในการเดินทางเข้ากับเขาได้เท่าเธอ ภัทรจึงไม่คิดจะชักชวนใครให้มาท่องเที่ยวด้วยกันอีกเลย แต่วันนี้...ความจริงฉายชัดอยู่ในใจ เขาก็เป็นคนธรรมดาที่อยากให้มีใครสักคนมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และความรู้สึกดีๆ ที่ได้จากการท่องเที่ยวเหมือนกัน  ปฏิเสธไม่ได้ว่าในวันนี้...วันที่เขาได้พบ ได้ให้ความช่วยเหลือกับหญิงสาวอีกคน หญิงสาวที่แตกต่างกับ ‘เธอ’ ราว ฟ้ากับดิน เขารู้สึกเจ็บปวดน้อยลงอย่างประหลาด ความว้าเหว่เดียวดายเมื่อยามที่ต้องท่องเที่ยวไปคนเดียวคงจะเริ่มเลือนหาย ถ้าสาวน้อยคนนี้จะไม่เป็นฝ่ายสะกิดแผลของเขาขึ้นมาอีกครั้ง บัดนี้...ความเจ็บปวดที่เกิดจากการสะกิดของคนข้างตัวเพิ่มขึ้นร้อยเท่าพันทวี
ไม่สิ...ความเจ็บปวดเมื่อนึกถึงวันเก่าๆ ที่มีความสุขยังคงรักษาระดับเท่าเดิม แต่ความเจ็บปวดแบบใหม่ที่คล้ายจะเจือด้วยความรู้สึกผิดแบบแปลกๆ เริ่มหลั่งล้นเข้าในห้วงความรู้สึกทีละนิดๆ

มันคืออะไรกันแน่...ภัทรเองไม่อยากจะหาคำตอบ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะลึกๆ แล้วเขารู้ดีว่าคำตอบนั้นคืออะไร จึงอยากจะหลีกหนีมันไปให้ไกลก็เป็นได้



“พี่ภัทร เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ” ดวงตากลมโตสุกใสมองมาด้วยความเป็นห่วงเมื่อภัทรเงียบไป ชายหนุ่มซ่อนอาการถอนใจยาวเอาไว้แล้วดัดน้ำเสียงให้ฟังดูร่าเริงทันที

“เปล๊า...พี่หิวแล้วน่ะ ลองอาหารร้านนี้ดูมั้ยปิ่น ขนมปังกับขาหมู ดูน่ากินดีนะ” หญิงสาวที่ท่าทางดูเหมือนกับเด็กสาวมากกว่าเดินนำไปทันที

“น่ากินมากเลยค่ะ ดีเลย...ขอปิ่นเลี้ยงพี่ภัทรนะคะ ตอบแทนที่ช่วยนำทางไปหาที่พัก แล้วก็ช่วยพาเข้ามาเที่ยวในเมือง” ภัทรทำได้เพียงแค่ส่งยิ้มอ่อนๆ ให้ไป เพราะยามนี้ความสนุกสนานกระตือรือร้นที่เคยมี เริ่มจางหายลงไปมากแล้ว

บรรยากาศตลาดนัดคริสต์มาสของเมืองบรัสเซลส์ เมืองหลวงแห่งประเทศเบลเยียมช่างคึกคัก มีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยสีสันสดใส ไม่ว่าจะเป็นสีสันจากแสงไฟที่ถูกนำมาประดับประดาร้านรวงต่างๆ และต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ที่ถูกตั้งไว้กลางจัตุรัส แสงไฟจากอาคารหลังใหญ่น่าเกรงขามที่ล้อมรอบจัตุรัสนี้สะท้อนกับพื้นหินที่ เห็นเป็นมันเลื่อมเนื่องจากถูกกัดกร่อนอยู่นานวันประกอบกับน้ำแอ่งเล็กๆ ที่ขังอยู่บนพื้น ภัทรพาสาวน้อยข้างกายเดินเข้าออกร้านช็อกโกแลตและร้านขนม ‘วาฟเฟิล’ อาหารขึ้นชื่ออีกอย่างของประเทศเบลเยียมหลายต่อหลายร้าน จนในที่สุดปิ่นก็อุทานออกมาอย่างยอมแพ้

“โอย พี่ภัทร ปิ่นกินไม่ไหวแล้วววว ทั้งขนมปังหน้าขาหมู โดนัทโรยน้ำตาลไอซิ่ง วาฟเฟิลราดช็อกโกแลตตั้งสองอัน ไหนจะเที่ยวชิมช็อกโกแลตอีกหลายร้าน ขืนกินมากกว่านี้ปิ่นกลับบ้านไปคงไม่มีใครจำได้แน่ๆ คุณแม่จะได้ว่าปิ่นน้อยกลายร่างเป็นหมูน้อยไปเสียแล้ว”

“เราน่ะผอมจะตาย กินได้อีกเยอะ ผู้หญิงสมัยนี้นี่เป็นอะไรกันนะ กินเท่าแมวดม ตัวบางจะปลิวลมก็หาว่าตัวเองอ้วนอยู่ได้” หลังจากเริ่มสนิทสนมกันมากกว่าเดิมแล้วภัทรก็กล้าที่จะหยอกเย้าขึ้นมาบ้าง

“อ้าว...ก็ใครกันล่ะคะที่สร้างกฎเกณฑ์ให้ผู้หญิงต้องเป็นแบบนี้ ถ้าผู้ชายไม่ชอบแต่ผู้หญิงผอมๆ มองข้ามผู้หญิงอวบๆ แถมยังประณามหยามเหยียดอีก พวกเราก็ไม่ต้องทนลำบากขนาดนี้ร้อก...” ปลายประโยคน้ำเสียงขึ้นสูงปรี๊ดราวกับจะกล่าวหาอยู่ในที ภัทรยิ้มออกมาได้อีกครั้ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้ดูแลใครสักคนบ้าง...มันก็ทำให้รู้สึกดี ดูเหมือนตัวเองมีค่า ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เป็นอิสระ ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ แต่โดดเดี่ยวไร้คนต้องการอย่างที่เคยเป็นในตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา

“พี่ คนหนึ่งล่ะ ที่ไม่ชอบผู้หญิงตัวบางๆ เห็นทีไรอดคิดไม่ได้ว่าจะเอากระเพาะ ลำไส้เก็บไว้ที่ไหน ไปเถอะ เราไปลองเบียร์เบลเยียมกันดีกว่า เมื่อกี้พี่เห็นร้านน่านั่งเล่นอยู่”

“ไม่เอาดีกว่าค่ะ ปิ่นไม่ชอบดื่มเบียร์”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปนั่งเป็นเพื่อนพี่หน่อยเถอะ” อาจเพราะดวงตาที่มองตรงมาไม่ได้เต็มไปด้วยร่องรอยขี้เล่นเหมือนอย่างเคย หากเหมือนกับมีเงาอะไรบางอย่างเข้ามาบดบัง ปิ่นจึงเผลอตัวพยักหน้าตอบตกลงไปอย่างว่าง่าย

“เอ้า...ก็ได้ค่ะ” ว่าแล้วเธอก็สาวเท้าตามเขาเข้าไปในผับขนาดกลางโดยที่ไม่รู้ว่า...จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างในเวลาอันใกล้

เบียร์สีทองแก้วแล้วแก้วเล่าผ่านลงคอของชายหนุ่มจนแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าเริ่มซ้อนกันสูง แต่เบียร์สีแดงที่เรียกว่า ครี้ก (Kriek) ซึ่งเป็นเบียร์กลั่นจากเชอรี่ รสชาติอมหวานไม่ขื่นคอที่วางอยู่ตรงหน้าของปิ่น กลับพร่องลงไปไม่ถึงครึ่ง ยิ่งน้ำเมาผ่านลงคอชายหนุ่มตรงหน้าไปมากเท่าไหร่ ความเงียบก็เข้าปกคลุมมากขึ้นเท่านั้น ปิ่นนึกแปลกใจที่ชายหนุ่มท่าทางอารมณ์ดี อบอุ่น ที่เธอได้พบเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่รู้สึกสนิทสนมและไว้เนื้อเชื่อใจอย่างประหลาดกลับแปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มผู้อมทุกข์ ราวกับโลกทั้งโลกจะทอดทิ้งเขาไว้คนเดียว และที่น่าเจ็บปวดก็คือ เธอรู้สึกอยู่เต็มอกว่าเขามีโลกส่วนตัวที่เธอเข้าไปไม่ถึง

“กลับเถอะค่ะ พี่ภัทร” ปิ่นเป็นฝ่ายทนไม่ไหว ชักเอาแก้วเบียร์ออกจากมือของคนดื่มจัด แล้วดึงแขนของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แรงๆ หมายจะให้รู้สึกตัว ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองด้านลบอย่างที่เธอนึกกลัว ดวงตาคู่ที่เคยเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม บัดนี้...คมลึก และฉาบไว้ด้วยความเจ็บปวด

“อย่าทิ้งผมไปนะ” มือใหญ่จับข้อมือบางเอาไว้แน่น ปิ่นไม่กล้าออกแรงชักกลับเพราะดวงตาเจือโศกคู่นั้น และเธอก็นึกเสียใจที่เธอไม่ทำอย่างนั้น เพราะจู่ๆ ท่อนแขนแข็งแรงก็รั้งเอาร่างบางเข้ามากอดแนบอก แน่นเสียจนร่างนุ่มนิ่มไม่อาจขัดขืนได้ ใบหน้าคร้ามคมขยับเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจถี่และในที่สุดก็ได้สัมผัส ไออุ่นจากลมหายใจนั้น ภัทรซบหน้าลงกับซอกคอของเพื่อนใหม่ผู้ที่เพิ่งจะพบกันได้ไม่กี่ชั่วโมง และเธอเองก็รู้สึกได้ถึงหยาดน้ำอุ่นๆ ที่แทรกเนื้อผ้าลงไปสัมผัสกับผิวกายของเธอ

“พี่ภัทร” เสียงหวานจางหายไปในลำคอด้วยความหวั่นไหวด้วยความที่ไม่เคยใกล้ชิดกับใครมากมายขนาดนี้มาก่อน เวลาเพียงไม่กี่วินาทีช่างทอดยาวจนเหมือนศตวรรษ ริมฝีปากอุ่นจัดขยับเลื่อนมาจรดข้างแก้ม นิ่ง...นาน ปิ่นเบิกตาโพลง ตอบสนองอากัปกิริยานั้นไม่ถูกเพราะไม่อาจคาดเดาจุดประสงค์ของผู้กระทำได้

“กิ่ง...” หากคำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากร้อนผ่าวที่เพิ่งถอนออกไปนั้นกลับทำให้ปิ่นตกตะลึงตัวแข็ง หากในที่สุดก็รวบรวมสติผลัก ‘คนเมา’ ออก ไปจากตัวของเธอได้ กิ่ง...เธอไม่ได้ชื่อกิ่ง เขากำลังคิดถึงคนอื่น...ไม่ใช่เธอ ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงมีปฏิกิริยาตอบสนองทันควัน แขนเล็กๆ ยันร่างใหญ่ออกจากตัวโดยเร็ว ร่างของภัทรเอนกองรูดลงไปกับโซฟาตัวใหญ่

“พี่ภัทร...” มือเล็กพยายามเขย่าท่อนแขนแข็งแรงเพื่อเรียกสติ หากร่างสูงใหญ่ที่กองอยู่ตรงมุมโซฟามิได้ขยับเขยื้อน มีเพียงเสียงสะอื้นและรำพันแผ่วเบาลอดออกมา

“กิ่ง...ผมคิดถึงกิ่ง อย่าจากผมไป”

“ใครคือกิ่งกันนะ...” ปิ่นได้แต่พึมพำกับตัวเอง เมื่อคนเมาไม่มีทีท่าว่าจะได้สติขึ้นมา

“กิ่งรอผมอยู่บนโน้นใช่ไหม บนที่ที่มีดาวเต็มฟ้า...กิ่งคงจะได้เป็นนางฟ้าตัวน้อยๆ เหมือนที่ผมอยากจะให้กิ่งเป็น ผมคิดถึงคุณ...ตั้งแต่คุณจากไป ผมเหงา ผมไม่มีใคร ผมจะตามกิ่งไป เราไปอยู่ด้วยกันนะ” เสียงของคนเมาจางหายไปในลำคอ เมื่อได้ยินประโยคยาวๆ แบบนั้น ดวงตากลมโตเริ่มเบิกโพลง และปะติดปะต่อเรื่องราวได้

“บนโน้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นคุณกิ่งก็...ไม่มีชีวิตอยู่แล้วสิ” เจ้าของร่างบาง เริ่มหันซ้ายหันขวาด้วยท่าทีตื่นกลัว “เหวอ...ทำไมจู่ๆ ก็เพ้อออกมาอย่างนี้ล่ะคะ พี่ภัทร” หากในที่สุดแล้วเธอก็เริ่มได้สติ...นี่ก็ดึกมากแล้ว เธอต้องพาเขาและตัวเองกลับไปยังที่พักให้จงได้...ว่าแต่ จะโดยวิธีใดนั้น เจ้าตัวเองก็ยังไม่อาจจะรู้



แสงแดดที่ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้เจ้าของร่างสูงใหญ่คว้าเอาผ้าห่มนวมหนา ขึ้นมาคลุมโปงจนมิด หากก็ต้องร้องอุทานออกมาเมื่อพบว่ามีอาการปวดจนเหมือนมีอะไรเต้นตุบๆ อยู่ในศีรษะ แถมเมื่อลองขยับตัวก็รู้สึกว่าศีรษะของเขาหนักราวกับมีตุ้มเหล็กถ่วงเอาไว้

“ตื่นแล้วเหรอคะ ว่าแล้วว่าพี่ภัทรต้องตื่นไม่ทันอาหารเช้าแน่ๆ ปิ่นเลยแอบเก็บครัวซองกับแยมไว้ให้ค่ะ ทานแก้หิวไปก่อนนะคะ” ชายหนุ่มพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างยากเย็น

“ปวดหัว...”

“นี่ค่ะ น้ำกับยาแก้ปวดที่ปิ่นพกมา”

“ขอบคุณครับ นี่กี่โมงแล้ว”

“แปดโมงกว่าแล้วค่ะ พี่ภัทรยังแฮงก์อยู่ไหมคะ สาวชาวอเมริกันที่อยู่ห้องเดียวกันเขาบอกว่ามีร้านกาแฟอยู่ถัดไปหน่อยเดียวเอง ให้ปิ่นไปหากาแฟดำขมๆ ร้อนๆ มาให้พี่ภัทร เอาไหมคะ เดี๋ยวปิ่นจะไปจัดการให้” เสียงหวานยังฟังดูอ่อนๆ เหมือนเคย แต่ที่มีเพิ่มมาคือกระแสแห่งความมั่นใจในตัวเอง แม้จะไม่มากนัก...แต่ก็ดูต่างไปจาก ‘คุณหนู’ ที่เขาเพิ่งเจอมาเมื่อวานจนรู้สึกได้

 “ไม่เป็นไรหรอกปิ่น พี่ยังไม่แย่มากขนาดนั้น แล้วนี่...เมื่อคืนพี่กลับมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงน่ะ” ไม่มีคำตอบนอกจากรอยยิ้มทั้งจากดวงตาสุกใสและริมฝีปากจิ้มลิ้ม นัยน์ตากลมโตเริ่มล่องลอยเมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน



ภัทรนอนสิ้นสติอยู่บนโซฟาเอาแต่พร่ำเพ้อถึงคนที่ชื่อ ‘กิ่ง’ เธอพยายามจะสื่อสารกับพนักงานต้อนรับของร้านให้ช่วยเรียกแท็กซี่เพื่อพาไปส่ง ยังที่พัก พนักงานต้อนรับซึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ดีพอสมควรช่วยประคองชายหนุ่มออกไปถึงหน้าร้าน และช่วยบอกทางให้แก่คนขับแท็กซี่ซึ่งไม่พูดภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย เมื่อมาถึงที่พักก็เป็นโชคดีของเธออีก ที่เพื่อนร่วมห้องชาวอเมริกันทั้งสองกลับมาพอดี ทั้งคู่จึงเข้ามาช่วยประคองกึ่งลากพ่อหนุ่มขึ้นมาถึงห้องพักจนได้ เมื่อวาง ‘คนเมา’ ลงไปบนที่นอนได้สำเร็จ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปจัดการธุระส่วนตัวแล้วคลานขึ้นเตียงด้วยความเหนื่อย อ่อน ในที่สุดคนที่ไม่เคยไปไหนมาไหนอย่างเธอก็จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยได้ด้วยดี

“พี่ขอโทษจริงๆ นะปิ่น ที่ปล่อยตัวให้เมาแบบเมื่อวาน เดี๋ยววันนี้จะพาเที่ยวแล้วเลี้ยงอาหารกลางวันเป็นการขอโทษเลย” น้ำ เสียงนุ่มเจือด้วยความรู้สึกผิดอย่างแท้จริง ปิ่น...ซึ่งกำลังจะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังว่าเขาทำอะไรลงไปบ้างจึงเปลี่ยน ใจ และเลิกล้มความตั้งใจที่จะกล่าวโทษบุรุษผู้น่าสงสารตรงหน้าไปเสีย

“ไปเที่ยวไหวเหรอคะ”

“ไหวสิ ขอเวลาพี่อาบน้ำแป๊บเดียวนะครับ ว่าแต่ปิ่นเถอะ ยังกล้าจะไปเที่ยวกับพี่อยู่อีกหรือเปล่า” ดวงหน้าอ่อนใสกระจ่างขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าพี่มีแรงเป็นผู้นำ ปิ่นก็กล้าเป็นผู้ตามไปเที่ยวกับพี่ค่ะ” รอย ยิ้มจริงใจบนดวงหน้าอ่อนใส ทำให้อาการหนักศีรษะของเขาเบาบางลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่เลวร้ายนักหรอก แต่เมื่อมองไปที่รอยยิ้มนั้นอีกครั้งเขาก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที...นี่เธอ ไว้ใจคนง่ายแบบนี้ทุกครั้งหรือเปล่า และถ้าคนที่เธอไว้ใจไม่ใช่เขา แต่เป็นคนที่หวังอะไรบางอย่างจากเธอ จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ภัทรนึกเป็นห่วงคนตรงหน้าไปร้อยแปดโดยที่ไม่ได้สังหรณ์ใจซักนิดว่าเมื่อคืนก่อน เขาก็หวุดหวิดจะทำในสิ่งที่เขากำลังเป็นห่วงเธออยู่นี่เหมือนกัน และในทางกลับกัน...ถ้าปิ่นเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้เสียเอง ตัวเขานั่นแหละที่อาจประสบชะตากรรมที่ไม่อาจคาดเดาได้
แต่ ณ วินาทีนี้ วิญญาณนักเดินทางสองดวงต่างดึงดูดกันและกันโดยที่ต่างคนต่างก็หาเหตุผลมา อธิบายความรู้สึกนี้ไม่ได้...

ภัทรใช้เวลาในห้องน้ำไม่นานจริงๆ ดังที่เจ้าตัวรับประกัน ชายหนุ่มใช้หนังสือนำเที่ยว ‘Lonely Planet’ ได้เป็นประโยชน์เหลือเกิน เพราะเขาสามารถใช้มันเพื่อการบรรยายให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์แก่ผู้ตามได้ แทบจะทุกสถานที่ที่แวะชมทั้งที่เพิ่งจะมาเหยียบแผ่นดินบรัสเซลส์ในเวลาไล่ เลี่ยกันแท้ๆ ลักษณะการนำทาง การเดินชมสถานที่ต่างๆ การวางแผนเดินชมเมืองแสดงให้เห็นว่าชายผู้นี้ผ่านการท่องเที่ยวมาแล้วอย่าง โชกโชน ปิ่นเหลือบมองร่างสูงที่เดินนำอยู่ด้านหน้าด้วยความชื่นชม ด้วยความที่เธอเป็นลูกคนเดียวและเป็นที่ห่วงและหวงของพ่อแม่มานานจึงทำให้ เธอไม่มีโอกาสได้ออกไปเผชิญโลกกว้างมากนัก แน่นอน...โอกาสพบปะเพศตรงข้ามก็ย่อมมีน้อยตามไปด้วย นี่ถ้าเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้เกิดขึ้น เธอก็คงจะเผลอใจไปกับบรรยากาศ ความใกล้ชิดและความอ่อนไหวในใจไปแล้ว

แต่ว่า...ทำอย่างไรได้ ‘กิ่ง’ ชื่อนั้นยังติดอยู่ในใจมิรู้วาย เธอผู้นั้นคงเป็นคนที่ครอบครองพื้นที่หัวใจของเขาจนหมดสิ้น จนไม่มีที่เหลือให้เธอแทรกเข้าไป อย่างเธอ...คงเป็นได้มากที่สุดก็แค่เพื่อนใหม่ที่เพิ่มภาระให้เขาต้องมาดูแล เท่านั้นแหละ

“มาเที่ยวตอนหน้าหนาว บรรยากาศก็เลยดูสีเทาไปหน่อยนะ ต้นไม้สลัดใบทิ้งหมดเลย อากาศก็ทึมๆ หม่นๆ เอ้า...ทำไมหน้าจ๋อยจังเลยล่ะเรา หนาวหรือเปล่า ลมแรงนี่ เอ้า...เอาผ้าพันคอของพี่ไหม” พูดแล้วไม่รอให้ใครได้ปฏิเสธ ภัทรคว้าเอาผ้าพันคอของตัวเองไปพันทับให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยน ดวงตาที่เคยสุกใสหม่นแสงนิดหนึ่งจนมือใหญ่ที่กำลังจัดผ้าพันคอชะงักไป หรือเขาจะยุ่งกับเรื่องส่วนตัวมากเกินไป นั่นสิ...ปิ่นไม่ใช่เธอคนนั้น ไม่ใช่ผู้หญิงของเขา เธอก็เป็นแค่นักเดินทางอิสระที่โคจรมาเจอกัน แล้วก็คงจะโคจรผ่านไปในอีกไม่นาน

“เดี๋ยวเราขึ้นรถรางไปดูอะตอมเมียมกัน สัญลักษณ์งานเอ๊กซ์โปเลยนะ หลายปีก่อน พองานจบแล้วเขาไม่ได้รื้อออกเลยกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว” ภัทรไม่ปล่อยให้ความสงสัยเกาะกินหัวใจนานนัก เขาต้องการนำเที่ยว เขาต้องการหากิจกรรมทำ เพื่อลืม...ลืมความเจ็บปวดที่เคยมีและยังมีอยู่ ร่างสูงเดินนำไปไกลแล้ว หากเขาจะมองย้อนกลับมาหน่อย ก็คงจะมองเห็นว่า ดวงตากลมโตคู่นั้นฉายแววสับสน เป็นห่วง และเสียใจปะปนกัน จะไม่ให้เสียใจได้หรือ แม้ว่าเขาแสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใยเธอถึงเพียงนี้ แต่ความจริงแล้วเขานึกถึงคนอื่นอยู่ในใจตลอดเวลาต่างหาก



“แวะดื่มเบียร์อีกไหมคะ พี่ภัทร ฆ่าเวลายามค่ำ” เสียงใสๆ ร้องถามขึ้นหลังจากอาหารมื้อเย็นอันประกอบด้วยหอบแมลงภู่อบไวน์ขาวและปลาอบชีสได้จบลงอย่างสวยงาม

“ไม่เอาล่ะ พี่กลัวใจตัวเอง กลัวว่าเดี๋ยวจะเมาแบบเมื่อวาน”

“ถ้าอย่างนั้นเล่นเกมกันไหมคะ มีเงินเริ่มต้นคนละ 5 ยูโร ผลัดกันถามคำถามคนละหนึ่งคำถาม ถ้าไม่ต้องการตอบให้จ่ายเงินครั้งละ 50 เซนต์ ถ้าหมดเงินแล้ว คนตอบต้องตอบ ห้ามเลี่ยง ห้ามโกหก ” ดวงหน้าอ่อนใสมีร่องรอยเอาจริงเอาจัง

“เล่นอะไรเหมือนเด็กๆ ไม่ใช่สิ นี่ไม่ใช่เกมแล้ว มันคือการหลอกถามมากกว่า หรือหลอกเอาเงินเนี่ย” ภัทรบ่นไม่จริงจังนัก

“เขาเรียกละลายพฤติกรรม และทำความรู้จักกันให้ดีขึ้นต่างหาก” เสียงใสแย้งออกมา

“ยังจะต้องละลายอะไรอีก ปิ่นสนิทกับคนง่ายจะตาย ง่ายจนพี่นึกเป็นห่วง”

“ปิ่นเชื่อสัญชาตญาณตัวเองค่ะ ว่าควรหรือไม่ควรให้ความสนิทสนมกับใคร กับพี่นี่...ปิ่นรู้สึกได้ว่าไม่มีอันตราย และรู้สึกได้ว่ามันเป็นสิ่งที่ปิ่นต้องทำ” ภัทรนึกแปลกใจ แม่สาวอ่อนหวานของเขาก็มีจุดยืนของตัวเอง และกล้าพอที่จะยืนยันความเชื่อของตน

“ดื้อเหมือนกันนะเรา”
“ปิ่นไม่ได้ดื้อหรอก แต่ปิ่นแค่อยากเล่น นะพี่ภัทรนะ จะได้รู้จักกันมากขึ้น”

“ก็ได้” รอยยิ้มปรากฏขึ้นนิดหนึ่งที่มุมปาก เล่นกับเด็ก...บางทีก็คงจะเพลินดีเหมือนกัน



เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผู้เล่นไม่อาจจะหยั่งรู้ได้ รู้เพียงว่าในยามนี้ไม่มี ‘พี่ภัทร’ ไม่มี ‘ปิ่น’ มี เพียงคนสองคนที่ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ ผลัดกันไล่เบี้ยเอาฝ่ายตรงข้ามจนต่างก็เหนื่อยอ่อนใจไปตามกัน และจากการเล่นเกมนี้เอง ตัวตนของกันและกันก็เปิดเผยออกมามากขึ้น

ภัทร...ชายหนุ่มผู้รักอิสระ รักการท่องเที่ยว เขาออกจากบ้านมาเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่อายุ 15 งาน หลักคือเรียนหนังสือ งานรองคือการถ่ายภาพและเขียนบทความให้กับนิตยสารท่องเที่ยวทั้งในและนอก ประเทศ นั่นเป็นเหตุผลให้เขาต้องออกเดินทางไม่หยุดหย่อน

ปิ่น...เด็กสาวเพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัย ไม่เคยจากบ้านไปไหนนานเกินกว่า 2 สัปดาห์ พ่อแม่รักราวกับแก้วตาดวงใจ ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ทุกวันนี้พ่อกับแม่ยังโทรศัพท์มากล่าว ราตรีสวัสดิ์ทุกคืนแม้กระทั่งยามเดินทางแบบนี้

“เป็นคุณหนูอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ทำไมถึงอยากจะออกมาเที่ยวล่ะ อยากได้อิสรภาพหรือไง” เพราะหมดคำถามที่จะถามแล้ว ภัทรจึงหยิบยกเอาข้อสงสัยแรกที่เกิดขึ้นเมื่อแรกพบมาถาม

“ปิ่นไม่เคยสิ้นอิสรภาพนะคะพี่ภัทร ถึงปิ่นจะไม่เคยไปไหนไกลๆ ถึงพ่อแม่จะห่วงและหวงมากๆ ถึงจะต้องกลับบ้านตามเวลาที่กำหนดทุกครั้ง แต่หัวใจของปิ่นไม่เคยยึดติดกับพันธนาการใดๆ และไม่เคยเห็นว่านั่นคือทุกข์”

“อะไรคือพันธนาการ”

“แน้...ขี้โกง ตาปิ่นถามนี่นา”

“ก็มันกำลังติดพัน ตอบมาก่อนสิ เดี๋ยวพี่ให้ปิ่นถามสองข้อติดๆ กันเลย”

“เอ้า...ก็ได้ ปิ่นไม่เคยคิดว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำคือโซ่ที่ล่ามปิ่นเอาไว้ให้หมดอิสรภาพไง ท่านทำก็เพราะรัก ก็มองไปเสียว่าอีกหน่อยพอท่านไม่มีแรง ก็ไม่มีโอกาสที่จะแสดงความเป็นห่วงเราได้มากถึงเพียงนี้แล้ว แล้วที่สำคัญก็คือ...ปิ่นไม่เคยยึดติดกับความทุกข์ใดๆ ทุกอย่างเกิดขึ้น คงอยู่...แล้วก็แตกดับ ถ้าปิ่นเอาใจไปยึดติด ปิ่นก็คงทุกข์แย่เลย มีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นใหม่ทุกวันๆ นี่นา เอาล่ะ ตาปิ่นถามบ้างนะ” เสียงใสๆ ขาดหายไปครู่ใหญ่

“ใครคือ ‘กิ่ง’ คะ” มือ ใหญ่ที่กำลังจะหยิบชอกโกแล็ตร้อนๆ ขึ้นจิบชะงักไป ดวงตาดำคมลึกที่มองตรงมา มีแววเจ็บปวดเต้นระริกอยู่ในนั้น วูบหนึ่งที่คนถามรู้สึกเสียใจ เธอเปิดปากแผลเก่าของเขาอีกแล้ว แต่เธอก็อยากทำ เธอไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ผ่านความเจ็บปวดมามากแค่ไหน แต่เธอต้องการปัดเป่ามันออกไปให้หมดสิ้น และเธอคงจะทำไม่สำเร็จถ้าเขาเก็บมันซุกซ่อนเอาไว้ในซอกลึกของหัวใจ เก็บเอาไว้ให้เป็นแผลกลัดหนองอยู่อย่างนั้น

“กิ่งคือแฟนเก่าของพี่เอง” น้ำเสียงของชายหนุ่มแหบแห้ง เจ้าตัวยังรู้สึกเจ็บแปลบเมื่อนึกถึงชื่อนั้น อยากจะซุกหัวลงกับหมอนเพื่อหลบหน้าคนถาม หรืออยากลุกขึ้นแล้วเดินไปให้ไกลจากความเป็นจริง แต่เมื่อมองสบดวงตาสุกใสที่มองมาอย่างให้กำลังใจ เขาก็รู้ตัว...ว่าสิ่งที่เขาคิดอยากทำ มันเป็นไปไม่ได้ทั้งสองอย่าง

“ปิ่นคงไม่ถามนะคะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ปิ่นขอถามค่ะ...ว่าทำไมพี่ภัทรถึงยังไม่ลืม” เสียงหวานไร้รอยหยอกเล่นดังเช่นเคย ภัทรหลับตาลงก่อนที่จะตัดสินใจระบายความในใจออกมาจนหมดสิ้น

“เรารักกันมาก รักอิสระ รักการท่องเที่ยวเหมือนกัน เขาเสียชีวิตในอุบัติเหตุตอนที่เราเล่นสกีอยู่บนยอดเขาโดยที่พี่ยังไม่ทันจะบอกลา ต่อหน้าต่อตา...โดยที่พี่ช่วยอะไรไม่ได้เลย เขาจากไปอย่างกะทันหันเกินไป พี่ควรจะได้ช่วยเหลือเขา พี่มันไม่เอาไหน...เขาอยู่แค่เอื้อมมือแค่นี้แต่ช่วยอะไรไม่ได้เลย พี่ยังรู้สึกว่าเขายังอยู่ใกล้ๆ ยังรอพี่อยู่ ยังเป็นเจ้าของหัวใจพี่อยู่ พี่เลยออกเดินทางไม่หยุด นอกจากจะหวังว่าสถานที่ใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ จะทำให้พี่ลืมเหตุการณ์ที่ติดตาในวันนั้นแล้ว พี่ยังคิดว่า การเดินทางจะทำให้เขาซึ่งยังอยู่ใกล้ๆ พี่พลอยมีความสุขไปด้วย ปิ่น...เมื่อคืน พี่พูดอะไรออกไปปิ่นถึงได้ถามพี่แบบนี้” น้ำเสียงที่ถามมาร้อนรน

“เมื่อคืนพี่เมาแล้วรำพึงถึงพี่กิ่งตลอดเลยค่ะ แล้วพี่ก็...” ปิ่นตัดสินใจละความจริงบางส่วนเอาไว้ “ก็ร้องไห้ เสียใจ” ความเงียบเข้ามาครอบคลุมบรรยากาศระหว่างคนสองคนอึดใจใหญ่

“พี่ภัทรรู้ไหมคะ...ไม่ใช่พี่กิ่งหรอกค่ะที่ยังเป็นเจ้าของใจหรือยังอยู่ในใจของ พี่ ตัวพี่ภัทรเองต่างหากเอาใจของพี่ไปผูกติดไว้กับสิ่งที่เคยเป็นพี่กิ่ง ทุกวันนี้สิ่งนั้นได้แตกดับไปแล้วพี่ภัทรก็ยังคงปล่อยวางไม่ได้ หัวใจของพี่ภัทรพันธนาการตัวพี่ไว้กับอดีตเอง ถึงตัวพี่จะเดินทางไปเรื่อยๆ แต่หัวใจยังไม่อาจเป็นอิสระจากสิ่งที่เป็นเพียงสิ่งสมมติ เพื่อใช้บรรเทาความรู้สึกผิด ต่อให้ไปไกลเกินครึ่งค่อนโลก ก็เหมือนหัวใจอยู่กับที่นั่นแหละค่ะ”

น้ำเสียงหวานปลอบประโลม ไม่มีริ้วรอยแห่งการโจมตีด้วยคำพูด หากทุกๆ ถ้อยคำเสียดลึกเข้าไปในอก น่าแปลกที่ภัทรไม่ได้รู้สึกโกรธที่ปิ่นปล่อยคำพูดแทงใจออกมาเป็นชุดแบบนั้นเลย มีแต่ความแปลกใจที่สาวน้อยท่าทางเปราะบางดูอ่อนต่อโลกจะลุกขึ้นมาแสดงท่าทีแบบนี้ได้ ทุกประโยคที่เอ่ยออกมาค่อยๆ ชำระล้างตะกอนที่นอนก้นอยู่ในหัวใจของเขาออกไปทีละนิดๆ

“ปิ่นไม่อาจจะเดินทางไปสุดขอบโลกได้ แต่ปิ่นไม่เคยยึดติดกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นและดับไปแล้ว คู่หมั้นของปิ่นเพิ่งจะเสียไปเพราะโรคร้ายก่อนที่ปิ่นจะมาเรียนต่อนี่เอง ตอนแรกเราตั้งใจจะแต่งงานกันแล้วมาเรียนด้วยกันแต่ก็กลับตรวจพบเนื้อร้ายนั่น เขาไม่มีอาการมาก่อนเลยพอพบมันก็ลุกลามไปจนยากจะแก้ไขแล้ว กำลังใจเขาดีแต่สภาวะร่างกายของเขามันไม่เอื้อ เราพยายามทำใจกันอยู่นานมาก เขาบอกปิ่นว่าถ้าเขาเสียไปแล้ว อย่าขังตัวเองกับกล่องความทรงจำในอดีตอีก ปล่อยหัวใจให้เป็นอิสระ...ปล่อยให้หัวใจออกเดินทางอีกครั้ง เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้รับรู้อะไรด้วย เขาจากไปด้วยความทรงจำดีๆ ระหว่างเรา” น้ำตาเริ่มไหลลงมาจากดวงตาคู่สวย

“พี่ ภัทรรู้ไหมคะ ปิ่นคิดว่าคนรักอิสระอย่างพี่กิ่งเขาก็คงอยากพูดแบบคู่หมั้นของปิ่นค่ะ เพียงแต่เขาไม่มีโอกาส ปล่อยหัวใจดวงนี้ให้เป็นอิสระเถิดนะคะพี่ภัทร ปิ่นไม่อยากให้คนที่ปิ่นรู้สึกชื่นชม และประทับใจตั้งแต่แรกเห็นต้องทุกข์ใจแบบนี้ไปนานๆ”

พูดจบแล้วร่างบางก็ลุกขึ้นและเดินจากร้านไป ภัทรไม่ได้เดินตามออกไปทันที หากกลับค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินตามเธอไปช้าๆ พร้อมทั้งทบทวนสิ่งที่มิตรใหม่พูดไปด้วยอย่างตั้งใจและจริงจัง ความจริงแล้วสิ่งที่เธอพูดก็เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ใครก็รู้ แต่มันคงง่ายเกินไป...เขาถึงได้มองข้ามมันจนต้องให้คนอื่นมาเตือน ใช่ว่าจะไม่เคยมีคนพยายามบอกกล่าวเขาแบบนี้มาก่อน แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน...ว่าทำไมครั้งนี้เสียงหวานๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งจารลงไปในใจของเขาอย่างง่ายดาย มันคงถึงเวลาที่เขาต้อง 'ตื่น' เสียทีกระมัง

ภัทรเดินไปช้าๆ แต่ทุกอย่างก้าวเริ่มเป็นก้าวที่มีจุดหมาย เมื่อภัทรเดินทางกลับมาถึงห้องพักก็พบว่า ร่างบางได้นอนขดอยู่ในโปงผ้า เสียงลมหายใจสม่ำเสมอเหมือนคนนอนหลับไปเสียแล้ว ภัทรส่งยิ้มบางๆ ออกมา พรุ่งนี้เช้า...เขาจะเริ่มคุยกับเธออีกครั้ง เขาจะเริ่มปลดปล่อยพันธนาการหัวใจของตนเองดังที่เขาควรจะทำ และเธอ...ในฐานะคนที่พูดเรื่องพวกนี้ออกมาจะต้องช่วยให้เขาทำได้สำเร็จ



หากภัทรกลับไม่มีโอกาส...เพราะเมื่อแสงอรุณมาถึง ปิ่นก็ได้จากไปแล้ว โดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้เป็นหนทางในการติดต่อไปหาเธอได้เลย

.

.

June, Summer

 .
.
ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสไร้เมฆ และแสงแดดส่องสว่างสวยงามเมื่อยามที่ภัทรก้าวออกมาจากสถานีรถไฟเมืองเวนิซ ฤดูร้อนแบบนี้ผู้คนคลาคล่ำจริงๆ เวนิซ-เมืองไร้ถนนแต่สัญจรไปมาด้วยทางน้ำที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ เขากางแผนที่ออกมาและสอดส่ายสายตามองหาท่าเรือเพื่อจะเดินทางต่อไปยังที่พักที่ได้จองไว้ เวลาผ่านไปหกเดือนแล้วนับแต่วันที่เขาเดินทางไปบรัสเซลส์ วันนี้เขาออกเดินทางอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่ต่างจากวันนั้นโดยสิ้นเชิง คำพูดของมิตรใหม่ที่ได้จากการเดินทางคนหนึ่งทำให้เขากลับมาขบคิดถึงเรื่องเก่าๆ และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ติดต่อกับเธออีกเลยนับแต่วันนั้น แต่เขาก็ยังคงระลึกถึงเธอเสมอ เด็กสาวผู้มีดวงตากลมโตสุกใส ผู้มีหัวใจเป็นอิสระจากความทุกข์ใดๆ

ด้วยความรีบร้อนปนกับอาการจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเขาจึงกระแทกใส่หญิงสาวชาวเอเชียร่างบอบบางที่ยืนอยู่ก่อนหน้าจนเธอถึงกับหน้าคะมำจนเกือบจะตกน้ำตกท่า หากโชคยังดีที่เขาหันไปคว้าตัวเธอไว้ทันเวลา

“โอ๊ย เจ็บนะ”   

“sorry” 

ตาสบตา...อีกครั้ง ดวงตากลมโตเบิกกว้างแสดงถึงความตกใจก่อนที่ริมฝีปากรูปกระจับจิ้มลิ้มบนดวง หน้าหวานละมุนละไมของร่างบางที่อยู่ในอ้อมแขนจะแย้มออกเต็มที่ รอยยิ้มอย่างจริงใจปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากหยักได้รูปของเจ้าของวงแขนด้วยเช่น กัน

“ปิ่น”

“พี่ภัทร”

“ไม่น่าเชื่อเลย ว่าจะได้เจอปิ่นอีกครั้ง นี่มาเที่ยวกับใครเนี่ย”

“มาคนเดียวค่ะ” ดวงตาสุกใสส่องประกายวับวาว ไม่มีวี่แววลังเลหวาดหวั่นอย่างสาวน้อยที่เขาเคยพบเมื่อครึ่งปีก่อนอีก “ตั้งแต่วันนั้นปิ่นก็ติดใจ ไปเที่ยวคนเดียวอีกหลายที่เลย ปารีส ปราก เวียนนา เยอะแยะ เดี๋ยวนี้ปิ่นคล่องแล้วนะ ไม่เหมือนตอนที่เราเจอกันครั้งก่อนแน่นอน” ปิ่นทรงตัวได้แล้ว แต่สองมือของภัทรยังประคองต้นแขนของเธอไว้อยู่ ดวงตาดำคมจ้องลึกลงไปในดวงตากลมโตสุกใสแน่วแน่ และเขาก็ไม่ผิดหวัง ถึงเธอจะดูมีความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาก แต่ดวงดาวในดวงตาของเธอยังเปล่งประกายสุกใสเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อนไม่มีผิดเพี้ยน ตาสบตา นิ่ง...นาน

“วันนั้นหนีพี่ไปก่อนได้ยังไงนะปิ่น...เกมยังไม่จบเลย ถึงตาปิ่นตั้งคำถามไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงของภัทรร่าเริงไร้รอยกังวล หรือจดจ่อกับอดีตอีก

“อ้าว เกมยังไม่จบเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นปิ่นถามต่อก็ได้” ปิ่นยันตัวออกจากอ้อมแขนของภัทร ร่างสองร่างเดินเคียงกันไปโดยมีจุดหมายอยู่ที่ท่าเรือ แดดเวลาเที่ยงวันร้อนจัดแต่ความร้อนไม่อาจจะทำร้ายความรู้สึกสดชื่นแจ่มใส ให้เหือดหายจากดวงใจของคนที่เดินเคียงกันไปได้เลย

“วันนี้...หัวใจพี่ภัทรเป็นอิสระหรือยังคะ”

“แน่นอน วันนี้...หัวใจพี่เป็นอิสระแล้ว”

บนทางเดินเลียบคลองนั้นแสงแดดส่องสว่าง เสียงหัวเราะแทรกมากับเสียงนกร้องบรรเลงบทเพลงแห่งคิมหันตฤดู สายลมพัดโบกแผ่วเบา...อ่อนโยน เรือที่สัญจรไปมาบ้างก็เข้าใกล้กัน บ้างก็สวนทางกัน นักเดินทางแต่ละคนยังก้าวไป...จนกว่าจะถึงจุดหมาย ร่างสองร่างของภัทรและปิ่นเดินเคียงคู่กันไปด้วยใจที่เป็นอิสระ อิสระ...เหมือนนกโบยบิน ไม่ว่าจุดหมายจะอยู่ ณ แห่งหนตำบลไหน แต่หัวใจของแต่ละคนรู้แน่ ว่าไม่อาจมีสิ่งใดเหนี่ยวรั้งหัวใจเอาไว้ ไม่ให้ออกเดินทางครั้งใหม่ได้อีกแล้ว



วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่องจริง เล่าจัง เบื้องหลังชุดขาว (ตอนที่ 1 )

Rating:★★★★★
Category:Other

สวัสดีค่ะ พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนพ้องทั้งหลาย

อาจจะสงสัยกัน..ว่าอยู่ดีๆ ยิ้มมันจะหันมาเขียนเรื่องเกี่ยวกับการแพทย์หรือสุขภาพหรือไง ถึงได้เปิดเรื่องมาด้วยคำว่า 'เบื้องหลังชุดขาว' ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า เบื้องหลังชุดขาวนี่ ไม่ได้หมายถึงชุดพยาบาล ไม่ใช่เสื้อกาวน์ของแพทย์ ไม่ใช่ชุดข้าราชการ..และไม่ใช่ชุดเจ้าสาวด้วย(ถึงกรณีหลังสุดนี้จะแอบอยากให้ใช่เหมือนกัน 55 ช่วงนี้เพื่อนสาวแซงหน้าแต่งงานกันไปเยอะแย้ว...เจ้าบ่าวเรายังไม่เกิดเลย กรี๊ดดดด)

กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า เอาเป็นว่าบล็อกนี้หมายถึง เสื้อขาว กางเกงขาว และผ้าสไบขาวของโยคี อุบาสก อุบาสิกาต่างหาก ^ ^'

มาถึงจุดนี้หลายๆ ท่านคงเตรียมจะกดปิดหน้าต่างไปแล้ว โหย อะไรกัน เรื่องปฏิบัติธรรมเหรอ อ่านแล้วร้อน เอ๊ยไม่ใช่ อ่านแล้วคงน่าเบื่อแน่ๆ ต้องมาแนวอะไรคือสติปัฏฐาน กำหนดรู้หายใจเข้าออก เดี๊ยวววว....ยิ้มไม่ได้กะจะเขียนถึงหลักธรรม หรืออะไรอย่างนั้นหรอก (ถึงจะเป็นเรื่องดีๆ ที่ควรเขียนถึงก็ตาม) ข้าพเจ้ายังคงยึดหลักว่าบล็อกนี้เป็นที่แบ่งปันประสบการณ์และความคิดเห็นที่เน้นภาคบันเทิงอยู่ ฮ่าๆ

วันนี้ฤกษ์งามยามดี เลยถือโอกาสมาเริ่มอัพบล็อกดีกว่า หลังจากที่ว่างเว้นไม่ได้อัพมานานมากกก ปลายเดือนมกราคมนี่เอง ยิ้มได้ไปทำบุญเก้าวัดมา เลยมีแรงบันดาลใจมาเขียนอะไรนิดหน่อย เพราะตอนที่พวกเราไปถึงวัดพระธาตุห้าดวง ที่อ.ลี้ ก็เจอค่ายธรรมะ ที่กำลังมีการอบรมพุทธบุตรอยู่พอดี บริเวณศาลารายเต็มไปด้วยเต็นท์ที่พักของเด็กๆ (จริงๆ ก็ไม่เด็ก น่าจะเรียกว่าวัยรุ่นดีกว่า ดูแล้วคิดว่าเป็นวัยที่กำลังคึกคะนองเลย) ยิ้ม พ่อ แม่ ย่า ลงไปทำบุญไหว้พระที่ศาลา จากนั้นก็เดินกลับมาที่รถ ขณะที่กำลังขับกลับออกมานั่นเอง ก็เห็นเด็กใส่ชุดขาวสองคน กำลังเดินออกมาทางหน้าวัด มองซ้ายมองขวาล่อกแล่กด้วยท่าทีเหมือนคนกำลังจะหนีค่าย...หรือไม่ก็กำลังหาทางออกมาเดินเล่นข้างนอกวัดแก้เบื่อ

อ้าว พุทธบุตร คิดจะทำอะไรคะนั่น เฮ้อ เด็กสมัยนี้ ยิ้มกำลังจะบ่นแกมเทศนาอยู่ในใจ หากชั่วขณะหนึ่งภาพเด็กชายวัยรุ่นสองคนที่เดินอยู่ข้างถนนก็หายไป แต่ภาพเด็กผู้หญิงวัย 11 ขวบ 3 คนกำลังวิ่งลัดเลาะตามคันนาเบื้องหลังสำนักแม่ชีก็กลับปรากฎชัดขึ้นมาในดวงจิต ภาพนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นใบหน้าของหนึ่งในสามคนนั้นชัดเจน

โอ้...ทำเป็นว่าเขาจริงๆ เราก็เคยผ่านช่วงนี้มาก่อนนี่นา ก็ไอ้เด็กคนนั้นมันตัวเองเอง

แหะๆ จริงด้วยค่ะ ยอมรับโดยไม่มีข้อแม้ ตอนเด็กๆ ก็เคยทำอะไรด้วยความคะนองระหว่างการปฏิบัติธรรมมาเย้ออออออ ไม่ใช่แค่หลบออกไปเดินเล่นข้างนอกสำนักปฏิบัติธรรมด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่(ตอนนั้น)อายุยังน้อยก็เลยไม่ค่อยคิดอะไร พ่อแม่อยากให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดก็ไป ตัวเราเองก็อยากลองไปสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ก็ไป ไม่ได้คิดว่าจะไปเพราะอยากฝึกใจให้สงบ ฝึกให้มีสติถึงพร้อม หรือฝึกให้เกิดฌาณขั้นไหนๆ สภาพก็เลยเหมือนไปเข้าค่ายฤดูร้อนมากกว่า

ตอนที่ริไปปฏิบัติธรรมครั้งแรกนั้น อายุ 11 ขวบ ไปอยู่ที่สำนักแม่ชีเป็นเวลาทั้งสิ้น 9 วัน นับว่าเป็นช่วงเวลาไปฝึกวิปัสสนาที่ยาวนานที่สุดแล้ว เพราะพออายุมากขึ้น ก็มีภาระทางโลกมากขึ้นๆ ส่วนมากก็เลยได้ไปแค่ 5 วัน 7 วัน เท่านั้นเอง (ยิ่งตอนเรียนเอกนี่ ไปได้ 3 วันก็หรูแล้ว) แต่ถึงครั้งแรกๆ นั้นจะไม่ได้ไปด้วยใจปรารถนาจะเข้าให้ถึงองค์พระธรรม แต่ประสบการณ์เหล่านั้นก็เป็นการปูพื้นฐานความสนใจในช่วงเวลาต่อๆ มา

นับว่า...ถึงจะไม่ได้ผลทางธรรม ณ จุดนั้น แต่มันก็มีผลต่อการตั้งเป้าหมายในชีวิตในกาลต่อไปค่อนข้างมากนะคะ

บล็อกนี้ไม่ได้จะมาเขียนถึงคุณประโยชน์ของการฝึกวิปัสนากรรมฐานอะไรหรอก เพราะตัวยิ้มเองก็ยังขั้นปฐมมากๆ แค่เรียกสติให้อยู่กับตัวก็ยากเย็นเต็มทีแล้ว ยังมิบังอาจไปชี้แนะใคร แต่เรื่องที่จะมาเล่านี่นำมาเพื่อให้อ่านเป็นเยี่ยง(แต่อย่าเอาเป็นอย่าง) เพราะว่าแต่ละเรื่องนั้น เหอๆ ๆ นึกไปก็คิดไปว่าช่างทำไปด๊ายยยยยย


อารัมภบท

สำนักปฏิบัติธรรมของแม่ชีที่ยิ้มได้ไปเริ่มต้นฝึกปฏิบัติวิปัสนานี้ อยู่ในเขตอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ สมัยก่อนยังไม่มีถนนสี่เลนตัดผ่านจากกลางใจเมืองมาถึงแบบสมัยนี้ ก็เลยนับว่าอยู่ห่างไกลตัวเมืองเชียงใหม่พอสมควรเลย ขับรถมาทีก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ (สำนักตั้งอยู่ใกล้กับวัดหนองบัว เขื่อนแม่กวง กับอุทยานแห่งชาติห้วยฮ่องไคร้ เป็นทางผ่านไปจังหวัดเชียงราย) ใกล้จะเข้าป่าเข้าดงอยู่แล้ว รอบข้าง(ณ เวลานั้น) ไม่มีร้านค้าอะไรเลย มีแค่ทุ่งนาๆ ป่า เขา และที่ว่าง เหมาะแก่การหลบลี้หนีความวุ่นวายไปปฏิบัติธรรมเป็นที่สุด

ตอนแรกญาติที่สนิทจะชวนยิ้มไปวัดพระธรรมกายค่ะ แต่เอาไปเอามา...รู้สึกว่าจะติดข้อขัดข้องเรื่องเวลา ชุดขาวที่ตัดไว้ก็เลยเกือบจะเก้อ โชคดี ที่เพื่อนรัก (ต่อไปนี้ขอเรียกว่าเพื่อน อ.) ที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันเอ่ยปากชวนเสียก่อน

"ยิ้ม ไปปฏิบัติธรรมกับเรามั้ย ที่ดอยสะเก็ด เป็นสำนักแม่ชี อยู่สบายนา ที่ทางก็ดี" (เอ...ทำไมเอาความสบายเข้ามาล่อล่ะคะ - -' )

คุณแม่ของเพื่อน อ. เป็นศิษย์ประจำของสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนั้นน่ะค่ะ เลยพาลูกสาวไปด้วย คุณลูกก็เลยอยากไปอีก ติดที่ไม่มีเพื่อนไป เพราะคุณแม่ต้องทำงาน เพื่อน อ. เลยลองชวนเพื่อนยิ้มเล่นๆ เผื่อจะฟลุก ตอนนั้น...ยิ้มก็ไม่คิดว่าพ่อกับแม่จะให้ไปหรอก เพราะยังไม่เคยจากบ้านไปไกลๆ ที่ไหนเลย ตอนแรกที่อาจะชวนไปวัดพระธรรมกายก็คิดว่าจะได้ไปกับอา แล้วระยะเวลาก็ไม่นานมาก นี่มาครั้งแรกก็ล่อไปเก้าวันทีเดียว จะรอดรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่พ่อกับแม่ก็อนุญาตอย่างง่ายดายมากจนนึกแปลกใจ แถมยังส่งลูกพี่ลูกน้องสาวอายุประมาณ 16-17 มาร่วมขบวนการด้วยอีกคน (ขอใช้ชื่อว่าพี่ ย.- นามสมมติ) จึงกลายเป็นคณะสามสาว สองวัย หัวใจไม่ค่อยตรงกัน (ก็ตอนนั้นเรายังเด็ก แต่พี่ ย. แกอยู่ในวัยรุ่นแล้วนี่นา ^ ^' มันก็มีมุมมองที่ต่างกันบ้างแหละน่า)

สถานที่

อย่างที่เกริ่นๆ เอาไว้นะคะ ว่าตัวสำนักปฏิบัติธรรมนี้อยู่ใกล้จะถึงป่าเขาเส้นทางเชื่อมต่อจังหวัดเชียงใหม่กับเชียงรายอยู่แล้ว ดังนั้นบรรยากาศทั่วไปจึงสงบ ร่มเย็นดี สำนักตั้งอยู่ห่างจากถนนใหญ่เข้าไปอีกจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ น่าจะประมาณหนึ่งกิโลเมตรมั้ง มีถนนลาดยางเล็กๆ ลัดเลาะไปตามทุ่งนาของชาวบ้าน ตัวสำนักกว้างขวาง มีตัววิหารที่กำลังสร้างอยู่ตรงกลาง ถัดไปก็เป็นศาลาปฏิบัติธรรมรวมที่ใช้การอยู่ ณ ตอนนั้น (ตอนนี้ถูกรื้อทิ้งแล้ว กลายเป็นศาลาใหญ่) มีสระน้ำลึกมากจนมองไม่เห็นก้น เห็นแต่สาหร่ายและกอบัวบานสะพรั่ง(น่ากลัว) มีศาลาไม้อยู่ตรงกลาง ส่วนกุฏิแม่ชีและโยคีก็รายล้อมสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นอยู่ กุฏิที่เราได้ไปพักกันหน้าเข้าหาศูนย์กลาง ด้านหลังเป็นทุ่งนาที่ตอนที่ยิ้มไป(มีนาคม)เหลือแค่ซังข้าว เพราะพ้นฤดูเก็บเกี่ยวมานานแล้ว มีขนำ (ห้างไม้เล็กๆ ที่พัก) ของชาวนาตั้งอยู่เป็นระยะๆ ห่างออกไป มองเห็นภูเขาสลับซับซ้อนอยู่เบื้องหน้า และ...ถึงแม้ว่าทุ่งนาจะไม่เขียวชอุ่ม แต่ก็มีน้ำไหลอยู่ตามร่องน้ำในทุ่งนาอยู่รินๆ ตัวกุฏิยกสูงจากพื้นทุ่งนาประมาณเมตรกว่าๆ ข้างล่างมีผักบุ้งขึ้นเต็มเพราะอยู่ใกล้น้ำและที่ค่อนข้างลุ่มต่ำ

สารภาพว่า ณ ตอนนั้น ยิ้มตื่นเต้นกับทิวทัศน์มากกว่าการจะได้ปฏิบัติธรรมอีกค่ะ แหะๆ ^ ^' เพราะการได้นั่งตรงระเบียงด้านหลังกุฏิ มองทุ่งนากว้างไกล มองทิวเขาสลับซับซ้อน ปล่อยให้จินตนาการล่องลอยไปไม่มีที่สิ้นสุด ช่างเป็นอะไรที่ถูกจริตอิฉันจริงๆ

วัตรปฏิบัติ ตารางเวลา

ที่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ศีลและกฏระเบียบเคร่งครัดมากค่ะ ดำเนินตามหลักสติปัฎฐาน 4 เน้นให้ผู้เข้าปฏิบัติ (ซึ่งเรียกว่าโยคี) มีสติอยู่กับตนตลอดเวลา ดังนั้น...เวลาสวดมนต์ หรือเยื้องย่างทำอะไร เขาจะเน้นให้ทำช้าๆ เป็นพิเศษ เพราะการทำอะไรที่ช้ากว่าปกติ มีโอกาสที่สติจะอยู่กับกายมากกว่าทำอะไรไวๆ ตามความเคยชิน ไอ้เด็กซนๆ กะเปิ๊บกะป๊าบคนหนึ่งก็เลยพบว่าชีวิตในจังหวะที่ช้าลงกว่าเดิมช่างยากเย็นอะไรขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกิน นอน นั่งเดิน หรือสวดมนต์ กว่าจะทำวัตรเสร็จแต่ละครั้งเหน็บกินครั้งแล้วครั้งเล่า

ตารางเวลาของการปฏิบัติธรมนั้นก็แทบจะเต็มวันเลยค่ะ วันเวลาเริ่มตั้งแต่ตี 4 (ใช่ค่ะ ตี 4 T-T เด็กขี้เซาเคยตื่นเช้าที่สุดก็ ตี 5 ครึ่ง) มีการปฏิบัติรวมกัน ร่วมพิธีถวายสังฆทานและทานอาหารเพลรวมกัน มีการทดสอบอารมณ์ (ว่าปฏิบัติได้แค่ไหนแล้ว) กับอาจารย์ ปฏิบัติรวมกัน(อีกหลายๆ รอบ) และจบลงแยกย้ายกันเข้านอนตอน 4 ทุ่ม

ในทางทฤษฏีพวกเราควรมีเวลานอน 6 ชั่วโมง แต่ว่า...ยิ้มไม่ใช่คนที่หัวถึงหมอนแล้วหลับเลย ยิ่งเป็นโอกาสแรกๆ ที่ได้ใช้เวลากับเพื่อนเต็มที่แบบนี้ด้วย โอ้โห...กว่าจะนอนได้ ก็ต้องเล่นกันแล้วเล่นกันอีก หัวเราะคิกคักๆ พี่ย. ก็ทั้งดุ ทั้งขู่ ทั้งปลอบ แต่ก็ไม่ได้ผล กว่าจะข่มตาให้หลับได้ก็โน่น...เกือบเที่ยงคืน

เรื่องนอนเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเด็กๆ ดังนั้น...หากพวกเราตื่นไปทำวัตรเช้าพร้อมคนอื่นๆ พวกเราจะมีเวลานอนน้อยมาก.การละเมิดกฏข้อแรกของเราคือ ไม่เคยไปทำวัตรเช้าเลยตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นั่น - -' เพราะหากนับไปหกชั่วโมงหลังจากหมดแรงสลบไสลไป ก็ได้เวลาหกโมง เวลาทานอาหารเช้าพอดี พอแม่ชีและโยคีท่านอื่นๆ สวดมนต์เสร็จ ออกมากรวดน้ำแล้วมายกถาดอาหารที่โรงครัว พวกเราก็เนียนๆ เข้าไปหยิบถาดอาหารออกมา แล้วก็มานั่งรับประทานด้วย

อีกข้อหนึ่งคือ ผู้มาปฏิบัติธรรมต้องถือศีล 8 เป็นสรณะ หากท่านพ่อ ท่านแม่ของเพื่อน อ. เป็นห่วงสวัสดิภาพของกระเพาะเด็กๆ ก็เลยบอกว่าครั้งนี้ถือศีล 5 ก่อนก็ได้ เดี๋ยวโตขึ้นค่อยถือศีล 8 ก็แล้วกัน แถมยังจัดการฝากฝังแม่ชีที่มีหน้าที่ดูแลโรงครัว พร้อมนำเสบียงมาฝากไว้ให้อยู่บ่อยๆ

นับว่าได้อภิสิทธิ์จริงๆ เลยนะคะ แถมความเป็นอยู่ก็สบายยิ่งกว่าโยคีคนอื่นเยอะมาก แต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครว่าอะไร เพราะพวกเรายังดูเด็กกว่าโยคีท่านอื่นๆ มากอยู่..


ความซุกซน ของเราเริ่มต้นขึ้นเมื่อพี่ ย. ขอย้ายออกไปพักอยู่กุฏิอื่นกับเพื่อนสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่เพิ่งพบกันที่สำนักปฏิบัติธรรมนี้

"พี่ ย. จะไปอยู่ไหน" ยิ้มตาแดงๆ รู้สึกเหมือนจะโดนทิ้งหน่อยๆ ทั้งๆ ที่เพื่อน อ. ก็ยังอยู่

"ก็พี่น่ะโตแล้ว ควรจะได้ปฏิบัติจริงๆ จังๆ นะยิ้มนะ แยกไปอยู่เป็นกิจจะลักษณะก็ดีออก พี่จะถือศีล 8 ด้วยเพราะว่าพี่ก็ไม่ใช่เด็กๆ จะมาถือศีล 5 เหมือนน้องๆ คนอื่นเขาก็มองหน้า ยิ้มก็ยังมีน้อง อ. ไง"

เออ...เนอะ พี่ย. ก็มีเหตุผลอันสมควร ไม่มีอะไรมาแย้งได้เลย
แล้วพี่ ย. ก็จากไปพร้อมกับความก้าวหน้าในธรรม ส่วนพวกเรานั้น...ก็มีเพื่อนคนใหม่มาอยู่ด้วย เพราะแม่ชีเห็นว่ากุฏิใหญ่ นอนกัน 2 คนก็เป็นการใช้สอยพื้นที่ที่ออกจะไม่คุ้ม เลยส่งยาย ก. เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างกับสวรรค์ (หรือนรกก็ไม่รู้) จับวางมาพักอยู่ด้วย

"สวัสดีนะ เราชื่อ ก." เพื่อนสาวแนะนำตัวอย่างคนอัธยาศัยดี "เคยบวชชีมาแล้วที่นี่ ขอมาพักด้วย แม่เราทำงานเป็นดีเจ พ่อเรา...." เอ่อ...ยังไม่ได้ถามเลยค่ะ - -' แต่ก็ขอบคุณ ที่ช่างพูด ช่างคุย อยากเป็นมิตรกับเรานะ

"เราเคยมาหลายครั้ง มีเรื่องสนุกๆ จะเล่าเยอะแยะเลย ไว้เดี๋ยวเราเล่าให้ฟังนะ "

เอ้า...เอาล่ะสิ...ยิ้มว่าเรื่องยุ่งๆ มันเริ่มต้นขึ้นเพราะเพื่อน ก. ย้ายเข้ามาอยู่นี่แหละ เด็กซนๆ 3 คน อยู่ในกุฏิเดียวกัน อุแม่เจ้า...สงสารโยคีและแม่ชีที่อยู่รอบข้างนั้นจริงๆ

ตอนนี้รู้สึกจะเขียนมายาวแล้ว...หยุดไว้ก่อนดีกว่า ค่อยมาเล่าต่อครั้งต่อไป (ตกลงบล็อกนี้ได้เนื้ออะไรบ้างเนี่ย มีแต่น้ำ) เอาเป็นว่า เป็นการ set scene ก่อนก็แล้วกันนะ ครั้งต่อไปจะได้เล่าต่อได้เลยถึงเบื้องหลังชุดขาวของอิฉัน เพื่อน อ. และ เพื่อน ก.

จริงๆ ต้องบอกว่าเพื่อน ก. เป็นหัวโจก เป็นตัวแม่เลย เพราะก่อนหน้านั้นเราก็อยู่ของเรามาดีๆ แต่เพื่อน ก. คงบอกว่า "ดูก่อนเพื่อนๆ ที่รัก ถ้าพวกเธอเรียบร้อยอยู่ในวินัยกันจริงๆ ตบมือข้างเดียวมันจะไปดังได้ยังไง"

ซึ่งก็จริงของเขาแฮะ...

ก่อนหน้านั้นที่เรียบร้อย(เหรอ)เพราะมีพี่ ย. มานั่งคุมอยู่ด้วยแหละ แถมช่วงแรกๆ ยิ้มก็ยังไม่ชินกับสถานที่ จริงๆ เชื้อขบถมันก็เพาะเอาไว้เต็มตัวอยู่แล้ว

ไว้เจอกันบล็อกหน้าค่ะ