Rating: | ★★★★★ |
Category: | Other |
ชักจะนานแล้วนะคะ ที่ไม่ได้มาอัพเดต multiply ด้วยการเขียนบทความ บทกลอน หรืออะไรก็แล้วแต่ จะว่ายุ่งมันก็ใช่ จะว่าไม่ได้งาน...มันก็ทำนองนั้น ฮือๆ แล้ววันๆ เราทำอะไรฟะ อืม ชีวิตเริ่มล่องลอยไปเรื่อยๆ ตามวิถีของมัน
July 2008 เวลาสามทุ่มครึ่ง
มองออกไปนอกหน้าต่าง..ด้านนอกเป็นท้องทุ่งหญ้าขนาดย่อม มักจะมีวัวมากินหญ้าแถวนี้เสมอๆ ไม่รู้เหมือนกัน...ว่าคอกมันอยู่ตรงไหน แต่ทุกครั้งที่มองออกไปนอกหน้าต่าง จะต้องเห็นวัวสีน้ำตาลเดินเล็มหญ้าอยู่ในทุ่ง ไม่ว่าวันนั้นจะฝนตก แดดออก หิมะตก หรือว่าลูกเห็บตก อืม..น่าสงสารจัง แต่ก็น่าอิจฉาด้วย ที่มันทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าเราต้องสมบุกสมบันแบบนั้น เราจะทนได้ไหมหนอ...
ยามค่ำ...ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม มองเห็นแสงอาทิตย์สีส้มที่ขอบฟ้าไกลลิบ บริเวณที่ชาวบ้านมาทำสวน (allotment) เต็มไปด้วยขยะธรมชาติ แล้ว แล้ว แล้ว แล้วเขาก็เผาขยะกัน = =' บรรยากาศเหมือนเมืองไทยตอนค่ำๆ ไม่มีผิด กลิ่นควันไฟจางๆ แบบนี้ ใช่เลย...ยิ่งมองออกไปยิ่งเห็นกลุ่มควันลอยอ่อยอิ่งอยู่เหนือพื้นหญ้า ดูละม้ายคล้ายกับวุ้นกะทิใบเตยดูสวยงามปนน่ากิน
กึ๊ดเติงหาบ้าน...เหมือนเชียงใหม่ ลำพูนช่วงปลายหน้าหนาวอะไรเยี่ยงนี้
แล้วก็...
แค่ก ๆ ๆ ๆ สำลักควัน
แต่อากาศก็ไม่ได้หนาวเลยแม้แต่น้อย...
ช่วงนี้กลางวันอากาศร้อนมากเลยค่ะ จริงๆ ก็ประมาณ 20 กว่าๆ แหละนะ 24 25 26 27 ถ้าเป็นที่เมืองไทยก็เรียกว่า ชิวๆ แต่โปรดเห็นใจคนที่ผ่านสภาพอากาศแบบ 8 9 10 11 12 มาจนเคยชินกว่าครึ่งปี ยิ่งหน้าต่างหันไปทางทิศตะวันตกด้วย พอหลังบ่ายโมง แดดร้อนๆ ก็สาดเข้ามาในห้อง รู้สึกประหนึ่งตัวเองเป็นหมูอบ, smoked salmon, หรือ gammon joint อะไรทำนองนั้น
ทุกวันนี้อยากได้ผ้าถุงมาก จะเอามานุ่งกระโจมอก ทาแป้งตรางู แล้วตากพัดลมยามอยู่ในห้อง คงจะเย็นดีพิลึกล่ะ อืม จะว่าไปเสื้อคอกระเช้าแบบคนแก่ก็ดูเข้าทีเนอะ
Rating: | ★★★★ |
Category: | Other |
ชื่อเรื่องอาจจะดูน่ากลัวไปหน่อย แต่ไม่ได้ตั้งใจจะมาเขียนให้เครียดนะจ๊ะ เรื่องของเรื่องก็คือ วันนี้มันง่วงๆ เพลียๆ ออกไปข้างนอกก็ไม่ได้เพราะฝนตกพรำๆ มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ยิ้มก็เลยไปต้มน้ำมาหม้อหนึ่ง เพื่อจะได้นำมาซึมซาบรสชาติ Yorkshire Tea กับนมสด หลังจากที่ห่างหายจากชาใส่นมมาตั้งนาน (เนื่องเพราะขี้เกียจออกไปซื้อนม)
ตัวยิ้มเองนั้นก็จำไม่ค่อยได้ว่าเริ่มดื่มชา-กาแฟมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เริ่มดื่มเป็นจริงเป็นจังก็เมื่อมาถึงอังกฤษใหม่ๆ ก็แหม..ตอนอยู่ม.ปลายนอนหลับ 4 ทุ่ม แต่พอมาเรียนที่นี่ปีแรกๆ ก็แอบเรียนหนัก ถ้าไม่ถ่างตาถึงเที่ยงคืนงานก็ไม่เสร็จ ก็เลยตาโหลเป็นหมีแพนด้า ไปง่วงเหงาหาวนอนในชั้นเรียน จนต้องพึ่งพาเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
นับจากนั้นมา ชา English Breakfast พร้อมกับนมสดก็กลายมาเป็นของคู่ใจในยามเช้าไป
มีคนบอกว่า นิสัยดื่มชานี่มันอังกริ๊ดดด อังกฤษ ก็อาจจะใช่นะ พอพูดถึงชาและประเทศอังกฤษ คนก็คงคิดถึงชุดเครื่องกระเบื้องพอร์ซเลนบางๆ ละม้ายเปลือกไข่ ท่านลอร์ด ท่านเลดี้ในชุดหรูหราฟู่ฟ่า ชา ขนมหวาน ของกินจุกจิกในจานน่ารัก พร้อมทั้งสุนัขพันธุ์เทอเรียตัวเล็กๆ หมอบอยู่ปลายเท้าท่านสุภาพสตรี อะไรเทือกนั้น...โอ๊ยยย ดูผู้ดี๊...ผู้ดี อังกฤษมากกกกกกกกกก ค่ะ
ไอระเหยอบอวลของแก้วชาอุ่นๆ ที่อยู่ในมือลอยกระทบหน้า ขับไล่ความง่วงงุนจากอาหารหวัดอ่อนๆ ที่เกิดจากการตากฝนจกเปียกโชกเมื่อวาน แต่ความร้อนที่แทรกผ่านเนื้อถ้วยกระเบื้องหนาๆ มาถึงมือ มันเริ่มร้อน...ร้อนจัดจนทำให้อดนึกถึงความเป็นจริงบางประการไม่ได้
ความจริงแล้วนิสัยดื่มชาของคนอังกฤษ เริ่มเข้ามาตอนที่ประเทศนี้เริ่มล่าอาณานิคมเองค่ะ ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะเป็นราวๆ ปี ค.ศ. 1600 กว่าๆ โดยชาที่บริโภคในประเทศในเวลานั้น ถูกนำเข้าจากอินเดียและจีน ซึ่งอินเดียนี่ก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นอาณานิคมของอังกฤษ แล้วก็เป็นชาติที่มีไร่ปลูกชามากมายตามแคว้นต่างๆ ส่วนจีนนี่...คุณผู้ดีอังกฤษก็ไปข่มขู่ขอเอาของไปแลกชาของเขามา (ซึ่งเป็นผลบังคับจาก Treaties ทั้งหลายที่จีนต้อง sign อันเนื่องมาจาก Opium War - อยากรู้ว่าคืออะไร ไปหาใน google ก็แล้วกันนะ)
คนอังกฤษในสมัยก่อนไม่ได้ดื่มชาอย่างเดียวนะคะ เขาดื่มชาใส่นม + น้ำตาล และใน 3 อย่างนี้ มีเพียงแค่นมจากเต้าเรามีฟาร์มเท่านั้นที่ผลิตได้ในประเทศ เพราะเจ้าน้ำตาลทรายนี่ คุณท่านก็ได้มาจากประเทศแถวแอฟริกา หรืออเมริกาใต้
มาจากไหนกันนะ อืม....เคยได้ยินคำว่า Triangular Trade ไหมคะ ถ้าเคยก็เงียบๆ ไว้ก่อน แกล้งอ่านต่อไป ถ้าไม่เคย มามะ...เดี๋ยวเล่าให้ฟัง
Triangular trade คือทางเดินเรือขนส่งสินค้าและทาสที่เชื่อมระหว่างทวีปแอฟริกา อังกฤษ และอเมริกา โดยการออกเรือจากยุโรป ไปขนเอาทาส (บางทีก็สินค้า) มาจากแอฟริกา แล้วก็ออกเรือจากที่นั่นไปที่ทวีปอเมริกา อเมริกาเหนือบ้าง อเมริกาใต้แถบ Andes บ้าง เพื่อเอาทาสไปขาย ให้ไปปลูกอ้อย หรือทำงานในโรงงานในแถบนั้น แล้วขากลับก็บรรทุกเอาสินค้าพวกน้ำตาล ผ้าฝ้าย ยาสูบ กลับมายุโรปอีกที
มีทาสหลายล้านคนตายระหว่างทาง เพราะสภาพความเป็นอยู่มันแย่มาก อีกมากมายก็ต้องตายในโรงงาน (Plantation) เพราะเจ้านายโหดร้าย ทารุณ ทำเหมือนคนผิวดำไม่ใช่คน
การดื่มชา...ก็เลยเป็นการดื่มความขมขื่นของชาติอาณานิคม และเป็นการจิบความรื่นรมย์แห่งการเป็นเจ้ามหาอำนาจของผู้ที่อยู่เหนือกว่า
ชาแก้วที่สองหมดไปอย่างรวดเร็ว...เราควรจะจิบชาแล้วระลึกถึงอะไรดีล่ะ
ในฐานะประชาชนชาวไทย เราจะอยู่ในสถานะไหนกันดีล่ะเนี่ย ในทางทฤษฎีนั้นเราไม่เคยสูญเสียเอกราชทางการเมืองแก่ชาติตะวันตก แต่อิฉันคิดว่าเอกราชทางวัฒนธรรมของเราก็ถูกรุกรานไปไม่น้อย จนทุกวันนี้ก็ยังงงๆ อยู่ว่ามันยังเหลืออีกหรือไม่
เอกราชทางละครซีรี่ส์...อาจจะถูกอเมริกาเข้าตีก่อน ตามมาด้วยเกาหลี - ญี่ปุ่นที่เข้ามาแย่งชิงพื้นที่ได้มากขึ้นในช่วงหลังๆ ส่วนเอกราชทางพฤติกรรมวัยรุ่นนั้นสูญสิ้นไปเกือบสิ้นเชิงแล้ว ทุกวันนี้เดินในสยาม...วัยรุ่นทำตัวจุด จุด จุด เสียยิ่งกว่าเดินใน Oxford Street อีก
Anyway, มันไม่เกี่ยวกับชา....กลับมา ๆ ๆ ๆ
กลับมาที่อังกฤษใหม่ ทุกวันนี้...คนในชาติและคนนอกชาติเยี่ยงอิฉัน อาจจะละเลียดชา สัมผัสรสชาติละมุนลิ้นโดยไม่ได้นึกถึงที่มาที่ไป แต่พอบังเอิญนึกขึ้นมา ก็อดยิ้มแค่นๆ กับ Politics in the Past ไม่ได้ นอกจากชาจะเป็นเครื่องหมายของ Britishness และ British Colonialism แล้ว ยังมีคนเสนอว่า มันยังเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งชนชั้นด้วย โดยให้ดูที่วีธีการเทนม
เขาบอกว่า...ชนชั้นกรรมาชีพจะเทนมลงไปก่อน แต่ผู้ดีอังกฤษจะเทนมลงไปทีหลัง เพราะว่าเครื่องกระเบื้องของคนงานในสมัยก่อนไม่แข็งแรงเท่าของขุนน้ำขุนนาง การใส่นมลงไปก่อน เป็นการช่วยลดอุณหภูมิของชาร้อนๆ ที่เทลงไป ในขณะที่ขุนน้ำขุนนางจะเทตามลงไปทีหลัง เพราะหลักการการชงชาดำ (Black tea) การจะให้ชาได้รสชาติดีที่สุด ต้องให้ชามันแช่ในน้ำที่ 100 องศาเซลเซียส หรือใกล้เคียง ไม่อย่างนั้นจะเสียรส
แต่ก็มีคนแย้งว่า...ถ้าใส่นมทีหลัง น้ำร้อนๆ จะทำให้นมเสียโครงสร้างโปรตีน จะไม่ได้รสชาติชาที่คุณคู่ควร ถ้าภาษาวัยรุ่นก็น่าจะเรียกว่าออกแนวรสชาติเหียก อะไรทำนองนั้น
ก็เถียงกันไป...แต่โดยส่วนตัวอิฉันชอบเทนมตามลงไปมากกว่า จะได้กำหนดปริมาณนมจากสีชาได้ ว่าเราใส่ไปมากน้อยแค่ไหน ส่วนน้ำตาลนั้นคงไม่ต้อง เพราะคิดว่าชาหวานๆ มันเลี่ยน ดื่มแล้ว อยากได้น้ำตามอีกเยอะๆ เอาชาเพียวๆ ใส่นมนี่แหละ
ทุกวันนี้..นอกจากชา English Breakfast แล้ว อิฉันยังชอบ Genmaicha (ชาเขียวใส่ข้าวคั่ว), Lady Grey, ชาเขียวใส่น้ำผึ้ง, ชามินต์, ชาแอปเปิ้ล, ชาอู่หลง และอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะจิบชาให้สบายใจ คงต้องลืมๆ ประวัติของชาไปเสียบ้างนั่นแหละ
บางครั้ง...ก็หาเหตุผลและคำตอบให้กับเหตุการในอดีตไม่ได้ หรือถึงหาได้..ยึดถือมากไปก็ปวดหมอง ความเท่าเทียมมันมีแต่ในโลกอุดมคติอยู่แล้ว
บ่นไร้สาระมานานละ...เห็นทีต้องกลับไปทำงานต่อ
บายๆ ค่ะ
โดดเดี่ยวเดียวดายมานานนับ
ตะวันลับตะวันฉายพร่างพรายแสง
ผ่านคืนวันไร้คนเคียงเพียงก้อนแลง
มาบัดนี้คนยื้อแย่ง...แฝงเล่ห์กล
กรรมใด...เคยก่อไว้ในหล่มโลกย์
เกล็ดความโศกปลิวผสานกับม่านฝน
ชลนาในอกข้า..หลั่งหลากวน
รินท่วมท้นปนน้ำปรายสายพิรุณ
ข้าก่อเกิดเพื่อก่อเกียรติใช่เคียดแค้น
ใช่ก่อเกิดเพื่อแบ่งแดนให้ข้องขุ่น
ใช่สมบัติเพื่อน้อมรับประดับบุญ
ใช่แหล่งทรัพย์มาเจือจุนหนุนบ้านเมือง
โอ้..ทวยเทพผู้ทรงธรรม์สวรรคา
ไยทอดทิ้งปวงข้าไม่นำเนื่อง
ฤๅก้อนหินหมิ่นใจให้ขุ่นเคือง
จากรุ่งเรืองเป็นแรมร้างอยู่กลางไพร
ฤๅต้องคำสาปสรรค์จากชั้นฟ้า
ฤๅมนุษย์ผลาญพร่าไม่ปราศรัย
ตามสันดานโลภหลงตรงกลางใจ
ฤๅโลกหมุนเวียนไปไม่หวนคืน
น้ำตาหินรินหลั่งล้นบนภูผา
อาณาเขตถูกคร่าแยกเป็นอื่น
ถูกชำแหละแบ่งส่วนหวนกล้ำกลืน
คงไม่อาจย้อนคืน..ขื่นหทัย
ก้อนหนึ่งทับอีกก้อนหนึ่งพึงสร้างสรรค์
ลายจำหลักเทพเทวัญอันยิ่งใหญ่
ตระการตาเคยคู่ฟ้าเทวาลัย
จากนี้ไป..มีแต่จะแย่ลง
เมื่อรัฐชาติผลาญพร่าคร่าแบ่งส่วน
ก้อนหินได้แต่คร่ำครวญหวนสาปส่ง
ทำได้เพียงปล่อยวางพลางปลดปลง
ข้อบาดหมางยังยืนยงคงปฐพี
พระพายชายชื่นเชยรำเพยถิ่น
จากปราสาทเป็นกองหินสิ้นศักดิ์ศรี
เป็นเครื่องมือแห่งอำนาจบารมี
ให้ลูกหลานมนุษย์นี้ชี้ชะตา
................................................................................................................................
กระแสที่กำลังฮอตฮิตทุกวันนี้คือกรณีปราสาทพระวิหาร ถ้าไม่โวยวาย ถ้าไม่เจ็บปวด ถ้าไม่อยากได้คืน อาจจะถูกตราหน้าว่าไม่ใช่คนไทย (ที่ดี) และในฐานะว่าที่นักโบราณคดีที่ดี ข้าพเจ้าก็ควรจะไม่รีรอ กระโดดออกมาปกป้องสิทธิ์ของประเทศชาติทันที แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เกิดความรู้สึกว่าอยากจะโจนลงไปในกระแสเผ็ดร้อนเท่าไหร่นัก เพราะมันดูจะเป็นเครื่องมือทางการเมืองมากเกินไปแล้ว ข้าพเจ้าเหนื่อย(ใจ)กับการเมือง แต่ใครจะสนับสนุน (ในพื้นฐานของเหตุและผล ไม่ใช่ใช้อารมณ์) ข้าพเจ้าก็รู้สึกชื่นชมด้วย และอยากขอฝากนิดหนึ่งว่า เหตุผลๆ ๆ จงใช้เหตุผลไม่ใช่อารมณ์ ข้าพเจ้าอ่านข่าวในหน้าผู้จัดการ เจอความเห็นประเภทไม่สร้างสรรค์มาเยอะ อาทิเช่น
"ถ้าเขาได้บรรจุปราสาทพระวิหารลงไปใน list จะเอาระเบิดไปปา" (เอ็งจะบ้ารึเปล่า นั่นมันมรดกโลก มันก็มรดกของเอ็งด้วยนะเว้ย)
"ของของเรา มันเอาไปตั้งแต่แรก เอาคืนมาๆๆ ไอ้พวกขี้ขโมย" (เอ่อ...อันนี้ก็อินไปนิดนึงนะ - ก็ใช่ ถ้ายึดหลักตามสันปันน้ำ ตัวปราสาทอาจจะอยู่ในกลุ่มโบราณสถานในเขตประเทศไทย แต่จะว่าเขาไม่มีสิทธิ์อ้างเลย มันก็ไม่ใช่นะ ข้าพเจ้าคิดว่า...ไทยหรือกัมพูชาก็มีสิทธิ์อ้างและหาเหตุผลที่เหมาะสมมาแสดงความเป็นเจ้าของได้พอกัน ขึ้นอยู่กับว่าช่วงไหนๆ ใครจะได้เปรียบกว่ากัน เท่านั้นเอง)
ใช้ - เหตุ - ผล - ให้ - มาก - กว่า - อา - รมณ์ - ก่อน - มัน - จะ - ลุก - ลาม - มาก - ไป - กว่า - นี้ - นะ - คะ
คงเพราะกระแสนี้ด้วยล่ะมั้ง...ที่ทำให้ข้าพเจ้าเหนื่อยใจ รู้สึกอยากร้องไห้ให้ก้อนหิน แย่งกันไป แย่งกันมา ไม่มีจบสิ้น
เราพลาดตั้งแต่ชาติตะวันตกมากำหนดพรมแดนรัฐชาติแล้วแหละ ในสมัยก่อน...พรมแดนอาณาจักรมันไม่ใช่แค่แม่น้ำหรือภูเขากางกั้นแบบนี้เสียหน่อย มาถึงตอนนี้...การเป็นเจ้าของเขาพระวิหารมันไม่ใช่แค่ได้ตัวสถานที่มา แต่มันหมายถึงอำนาจทางการเมือง การสนับสนุนของชาติตะวันตก และอะไรอีกมายหลายประการ
ตอนวาดแผนที่ก็ให้ฝรั่งเศสมามีบทบาทต่อกรณีพิพาทไปทีหนึ่งแล้ว นี่จะให้วิธีการจัดการมรดกทางวัฒนธรรมแบบตะวันตก (UNESCO World Heritage Convention) มาเป็นชนวนปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านอีกเหรอ...
กลุ้มใจจริงๆ