วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เมื่อกวีไม่มีไฟ...


ปลายนิ้วระเรี่ยไล่ไล้คีย์บอร์ด..
สองแขนกอดตุ๊กตาหาที่พึ่ง
ตาเลื่อนลอยผ่านล่วงห้วงคำนึง
หวนคิดถึงวันก่อนเก่าเรามีไฟ

เมื่อฟืนฝันวันเยาว์..เป็นเถ้าถ่าน
มันผันผ่านเกินจะย้อนถอนคืนได้
ความสามารถจางเจือเหลือแค่ 'ใจ'
เขียนอะไร..ก็ติดขัดอึดอัดจริง


อยากระบายให้โลกรู้ว่ากูเศร้า   
ว่ากูเหงา กูเครียด เกลียดทุกสิ่ง
อยากรัวนิ้วพิมพ์ไปไม่ประวิง
แต่ความคิดสนิทนิ่ง...อนิจจา


ฤๅสนิม...มันเกาะกินจนสิ้นซาก
หรือ 'ใจอยาก' มันลอยไปเกินไขว่คว้า
โอ้..เมื่อไหร่ 'ใจรัก' จักคืนมา
แล้วเมื่อไหร่จะหายบ้า..น้ำตาริน


ใครบอกว่าธารอารมณ์น่าชมชื่น
จะขมขื่นหรือสมหวังทั้งหมดทั้งสิ้น
ล้วนเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปิน
สร้างผลงานคู่ฟ้าดินดั่งจินตนา


ลองมาอยู่ในห้วงอารมณ์นี้
ความสามารถที่เคยมีกลับหนีหน้า
ความสุขที่คว้าไว้แสนไกลตา
เป็นกวีที่ไร้ค่า...น่าอับอาย


อยากเรียงร้อยถ้อยคำให้บรรเจิด
เกลาสำนวนให้พริ้งเพริศเลิศเหลือหลาย
เร้าอารมณ์ให้พร่างฝันพรรณราย
ดุจนางรำกรีดกรายร่ายวงแขน


แต่สมองกับสองมือไม่ทำงาน
อารมณ์หวานจางไปไม่โลดแล่น
สิบนิ้วรัวคีย์บอร์ดไปตามแกน
โวหารดูง่อนแง่นไร้พลัง


ช่วยด้วย...ช่วยเติมไฟให้กวี
พอให้มีโลหิตแห่งความหวัง
พอให้เขียนด้วยใจรักอีกสักครั้ง
ลบความชังลบความโศกเกลียดโลกนี้


ช่วยเรียกรอยยิ้มนั้นกลับคืนมา
ช่วยย้อนเวลาอย่างเร็วรี่...
กลับไปสู่ช่วงชีวิตที่แสนดี
ให้กวีได้จารจำย้ำรอยใจ


เก็บความหลังเป็นพลังสู่ฝั่งฝัน
ผ่านคืนวันคลื่นโหมโถมสาดใส่
จะทุกข์สุขก็เรียงร้อยถ้อยคำไป
เพราะมีไฟไว้เติมฝันทุกวันคืน


..........................................

เขียนกลอนได้ไม่เหมือนเดิมค่ะ ผู้ชม
นิยายก็เขียนไม่ได้เลย
เรื่องสั้นก็เขียนไม่ออก
บล็อกก็เขียนไม่ได้

ไม่ต้องพูดถึงงาน Thesis ล่ะ อันนั้นยิ่งไปใหญ่....
มือก็แข็ง ดีดเปียโนไม่ได้เหมือนเดิม
อ๊ากกกก เครียด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ช่วยด้วยยยยยยย

เอาแรงบันดาลใจฉันกลับคืนมาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา


วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เรื่องเล่า...จากผ้าใบ









หนึ่งผลงานสร้างสรรค์อันบรรเจิด
แม้จะไม่งามเพริศด้วยสีสัน
แต่เปี่ยมด้วย 'ชีวิต' ไม่ผิดกัน
คือความจริงคือความฝันแห่งวันเยาว์

หากวันหนึ่ง...ไม่พอใจในภาพนี้
เพราะแสงสีอ่อนจางอย่างภาพเก่า
อยากเปลี่ยนแปลงสร้างสิ่งใหม่ให้ 'ตัวเรา'
กลายมาเป็นเรื่องเล่า...ของผ้าใบ

เริ่มแต่งเสริมเติมสีให้จัดจ้าน
แปรงชีวิตผลิตงานอันสดใส
ระบายทับตัวตนไม่สนใจ
ว่าเคยเป็นเฉกเช่นไร...ในรอยกาล

ภาพเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของหล่มโลกย์
ระบายโศก...ตาปรอยรอยยิ้มหวาน
ตวัดแปรง...แสร้งหัวเราะแสร้งเบิกบาน
เติมสำราญ...แต้มโมโห แต่งโกรธา

ภาพชีวิตเปลี่ยนไปไม่ซ้ำซาก
แต่วิญญาณดุจโดนพรากจากสังขาร์
บนผ้าใบ...นั้นคือใครให้คุ้นตา
ลืมไปว่าภาพที่เห็นเป็นตัว 'เรา'

จากภาพจริงสีอ่อนตอนแรกเริ่ม
ถูกแต่งเติมเร่งสีด้วยความเขลา
กิเลสหนามาก่อร่างสร้างแสงเงา
ช่างน่าเศร้า...โอ้ตัวตน อยู่หนใด

กว่าจะรู้ก็กลายเป็นเส้นซ้อนทับ
สนิทแน่นเกินจะกลับไปแก้ไข
คราบติดแน่นซึมซาบอาบแก่นใจ
ผืนผ้าใบ...นำเรื่องเศร้ามาเล่าเอย

................................................

ไม่ได้เขียนมานานเลยนะคะ พี่น้อง กลับมาเขียนอีกที ตอนนี้อาจจะยังไม่เพอร์เฝ็ค แต่ร้างไปนานกว่านี้คงจะไม่ไหวแล้ว สนิมอาจจะขึ้นถาวร เลยต้องกลับมาเขียนกลอนบ้าง อะไรบ้าง ก่อนที่ต่อมงานประพันธ์จะหดหายไปเพราะไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานาน
ความอยากเขียนกลอนบทนี้มันเกิดขึ้นตอนที่เบื่อเขียนงานส่ง เลยหนีไปเล่นโฟโต้ชอปน่ะค่ะ เกิดบ้าๆ ขึ้นมา อยากทำรูปเซ็ตสยองขวัญให้อินเทรนด์กับ musical ที่เล่นชนกันอยู่ขณะนี้ เลยลองเปลี่ยนหน้าตัวเองเป็นรูปวาดดูดิ๊ สยองพอรึเปล่า เปลี่ยนไปหลายๆ ครั้งก็เลยเกิดความคิดว่า...
ตัวตนของคนนั้น แรกเริ่มเดิมทีก็มาด้วยความว่างเปล่า บริสุทธิ์ สดใส กันเป็นส่วนมาก การเลี้ยงดูมีผลต่อความคิด สติปัญญา สามัญสำนึก...และผลจากการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อมในวัยเยาว์ก็ก่อให้เกิดการกระทำ ซึ่งสิ่งนั้นก็มีผลมากๆ  กับ 'ความเป็นตัวตน' ของแต่ละคน
เราอาจจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อสิ่งโน้นสิ่งนี้ ต้องหัดใส่หน้ากาก ต้องดิ้นรนจนขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้จนกลายเป็นคนเก็บกด พฤติกรรมเหล่านี้...ถ้าไม่หัดที่จะชำระบ่อยๆ ก็เหมือนการวาดภาพใหม่ทับลงไปบนภาพเดิมครั้งแล้ว ครั้งเล่า จนในที่สุดก็ยากที่จะพิสูจน์ว่าภาพแท้ๆ แต่ดั้งเดิมคือภาพไหน
ยกเว้นว่าคุณจะทำงานที่พิพิธภัณฑ์ - -'

เม้าท์มาได้เวลา ก็ขอลาจาก วันหลังจะมาเม้าท์ใหม่ จะพยายามหาเรื่องเบาสมองมามั่งนะคะ ^ ^'