วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เขาว่าปู่หนูเป็นผู้มีอิทธิพล

Rating:★★★★★
Category:Other

ตั้งใจจะเขียนบล็อกนี้มาตั้งแต่วันแรกที่กลับมาแล้วค่ะ ดังจะเห็นได้จากวันที่ publish บอกไว้ว่าเป็นวันที่ 23 แต่เป็นบล็อกที่เขียนได้ยากที่สุดในชีวิต เพราะตอนแรกเริ่มเขียน...ความรู้สึกมันตีบตันไปหมด รู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นๆ ท่วมเข้าไปในอกในใจจนหายใจไม่ออก ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ปล่อยใจไปตามความรู้สึกหลากหลายที่พุ่งเข้าหา บล็อกนี้เลยเพิ่งเสร็จเมื่อวันที่ 28 นี่เอง

วันนี้ (วันที่ 23 Dec 2008 ) เป็นวันแรกที่ยิ้มกลับมาสู่มาตุภูมิอีกครั้ง แล้วก็เป็นวันแรกที่ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับครอบครัวมากมายเหลือเกินจน...จนไม่อยากจะเชื่อว่าเราจะไม่มีโอกาสได้รับรู้เรื่องเหล่านี้เลยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ข่าวสารเหล่านั้นทำให้มึนๆ งงๆ ตั้งตัวไม่ค่อยถูก ทั้งที่ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของสัจธรรมแห่งชีวิตธรรมดานี่เอง...เกิด แก่ เจ็บ ตาย...แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทั้งห่วงคนที่ยังอยู่และอาลัยคนที่จากไป จะแสดงความรู้สึกออกมากก็ไม่ได้ จนต้องค่อยๆ มาเขียนระบายเพื่อให้อารมณ์เย็นลง

การเขียนบล็อกยังเป็นมิ่งมิตรของข้าพเจ้าเสมอ...

หนึ่งในเรื่องที่ทำให้อึ้งก็คือยิ้มกลับมาไม่ทันลาปู่ของยิ้มอีกแล้ว T-T ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่อยู่ดีๆ เราก็ต้องจากคนที่เรารักไปชั่วนิรันด์ โดยที่ยังไม่ทันได้พูดจาสั่งเสียกันก่อน เมื่อตอนยิ้มอยู่ ม. 5 ต้องลงไปงานสัมมนาเรื่องสิทธิมนุษยชนกับทางโรงเรียนที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นตาไม่สบายหนัก แต่ยิ้มก็ยังคิดว่ายิ้มจะกลับมาทันคำพูดสุดท้ายของตา ผลปรากฏว่า...กลับมาช้าไปแค่คืนเดียว เสียใจจริงๆ ตั้งแต่นั้นมายิ้มก็แอบตั้งใจไว้ลึกๆ ว่าจะไม่ยอมให้ใครจากไปโดยที่ไม่มีโอกาสได้ร่ำลาอีก และหมั่นเช็คข่าวคราวของญาติผู้ใหญ่อยู่เนืองๆ

กลับบ้านมาครั้งนี้อึ้งไปมิใช่น้อยกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดโดยไม่ได้ตั้งตัว โชคยังดี...ที่ยังมีบันทึกของแม่จ๋าถึงวันที่เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นให้ได้อ่าน นับว่าเป็นวิธีการบอกที่ชาญฉลาด เพราะข่าวสารแทรกซึมเข้าไปทางการอ่านได้ช้ากว่าทางการฟัง ระหว่างอ่านไป...เราก็ได้คิดไปด้วย เลยไม่เกิดปรากฏการณ์สึนามิทางอารมณ์อย่างที่ควรจะเป็น ในบันทึกกล่าวไว้ว่า..สาเหตุที่ไม่บอกให้เรารู้ตั้งแต่แรก เป็นเพราะช่วงที่เหตุการณ์ทั้งหลายแหล่มันประเดประดังเข้ามานั้น สนามบินยังปิดอยู่ แถมยิ้มก็ยังมีงานที่ต้องส่งอาจารย์ค้ำคออย่างนั้น บอกไปก็กลับไม่ได้อีกเป็นสัปดาห์ ถ้ารู้ก็จะยิ่งเครียด กังวล ทำตัวไม่ถูก ซึ่งก็จริง เพราะถ้าข่าวสารทั้งหลายแหล่มาถึงยิ้มในตอนนั้น ยิ้มคงจะเก็บข้าวของ ดร็อปเรียน หาตั๋วใหม่ พยายามเข้าประเทศทางลาว เวียดนาม มาเลย์ สิงคโปร์ อะไรก็ว่ากันไป

วันนี้นั่งอ่านบันทึกของแม่ ที่เขียนถึงวันวุ่นวายในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีข้อความบางข้อความเขียนไว้ว่า

"ผู้ประพฤติธรรม ต้องมีจิตแน่นิ่ง ไม่หวั่นไหวกับสิ่งทีมากระทบจิตใดๆ ปล่อยวาง มองทุกสิ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ"

"คนยังยึดติดกับความมีอยู่ เป็นอยู่ อยู่ร่ำไป หากยังสำนึกได้ก็คงวางใจได้ในทุกเรื่อง หากปล่อยวางไม่ได้ก็ให้เป็นทุกข์อยู่เสมอๆ"
.
.
ยิ้มก็เลยพยายามจะลืม...ว่าการกลับมาครั้งนี้มันสายไปมากมาย มันผ่านมาแล้วคงแก้ไขอะไรไม่ได้ หันมารำลึกถึงภาพดีๆ ภาพที่น่าประทับใจของปู่ของยิ้มแทนดีกว่า และยิ่งแสดงความเศร้าเสียใจออกมาเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลเสียต่อสภาพครอบครัวในตอนนี้มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น...ข้าพเจ้าจะไม่ร้องไห้ ไม่เสียใจ จะไม่เจ็บ ส่วนคนที่อยู่...ก็ต้องสู้กันต่อไป

ดังนั้น...ข้าพเจ้าจะยิ้มไว้และเขียนด้วยจิตที่เป็นบวก นึกถึงแต่ภาพดีๆ ในความทรงจำ และขอให้ดวงจิตของข้าพเจ้าในขณะที่เขียนนั้น สื่อไปถึงปู่ในอีกภพหนึ่ง และบอกให้ท่านรู้ว่า...ยิ้มก็ยังรักและคิดถึงปู่เหมือนกัน ถึงยิ้มจะไม่มีโอกาสแสดงออกเท่าไหร่ และไม่มีโอกาสแสดงออกอีกแล้วก็ตาม

บล็อกนี้ยิ้มขออุทิศให้กับคุณปู่ของยิ้ม ที่เพิ่งก้าวพ้นไปจากโลกที่สับสนวุ่นวาย สู่โลกที่สงบกว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้ แทนความรัก ความเคารพ และความรู้สึกดีๆ ของหลานคนหนึ่งที่กลับมาลาปู่ก่อนการเดินทางไกลไม่ทัน






...................................................................................................................

ก่อนที่จะเล่าเรื่องต่อไป ก็ขอแนะนำ vocabulary คำเมืองเสียหน่อยนะคะ วันนี้ขอแนะนำคำว่า "พ่อหลวง" คำว่าพ่อหลวงนั้น คนไทยอง (คนเมืองด้วย) ใช้เป็นคำเรียกขานผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งปู่ของยิ้มได้รับตำแหน่งนี้มายาว...นาน....จนคนในอำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูนในสมัยสิบกว่าปีถึงยี่สิบปีก่อนค่อนข้างรู้จัก "พ่อหลวงหวัน" กันเป็นอย่างดี สังคมในชนบทก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ ใครเป็นที่ยึดเหนี่ยว หรือศูนย์กลางในชุมชนก็มักจะเป็นอยู่เรื่อยไป

ปู่ของยิ้มเป็นชาวบ้าน เป็นคนยองดั้งเดิมแท้ๆ ที่มีชีวิตต้องดิ้นรน ฝ่าฟัน ปู่เป็นคนมุ่งมั่น เอาจริงเอาจัง ขยันขันแข็ง สร้างเนื้อสร้างตัวจากการเป็นคนตัวเปล่ากับมีดพร้าในมือ ทำทุกอย่างตั้งแต่ขายถ่าน ทำสวน ทำไร่ ตอนยิ้มยังเป็นเด็กๆ พ่อจ๋าเคยขับรถพาขึ้นไปในป่า ที่ตอนนี้กลายเป็นเรือกสวน ตอนนั้นถนนยังเป็นลูกรังอยู่เลย พ่อจ๋าบอกว่านี่เป็นสวนที่พ่อจ๋าเคยอยู่ ตอนเด็กๆ ต้องอยู่ที่นั่นเพื่อหาหน่อไม้ หาของป่ากินไปตามเรื่อง ตอนที่เราไปเยี่ยมเยือนเป็นครั้งแรก ที่ดินผืนนั้นก็ถูกหักร้างถางไปในระดับหนึ่งแล้ว แต่รอบข้างของเรามีแต่ป่า ป่าล้อมสวนจริงๆ ตอนนั้นยิ้มมองสภาพกระท่อมเล็กๆ ยกพื้นใต้ถุนสูงด้วยความทึ่ง จากคนทำงานในป่าในดง ปู่ย่า และลูกๆ พากันก้าวมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ถึงจะเป็นจุดที่ไม่ใหญ่ ไม่มีทรัพย์สินเงินทองล้นฟ้า แต่ก็บอกได้ว่าในยุคสมัยหนึ่ง...ครอบครัวของปู่เป็นยุคทองที่ไม่ได้ขาดแคลนทั้งทรัพย์สินและอำนาจเทียบกับผู้คนทั่วไปในตัวจังหวัดเล็กๆ อย่างลำพูน

ปู่ริเริ่มทำสัมปทานศิลาแลงเป็นเจ้าแรกๆ และปู่ก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่ขุดเอง ขายเอง แต่ปู่รับซื้อจากคนในเครือแล้วเป็นคนกลางขายต่ออีกที เริ่มจากเล็กๆ จนในที่สุดร้านวัฒนศิลาก็มีลูกค้าใหญ่ๆ หลายแห่ง เช่นอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ศรีสัชณาลัยที่ต้องใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุในการก่อสร้างอย่างมากมาย ตอนนั้นพื้นที่ สปก. ที่เป็นสัมปทานหลุมศิลาแลงของปู่ในจังหวัดลำพูนมีอยู่หลายร้อยไร่ ขยายไปเปิดที่แม่แตงอีก บางช่วงทั้งปู่และย่าต้องขึ้นล่องๆ กับรถขนหินสิบล้อระหว่างบ้านที่ลำพูนและหลุมศิลาแลงที่แม่แตงอยู่บ่อยครั้ง บางทีก็นั่งมากับรถสิบล้อแวะมาหาที่บ้านในตัวเมือง ดูทะมัดทะแมงเหมือนคนงานขนหินเลยทีเดียว

ตอนนั้นจำได้ว่า...ปู่ของยิ้มเป็นคนของสังคมจริงๆ นอกจากงานของตัวเองแล้ว ยังวิ่งรอกทำงานคนอื่นด้วยตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นงานวัดงานวา งานหมู่บ้านตำบล อำเภอ จนทำให้เปนที่รู้จักมักคุ้น เวลาปู่จัดงานทำบุญบ้าน งานวันเกิด ทอดผ้าป่าทีไร ลูกหลานหัวหมุนเพราะคนมาร่วมงานเยอะ ต้องต้อนรับกันไม่หวาดไม่ไหว และต้องทำงานกันตัวเป็นเกลียว ยิ่งตอนที่บ้านมีงานบุญที่เรียกว่า 'ปอยหลวง' ที่แต่ละบ้านที่เป็นศรัทธาของวัดนั้นๆ จะเลี้ยงอาหารแขกและญาติพี่น้องที่มาร่วมทำบุญกัน 3-4 วันติดๆ กัน ยิ้มเคยไปนั่งช่วยเขาทำงานอยู่ในครัว โอว...ทอดปลากันทีเป็นร้อยๆ ตัว ซื้อผักมาทำแกงป่าเลี้ยงแขกว่ากันเป็นเข่งๆ (จริงๆ ต้องเรียกว่า หลายๆ เข่ง) ยามมีอำนาจผู้คนก็เข้าออกบ้านไม่ว่างไม่เว้นจนลานศิลาแลงหน้าบ้านมันวับ
.
.
ก็ตามประสาบ้าน 'พ่อหลวง' ในตำบลเล็กๆ จังหวัดเล็กๆ แหละค่ะ
.
.
ปู่เป็นคนกระฉับกระเฉง ว่องไว มีความมั่นใจในตัวเองสูง ยามที่ยังแข็งแรงดีอยู่ไม่ค่อยจะเห็นอยู่ติดบ้านเท่าไหร่ ว่างก็ออกไปทำงานโน่นนี่ ในบ้าน นอกบ้าน ไม่ไปเช็คดูหลุมศิลาแลงก็ไปทำสวนลำไย ไร่กระเทียมไปตามเรื่อง ปู่เป็นคนกว้างขวางตอนนั้นพวกเราจะทำอะไรก็เหมือนจะได้ connection มาจากทางปู่อยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นสั่งไม้ซ่าว (ไม่ไผ่) มาค้ำต้นลำไยในสวน สั่งขี้วัวหลายๆ ลำรถมาใส่สวนลำไย เจาะน้ำบาดาล กิจกรรมทางการเกษตรอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน หรือแม้กระทั่งตอนย้ายบ้านปู่ก็นั่งติดมากับรถสิบล้อเพื่อช่วยขนย้ายของด้วย เรียกได้ว่ากิจกรรมใดๆ ปู่ช่วยได้หมด ทำนองนั้นเลยทีเดียว ภาพที่ติดตายิ้มคือภาพปู่ใส่เสื้อลายๆ เหมือนคนงานหิน + คนสวน...ภาพปู่ในเสื้อยืดขาวกางเกงสะดอยามอยู่บ้าน....ภาพปู่ในเสื้อพระราชทานเวลาเดินสายไปงานบุญงานราชการในจังหวัด เรียกได้ว่าเป็นเหมือนหลายๆ คนในคนเดียวจริงๆ

พ่อหลวงหวันเป็นคนที่ดูดุ (ในสายตาของชาวบ้าน) แต่ปู่เป็นปู่ที่ใจดีในสายตาของหลานๆ อยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งน้ำท่วมเอ่อล้นจากอ่างเก็บน้ำเล็กๆ ในสวนปู่ออกมาเชื่อมกับอ่างเก็บน้ำใหญ่ของทางการที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน ปลาในอ่างเก็บน้ำของปู่ว่ายทวนน้ำออกมายังแหล่งน้ำที่ใหญ่กว่า ชาวบ้านออกมาจับปลาเพื่อไปทำอาหาร แต่พอรถของปู่(ซึ่งยิ้มนั่งไปด้วย) กรายผ่านไป แต่ละคนตาเหลือก ทำท่าตกใจราวกับเห็นอะไรที่น่ากลัวมากมาย ปล่อยปลาและอุปกรณ์จับปลา ยกมือไหว้แทบไม่ทัน พอตรวจสอบสภาพสวนเสร็จวกกลับมาที่เดิม ชาวบ้านก็เปิดแน่บไปแล้ว ปู่หัวเราะ..บอกว่าจริงๆ แล้วก็ไม่ได้คิดจะหวงห้ามอะไร ปลาพวกนั้นก็เลี้ยงไว้เฉยๆ ใช่ว่าพวกเราจะจับไปทำอาหารกินเองเสียเมือไหร่ ให้เป็นทานก็ย่อมได้

เล่ามาตั้งนาน..ยังไม่ถึงประโยคที่เป็นหัวเรื่องเลย ประโยคนี้เกิดขึ้นในหัวตอนที่ที่ดินของปู่กำลังจะถูกรวมเข้าในโครงการอนุรักษ์ป่าแม่อาว ก็เข้าใจอยู่ว่าโครงการนี้เป็นโครงการเพื่อการอนุรักษ์ป่าไม้ แต่นั่นแปลว่าเราจะเสียที่ดินประมาณ 200 ไร่ไปเลย >_< ช่วงนั้นพ่อจ๋า แม่จ๋า วิ่งเข้าออกกรมป่าไม้เพื่อขอคำปรึกษากันเป็นว่าเล่น มีอยู่ครั้งหนึ่งแม่จ๋าเข้าไปปรึกษาเรื่องที่ดินกำลังจะถูกรวมในโครงการ ว่าพอจะทำอย่างไรให้เก็บที่เอาไว้ได้บ้างเพราะว่าจับจองกันมานานแล้ว ยิ้มก็เข้าไปนั่งในห้องทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นเพื่อนแม่จ๋าด้วย ตอนนั้นก็ยังเด็ก ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เจ้าหน้าที่ก็พูดถึงที่ดินของคนโน้นคนนี้ ยกกรณีตัวอย่างมาอธิบายประกอบ และได้พูดถึงที่ดินของ "นายหวัน แสงผึ้ง" ตอนนั้นแม่ก็ทำเนียน ถามเขาไปว่าแล้วนายหวันนี่เป็นใคร ไม่ได้แสดงตนว่าเกี่ยวข้องอันใดกับบุคคลที่กล่าวมา เจ้าหน้าที่ตอบมาว่า "เป็นผู้มีอิทธิพลในท้องที่" มือที่กำลังเล่นอะไรไปเรื่อยๆ ของยิ้ม ชะงักทันที

"หา...ปู่หนูเนี่ยนะ เป็นผู้มีอิทธิพล - -' บ้าหรือเปล่า" <---- data-blogger-escaped-br="br">
"เป๋นอะหยังนะเจ้า" <---- data-blogger-escaped-br="br">"เป๋นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นครับ" <---- data-blogger-escaped-br="br">
โอ้..นี่เค้าคิดกันอย่างงี้เหรอ ยิ้มนึกขำในใจ

ตอนนั้นสมองเด็กๆ เชื่อมโยงคำว่า 'ผู้มีอิทธิพล' กับพวกมาเฟีย นักเลงท้องถิ่น ซึ่งปู่ของข้าพเจ้าก็ยังห่างไกล แต่หลังจากนั้นมา...ยิ้มก็เริ่มรับฟังข่าวสารที่ชาวบ้านพูดถึงครอบครัวเรามากขึ้น ทำให้พบว่า...ในสังคมแบบท้องถิ่น (ชนบทนั่นแหละ) ข่าวสารถูกขยายให้ฟังดูเกินจริงได้มากกว่าในเมือง หรืออาจจะพอๆ กับสื่อวงการบันเทิงพวกซุบซิบดารากันเลยทีเดียว ข่าวที่ลือกันไปปากต่อปากนั้นมีมากมายหลายแขนงเช่น

- พ่อหลวงหวันก็ใกล้ๆ มาเฟียนั่นแหละ มีมือปืน พกปืนด้วย ใครอย่าไปทำให้โกรธเน้อ (จริงๆ แล้วปู่ก็มีไว้ป้องกันตัวกระบอกเดียวอ้ะแหละ = =' ตอนได้ยินข่าวขำก๊ากกันทั้งบ้าน)

- พ่อหลวงหวันขายที่ได้หลายล้าน รวยนะเนี่ย รวยไม่แบ่งปัน ทำซุ่มเงียบ ( = =' ได้ข่าวว่าเพิ่งสูญที่ที่จับจองมาเป็นสิบๆ ปี จนมีเอกสารเรียบร้อยให้โครงการหลวงไป ตอนที่ข่าวลือนี้แพร่สะพัด ปู่ยังเฮิร์ตไม่หายเลย)

- และอื่นๆ อีกมากมาย จำรายละเอียดไม่ได้ จำได้แค่ว่าได้ยินทีไร ปู่อิฉันจะใกล้เคียงคำว่ามาเฟียเข้าไปทุกทีๆ แล้ว
.
.
ซึ่งมันห่างไกลจากภาพที่เราคุ้นเคยกันมากมาย แต่พวกเราก็ไม่ได้สนใจว่าข่าวจะออกมาเป็นยังไง เพราะเรารู้ดีว่าความจริงเป็นยังไง ข่าวมาทีไรก็หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง แต่ก็เป็นธรรมดาของสังคมชนบท ข่าวเล่าปากต่อปากผ่านมา...แล้วก็ผ่านไป ไม่มีอะไรอยู่นาน
.
.

ในวันหยุดที่ไปนอนบ้านปู่ บ้านย่า ปู่จะขนเอาพระเครื่อง ของสะสมออกมาวางตั้ง แล้วเล่านิทาน ตำนานเก่าๆ ให้หลานๆ ฟัง เวลาถูกใจอะไรปู่ก็จะหัวเราะดังๆ แสดงถึงความเป็นคนอารมณ์ดี แล้วเวลาอารมณ์ดีหลานๆ ก็ได้ค่าขนมติดมือไปด้วยบ่อยครั้ง ตอนเด็กๆ ที่พ่อจ๋าต้องออกนิเทศก์ตามต่างจังหวัดในภาคเหนือบ่อยๆ ยิ้มต้องอยู่กับแม่จ๋าและป้าจ๋าที่มาช่วยดูแลกันตามประสาผู้หญิงสามคน ปู่เคยขับรถมาจากลำพูนเข้ามาในเชียงใหม่พร้อมกับย่า แล้วสัญญาว่าจะพายิ้มไปกินข้าวนอกบ้านตามร้านอาหารในเชียงใหม่ให้ครบร้านที่ดังๆ ในยุคนั้น ถึงจะเป็นการดูแลนิดๆ หน่อยๆ แต่ตอนนั้นก็ทำให้โลกเหงาๆ ของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งสดใสขึึ้น และมีช่วงเวลาที่ตั้งตารอคอย
.
.

แต่โลกนี้ไม่เที่ยง...ปู่ที่แข็งแรง กระฉับกระเฉง อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ก็ต้องพบกับวงจรธรรมชาติชีวิต มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ แล้วก็สูญสิ้นแตกดับไปตามวันเวลา ช่วงเวลาในปีสุดท้ายของปู่ ปู่คนที่ใจแข็ง มั่นใจมากมายพร้อมรอยยิ้มสุกใส ประกายตามุ่งมั่นหายไป เหลือเพียงคนธรรมดาที่รอคอยการกลับมาของลูกหลานอย่างเหงาๆ ปู่นั่งเงียบๆ อ่อนแรง รอการดูแล สองเท้าที่เคยเดินฉับๆๆ กลับต้องค่อยๆ ก้าวย่างทีละนิดๆ อาหารที่เคยกินได้หลากหลาย ก็กลายเป็นข้าวต้ม หรือข้าวสวยกับอาหารอ่อนๆ อย่างเนื้อปลา บ้านที่เคยคึกคักมีคนเข้าออกไปมาหาสู่ตลอดเวลากลับเงียบเหงา ลานศิลาแลงที่เคยมันวับ ตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงที่ปลิวมาจากถนนใหญ่

ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเกิดขึ้นในระยะเวลาแค่ 10 ปี ชีวิตของคนเรานี้คือความไม่เที่ยงจริงๆ แม่จ๋าบอกว่า...เมื่อประมาณเดือนก่อนปู่ถามถึงยิ้ม แม่จ๋าบอกว่ายิ้มสบายดีไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยิ้มเอาตัวรอดได้เสมอ

ปู่พยักหน้ารับเบาๆ ด้วยท่าทีอ่อนแรง

เพราะปู่จะเป็นคนที่ห่วงยิ้มมากเป็นพิเศษ ปู่บ่นที่พ่อกับแม่ยอมให้ยิ้มเดินทางคนเดียว ปู่ถามข่าวคราวทุกครั้งที่ดูข่าวทางหน้าจอโทรทัศน์แล้วทราบข่าววินาศกรรมและภัยธรรมชาติทางอังกฤษ (หรือแม้กระทั่งยุโรป)
.
.
หลับให้สบายนะจ๊ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้เลยจริงๆ ยิ้มอาจจะไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากที่สุด เพราะยิ้มไม่มีทางที่จะมีความกระตือรือร้น หรือความพยายามได้มากเท่าปู่ แต่ยิ้มก็ไม่มีทางยอมให้ชีวิตตัวเองตกอับหรอก ประเด็นนี้ปู่มั่นใจได้เลย
.
.
และแม้ว่าภาพสุดท้ายที่ยิ้มเห็นในปีก่อน จะไม่ใช่ 'พ่อหลวงหวัน' คนแรกที่รู้จักเมื่อครั้งยังเด็ก แต่ภาพในใจของยิ้มก็ยังคงจะถูกพิมพ์ไว้ด้วย 'พ่อหลวง' คนหนึ่ง ที่มีแววตาสุกใส เข้มแข็ง เสียงหัวเราะก้องกังวาน ท่าทีกระฉับกระเฉง ไม่กลัวใคร คนนั้น ตลอดไป...

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2551

บันทึกวันขาดน้ำ 5/12/2008 - บันทึกไร้สาระ

Rating:★★★★★
Category:Other
งานชิ้นที่ 1 หลุดจากมือกระเด็นไปหาซุปแล้วก็ทำซ่า มาเขียนบล็อกเชียวนะ
แต่เอาเหอะ...แก้เครียดๆ ช่วงที่่ผ่านมาความเครียดจุกอกยิ่งกว่าไขมันอีกค่ะ คุณผู้อ่าน

สิ่งที่มีอยู่ใกล้ตัว บางทีเราก็มองไม่เห็นคุณค่า ทิ้งๆ ขว้างๆ พอถึงวันที่ไม่มีของสิ่งนั้น เอาล่ะสิ...ทรมานทรกรรมเหลือเกิน ภาพวันเก่าๆ ที่เคยมีของสิ่งนั้นย้อนกลับมาชวนให้น้ำตาไหล...

วันนี้อิฉันก็น้ำตาไหลเหมือนกันค่ะ...T_T
แต่น้ำตาไหลให้ตาย น้ำก็ไม่ยอมไหล ฮือๆ ๆ ๆ
ใช่แล้วค่ะ วันนี้ไม่มีน้ำใช้..หวนให้นึกถึงวันก่อนๆ ที่เราเปิดน้ำใช้อย่างฟุ่มเฟือย..

10.30 น. นาฬิกาปลุกรอบที่ 2 จะตบให้มันเงียบอีกทีก็ดูกระไรอยู่ เมื่อวานกว่าะข่มตาให้หลับได้ก็ตั้งเกือบตีสี่ เพราะแหกตาปั่นงานถึงตีสองกว่าๆ ลุกขึ้นมา ลัลล้า เข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัว กว่าจะเสร็จสิ้นออกมาก็ 11 โมง

11.30 นั่งอืดๆ หน้าคอม เปิดหน้าจองานขึ้นมา แม่เจ้า...ไม่มีอารมณ์ทำเลย ง่วงง่ะ เอาซีเรียลออกมานั่งกิน + สาหร่ายอัดเม็ด 3 เม็ด มื้อเย็นค่อยกิน 5 เม็ดละกัน ช่วงนี้ท้องผูก ต้องอาศัยสาหร่ายเม็ดช่วยแล้วล่ะ กินทีไรทำธุระคล่องมาก...

12.00 นึกได้ว่ามีนัดต้องไปเอาจักรยานที่อดีตแฟลตเมตทิ้งให้ไว้ก่อนกลับญี่ปุ่น ก่อนออกไปจากบ้าน เอ๊า....น้ำไม่ค่อยไหลแล้ว อื่ม แต่คงไม่นานหรอก วันก่อนก็ปิดน้ำแค่ 2 ชม. เอง คงไม่ต้องตวงน้ำกระมัง ว่าแล้วก็แล่นรุดออกไปในทันที วันนี้เดินเข้าเมืองดีกว่า สำรวจทางจักรยานไปด้วยในตัว เวรกรรม หิมะที่ตกวันก่อนยังไม่ละลาย ขี่จักรยานกลับมาจะล้มหัวฟาดมั้ยเนี่ย รถก็เยอะอีก

13.00 ไม่น่าเดินเข้าเมืองสำรวจเส้นทางให้เสียเวลาเลยตู - -' จักรยานยางแบนเชียว ขี่แทบไม่ได้

14.00 ไปยืมสูบลมพี่เต่ามา...โอ ขนาดเล็กกระชับจับถนัดมือ ไม่เคยใช้สูบเล็กขนาดนี้มาก่อนเลย แบบว่าที่บ้านเป็นแบบเอาเท้าเหยียบแล้วเอามือสูบขึ้นลงๆ ๆ ไหนลองหน่อยซิ เฮ้ย...ทำไมลมมันออกมาหมดเลยล่ะ ฮือๆ ๆ ๆ จากที่แบนแต๊ดแต๋ ตอนนี้แบนแต๊ดดดดดดดดด แแแแแแแแแแแแต๋ต๋ต๋ต๋ต๋ เลย

15.00 ก็เพราะไม่เคยใช้ เลยปลุกปล้ำนานไปหน่อย กว่าจะสูบเสร็จก็นาน - -' แถมมือยังเลอะไปหมดเสียอีก ก็แหม..ฝนตกพรำๆ มาตั้งแต่หัวบ่าย โคลนงี้ เต็มไม้เต็มมือ เข้าห้องน้ำ เปิดก๊อก

กรี๊ดดดดดดด น้ำไม่ไหล

เอาวะ เอาน้ำดื่มที่มีในห้องมาล้างมือไปก่อน ยังไงเสียเขาก็คงปิดท่อไม่นาน

17.00 เช็คเมลก่อนซิ ซุปเมลมาทวงงานหรือยัง ยังทำไม่เสร็จเลย ฮือๆ ๆ ผลปรากฏว่า เมลของซุปไม่มี มีแต่เมลของ College Admin ส่งมาว่าท่อเสียหายมากกว่าที่คิด ยังเปิดน้ำไม่ได้ ถ้าต้องการใช้ด่วนให้ไปที่ College ข้างเคียง สงสัยอะไรให้ถามคุณพนักงานรักษาความปลอดภัยเอา อ้าวววว ไหงทำอย่างนี้ล่ะคะ

18.30 งานขยับไปนิดนึง หิวแล้ว...แต่ไม่มีน้ำดื่ม เดินออกไปซื้อน้ำมา 5 ลิตร เพราะดูท่าแล้วน้ำไม่มีทีท่าว่าจะมาเลย ระหว่างทางก็แวะเข้าห้องน้ำที่ Vanburgh College 1 รอบ

19.00 น้ำยังไม่มา แต่ยังไงก็ต้องทำกับข้าวกินละ เอาวะ เอาของแบบที่โยนๆ เข้าเตาอบละกัน จะได้ไม่ต้องเปลืองหม้อไหมาก ไม่มีน้ำล้าง เผลอๆ อาจจะซ่อมไม่เสร็จในวีคเอนนี้ก็ได้ ฮือๆ ๆ ๆ ๆ ตอนแรกจะเทสาหร่ายอัดเม็ด 5 เม็ดลงปาก แต่ชักกลัวๆ ว่าถ้าหายท้องผูกแล้วดันคล่องปรู๊ดตามสรรพคคุณที่เขาโฆษณาไว้ อิฉันซวยแน่นอน ว่าแล้วก็เทกลับใส่ขวดเหมือนเดิม

21.54 ส่งเมลไปหาซุป เย่ๆ ๆ ๆ ๆ งานพ้นมือไปแล้ว ดีใจจัง

22.00 ทางบ้านโทรมา คุยไปสักพักก็เริ่มอยากเข้าห้องน้ำอีกรอบ..จริงๆ หมักไว้ในห้องน้ำในห้องก็ได้ เราใช้คนเดียว แต่เป็นคนโรคจิต...ยอมเดินไปเข้าห้องน้ำไกลๆ ดีกว่าจะให้ห้องน้ำสกปรก ก็เลยเดินออกไปจนได้

22.15 หาห้องน้ำใน Goodricke คอลเลจที่อยู่ใกล้ๆ ไม่เจอ เดินเลยไป Vanburgh ก็ได้ฟะ ไกลออกไปอีกนิด...หนาวก็หนาว ทางเดินก็แฉะ เฮ้อ

22.30 เกิดสงสัยขึ้นมา ว่าเขาซ่อมท่อไปถึงไหนกันแล้ว ผู้คนที่เดินมางานคอนเสิร์ตที่ Vanburgh เข้างานไปหมด ทางเดินริมทะเลสาบเงียบสงัด ลมโบกโบยพัดวิลโลว์แกว่งไหวเหมือนนิ้วปีศาจกรีดกราย เหวยๆ ก็น่ากลัวเหมือนกันแฮะตอนนี้เรามี 2 ทางเลือก

1. กลับห้อง อย่าทำตัวให้เหงื่อออกมาก เผื่อน้ำไม่มา จะได้ไม่ต้องทนหมักตัวเองนานๆ

2. เดินไปดูเขาซ่อมท่อ ถ้าหน้าไม่บางก็ถามไปตรงๆ เลยว่าเมื่อไหร่จะซ่อมเสร็จ

ว่าแล้วต่อมอยากรู้อยากเห็นก็ชนะ อิฉันเดินฝ่าความมืดไปในถนนเปลี่ยว ไร้ผู้คน ผิดจากธรรมชาติวันศุกร์นัก เดินผ่านหลังแลบไบโอ อื่ม...เงียบดี เหมาะแก่การลากเหยือมาฆาตกรรม หรือไม่ก็ดูดเลือดเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย (หากคุณเป็นแวมไพร์)

พระเจ้า...นี่เราทำอะไรลงไปเนี่ย คิดๆ ไปขณะเดินผ่านเนินหญ้าหน้า Department of Music วันนี้เงียบจัง คนหายไปไหนหมด ต้องหาเรื่องมาคิดๆ ๆ ๆ ๆ ในหัวให้ไม่รู้สึกหวิวๆ เลยคิดไปว่า.....

ทำตัวอยากรู้อยากเห็นไม่เข้าเรื่องแบบนี้..ถ้าอยู่ในหนังจะเป็นตัวละครตัวไหนน้า...

1. ตัวประกอบเกรด B อยากรู้อยากเห็นไม่เข้าท่า แล้วก็ตายก่อนด้วย เดินมาเปลี่ยวๆ มืดๆ เดี๋ยวก็โดนฆาตรกรต่อเนื่องลากไปหั่นเป็นชิ้นๆ

2. นางเอกสิคะ ความอยากรู้อยากเห็นเป็นคุณมบัติของนางเอก อยู่ในห้องดีๆ ไม่ชอบ ต้องลงมาเดินท่อมๆ คนเดียวมืดๆ เพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง เช่น...คนซ่อมท่อน้ำจะซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ เดี๋ยวคนซ่อมท่ออาจจะกลายเป็นซอมบี้ขึ้นมาจากหลุมไล่ฆ่า แต่ยังไงก็ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวพระเอกก็มาช่วยทัน

3. มันคือ...ฆาตรกรโรคจิตเป็นโรคบุคลิกซ้อนทับหรืออะไรทำนองนั้น..จริงๆ เป็นคนซ่อมท่อบึกบึน แต่ก็คิดว่าตัวเองเป็นนักเรียนในหอสาวสวยที่ทรมานเพราะขาดน้ำ เดี๋ยวพอมองเห็นอุปกรร์ขุดท่อก็จะนึกออกเองว่าชาติกำเนิดคืออะไร เป็นหนังแนวหักมุมเกรด C นักวิจารณ์ด่าเพียบ

22.45 หยุดคิดฟุ้งซ่านแล้วชะโงกดูในหลุมขุด พระเจ้า..เค้าทำงานหนักกันจริงๆ ด้วย ไม่กล้าถามเลยว่าจะเสร็จกี่โมง เดี๋ยวจะเหมือนไปเร่งเขา อ้ะๆ ๆ ๆ เรากลับหอไปนั่งรออย่างสงบดีกว่า ตราบใดที่เขายังไม่หยุดทำงาน เราก็โอเค ไม่ควรจะบ่นมาก นี่เขาทำงานล่วงเวลานะเนี่ย...

23.15 กลับมาถึงห้อง..พยายามแปรงฟัน + ล้างหน้าด้วยน้ำ 2 ถ้วย (ชา) ทำได้ด้วยแฮะ เดี๋ยวจะปรับระดับวิชาให้ advance ขึ้นด้วยการอาบน้ำ 5 ขัน..

23.25 กรี๊ดดดด น้ำมาแล้ว T-T พ่อเจ้าประคุณทูนหัวพนักงานซ่อมท่อของอิฉัน คุณทำได้...คิดว่าต้องซักแห้งซะแล้ว

.
.
.
หนีไปเอนจอยกับชีวิตทีมีน้ำใช้ก่อนดีกว่า