วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สาวเหนือ

Rating:★★★★★
Category:Other


แสดงความยินดีกับยิ้มหน่อยนะคะ

แรงบันดาลใจที่มันหายหน้าหายตาไปนาน...เริ่มเดินทางกลับมาเข้าสู่ตำแหน่งเดิมแล้วค่ะ จะเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานหรือไม่ ตัวยิ้มเองก็ยังไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้มีแรงเขียนบล็อกแล้ว ก็เป็นการเริ่มต้นอันดี เพราะจากการเก็บสถิติจากสิ่งที่ผ่านมา พอเริ่มมีแรงเขียนบล็อก งานการอื่นๆ ก็จะตามมาในไม่ช้า ว่าแล้วก็มาเขียนบล็อกด้วยความสุขใน multiply เช่นเคย เย้ ๆ ๆ

บังเอิญวันนี้อ่านอะไรเล่นๆ ไปตามเวบบอร์ดในอินเตอร์เนต เริ่มจากข่าวสารบ้านเมือง ข่าวบันเทิง ประวัติศาสตร์ บอร์ดพลังจิต แล้วก็มาจบลงที่บอร์ด Lannaworld (ได้ยังไงก็ไม่รู้) อ่านมาหลายเรื่องก็ชวนให้ความคิดแตกแขนงไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆ ก็นึกถึงคำพูดที่เคยได้ยินมาจนเจนหูเช่น "หนุ่มใต้สาวเหนือ" "หนุ่มใต้ใจดำ" และอื่นๆ ที่ฟังดูแล้วพอจะทำให้คนฟังสรุปได้ว่า "หนุ่มใต้" ช่างดูไม่น่าพิศวาสสำหรับสาวเหนือผู้บอบบาง อ่อนแอเอาเสียเลย

อารัมภบทมายืดยาว สรุปใจความได้ว่าวันนี้จะพูดถึงสาวเหนือ และรักข้ามวัฒนธรรมน่ะค่ะ

แต่คงต้องใส่หมายเหตุเอาไว้หน่อยนะคะ ว่าหนุ่มใต้ในบริบทนี้..ไม่ได้หมายถึงภาคใต้ของประเทศไทย The Land of Smile ในปัจจุบันนี้ หากแต่หมายถึงหนุ่มที่พูดภาษา "กลาง" ที่มาจากจังหวัดที่อยู่ใต้ "สุโขทัย" ไปเลยต่างหากล่ะ

ล้านนา และสยาม (อาจจะรวมถึงล้านนาและอยุธยา หรือล้านนาและสุโขทัยด้วยก็ได้) มีปฏิสัมพันธ์กันมาแต่เนิ่นนานมาแล้ว เนื่องเพราะความสัมพันธ์ทางการทูตของกษัตริย์หรือพ่อเมือง (ไม่ว่าจะเป็นแบบมิตร หรือแบบประเทศราช) ดังนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาชนก็ย่อมจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กันอยู่เนืองๆ ไปด้วย

แม้ว่าบริบททางสังคม ความเชื่อ รากเหง้าของขนบธรรมเนียมจะแตกต่างกันอย่างค่อนข้างเห็นได้ชัด แต่ความรักระหว่างหนุ่มสาวสองสังคมก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่เนืองๆ คู่ที่ประสบความสำเร็จคงไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงนัก แต่คู่ที่ล่มสลายลงจบด้วยด้วยร้าวรานก็ถูกนำมายกตัวอย่างให้ลูกหลานได้รับรู้ และตัวอย่างเหล่านั้นก็ถูกนำมาแต่งเสริมเติมสีให้ดู 'ดราม่า' และ 'จัดจ้าน' ขึ้นด้วยการแต่งเป็นบทละคร บทกวี และตำนานต่างๆ

เรื่องราวความรักแต่ละครั้งที่ถูกนำมาเล่าสืบต่อกันมาก็ไม่ได้เป็นรักที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเลยสักนิด บางเรื่องเล่าก็ว่าสาวเหนือน่าสงสาร ด้วยความซื่อ ความจงรักภักดี สาวๆ เลยโดนทำร้ายจิตใจโดยหนุ่มใต้อยู่เนืองๆ บ้างก็ว่าสาวเหนืออันตราย เพราะคนแถวนี้มีความเชื่อเรื่อง'ผีกะ' ที่สืบทอดจากรุ่น สู่รุ่น จีบสาวเหนือสุ่มสี่สุ่มห้าอาจได้ทายาทผีกะ (ละม้ายๆ ความเชื่อเรื่องปอบ) มาเป็นคู่ก็ได้

โอ๊ย...มากมายร้อยแปด จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ยิ้มก็คิดว่าอาจจะเป็นกุศโลบายของคนโบราณที่ไม่อยากให้เกิดรักข้ามวัฒนธรรม ให้ลูกหลานต้องมาเจ็บช้ำกันภายหลังก็ได้มั้ง

ยิ้มเองก็ไม่ได้รู้เรื่องราวความรักระหว่างหนุ่มใต้สาวเหนือมากมายเท่าไหร่ แต่ใคร่ขอรวบรวมเรื่องเล่าความรักข้ามพรมแดนฮีต - ป๋าเวณีมาเล่าสู่กันฟังดังนี้เน้อเจ้า...

1. นางสร้อยฟ้า + พระไวย



จริงๆ ท่านพ่อของพระไวย(พลายงาม) คือขุนแผนก็มีสัมพันธ์กับสาวเหนือคือนางลาวทองมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าโฟกัสของเรื่องราวตอนนั้นจะไปลงที่แม่หญิงพิมพิลาไลย ก็เลยไม่ค่อยเน้นให้เห็นถึงความต่างรีตต่างรอยกันเท่าไหร่ มาถึงรุ่นลูก บทกลอนนั้นแสดงให้เห็นถึง 'ความไม่เข้ากัน' มากกว่า

เรื่องราวเล่าว่าพระไวยได้หมั้นหมายกับนางศรีมาลาลูกของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อยู่แล้ว ส่วนนางสร้อยฟ้าเป็นธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ ถูกกวาดต้อนลงมาเป็นเชลยและพระพันวษาทรงยกให้พระไวยไปตบแต่งเป็นอีกเมียหนึ่ง

ตอนนี้ก็ให้นึกเห็นใจนางสร้อยฟ้าไม่หยอก อยู่เชียงใหม่ได้เป็นถึงธิดาเจ้าเมืองแต่มาถึงกรุงอโยธยากลับกลายเป็นแค่เมียของข้าราชการในยศ 'จมื่น' แถมยังไม่ได้เป็นเมียเอกด้วย จริงๆ พระไวยก็ไม่ได้ยศต่ำต้อยอะไรหรอกนะคะ แต่เลือดขัตติยะนารีที่โลดแล่นอยู่ในร่าง สมควรจะทำให้เธอได้เป็น 'เจ้าสร้อยฟ้า' หากชะตากลับทำให้ต้องกลายมาเป็นแค่ 'นางสร้อยฟ้า' ธรรมดาๆ

ที่มาของเรื่องราววุ่นวายมีอยู่ว่าวันนั้นสาวๆ ในบ้านพระไวยทำขนมเบื้องกัน ด้วยความต่างรีตต่างรอย...นางสร้อยฟ้าจึงทำขนมเบื้องได้ไม่บางกรอบเท่าคนอื่น(ถ้าให้ทำขนมอย่างอื่นคงถนัดกว่าเนอะ อย่างหนมจ๊อก หนมเกลือ หนมปาด ^ ^' ) พลายชุมพลน้องของพระไวยจึงหัวเราะ ล้อเลียนว่าขนมของนางดูเหมือนแป้งจี่มากกว่า นางสร้อยฟ้าก็นึกอายเลยโต้เถียงทะเลาะกัน นางทองประศรีผู้เป็นย่าก็เข้าข้างหลานอีกตามเคย นางสร้อยฟ้าก็เลยน้อยใจ แถมมีเรื่องทะเลาะกันทีไร พระไวยก็ตบตีนางเข้าข้าง 'คนไทย' ด้วยกันทุกที นางเลยอาศัยมนต์ดำทำให้พระไวยหลงรักเสียเลย (อันนี้ก็ไม่ดี เข้าสู่ด้านมืดเกินไปแล้ว - -')

เรื่องเลยจบลงด้วยความร้าวราน พลายชุมพลออกโรงแก้ไขไสยดำ นางทั้งสองต้องมาลุยไฟพิสูจน์ความบริสุทธิ์กัน นางสร้อยฟ้าก็โดนไฟลวกไปตามระเบียบ ถูกสั่งประหารแต่ท้ายที่สุดก็ได้ลดโทษเป็นส่งกลับเชียงใหม่ไป (แต่นางอาจจะพอใจก็ได้นะ เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องทนอยู่ให้ใครรังแก)

ก็เข้าใจว่าในบทละครต้องมีตัวร้าย ในบทกลอนก็เล่าเสียให้เห็นภาพว่านางสร้อยฟ้านี่เลวจริงๆ ดูหนังไทยเรื่องขุนช้างขุนแผนยุคอำภา ภูษิต นางสร้อยฟ้าก็ถูกนำมาสร้างให้ดูร้ายยยยย ร๊ายยยยยย ร้ายยยยยยยยยยย แบบไม่มีเหตุผล

แต่เราสงสารนางสร้อยฟ้านะ ทำไมไม่มีใครนำบทกวีมาตีความใหม่เลยอ้ะ ความนัยที่ซ่อนไว้ไม่มีใครสนใจเลยเหรอเนี่ย ถ้าลองเอาใจตัวเองไปใส่ในตำแหน่งของนางสร้อยฟ้าคุณจะรู้สึกยังไงคะ จากที่เป็นถึงเจ้าหญิงถูกตีจนเมืองแตก ลดขั้นมาเป็นเมียน้อยสามัญชนแถมโชคร้ายไม่มีคนรักคนเข้าใจอีก แม่ผัวก็รักสะใภ้เอกมากกว่า ผัวก็รับไว้ด้วยเห็นว่าเป็นบรรณาการมากกว่าจะรักจริงๆ เฮ้อ....แต่นางก็ทำไม่ถูกแหละ ที่ตัดสินใจเข้าหาด้านมืด แทนที่จะเอาความดี ความอดทนเข้าสู้ เลยกลายเป็นตัวร้ายไปตามระเบียบ

เรื่องนี้...สาวเหนือเลยถูกทำให้ดูเป็นพวกคลั่งมนต์ดำ ไสยเวทย์ นอกรีต นอกศาสนาไปเสีย เฮ้อ..

2. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี



คู่นี้ยิ้มเคารพค่ะ ไม่เขียนบรรยายมากก็แล้วกันเพราะส่วนมากกน่าจะรู้จักกันดี คู่นี้ต่างจากคู่อื่นๆ ที่กล่าวถึงเพราะเป็นคู่ที่มีจริงๆ มีบันทึกยืนยัน

สมัยที่พระราชชายา เจ้าดารารัศมีถูกส่งไปบางกอกนั้น เป็นสมัยที่สยามกับล้านนากำลังจะถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งฟ้าดินเดียว (อ่านนวนิยายเรื่องหนึ่งฟ้าดินเดียวของคุณกฤษณา อโศกสิน จะได้เข้าถึงอารมณ์มากขึ้น) เจ้าดารารัศมีจึงถูกส่งไปเป็นพระชายาในองค์พระเจ้าอยู่หัว

ช่วงแรกๆ ก็มีหนังสือ สิ่งตีพิมพ์ต่างๆ ที่เขียนตามคำบอกเล่าของคนในสมัยนั้นเหมือนกัน ว่าช่วงที่พระราชชายาฯ ไปถึงใหม่ๆ ก็โดนกลั่นแกล้ง กระแนะกระแหนไม่น้อย เพราะความ 'ต่าง' ทางวัฒนธรรม การแต่งกาย ทรงผม การกินอยู่ และอะไรต่างๆ แต่ด้วยความอดทนจึงทำให้ผ่านพ้นมาได้ ยังดีนะคะ ที่จบด้วยดี พระราชชายาฯ ได้รับการยกย่องตามสมควร พอพ่ออยู่หัวฯสวรรคต พระราชชายาฯ ก็กลับมาพัฒนาเชียงใหม่ต่อไป

อาจจะไม่ใช่ความรักที่โรแมนติกหรือเป็นละครที่จัดจ้าน แต่เป็นการใช้ชีวิตคู่ข้ามพรมแดนประเพณีที่เกิดขึ้นจริงๆ ด้วยกลการเมือง

3. สาวเครือฟ้า/สาวบัวบาน



สองเรื่องนี้ดราม่าสุดๆ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ได้รับการกล่าวถึงอยู่เนืองๆ

เริ่มต้นด้วยร้อยตรีพร้อมมาหลงรักเครือฟ้า ได้สาวเจ้าจนมีลูกชายแล้วก็ต้องกลับไปทำธุระที่กรุงเทพฯ หายหน้าไปนาน กลับมาอีกทีก็พาเมียตบเมียแต่งมาด้วย ปล่อยให้เครือฟ้าต้องช้ำใจ ร้องไห้ รู้สึกสิ้นศักดิ์ศรีจนต้องใช้มีดประจำตระกูลเชือดคอตัวเองตายล้างอาย

เรื่องของสาวบัวบานก็ไม่ต่างกันนัก แต่เป็นเรื่องจริงที่เล่าต่อกันมา บัวบานรักกับหนุ่มใต้ ได้เสียกันจนตั้งท้อง แต่กลับถูกทิ้งไปไม่ใยดี ครั้นจะอุ้มท้องคนเดียวก็ต้องอับอายชาวบ้าน เรื่องเล่าจบท้ายลงด้วยบัวบานกระโดดน้ำตกห้วยแก้วฆ่าตัวตาย จนน้ำตกชั้นนั้นถูกเรียกว่าวังบัวบาน

สองเรื่องนี้โด่งดังเป็นตำนานเลยทีเดียว เอ...แต่มีที่มาที่ไปอย่างไรกันนะ จริงๆ แล้วสาวเครือฟ้าเป็นบทประพันธ์ของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ค่ะ ดัดแปลงมาจากเรื่อง Madame Butterfly หรือ โจโจ้ซัง สาวญี่ปุ่นที่หลงรักนายพลพิงก์เคอร์ตันนายทหารอเมริกัน และจบลงด้วยความสูญเสีย เพียงแต่นำมาดัดแปลงให้เป็นสาวเหนือก็แล้วกัน

ส่วนสาวบัวบานนั้นเป็นเรื่องจริงค่ะ เกิดเมื่อประมาณปี 2400 ปลายๆ ใกล้ๆ จะ 2500 ว่ากันว่าบัวบานเป็นครูที่โรงเรียนดาราวิทยาลัย หลุมฝังศพของบัวบานก็ยังมีอยู่จริงที่สุสานบ้านเด่น


4. เจ้าหญิงชมชื่น/ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม พระโอรสในรัชกาลที่ 5 และที่มาของเพลงลาวดวงเดือน

"โอ้ละหนอ....ดวงเดือนเอย...พี่มาเว้า รักเจ้าสาวคำดวง
โอ้ว่าดึกแล้วหนอ...พี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นห่วง รักเจ้าดวงเดือนเอย"

เพลงที่หวานซึ้งติดตรึงหูนี้ เกิดขึ้นจากรักที่ไม่สมหวังของกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมและเจ้าหญิงชมชื่น ราชวงศ์เจ้าทางฝั่งเชียงใหม่ เรื่องของเรื่องมาจากกรมหมื่นฯ ทรงชอบพอ แต่ถูกผู้ใหญ่กีดกันเพราะความต่าง นัยว่าก่อนหน้านี้มีเจ้าทางเหนือเข้าพิธีสมรสกับเจ้าทางบางกอก แต่เอาไปเอามาก็ดันมีเมียแต่งอยู่ที่โน่นแล้ว ทำให้เจ้านางทางเหนือต้องเป็นแม่ร้าง เหมือนมีศักดิ์เป็นแค่นางบำเรอ โดยเจ้าพ่อของเจ้าหญิงชมชื่นได้ให้ข้อแม้ว่า ขอให้เจ้าหญิงมีพระชนมายุครบ 18 ก่อน และขอให้พระเจ้าอยู่หัวแห่งสยามมีพระบรมราชานุญาต แต่ข้อแม้เหล่านั้นก็ไม่อาจถูกทำให้เป็นจริง เพราะว่าพระญาติทางบางกอกก็มิได้เห็นด้วยกับความรักครั้งนี้เท่าไหร่นัก

เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายไม่เป็นใจ สุดท้ายก็ต้องคลาดแคล้วกันไปไม่ได้สมรสกัน ทำให้กรมหมื่นทรงพระนิพนธ์เพลงนี้ขึ้น (เดิมชื่อลาวดำเนินเกวียน เพราะทรงเสด็จประพาสเชียงใหม่ทางเกวียน) ว่ากันว่าเมื่อนึกถึงเจ้าหญิงชมชื่น ก็จะทรงเล่นเพลงนี้ หรือให้คนเล่นให้ฟังตลอดพระชนม์ชีพ

เศร้าจังหนอ...แต่จะทำยังไงได้เนอะ

ส่วนมากคนจะขับขานเพลงนี้แค่ท่อนแรกรึเปล่าคะ ไม่แน่ใจนะ อย่างน้อยยิ้มก็เคยได้ยินแค่ท่อนแรกมาตลอดแหละ พอมาเห็นท่องที่สองแล้วก็ให้ทอดถอนใจ

โธ่....

"โอ้ละหนอนวลตาเอย พี่นี้รักแสนรักดังดวงใจ
โอ้เป็นกรรมต้องจำจากไป อกพี่อาลัยเจ้าดวงเดือนเอย
เห็นเดือนแรมเริศร้างเวหา เฝ้าแต่เบิ่งดูฟ้า(ละหนอ)เห็นมืดมน
พี่ทนทุกข์ทุกข์ทนโอ้เจ้าดวงเดือนเอย
เสียงไก่ขันขานเสียงหวานเจื้อยแจ้ว หวานสุดแล้วหวานแจ้วเจื้อยเอย
ถึงจะหวานเสนาะหวานเพราะกระไรเลย บ่แม้นทรามเชยเราละเหนอ"
.
.
.
.
.

ที่เล่าๆ มามีแต่รักที่ไม่สมหวังนะคะ และที่สำคัญก็คือเรื่องสาวเครือฟ้าและตำนานสาวบัวบานทำให้ ความเข้าใจและความเชื่อที่ว่าสาวเหนืออ่อนแอ บอบบาง ซื่อสัตย์ จงรักภักดี เชื่อคำคนง่ายก็แพร่หลาย ยิ่งมีกรณีของหมู่บ้านดอกคำใต้ที่หญิงสาวหลายนางถูกหลอก ถูกลวงให้ต้องมาทำอาชีพมิชอบในเมืองใหญ่แล้ว ภาพลักษณ์ของสาวหนือยิ่งถูกมองว่าช่างเป็นอะไรที่...เปราะบาง ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมใครเขา และรักของสาวเหนือกับหนุ่มใต้ก็คงจะต้องจบลงด้วยความร้าวรานอยู่เรื่อยๆ (โถ...)

จะว่าไปแล้ว..เท่าที่ลองทบทวนดูหลังจากเริ่มเขียนไปนะคะ ยิ้มว่า...ความรักมันไม่ได้พังลงเพราะความ "แตกต่าง" เท่าไหร่หรอกนะ สถานการณ์มันแย่ลงเพราะ "ความเชื่อว่าแตกต่าง" ต่างหากล่ะ

ดูกรณีนางสร้อยฟ้า...ความแตกต่างมันมีจริงทั้งฐานันดร ทั้งวัฒนธรรม แต่สถานการณ์มันย่ำแย่ลงเพราะแทนที่คนในครอบครัวจะเห็นใจ ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากัน ถ้าเขาทำอะไรไม่เป็นเพราะเขาเป็นเจ้าเป็นนายมา ไม่เคยทำมาก่อน ก็น่าจะเข้าใจสักหน่อย ให้เวลาปรับตัวสักนิด คำว่าครอบครัวอบอุ่นคงไม่ห่างไกล แต่นี่ - -'

หรืออย่างกรณีอื่น ที่ญาติวงศ์ของฝ่ายชายรังเกียจสะใภ้สาวเหนือ หาเมียใหม่ให้ หรือไม่ก็คอยจะเหน็บแนม ชี้หาข้อแตกต่าง โอว...งี้ก็ล่มสิคะ

แต่จะว่าไป...คนเราสมัยก่อนยึดถือความเป็นอัตลักษณ์สูงมากๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เนอะ รับใครมาร่วมวงศ์ด้วยแล้วก็คงอยากเปลี่ยนให้ 'เขา' มาเป็นแบบ 'เรา' ทีนี้ต่างฝ่ายต่างก็ต้องการรักษาความเป็นตัวตนของตน ฝ่าย 'เขา' ก็ไม่อยากลืมชาติกำเนิด เรื่องราวมันเลยจบลงอย่างร้าวรานเสียเป็นส่วนมาก

แต่สาวเหนือก็ไม่ได้อ่อนแอไปเสียทุกคนนะคะ มันเป็นอะไรที่ไม่ยุติธรรมที่จะยัดเยียดภาพเหล่านั้นให้สาวเหนือ เพศหญิงเป็นเพศที่มีความสำคัญในภาคเหนือไม่ได้ด้วยไปกว่าเพศชาย และธรรมเนียมหลายๆ อย่างก็สืบทอดผ่านผู้หญิงจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง (Hereditary through the matrilineal line) เอ่อ...ไม่ได้มาปลุกกระแสเฟมินิสต์นะ ^ ^' แต่พูดจากความเป็นจริง

สาวเหนือที่ได้รับการเชิดชูว่าเด็ดขาด เฉลียวฉลาดก็เช่น

1. พระนางจามเทวี

ขอย้อนกลับไปประมาณ 1400 ปีก่อน ก่อนล้านนาจะก่อตัวเป็นอาณาจักรเสียอีก

มีไม่มากนักหรอกนะคะ ที่สตรีจะถูกเชิดชูขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ และเป็นปฐมกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดขยายนครรัฐเป็นอาณาจักรได้ อืม...จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกพระนางว่าเป็นสาวเหนือได้ไหม เพราะกำเนิดของพระนางก็ยังสับสนกันอยู่ แต่ก็มีหลักฐานพวกมุขปาฐะและตำนานธรรมบอกเล่าไว้ว่าพระนางเป็นคนเหนือ ที่ถูกส่งไปเป็นธิดาบุญธรรมของเจ้าเมืองละโว้

พระนางอภิเษกกับพระรามราช เป็นพระญาติของพระบิดาเจ้าเมืองละโว้ แต่ถึงจะทรงอภิเษกแล้ว ก็ยังมีเจ้าเมืองอื่นๆ ขออภิเษกซ้ำเพื่อท้าทายชวนทำสงครามอยู่เนืองๆ พระนางก็นำทัพออกไปรบ ได้ชัยชนะกลับมาทุกคราไป จนกระทั่งต้องมาปกครองนครหริภุญชัย พระเจ้ากรุงละโว้ก็คงจะเห็นว่าเป็นการขยายฐานพระราชอำนาจด้วย พระสวามีของพระนางต้องทำหน้าที่เป็นพระอุปราชอยู่ที่ละโว้ พระนางจึงต้องจากพระสวามีมาเลย จากเป็นๆ ไม่ใช่จากตาย จากทั้งที่ยังทรงพระครรภ์ แต่พระนางก็มิได้ทรงท้อแท้แก่โชคชะตา ขยายเขตนครหริภุญไชย สร้างเมืองเขลางค์เป็นเมืองลูก มีเมืองหน้าด่านเลยมาถึงท่ากานและเวียงกุมกาม (ซึ่งในยุคหลังกลายมาเป็นหน้าด่านของล้านนา) สร้างบ้านแปงเมืองจนเป็นเมืองทองแลเมืองศาสนาแห่งลุ่มแม่น้ำระมิงค์ในสมัยนั้น

ด้วยสองมือแม่นี้ ที่สร้างโลกจริงๆ

2. เจ้านวลสวาท ลังกาพินธุ์

คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเราคงได้มีโอกาสรู้จัก คุณนวลสวาท เปาโรหิต หรือนามเดิม เจ้านวลสวาท ลังกาพินธุ์ เจ้าสายลำพูนที่โด่งดังเป็นนางสาวถิ่นไทยงามของเชียงใหม่ และเป็นรองนางสาวไทยอันดับ 1 ในปี 2496 และเปิดร้านผ้าฝ้าย ผ้าไหม ม่อฮ่อมจนเลื่องลือ

คุณนวลสวาทสมรสกับนายประโพธ เปาโรหิต (คนภาคกลาง) และได้ทำหน้าที่ต่างๆ เพื่อ สังคมมากมาย เช่น เป็นกรรมการสมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทย สมาคมสตรีภาคพื้นแปซิฟิกเอเชียอาคเนย์ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นนายกสมาคมชาวลำพูน กรุงเทพฯ และสมาคมชาวเหนือ

จะว่าไป...คุณนวลสวาท เป็นที่มาของความป๊อบปูล่าร์ของ 'สาวงามป่าซาง' (บ้านเกิดของคุณนวลสวาทอยู่ที่อำเภอป่าซาง จ. ลำพูน) เลยล่ะมั้ง เพราะหลังจากคุณนวลสวาทได้ตำแหน่งนั้น...หนุ่มๆ ชาวใต้ก็เริ่มมองเห็นความงามของสาวป่าซาง และแวะเวียนมาหยอดคำหวานให้สาวทอผ้าที่นั่งหน้าสวยอยู่ตามหน้าร้านของผ้า กระตุ้นเศรษฐกิจของป่าซางอยู่เนืองๆ ยิ่งเส้นทางเดินทางจากกรุงเทพฯ มาเชียงใหม่ในสมัยนั้นต้องผ่านถนนพหลโยธินที่ตัดตรงผ่านใจกลางอำเภอด้วยแล้ว เขาว่ากันว่าวันหยุดยาวทีไร รถจอดเต็มสองข้างทางทุกที แถมหนุ่มๆ เมืองใต้ก็พากันจับจ่ายแวะซื้อของที่ระลึกพร้อมกับสอดส่ายสายตา มองหาสาวงามแห่งป่าซางกันคึกคัก

งามไม่งามก็ดูนี่สิคะ มีเพลงกล่าวถึงสาวป่าซางไว้เยอะแยะมากมายเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นเพลง ป่าซาง ลาแล้วป่าซาง เดือนหงายที่ป่าซาง ป่าซางกลางใจ ฯลฯ แต่ละเพลงก็ขับร้องโดยนักร้องแนวหน้าทั้งนั้น เช่นสุรพล สมบัติเจริญ หรือ ชรินทร์ นันทนาคร

"โอ โอ๊โอ ป่าซาง ดินแดนความหลังนี้ช่างมีมนต์
ใครได้ไปเยือนยากที่เลือนลืมได้สักคนคล้ายว่าป่านี้มีมนต์ดลหัวใจให้พี่ใฝ่ฝัน
เพียงได้เห็นสาวเจ้าเพียงครั้งเดียว
หัวใจโน้มเหนี่ยวรักเดียวแต่เจ้าเท่านั้น
ยามเอ่ยอ้างน้ำคำเจ้าช่างฉ่ำหวาน
นางเคยพร่ำสาบานว่าจะฮักกันบ่จืดจาง
ลืมไม่ลง ลืมไม่ลง ลืมไม่ลงป่าซาง
แม้นว่าดวงวิญญาณจะออกจากร่าง ถึงกายจะถูกดินฝัง ก็ลืมป่าซางไม่ลง..."

อ่า จริงๆ ยังมีสาวเหนือเก่งๆ อีกเยอะค่ะ แต่คนเขียน เขียนมาถึงนี่ก็หน้ามืดแล้ว ถึงกับต้องคว้ายาดมมาดมกันเลยทีเดียว คงต้องขอลาไปในอีกไม่กี่นาทีนี้ และขอฝากไว้ว่า

1. สาวเหนือทั้งหลายก็อย่าทำให้ภาพลักษณ์เสียไปล่ะ ภายนอกหวานๆ เนิบๆ แบบนี้ ออกแนวคมในฝักนะจ๊า...ผู้ใหญ่ก็ชมชอบ แถมยังมีโอกาสได้เห็นลีลาลวดลายของผู้ชาย ที่คิดว่าสาวเหนือตามไม่ทันอีก หุหุ ดีจะตาย

'อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่ไว้ในฝัก สงวนคมสมนึกใครยึกยัก จึงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย'

2. หนุ่มใต้ทั้งหลายก็อย่าคิดว่าสาวเหนือเหมือนสาวเครือฟ้า สาวบัวบานอยู่ล่ะ เท่าที่ผ่านมา สาวเหนือหักอกหนุ่มใต้ยับเยินก็มีให้เห็นไม่น้อยแล้วนะจ๊า

3. ตอนนี้เมืองเหนือค่อนข้างถูก centralised ไปมากแล้ว กำแพงรีต ประเพณีอาจจะยังพอมีอยู่บ้าง แต่คงไม่มากเหมือนเดิม เปิดใจให้กว้างเข้าไว้..อย่างน้อยยังง่ายกว่าคบฝรั่ง ^ ^' พื้นฐานเรายังมาจากพุทธศาสนา และความเชื่อเรื่องผีเหมือนกัน

4. นึกไม่ออกแล้วอ้ะ (ควักยาดมมาดมอีกรอบ) ใครมีประสบการณ์ก็...มาเล่าแลกเปลี่ยนกันด้วยนะค้า...

ไปละ บายๆ

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ชีวิต (บ่นเรื่องเดิมๆ ในบริบทใหม่ - -')

Rating:★★★★
Category:Other

พฤศจิกายน 2544

ข้าพเจ้านั่งอยู่ในห้องนอน แหงนหน้ามองพระจันทร์ที่เกือบเต็มดวงที่ลอยเด่นอยู่นอกหน้าต่าง เงียบเหงา โดดเดี่ยว ช่างไม่ต่างอะไรไปจากข้าพเจ้าในยามนี้เลย ลมหนาวแรกของปีพัดโบกโบย เสียงใบมะม่วงใกล้บ้านเสียดสีกันดังซู่ซ่า โมบายที่แขวนอยู่ใต้ชายคาส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง ฟังดูให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็นในระดับหนึ่ง

ระดับไหนน่ะเหรอ...ระดับที่ความเย็นของสายลมเริ่มกลายเป็นความหนาว...หนาว...จนกลายเป็นเหงาลึกๆ ในใจน่ะสิ

ข้าพเจ้าลองคิดดูถึงเหตุผลเพื่ออธิบายว่าเพราะเหตุใดข้าพเจ้าถึงได้ชอบนั่งมองพระจันทร์วันเพ็ญนัก คิดไปคิดมาจนสมองที่เรียบลื่นเริ่มล้าไปเพราะไม่เคยทำงานหนักเท่านี้มาก่อน ในที่สุดก็นึกออกว่าข้าพเจ้าคงกำลังจะ (พยายาม) หาจุดเชื่อมโยงระหว่างตัวข้าพเจ้าเองกับเจ้าดวงตาสีทองโสมส่องฟ้าแน่ๆ และข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจนักว่าข้าพเจ้าทำสำเร็จหรือไม่ เพราะถึงแม้ว่าจะนั่งคิดมานานขนาดนี้ นอกจากความโดดเดี่ยวเดียวดายแล้ว ข้าพเจ้าก็นึกไม่ออกว่าตัวเองจะมีคุณลักษณะใดๆ ที่ละม้ายดวงจันทร์อีกเลย ไม่ว่าจะเป็นความสวยเด่นเหนือวัตถุส่องแสงอื่นใด บนฟากฟ้าสีเข้ม หรือแสงสีทองที่ส่องนวลตาขับให้โลกยามราตรีดูน่าพิสมัยขึ้นอีกหลายเท่า

ลอยกระทงปีนี้ข้าพเจ้าก็ต้องหมกตัวอยู่แต่ในบ้านอีกแล้ว เพราะไม่มีใครออกไปเที่ยวชมงานแสงสีเสียงเป็นเพื่อน พ่อกับแม่บอกว่าขี้เกียจออกไปเที่ยว ออกไปเดินในงานยี่เป็งก็กลัวโดนจุดประทัดโยนใส่ นึกๆ มาถึงตอนนี้ก็อยากจะมีพี่น้อง เวลาจะทำกิจกรรมอะไรจะได้ชวนกันออกไปได้โดยไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ เขาผ่านโลกมามากแล้ว เรื่องบางเรื่องที่เรายังอยากดู อยากเห็น ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาที่เห็นมาแล้วเป็นสิบๆ ครั้ง ข้าพเจ้ารีบจดเอาความรู้สึกขมขื่นนี้ไว้ในใจ...เผื่อวันใดที่ข้าพเจ้ามีลูก ข้าพเจ้าจะได้ไม่เผลอทำให้เขาต้องสะเทือนใจด้วยคำว่า "โฮ้ย...ไม่ต้องไปหรอก งานไม่มีอะไรเลย เคยไปมาแล้วหลายครั้ง" เพราะคนพูดคงลืมไป ว่าคนที่มองอยู่ด้วยสายตาละห้อย เคยไปมาแค่ไม่กี่ครั้ง เมื่อสมัยยังเด็กมากกกกก จนจำอะไรแทบไม่ได้เลย

ทุกครั้งที่มองพระจันทร์ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีพลังลึกลับบางอย่างถ่ายทอดลงมาจากดวงจันทร์สีทอง ส่องลงไปกลางใจของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็จะรู้สึกสดชื่น มีกำลังใจ กระปรี้ประเปร่า ข้าพเจ้าจึงให้ความสำคัญกับวันลอยกระทงมาก เพราะเป็นวันที่ดวงจันทร์สวยที่สุด โตที่สุด ที่สำคัญก็คือ...ข้าพเจ้าไม่ต้องชมดวงจันทร์เงียบๆ เหงาๆ คนเดียวอย่างที่เป็นอยู่เสมอมา เพราะผู้คนต่างออกมาพบปะกันในงานรื่นเริง และชื่นชมความงามของพระจันทร์พร้อมๆ กัน มันทำให้รู้สึกว่า...อย่างน้อย ข้าพเจ้าก็ไม่ได้โดดเดี่ยว

อยากออกไปข้างนอกจัง ถ้าออกไปได้เองก็คงจะดี แต่จะทำยังไงได้ ขับรถยนต์ก็ไม่เป็น มอเตอร์ไซค์ก็ไม่มี ครั้นจะออกไปขึ้นรถสองแถวก็ต้องเดินออกไปถึงหน้าหมู่บ้าน แล้วสี่แยกที่หมู่บ้านเราตั้งอยู่นี่ก็ช่างเงียบ น่ากลัว รอรถอยู่โดนอาจจะโดนฉุดลากลงไปในทุ่งว่างๆ ใกล้ๆ หมู่บ้านก็เป็นได้

เฮ้อ....

สมัครสอบชิงทุนก.พ. ไปได้พักใหญ่แล้ว เมื่อไหร่จะมีจดหมายตอบรับมานะ เผื่อจะฟลุกสอบได้ ข้าพเจ้าจะได้โบยบินออกไปให้ไกลแสนไกล ข้าพเจ้าอยากบินไปเผชิญร้อน เผชิญหนาวด้วยตัวเอง อยากออกไปเรียนรู้โลกกว้าง อยากแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น อยากหัวเราะและร้องไห้กับสิ่งต่างๆ ที่เลือกได้ และได้เลือกโดยอิสระ

เมื่อเวลามาถึง...ข้าพเจ้าจะบินๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จนกว่าจะอ่อนแรง
ความหอมหวานของอิสรภาพมันช่างเย้ายวนนัก...
.
.
.
.
พฤศจิกายน 2549

ข้าพเจ้าคงไม่มีเวลาจะเล่าอะไรมากมายนัก เพราะข้าพเจ้าเพิ่งกลับมาจากเยี่ยมเพื่อนที่อยู่เมืองใกล้ๆ และกำลังจะต้องลงไปพบเพื่อนๆ ตามนัด

ปีนี้คือปีการศึกษาสุดท้ายที่ข้าพเจ้าจะได้อยู่ในประเทศอังกฤษแล้ว ต้องเก็บเกี่ยวความสุขให้ได้มากที่สุด และต้องตระเวนเยี่ยมเพื่อนให้ได้มากที่สุด

โอ๊ะ...จะถึงเวลาแล้ว ข้าพเจ้าต้องรีบเอาขนมปังตากแห้งหนึ่งแถวลงไปข้างล่างพร้อมกับเทียนขี้ผึ้งที่ถูกตัดเป็นท่อนเล็กๆ พวกเราจะลอยกระทงขนมปังกัน แสงเทียนบนแผ่นขนมปังที่ลอยบนผิวทะเลสาบหน้าหอพักคงดูสวยงาม และหวังว่าน้องเป็ดจะไม่เผลอกินเทียนไขเข้าไปนะ

ปีนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกดีจังเลย...
ปีสุดท้าย ปีทองอันแสนสุข
เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นนับแต่ออกมาจากบ้านก็ทำให้เกิดทั้งรอยยิ้ม น้ำตา เสียงหัวเราะ ข้าพเจ้าอยากกลับไปเริ่มต้นชีวิตเต็มที ออกจากบ้านมานาน..ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องกลับบ้าน พ่อแม่ ญาติพี่น้องคงรอข้าพเจ้ากันจนเหนื่อยที่จะรอ ปู่ ย่า ยาย ก็อายุมากกันเต็มทีแล้ว ทุกครั้งที่ทางบ้านเล่าว่าแต่ละท่านถามถึงก็แทบจะน้ำตาไหล ในที่สุดก็จะได้กลับไปสู้อ้อมอกของบ้านเกิดเสียที

ประสบการณ์ทุกๆ วินาทีที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่มีค่าทั้งนั้น ต่อให้มีคนถามว่า ถ้าย้อนกลับไปในอดีตได้จะเลือกเดินทางเดิมไหม
.
แม้จะรู้ว่ามันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดมา แต่ข้าพเจ้าก็คงตอบว่าจะเลือกทางเดิมนี่แหละ
.
.
.
.
.

พฤศจิกายน 2550

ข้าพเจ้านั่งอยู่หน้าจอแลปทอปเครื่องเดิม นั่งแปลเอกสารประกอบการขุดค้นบ้านดอนตาเพชรให้อาจารย์ท่านหนึ่งที่พบกันในงานสัมนาวิชาการที่มหาวิทยาลัย อาจารย์คงเกลียดข้าพเจ้าแน่ๆ ที่เอางานของเขามาหมักดองไว้นานเป็นปี แต่ชีวิตนักเรียนปริญญาโทของข้าพเจ้ามันช่างมีเวลาว่างน้อยเหลือเกิน ตลอดสองเทอมแรกของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าต้องไปเรียนทุกวัน จากเช้าจดเย็น อาทิตย์ละ 4 วัน แถมวันศุกร์ยังต้องฝึกงานอีก ช่วงแรกๆ ก็ยังมีไฟ แต่ผ่านไปได้ 3 เดือน ข้าพเจ้าก็เริ่มล้า...

แต่ก็เป็นความล้าบนความสุขล่ะนะ จนกระทั่งข้าพเจ้าค้นพบว่า มันไม่มีทางให้ข้าพเจ้าได้กลับบ้านแล้วจริงๆ สมองข้าพเจ้ามึนๆ ชาๆ ไปพักใหญ่...ความฝันที่จะได้กลับบ้านพังครืนไม่มีชิ้นดี และเส้นทางที่ต้องเดินต่อ ทอดยาวไปอีกเกินครึ่งของเส้นทางที่เดินผ่านมา

เหตุผลเดียวที่ทำให้ก้าวเดินต่อไปได้ก็คือ...
ข้าพเจ้าย้อนกลับไม่ได้

ถ้าข้าพเจ้าเป็นนก นกตัวนี้มันก็บินออกมาจากบ้าน 6 ปีกว่าแล้ว ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านประสบการณ์ต่างๆ ที่เดินหน้าเข้ามาในชีวิต ข้าพเจ้ารู้...ว่าในโลกนี้ยังมีอะไรให้ได้เรียนรู้อีกมาก และนกตัวนี้ก็ยังมีแรง สามารถบินไปต่อได้อีก

แต่มันเริ่มห่วงหน้าพะวงหลัง...

นกมันรู้ว่ามันยังมีใครต่อใครอีกมากมายรอมันกลับมาด้วยใจจดจ่อ ดวงตาฝ้าฟางของนกแก่ๆ ที่อยู่เบื้องหลัง แทบจะทำให้ปีกของมันอ่อนแรงลงไปเพียงแค่ได้นึกถึง นกแก่ๆ หลายตัวรั้งสังขารตัวเองเอาไว้เพียงเพื่อรอนกตัวนี้บินกลับรัง มันเริ่มรู้ตัวว่า..มันรู้จักถิ่นฐานใหม่ที่มันโบยบินไปดีเสียกว่าภูมิลำเนาของมันเสียอีก...แล้วอีกหน่อยมันจะกลับมาหากิน ณ ถิ่นฐานบ้านเกิดของมันได้อย่างไร

แต่นกมันไม่มีทางเลือก คงต้องบินต่อไป เพื่อให้สำเร็จวิชาจับหนอนขั้นสุดยอด...โดยที่ตัวมันเองก็ยังไม่รู้ว่า เมื่อมันต้องกลับคืนรัง ประชากรนกที่นั่นเขาจะกินหนอนเหมือนที่มันกำลังกินอยู่หรือว่ากินเมล็ดพืชกันแน่ แล้วสิ่งที่มันไขว่คว้ามา..จะกลายเป็นภาพมายาของอากาศธาตุหรือเปล่า

ลอยกระทงปีนี้...ข้าพเจ้าไม่อยากออกไปไหนเลย อยากมีเวลาส่วนตัวไว้คิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากกว่า ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจเหตุผลที่ว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงรู้สึกเหนื่อยหน่าย และขี้เกียจพาข้าพเจ้าออกไปเที่ยวข้างนอกเมื่อถึงช่วงเทศกาลทั้งหลายแหล่

คนเราย่อมมีอะไรให้คิด ให้ทำ ให้กังวล และคงไม่สามารถทำให้คนอื่นมีความสุขได้ตลอดเวลาหรอกนะ ถ้าเขาเหล่านั้นไม่ได้เกิดมาเพื่อทำหน้าที่สร้างความสุขให้กับคนอื่นจริงๆ

ตอนนี้ข้าพเจ้าก็ให้นึกเบื่อหน่ายงานเทศกาลอะไรต่างๆ ขึ้นมาบ้าง แต่ข้าพเจ้าก็ยังขอยืนยันว่าจะจดจำความรู้สึกเหงา อยากออกไปข้างนอก อยากเปิดหูเปิดตาอย่างที่เคยรู้สึกเมื่อหลายปีก่อนเอาไว้ให้ดี จดลึกลงไปในเนื้อหัวใจ เพราะวันใดวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า...ข้าพเจ้าก็คงจะอยากให้ความสุขเล็กๆ น้อยๆ นี้แก่ลูกหลาน เพราะข้าพเจ้าคงไม่รู้ว่าเขาจะมีจิตใจที่เปี่ยมสุข ไร้กังวลไปได้นานแค่ไหน

ในยามนี้...ข้างนอกบ้านคงพลุกพล่านน่าดู...
ในเวลาไม่กี่ปี ที่โล่งๆ ใกล้หมู่บ้านกลายสภาพเป็นอาคารที่พักของการเคหะ ทุ่งร้างๆ ก็ถูกถม และคงกลายเป็นตึกแถวในเร็ววัน โชคยังดี ที่มีแนวสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านพื้นที่นาใกล้หมู่บ้านของข้าพเจ้าบางส่วน ทำให้ยังพอมีพื้นที่สีเขียวที่ไม่กลายเป็นอาคารห้างร้านอยู่บ้าง รถสองคันจอดนิ่งในโรงรถ...พ่อกับแม่นอนหลับไปแล้วด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการทำงาน ข้าพเจ้านอนหลับดึกขึ้นมากจนกลายเป็นคนที่นอนดึกที่สุดในบ้าน จริงๆ แล้ว ข้าพเจ้าจะหยิบกุญแจขับรถออกไปชมเมืองนิดหน่อยก็ไม่เกินความสามารถ

แต่ไม่เอาล่ะ...
ขี้เกียจ

เสียงประทัด ดอกไม้ไฟ ดังลอดเข้ามาจากหน้าต่าง ลมหนาวแรกของปีพัดโบกโบย...เสียงโมบายกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋งฟังดูไพเราะ เพราะเป็นเสียงที่ข้าพเจ้าไม่ได้ยินมานานแสนนาน ใบมะม่วงต้นใกล้บ้านเสียดสีกันดังซู่ซ่า แม้ว่าจะเบากว่าเมื่อ 5-6 ปีก่อนมาก แต่ก็ยังก่อให้เกิดความรู้สึกประหลาดในใจได้เหมือนเคย

ข้าพเจ้าไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิดเดียว...เพราะข้าพเจ้าเคยผ่านความหนาวเย็นมามากกว่านี้
สิ่งที่เกิดขึ้นลึกลงไปในใจ...คงเป็นความถวิลหาและโหยหาอย่างรุนแรงกระมัง
.
.
.
.
.
.
.
พฤศจิกายน 2551

ข้าพเจ้าเดินกลับลงมาจากเนินเขาเตี้ยๆ เพื่อที่จะกลับไปสู่ที่พักของตน หลังจากเพิ่งไปพบปะกับเพื่อนเก่ามาเมื่อบ่ายนี้ อีกไม่นาน...เธอก็จะกลับประเทศของเธอแล้ว แล้วจิ๊กซอว์อีกตัวหนึ่งของปีทองอันแสนสุขของข้าพเจ้าก็คงจะหายไปอีกครั้ง ก็คงจะเหมือนกับชิ้นอื่นๆ ที่อันตรธานไป ก่อให้เกิดช่องว่างอยู่ในใจมากมายถึงเพียงนี้

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าทุกวันนี้ข้าพเจ้าเหมือนหุ่นยนต์...มีชีวิตไปวันๆ ด้วยหน้าที่ ยากเหลือเกินที่จะมีสิ่งใดที่ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขสุดๆ หรือมีความทุกข์สุดๆ ได้เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ไฟฝันที่เคยลุกโชติช่วง บัดนี้...คงเหลือแค่เปลวไฟอ่อนๆ ที่แม่จะยังให้ความอบอุ่น แต่ก็ช่างห่างไกลจากการกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจเสียเหลือเกิน

ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เป็นวันลอยกระทง
ลอยกระทง...แล้วไง???

ก็แค่วันวันหนึ่งที่มีคนสมมติให้ประชาชนออกมาสักการะพระแม่คงคา และพบปะสังสรรค์กัน
สังสรรค์กัน...แล้วไง???

ไม่กี่วันที่ผ่านมาที่ก็เป็นวัน Bonfire night ด้วย
Bonfire Night ที่เขาจุด Fireworks กันสวยงามน่ะเหรอ...แล้วไง?

วันที่เธอเคยไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ มากมายที่เคมบริดจ์ไง
สังสรรค์อีกแล้ว....แล้วไง??


ใบไม้แห้งร่วงหล่นบนทางเท้า...กองใบไม้สีน้ำตาลกรอบแตกร่วนออกเป็นผุยผงเมื่อรองเท้าบู้ตสีดำของข้าพเจ้าบดขยี้ลงไป แสงสุดท้ายของวันส่องใบไม้สีเหลืองทองที่ยังค้างอยู่บนต้นให้ดูสว่าง กระจ่างกว่าที่เป็นมา ข้าพเจ้าหวังให้แสงนี้มันลอดลงไปถึงข้างในของข้าพเจ้าบ้าง แต่หัวใจของข้าพเจ้าในยามนี้มันเป็นเหมือนหลุมดำ...หลุมดำที่ดูดกลืนทุกอย่างให้หายไปแม้กระทั่งแสงสว่าง

เส้นทางข้างหน้ายังทอดยาวอีกไกลนักกว่าจะถึงที่พัก รองเท้าบู้ตส้นสูงสองนิ้วที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นปัญหา เริ่มเสียดสีกับเนื้ออ่อนๆ ที่ด้านนอกของเท้า เพราะการเดินแบบทิ้งน้ำหนักเมื่อลงเนิน ปกติเดินบนทางราบคงไม่มีปัญหาอะไร พอมาเดินลงจากเนินถึงได้รู้ว่าอะไรที่แสนธรรมดา ก็ทำให้คนเป็นทุกข์ได้

แล้วเจ็บไหม...เป็นทุกข์ไหม
เจ็บสิ...แต่ก็แค่เจ็บ...แล้วไง?

บางที...เจ็บก็ดี หนาวก็ดี จะได้รู้สึกรู้สาบ้าง
แต่ทำไม..ความเจ็บ ความหนาว มันไม่อาจทำให้ข้าพเจ้ารู้สึก 'มีชีวิตชีวา' เหมือนเคย

ลมหนาวพัดมา พร้อมกับอาการทอดถอนใจ
ก็แค่อีกวันที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป...

แล้วก็หวังว่าสักวันหนึ่ง...ไฟที่มอดดับลงไป จะกลับมาเหมือนเดิม เพราะนกตัวนี้มันก็ยังต้องบินไปอีกไกล บินไป บินไป บินไป
.
.
แม้ว่าวิชาจับหนอนขั้นสุดยอดที่ไขว่คว้า อาจจะใช้ไม่ได้กับสังคมกินเมล็ดพืชเลยก็ตาม
.
.
.

ขอบพระคุณที่กรุณาอ่านถ้อยคำเพ้อเจ้อไร้สาระของข้าพเจ้ามาจนถึงตรงนี้
สวัสดีค่ะ