วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

YuYu Hakusho: คนเก่งฟ้าประทาน (คุราม่าเน้นๆ)

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Comics & Graphic Novels
Author:Tokashi Yoshihiro

ที่ให้ 5 ดาวไม่ใช่เพราะการ์ตูนเรื่องนี้ภาพสวย หรือเนื้อหาสุดยอดหรอกนะคะ เรื่องนี้นักอ่านการ์ตูนหลายๆ คนบ่นด้วยซ้ำว่ามันจบแบบปาหมอน (ตัดจบไปเสียเฉยๆ เหมือนตอนจบที่ให้ตัวละครมาปาหมอนใส่กัน - ศัพท์แสลง) แต่ที่ให้ดาวมากมายขนาดนี้เพราะมันทำให้ยิ้มเกิดอารมณ์ noltalgia รำลึกถึงวันวานขึ้นมาเสียอย่างนั้น ตอนเด็กๆ จำได้ว่าเป็นการ์ตูนเรื่องที่ติดมากกกกกกก ดูช่องเก้าด้วย อ่านเป็นเล่มๆ ด้วย แล้วยังค้นหาภาพจากอินเตอร์เนตมาสะสมมากมายเป็นกุรุสๆ (ซึ่งตอนนี้ก็หายไปหมดแล้ว) เวบไซต์อันแรกในชีวิตยังทำเกี่ยวกับเรื่องย่อของการตูนเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ^ ^' แหะๆ

ตัวละครที่ชอบในเรื่องนี้คือ คุราม่า ปิศาจจิ้งจอกผมแดงในร่างมนุษย์ ผู้มีความสุขุม ลุ่มลึก ใช้ปัญญาต่อสู้มากกว่าที่จะใช้กำลัง

Spoiler alert ตื้ดดดดดดดด จะเล่าเรื่องย่อแล้วนะ (วันหน้าจะได้กลับมาอ่านโดยไม่ลืมเลือนไปเหมือนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา) แต่ขอย้ำว่า เรื่องย่อในบล็อกนี้เน้นแต่คุราม่านะจ๊ะ คนอื่นขอเล่าผ่านๆ เพียงเท่านั้น (ไม่ค่อยลำเอียงเท่าไหร่เลย)
.
.

ตอนที่ 1: Detective of the Spiritual World

น่าเสียดายที่เรื่องนี้พระเอกมิใช่หวานใจของอิฉัน แต่กลับเป็น 'อุราเมชิ ยูสึเกะ' นักเรียนวัย 14 ที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเพราะช่วยเหลือเด็กไม่ให้ถูกรถชน ทางโลกวิญญาณเลยให้กลับมามีชีวิตใหม่ แต่ให้มีสถานะเป็นนักสืบโลกวิญญาณ คอยจัดการกับพวกปิศาจจากโลกปิศาจที่หลุดออกมาเพ่นพ่านภายใต้การดูแลของโคเอนม่า(เหมือนจะเป็นเทพนะ)และโบตั๋น(ยมทูตสาวแสนสวย) โดยมี 'คุวาบาร่า คาสึมะ' อดีตคู่ปรับเป็นเพื่อนร่วมทีม

แต่น แตน แต๊นน...หวานใจของอิฉันออกโรงแล้ว....

อยู่มาวันหนึ่งยูสึเกะ ได้รับแจ้งว่ามีปิศาจ 3 ตนขโมยของมีค่าของโลกวิญญาณมา อันได้แก่ลูกบอลดูดวิญญาณ shadow sword และกระจก forlorn hope (ขอโทษด้วยที่ใช้ภาษาอังกฤษ แบบว่าดูการ์ตูนที่พากย์เป็นอังกฤษง่ะ เลยไม่รู้ว่าในหนังสือภาษาไทยเขาให้คำว่าอะไร) ปิศาจสามตัวนั้นคือ โกคิ 'ฮิเอ' และ 'คุราม่า' (กรี๊ดดดดดด) หลังจากหนีเข้ามาโลกมนุษย์ได้ คุราม่าก็ขอยกเลิกความเป็นพันธมิตร ไม่ยอมร่วมแผนการด้วย ทำให้ปิศาจอีกสองตัวที่เหลือนั้นโกรธมาก แต่คุราม่าก็มิได้นำพา เดินหายไปในความมืด ฮิเอก็ตามไปหมายจะเคลียร์

ยูสึเกะ ซึ่งตอนนั้นมีพลังแค่ระดับ D เข้ามาพบเหตุการณ์พอดี จึงเข้าต่อกรกับโกคิซึ่งครอบครองลูกบอลดูดวิญญาณด้วยความยากลำบาก แต่ด้วยความทรหดและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็ฆ่ามันได้ในที่สุด แต่ในระหว่างที่กำลังเดินเดี้ยงๆ เดินอยู่ในฝูงชนนั่นเอง คุราม่า...ปิศาจผมแดงก็เดินเข้ามาหา แล้วก็นัดแนะยูสิเกะให้ไปเจอที่โรงพยาบาลในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง



เมื่อยูสึเกะไปถึงที่นัดหมาย คุราม่าก็พาเขาไปพบผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังป่วยหนัก ทำให้ยูสึเกะได้รู้ว่า คุราม่ามีชื่อในภาคมนุษย์ว่า มินามิโนะ ชูอิจิ เขา...ซึ่งเป็นปิศาจจิ้งจอกได้เข้ารวมร่างกับเด็กคนนี้มาได้ 15 ปีแล้ว โดยมีแม่ที่เป็นมนุษย์เลี้ยงมาด้วยความยากลำบาก ตอนเด็กๆ แม่ถึงกับยอมเจ็บแทนคุราม่า เมื่อเข้าไปรองรับไม่ให้ตัวเขาตกลงมาล้มทับเศษแก้วที่กระจายเกลื่อนพื้น และนี่เอง...ทำให้ปิศาจจิ้งจอกที่ดูไร้หัวใจค่อยซึมซับความรักจนมีความเป็นมนุษย์ขึ้นมาเรื่อยๆ



คุราม่ารักแม่มาก และยอมสละให้ได้ทุกอย่าง จึงรอให้ถึงวันพระจันทร์เต็มดวง จะได้ขอพรจากกระจกให้แม่หายดีมีความสุข โดยเขาก็จะยอมสละชีวิตให้กระจกตามเงื่อนไขการใช้งาน และแล้วดวงจันทร์ก็ขึ้นมา...คุราม่าเริ่มดำเนินการทันที ยูสึเกะเริ่มทนไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่อยากให้แม่คุราม่าต้องเสียใจที่ลูกชายตายเหมือนตอนที่แม่ของเขาร้องไห้เสียใจตอนที่เขาโดนรถชน ยูสึเกะเลยขอให้กระจกเอาชีวิตของเขาไปแทน ท่ามกลางความตื่นตกใจของคุราม่า



กระจกเห็นใจในความเสียสละก็เลยบันดาลให้สมปรารถนาโดยไม่เอาชีวิตใครเลย ทำให้คุราม่ารู้สึกเป็นหนี้ยูสึเกะ จนถึงกับต้องไปช่วยยูสึเกะต่อสู้กับฮิเอ โดยเข้าป้องกันยูสึเกะที่กำลังจะโดนแทง ยอมเจ็บแทน..ว่างั้น



.
.
.
หลังจากนั้นยูสึเกะก็มีงานเข้ามาเรื่อยๆ โดยมีคุวาบาร่าคอยช่วยเหลือ งานใหญ่งานหนึ่งคือการปราบอสูร 4 ตัวที่ยึดปราสาทเป็นป้อมปราการหมายสร้างฐานอำนาจ ฮิเอ กับคุราม่าซึ่งต้องโทษอยู่ก็โดนส่งมาช่วยเหลือ โดยฮิเอ ผู้ที่ชอบทำตัวพูดน้อยต่อยหนัก แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์กับคุวาบาร่าทันที




ด่านแรกเป็นด่านวัดใจ ปิศาจแกล้งสับสวิตช์ให้เพดานลงต่ำมาเรื่อยๆ ต้องใช้แรง 4 คนยันไว้ ถ้ามีใครกินแรง จะต้านเพดานไว้ไม่ไหวลงมาทับทุกคนทันที ยูสเกะอาสาเพิ่มพลังเป็น 2 เท่าโดยใช้พลังวิญญาณ แล้วให้ฮิเอซึ่งมีความไวเป็นเลิศไปยกสวิตช์ขึ้น ก็เลยผ่านไปได้

ต่อมาก็เจอกับเกนบุ อสูรหิน ซึ่งร่างกายของมันกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวไปกับปราสาทหิน หั่นเป็นชิ้นๆ ก็ต่อติดได้ คุราม่าก็เลยใช้แส้กุหลาบอาวุธประจำกายตัดแหลก แล้วทำลายหัวใจมันทิ้งซะ (อย่างกะทศกัณฑ์เลย) อสูรหินเลยไม่สามารประกอบร่างได้ใหม่



หลังจากนั้นหนุ่มๆ คนอื่นๆ ก็ได้แสดงฝีมือบ้าง และก็เอาชนะได้ไปตามครรลองของกลุ่มตัวเอกล่ะนะ
.
.
เวลาผ่านไปงานการของยูสึเกะ กับคุวาบาร่าก็เพิ่มขึ้น งานสำคัญคือเข้าไปช่วยปิศาจน้ำแข็งชื่อยูกินะที่โดนจับตัวไป เพราะเธอร้องไห้ออกมาเป็นเพชร (รึเปล่านะ จำไม่ได้) เลยโดนจับไปทรมานทรกรรมหมายจะให้หลั่งน้ำตา คุวาบาร่าเห็นก็หลงรักเธอทันที โดยไม่รู้เล้ยยย ว่าเธอเป็นน้องสาวฮิเอ ในที่สุดก็ช่วยออกมาได้ ฮิเอตามมาหาถึงที่ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นพี่ชาย แค่มาดูว่าน้องสาวยังอยู่สบายดีก็พอใจแล้ว เพราะกลัวว่ายูกินะจะอายที่มีพี่เป็นอาชญากร
.
.
.
.
ตอนที่ 2: งานประลองยุทธ์โลกมืด (The Dark Tournament)

งานนี้...เป็นการพนันขันต่อกันของคนและปิศาจที่ร่ำรวย นักรบทั้ง 4 และเก็นไค อาจารย์ของยูสึเกะ (ที่มาในคราบของนักรบคลุมหน้า) ถูกเชิญเข้าร่วมแข่งขันด้วยในฐานะแขกพิเศษ ยูสึเกะถูกฝึกฝนอย่างหนักหน่วงจนนอนหลับสิ้นแรงมาตลอดการเดินทาง



คุราม่าเลยเข้าแข่งขันก่อน (ตามเคย) โดยเจอกับปิศาจสั่วๆ ตนหนึ่ง ที่ทั้งฝีมือและความไวทาบไม่ติด แต่มันดันคิดชั่ว ข่มขู่ แบล็คเมล์คุราม่าว่าถ้าหากไม่ยอมมัน มันจะกดสวิตช์ในมือ แล้วปิศาจเพื่อนของมันจะเข้าทำร้ายแม่ของคุราม่าทันที คุราม่าเลยจำต้องยืนเฉยๆ ให้มันต่อยเอาๆ เพราะไม่อยากให้แม่ถูกทำร้าย

และแล้ว...ไอ้บ้านั่นมันก็บอกให้หวานใจของอิฉันก้มลงเลียรองเท้าให้ สงสัยจะเห็นว่าชาติก่อนเป็นหมาป่า ท่าทางจะใช้ลิ้นเก่ง พี่คุราม่าก็บอกไปว่า "ไม่หรอกไอ้น้อง ชาติหน้าก็ไม่มีหวัง" ไอ้ปิศาจนั่นจึงหัวเราะแค่นๆ กล่าวหาว่าคุราม่าแสร้งทำเป็นปิศาจที่ดี มีคุณธรรม แต่ที่แท้ก็ไม่ต่างอะไรจากปิศาจชั้นต่ำเห็นแก่ตัว เพราะนี่ก็เห็นศักดิ์ศรีของตัวมีค่ามากกว่าชีวิตแม่ พร้อมทั้งเตรียมกดสวิตช์ แต่ทว่า...มาถึงตอนนี้ไอ้ตัวร้ายกลับขยับนิ้วไม่ได้ คุราม่าได้ปลูกต้นไม้ปิศาจไว้ในตัวมันนานแล้ว รากหยั่งลึกไปทั่วตัว พอสั่งปุ๊บ...ดอกไม้ก็งอกงามทะลุร่างกายออกมา ตายแอ้งแม้งไปตามระเบียบ


.
.
ผ่านเข้าไปอีกรอบ คุราม่าก็ลงประลองคนแรกอีกแล้ว การแข่งขันคราวนี้ค่อนข้างเครียดหน่อย เพราะว่าฮิเอกับเก็นไคในมาดนักสู้ผ้าคลุมหน้าถูกกักไว้ในเต็นท์พยาบาล ออกมาไม่ได้ สมาชิกในทีมเลยเหลือแค่ 3 คน แต่คุวาบาร่าเจ็บหนักจากการต่อสู้ครั้งที่แล้ว ก็เลยเหมือนจะเหลือคนที่ใช้การได้แค่ 2 คนเท่านั้น ทีมคู่ต่อสู้เป็นทีมนินจาจากโลกมืด ค่อนข้างมีฝืมือพอตัว ปิศาจตัวแรกของทีมโน้นมีความสามารถใช้พู่กันวาดภาพลงอาคมให้เหยื่อไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ คุราม่าโดนเข้าไปทั้งแขนขา เลยแทบขยับไม่ได้กันเลยทีเดียว แต่กระนั้นก็ดี พี่ท่านยังใช้ผมพันแส้กุหลาบอาวุธประจำตัวจัดการคู่ต่อสู่ลงได้ หากชาตินินจา ตัวตายก็ขอฝากผลงานเอาไว้ แม้จะรู้ว่าออกแรงมากเลือดจะหมดตัวได้เพราะแผลที่ถูกฝากไว้ฉกรรจ์นัก นินจาตัวนี้ก็ยังอุตส่าห์ใช้เลือดตัวเองสาดใส่คุราม่า ทำเป็นม่านกักพลังเอาไว้ในตัว ทีนี้ก็ตกที่นั่งลำบาก เพราะว่ามันส่งผลให้คุราม่าไม่สามารถใช้พลังปีศาจได้เลยเป็นระยะใหญ่ๆ



.
.
หวานใจของอิฉันตกเป็นรองในสถานการณ์การต่อสู้ถึงเพียงนี้ แต่คู่ต่อสู้คนใหม่ซึ่งเป็น Master of Ice ชื่อโทยะที่ฝีมือจัดจ้าน ก็ไม่ได้คิดจะออมมือให้ คุราม่าก็ทำเป็นซื้อเวลาไปเรื่อยๆ ในระหว่างที่ปลูกต้นไม้ปิศาจในกระแสเลือดตัวเอง เพื่อรากของต้นไม้จะได้เข้าถึงพลังปิศาจในตัวได้ โดยไม่ต้องปล่อยพลังออกมา ในที่สุดก็ใช้ต้นไม้ปีศาจเข้าแทงโทยะจนบาดเจ็บสาหัส จัดการไปได้อีก 1



แต่พอมาถึงรายที่ 3 คุราม่าก็สะบักสะบอมเกินกว่าจะรับไหวแล้ว ปล่อยพลังก็ไม่ได้ ยูสึเกะเลยต้องรับช่วงต่ออีก 2 คน คุ้นๆ ว่าคุวาบาร่ากลับมาฮึดสู้ จัดการคนสุดท้ายไปได้อีกคน ก็เลยชนะไปเข้าสู่รอบถัดไปจนได้
.
.
.
รอบนี้ค่อยยังชั่ว ฮิเอกับเก็นไคถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว คุราม่าได้คู่กับปิศาจหน่อมแน้มตัวหนึ่งที่แกล้งทำเป็นจะยอมแพ้ พอตายใจจะปล่อยให้มันยอมแพ้โดยดี ไม่คิดทำร้ายให้เลือดตกยางออก มันก็ดันหักหลัง แล้วใช้อุปกรณ์ปิศาจที่ย้อนเวลาให้คนที่อยู่ในเขตพลังของมันย้อนอายุกลับไปเป็นเด็กๆ แต่ดูเหมือนว่าจะตั้งไว้ผิดเวลาไปหน่อย คุราม่าเลยย้อนกลับไปเป็นปิศาจจิ้งจอกผมเงินผู้โหดเหี้ยม แววตาเยือกเย็น ชื่อ 'โยโค' สิ่งที่เขาเคยเป็นและคิดอยากกลับไปเป็น ในขณะที่โยโคกำลังจะขู่ให้ปิศาจต๊อกต๋อยบอกความลับเรื่องการย้อนเวลาให้ มันก็โดนเก็บไปเสียก่อน เขตพลังงานก็เลยถูกทำลาย โยโคก็คืนร่างเป็นคุราม่า เด็กผู้ชายผมแดงเหมือนเดิม


.
.
.
รอบสุดท้าย เจอกับทีมของโทงุโร่พี่น้องที่มีคนเก่งๆ ในทีมมากมาย รอบนี้เป็นรอบที่เราไม่ชอบเลย...เพราะว่าคุราม่าต้องสู้กับคาราสึ ปิศาจบ้าที่ชอบส่งสายตาและทอดสะพานมาให้คุราม่าตั้งแต่เริ่มๆ ประลองแล้ว ประเดี๋ยวก็มอง เดี๋ยวก็แทะโลมด้วยสายตาและคำพูด มันทำให้คนดูและคนอ่านอย่างอิฉันหวั่นใจ ว่าคนเขียนจะเขียนให้คุราม่าเป็นเกย์รึเปล่า - -' แต่คงไม่มั้ง เพราะไม่เห็นแววตาของคุราม่าจะหวั่นไหวหรือขวยเขินเลย มีแต่แววเยือกเย็น และครุ่นคิดคำนวณให้ตัวเองรอดจากเสือสิงห์กระทิงแรดมากกว่า (คาราสึเนี่ย แรดมากกกก)

ในการต่อสู้ครั้งนี้ คุราม่าใช้ยาวิเสษที่จะทำให้คืนร่างเป็นโยโคได้นาน 15 นาที แต่ยาออกฤทธิ์ช้า กว่าจะกลายร่างได้ก็เกือบเจ็บ แหม..ร่างกายคนไม่ใช่เหล็กไหลจะได้ทนทานต่อปิศาจที่มีพลังสร้างระเบิดจากสิ่งรอบกายได้ พอแปลงร่างแล้วก็สู้ได้สูสีกันหน่อย สู้ไป สู้มา ผ้าคลุมหน้าของคาราสึก็หลุด พลังมันก็เพิ่มขึ้นอีก เวรกรรม

โชคร้ายซ้ำซ้อนเมื่อยาดันหมดฤทธิ์เร็วกว่าที่ควร ปิศาจจิ้งจอกผู้แข็งแกร่งกลายร่างเป็นมนุษย์ที่บอบบางอีกครั้ง คราวนี้เลือดสาดกระจายเลย คุราม่าเลยใช้พลังในร่างมนุษย์นี่แหละปล่อยพืชปิศาจเข้าดูดเลือดที่หัวใจของคาราสึจนแอ้งแม้งไปในที่สุด

ในทางปฏิบัติคุราม่าชนะ แต่ว่า...ในทางกติกา คุราม่าหมอบกับพื้นนานกว่า 10 วิ เลยโดนปรับแพ้ไป เฮ้อ...อะไรกันคะเนี่ย




หลังจากนั้นคนอื่นก็สู้ๆ ไป และแล้วก็นั่นแหละ ทีมพระเอกก็ต้องชนะสิ แล้วทุกคนก็ได้กลับมายังโลกมนุษย์ตามปกติ

โดยมิมีใครรู้ว่า...

โทงุโระคนพี่ที่มีความสามารถยืดหยุ่นร่างกายได้ราวกับไร้กระดูกยังไม่ตาย และมันกำลังจะฟื้นตัว
.
.
.
ตอนที่ 3: Chapter Black ชื่อไทยว่าอะไรหว่า...ไม่รู้สิ
.
.
.
แล้วทุกคนก็กลับมามีชีวิตปกติสุขเหมือนเดิม หลังจากคนเขียนทำให้คุราม่าโดนแทะโลมโดยคาราสึ ปิศาจตัณหากลับเมื่อตอนที่แล้ว ตอนนี้มินามิโนะ ชูอิจิ ก็โดนแทะโลมโดยสาวๆ ในโรงเรียนอีกแล้ว แหงล่ะ...สอบได้ที่ 1 ทุกครั้งนี่นา เฮ้อ ในชีวิตจริงจะมีมั้ยเนี่ย ทั้งสุขุม เยือกเย็น ฉลาด และโหดเหี้ยมในคราวเดียวกัน

อุ๊ย...เพ้อไปหน่อย เล่าต่อๆ

ยูสึเกะถูกจับตัวไปโดยกลุ่มคนที่มีพลังประหลาด มีจดหมายเรียกค่าไถ่มา แจ้งให้คุวาบาร่า ฮิเอ และคุราม่าไปที่บ้านหลังหนึ่งภายในเวลาที่ให้ไว้ ไม่อย่างนั้นยูสึเกะจะตาย คุวาบาร่าเลยต้องออกมาตามหาสมาชิกให้ครบ ตอนนี้บรรยากาศดูแปลกๆ มีแมลงปิศาจบินว่อนไปหมด คนหลายคนก็มีพลังแปลกๆ ขึ้นมา





ตอนแรกฮิเอทำท่ายึกยักจะไม่ยอมไปช่วย โบตั๋นเลยต้องติดสินบนว่าถ้ายอมไป จะลบ criminal record ให้หมดเลย สมาชิกก็เลยครบทีม เมื่อมาถึงบ้านแปลกประหลาดหลังนั้น ก็พบกับไคโต เพื่อนร่วมโรงเรียนของคุราม่าที่มีพลังประหลาด คือสร้างเขตอาคมที่ใครพูดคำต้องห้ามในนั้น จะต้องถูกดูดพลัง และคำต้องห้ามที่เขาตั้งไว้คือคำว่าร้อน...และอากาศในบ้านนั้นก็ร้อนมากเสียด้วยสิ ไคโตปรารถนาจะเอาชนะคุราม่าให้ได้ เพราะคะแนนของเขาเป็นรองก็แค่คุราม่าเท่านั้นในโรงเรียนนี้ และมันก็ทำให้เขาหงุดหงิดด้วยสิ



ฮิเอเป็นคนแรกที่ถูกดูดวิญญาณไป ตามมาติดๆ ด้วยคุาบาร่าและโบตั๋น จึงเหลือคุราม่าไว้ต่อสู้เพียงคนเดียว



คุราม่าจึงขอให้เปลี่ยนคำต้องห้าม ให้เพิ่มขึ้นทุกๆ 1 นาที โดยเริ่มจากอักษรตัวสุดท้ายก่อน โดยจะจบเกมภายใน 45 นาที ถ้าไม่มีใครแพ้ชนะ ก็เอาวิญญาณของคุราม่าไปได้เลย


แต่แล้ว...คุราม่าก็หลอกล่อให้ไคโตพูดคำต้องห้ามออกมาจนได้ หลอกให้ตกใจไม่สำเร็จก็หลอกให้หัวเราะก็แล้วกัน เจ้าของเขตอาคมเลยโดนดูดวิญญาณ คนอื่นๆ ก็เลยได้วิญญาณของตัวเองคืนมา



แล้วทั้งหมดก็ขึ้นไปเจอยูสึเกะ ที่ถูกกิโด้ผู้มีพลังเหยียบเงากักตัวไว้ พลังของเขาก็คือหากใครโดนเหยียบเงาจะขยับเขยื้อนตัวไม่ได้เลย หลังจากประลองปัญญากันเล็กน้อย เรื่องก็กลับกลายเป็นว่าอาจารย์เก็นไคอยู่เบื้องหลังทั้งหมด เพื่อที่จะแจ้งให้ทุกคนรู้ว่าขณะนี้ กำลังมีคนพยายามจะขุดอุโมงค์เชื่อมโลกปิศาจกับโลกมนุษย์ คนคนนั้นคือ 'เซ็นซุย' อดีตนักสืบโลกวิญญาณ ผู้มีสมาชิกที่มีพลังแปลกๆ ต่างๆ คอยช่วยเหลือถึง 7 คน ตอนนี้อุโมงค์เปิดกว้างมากแล้ว...คนแถวนี้เลยเริ่มจะมีพลังประหลาดๆ อย่างที่เป็น

เหล่านักสู้ก็ต้องพยายามสืบหาตัวการ แต่ก็ต้องถูกขัดขวางโดยกลุ่มคนที่มีพลังประหลาดเหล่านั้น คุวาบาร่าถูกจับตัวไป เพราะพลังดาบวิญญาณของเขาใช้ตัด barrier ที่กั้นโลกสองโลกได้ คงจะใช้ตัดมิติปล่อยปิศาจออกมาได้ดี เซ็นซุยกะจะให้สมุนที่มีความสามารถกลืนพลังคนอื่นได้กินคุวาบาร่าเข้าไป จะได้มีคุณสมบัติใช้ดาบวิญญาณได้

ในที่สุดพวกนักสู้ก็ตามหาศูนย์กลางอุโมงค์เจอ แต่ก่อนที่จะเข้าไปถึงจุดนั้นได้ก็ต้องผ่านด่านของ Game master ไปก่อน พอถึงตอนนี้...ทุกคนดูเหมือนจะโดนถ่วงเวลาไว้ในโลกแห่งเกมคอมพิวเตอร์ เพราะคนที่ตกอยู่ในเขตอาคมของอามานุมะ Game master คนนี้ จะเลิกเล่นเกมไม่ได้ ถ้าเลิกเล่นจะตายทันที

คุราม่าจึงคิดได้ว่า ถ้าเลิกเล่น...คนเล่นจะตาย แต่ถ้าเอาชนะ Game master ได้ คนตายก็คือเจ้าของพลังงานเองนั่นแหละ แต่ใครล่ะ...จะกล้าฆ่าเด็ก และที่สำคัญก็คือ เด็กมันเก่งมาก ขนาดไคโตที่ว่าเป็นเซียนเกมยังเอาชนะไม่ได้เลย - -'
.
.
ถึงจะเจ็บปวดแต่คุราม่าก็ต้องทำ เขาเอาชนะอามานุมะเด็กน้อยจนได้ แล้วก็เจ็บปวดมากที่พวกเซ็นซุยคล้ายจะบีบบังคับทำให้เขาต้องทำร้ายเด็กไร้เดียงสา



พอไปถึงจุดศูนย์กลางที่เซ็นซุยและพวกกำลังรอเปิดอุโมงค์อยู่ ตอนนั้นอุโงค์เปิดกว้างมากแล้ว ปีศาจเกือบจะหลุดออกมาได้แล้ว คุราม่าเลยอาสาสู้กับสมุนคนสุดท้ายของเซ็นซุยเองด้วยความแค้น ซึ่งไอ้เจ้าตัวเขมือบนี่น่ากลัว มันกินคนไหนเข้าไป มันจะมีพลังของคนนั้นอยู่ด้วย ตอนนี้มันมีพลังอ่านใจคน ไม่มีใครในทีมรอดพ้นการอ่านใจของอีตานี่ได้เลย แม้แต่ยูสึเกะ คิดจะทำอะไรมันก็รู้หมด คุราม่าเลยอาสาสู้เอง (อีกละ ต้องไปเสี่ยงเป็นคนแรกทุกที)

คุราม่ายืนนิ่ง สงบใจ อีตาบ้านั่นแปลกใจมาก เพราะเสียงความคิดเงียบไปแล้ว แต่แล้วในพริบตา คุราม่าก็ตัดการตัดหัวสมุนคนสุดท้าย(ที่จำชื่อไม่ได้) ขาดกลางอย่างรวดเร็ว




เรื่องจึงแดงออกมาว่า จริงๆ แล้ว โทงุโร่ต่างหากที่ควบคุมร่างนั้น ไม่ใช่เจ้าของร่างอย่างที่คิด เมื่อโทงุโร่คนพี่ค่อยๆ โผล่ออกมาจากส่วนหัวที่ถูกตัดครึ่ง (ดีนะที่เป็นการ์ตูน เป็นหนังคนดูสยองมาก) ทั้งสองจึงเข้าต่อสู้กันต่อ โทงุโร่ตรงเข้าแทงคุราม่าทันที แต่แล้วก็ต้องสงสัยว่าทำไมแทงยังไงก็ไม่ตายเสียที



โอ้ว่าอนิจจา จริงๆ แล้วคุราม่าใส่เมล็ดต้นไม้ปิศาจ ไว้ตั้งแต่ตอนที่ตัดหัวไอ้เจ้านี่แล้ว โทงุโร่มันเป็นอมตะฆ่าไม่ตาย ก็เลยให้ต้นไม้โอบกอดโทงุโร่เอาไว้จนนิจนิรันดรนี่แหละ ต้นไม้ต้นนี้สามารถสร้างภาพหลอนให้เหยื่อคล้ายๆ the matrix แล้วมันก็จะดูดกินพลังงานจากตัวของเหยื่อไปเรื่อยๆ ในเมือเหยื่อไม่ตาย เหยื่อก็จะต้องทุกข์ทรมานต่อไปไม่จบสิ้นตราบนานเท่านาน

เพื่อนๆ จึงได้รู้ว่า เวลาคุราม่าโกรธมันช่างน่ากลัว



ในที่สุดเซ็นซุยก็ต้องลงมือเองแล้ว คุราม่า ฮิเอ คุวาบาร่าถูกกันออกไปอยู่ในอีกมิติ ยูสึเกะสู้กับเซ็นซุยยังไงก็สู้ไม่ได้ จนในที่สุดก็ยอมให้ตัวเองถูกฆ่าตาย เพื่อนๆ จะได้เกิดแรงฮึดสู้ มีพลังพอจะจัดการกับเซ็นซุยได้
.
.
ทั้งหมดหลุดเข้าไปในโลกปิศาจ ฮิเอ คุราม่าพลังเพิ่มขึ้นถึงระดับ A แล้วก็จริง (คุราม่ากลายเป็นโยโคไปละ) แต่เซ็นซุยได้พลังระดับ S มาได้ยังไงก็ไม่รู้ สู้ยังไงก็ไม่ได้ แต่แล้วยูสึเกะที่ตายไป (อีกรอบ) ก็กลับคืนชีพ แล้วกลายร่างเป็นปิศาจไปอีกคน ซึ่งความจริงก็คือ...ไรเซ็น หนึ่งในสามของราชาโลกปิศาจเคยมีภรรยาเป็นมนุษย์ แล้วยีนของความเป็นปิศาจมันก็มาแสดงผลที่ยูสึเกะ แล้วตอนนี้เลือดปิศาจก็ถูกปลุกขึ้นมา แต่กระนั้นก็ดี...ก็ยังฆ่าเซ็นซุยไม่ได้ จนไรเซ็นเข้าครอบครองร่างยูสึเกะ แล้วจัดการเซ็นซุยไปซะ
.
.
แล้วทุกคนก็กลับโลกมนุษย์เหมือนเดิม ทั้งที่ยูสึเกะยังอยากจะสืบหาต้นตอของพลังงานที่มาสิงร่างเขาชั่วขณะ

.
.
.
ตอนที่ 4: Saga of the Three Kings



ชีวิตคุราม่าควรจะสงบ เมื่อแม่แต่งงานใหม่มีครอบครัวที่สมบูรณ์แล้ว ตัวเขาเองก็เข้ากับพ่อใหม่และน้องชายคนใหม่ได้ดี แต่ว่าอยู่ดีๆ ก็มีสาส์นเชิญจาก 'โยมิ' เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่กลายเป็นหนึ่งในราชาโลกปิศาจให้กลับไปช่วยงานหน่อย ในขณะเดียวกัน ไรเซ็นก็มาตามยูสึเกะกลับไปรับมรดก และมุคุโร ราชาโลกปีศาจอีกคนหนึ่งก็ชวนฮิเอไปร่วมด้วยเหมือนกัน

เมื่อไปถึง...โยมิก็ให้คุราม่าเข้าประชุมด้วย เขาจึงรู้สถานการณ์ว่า ไรเซ็นไม่ยอมกินเนื้อคน เขาเลยอ่อนแอลงทุกวันและกำลังจะตาย เลยเรียกยูสึเกะมาสืบทอด และยูสึเกะก็ไม่มีทางจะแข็งแกร่งเทียบเท่าไรเซ็นได้ ถ้าไรเซ็นตายโยมิกับมุคุโรก็คงจะเปิดสงครามกันเอง คุราม่ามองสถานการณ์และเสนอความคิดว่า อีกไม่ถึงครึ่งปีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในกองทัพของแต่ละคน คือมือขวาของราชาทั้งสามจะเปลี่ยนมือ ถึงตอนนั้นจึงจะพอเห็นแนวทาง คำพูดของคุราม่าทำให้ซาชิ มือขวาของโยมิในขณะนั้นโกรธมาก



หลังการประชุม โยมิก็พาคุราม่าไปหาปิศาจตนหนึ่งที่ถูกทรมานอยู่ มันเป็นปิศาจตัวที่ทำให้เขาตาบอด โยมิบอกคุราม่าว่าการตาบอดนี่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และสุขุมขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่ฉลาดและมีไหวพริบเท่าคุราม่าก็ตาม โยมิคาดคั้นถามปิศาจตนนั้นว่าใครบงการ และคำตอบก็คือ...

ปิศาจจิ้งจอกผมสีเงิน


.
.
โยมิจึงหันมายิ้มเย็น บอกว่าจริงๆ ก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว ว่าใครคิดจะฆ่าเขา และก็ไม่ได้ติดใจคิดแค้นอะไร เพราะว่าตอนนั้นตัวเขาเองก็มุทะลุ ไม่เชื่อฟังโยโคเลย แถมยังทำให้สูญเสียเลือดเนื้อของลูกสมุนและทรัพย์สินอีกมากมาย แค่อยากให้คุราม่าตระหนักว่าตัวเองติดหนี้อยู่ และอยากให้คุราม่ามาทำงานเป็นที่ปรึกษาให้ คุราม่าคิดจะปฏิเสธ เพราะไม่อยากเป็นปฏิปักษ์ต่อยูสึเกะและฮิเอ แต่โยมิก็เอาชีวิตของแม่และพ่อเลี้ยงมาขู่ ทำให้คุราม่าจำต้องทำงานให้โดยไม่มีทางเลี่ยง



งานแรกที่คุราม่าทำ ก็คือกลับไปฝึกและรวบรวมนักสู้ฝีมือดี อันได้แก่พวกนินจาที่เคยสู้ๆ กันมา เพื่อมาเสริมกำลังให้โยมิแข็งแกร่งขึ้น ซาชิส่งปิศาจปรสิตไปสิงน้องชายของคุราม่า และขู่ว่าถ้าคิดจะกลับไปโลกปิศาจอีก จะฆ่าน้องชายทิ้งเสีย แต่คุราม่าข่มขู่ปิศาจปรสิตกลับ จนมันหันมาสวามิภักดิ์ต่อคุราม่าแทน




คุราม่าจึงกลับไปโลกปิศาจอีกครั้งเมื่อรวบรวมกำลังได้แล้ว การไปๆ มาๆ ทำให้คะแนนสอบตก ได้แค่ 490/500 (สอบได้เป็นที่สองรองจากไคโต) ทุกคนในเมืองของโยมิเริ่มไว้ใจคุราม่า เพราะผลงานโดดเด่นกว่าซาชิเป็นกองทั้งที่เพิ่งมาทำงานให้ไม่นาน โยมิแต่งตั้งให้คุราม่าเป็นมือขวาของเขาแทนซาชิ นั่นทำให้ซาชิโกรธมาก ถึงขั้นคิดจะลอบทำร้ายคุราม่าเลยทีเดียว




แต่คุราม่าก็จัดการซาชิได้อย่างง่ายดาย เพราะตอนนี้พลังของโยโคถ่ายทอดมายังตัวเขามากขึ้นๆ แต่ปัญหาก็คือ...บางครั้งเวลาต่อสู้ เขาก็จะกลายร่างเป็นโยโคทันที คล้ายกับว่า...โยโคเริ่มเข้ามาควบคุมความเป็นคุราม่ามากขึ้น ๆ ๆ และโยมิก็ดูเหมือนจะพอใจที่มันเป็นอย่างนั้น

เมื่อไรเซ็นตาย ยูสึเกะก็เป็นผู้นำแทน แต่แล้วอยู่ดีๆ ยูสึเกะก็เข้ามาหาโยมิถึงที่ โยมิสั่งให้คุราม่ากับพวกซ่อนอยู่ใกล้ๆ ถ้ายูสึเกะตุกติกก็จะสั่งให้จัดการยูสึเกะทันที คุราม่าอึดอัดใจ ไม่อยากทำร้ายยูสึเกะ จึงปรึกษากับลูกทีม



แต่การณ์กลับกลายเป็นว่ายูสึเกะมาหาโยมิ เพื่อเสนอให้หาผู้นำโลกปิศาจโดยการประลอง แทนที่จะสู้รบหรือทำสงครามเย็นให้เสียเลือดเนื้อ ผู้ที่ชนะการประลองก็ได้เป็นราชาโลกปิศาจ จนกว่าจะถึงวาระใหม่ มุคุโรก็เห็นด้วย โยมิก็เลยจำต้องตามน้ำไป เพราะคุราม่าก็ดันหักหลังไปสนับสนุนยูสึเกะอีกแล้ว พร้อมทั้งลูกทีมที่เพิ่งไปเกณฑ์มาด้วย



โยมิก็เหมือนจะเจ็บปวดใจ แต่นะ...ทำไงได้อ้ะ ดูเหมือนว่าคุราม่าจะชอบนิสัยของยูสึเกะมากกว่าโยมินี่นา (มุมมืดของคุราม่า - -') จะว่าไปก็พอเข้าใจได้ เพราะยูสึเกะก็เคยช่วยชีวิตคุราม่าไว้ แถมร่วมเป็นร่วมตายมาหลายครั้ง

ตกลง...ปิศาจแต่ละตนเลยเข้าร่วมแข่งขันแบบตัวต่อตัว ไม่มีอาณาจักรมาเกี่ยวข้อง ตอนนี้ดูเหมือนว่าฮิเอจะแอบชอบมุคุโรเข้าไปละ เดี๋ยวๆ ๆ ไม่ใช่ Y หรอก แต่มุคุโรที่แสร้งว่าเป็นราชานั้น...จริงๆ แล้วเป็นผู้หญิง อาจเพราะฮิเอคงเห็นว่า...เธอผ่านเรื่องร้ายๆ ในชีวิตมามากเหมือนๆ กับตัวเองมั้ง เลยตามสาวเจ้าต้อยๆ ดูผิดปกติมาก เพราะจริงๆ แล้วฮิเอเป็นพวกไม่ค่อยชอบตามใคร

ก่อนจะสู้โยมิก็เข้ามาพูดกับคุราม่า คล้ายๆ กับจะอยากรู้ว่าคุราม่านั้นคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงทำแบบนี้ ไม่อยากเป็นใหญ่กับโยมิ ไม่อยากเป็นปิศาจที่แข็งแกร่งในโลกปิศาจแบบเมื่อก่อนแล้วหรือไง ทำไมถึงให้ความสำคัญกับครอบครัวนัก ครอบครัวทำอะไรให้เหรอ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ขอให้สู้ให้ถึงที่สุด (ทำไมโยมิตัดพ้อเหมือนกับโดนคุราม่าหักอกเลย - -' อย่าบอกนะ ว่าเป็นการ์ตูนแฝง Y จริงๆ ชักระแวงแล้วสิ)



ในการต่อสู้คุราม่าเจอกับชิงุเระ อาจารย์ดาบของฮิเอ พลังงานระดับ S แข็งแกร่งมาก ขนาดฮิเอยังเคยโดนฟันร่างกายขาดท่อน มุคุโรต้องพาไปรักษาต่อ คุราม่าในร่างมนุษย์ที่ระดับ A นั้นต่อกรด้วยยากอยู่ แต่พอสู้ๆ ไป พลังงานถึง...ก็กลายร่างเป็นโยโคในระดับ S แล้วก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ..คราวนี้...คุราม่ารู้ใจตัวเองดีแล้ว ว่าเขาไม่อยากเป็นปิศาจจิ้งจอกผู้โหดร้าย จอมเจ้าเล่ห์อีกต่อไป ก็เลยคืนร่างเดิม แต่ร่างมนุษย์มันเปราะบาง ก็เลยเจ็บโน่นเจ็บนี่ประจำ (เจ็บหนักมันทุกไฟต์เลย ให้ตายสิ)



แต่ในที่สุดคุราม่าก็สามารถปลดอาวุธและควบคุมชิงุเระได้ ทั้งที่ใช้ร่างมนุษย์ที่แสนเปราะบางเข้าต่อสู้นี่แหละ ชิงุเระจึงยอมแพ้และฆ่าตัวตายเพื่อรักษาเกียรติ แต่คุราม่าก็หมดแรงสิ้นสติอยู่ในดงดอกซากุระผสมพืชปีศาจที่สร้างขึ้นเพื่อดักชิงุเระนั่นเอง



ในขณะที่เพื่อนๆ ทั้งหลาย กำลังวิ่งจะไปพาคุราม่าออกมา โยมิก็ได้เข้าไปถึงตัวคุราม่าก่อน คล้ายๆ จะเป็นการยืนยันว่าไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดแล้วจริงๆ โยมิถามคุราม่าว่าไม่คิดจะกลับไปเป็นโยโคแน่ๆ แล้วเหรอ คุราม่าจึงบอกว่าเขาไม่อยากยึดติดกับอดีตอีกต่อไปแล้ว แล้วก็จะกลับไปหาครอบครัวในโลกมนุษย์ด้วย โยมิก็เลยคล้ายๆ จะทำใจกับทางเลือกที่คุราม่าเลือกแล้ว ความอ่อนโยนและความรักของมนุษย์เปลี่ยนปิศาจตนหนึ่งให้จิตใจอ่อนโยนลงได้จริงๆ



ฮิเอได้สู้กับมุคุโร ถึงจะไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ก็สามารถปลดตรวนที่ข้อมือของมุคุโรออกได้ เพราะอยากให้เธอลืมอดีตที่ผ่านมาเสียที (จริงๆ คงไม่อยากทำร้ายด้วยแหละ) ยูสึเกะสู้กับโยมิ สะบักสะบอมทั้งคู่ แต่โยมิชนะ สรุปว่า...คนได้ที่ 1 คือม้ามืดชื่อ Enki เป็นเพื่อนของไรเซ็น แข็งแกร่ง แต่จิตใจดี มีนโยบายไม่สร้างความวุ่นวาย และจะจัดงานประลองใหม่ในอีก 3 ปี

หลังจากนั้น...คุราม่าก็กลับไปใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ ทำงานในบริษัทของพ่อเลี้ยง (งงเหมือนกัน ทำไมไม่เรียนต่อ รู้อยู่ว่าฉลาด แต่ในโลกมนุษย์วุฒิการศึกษาก็สำคัญนะ - -' ) เช่นกันกับยูสึเกะที่กลับมาเปิดร้านบะหมี่ (แต่ยูสึเกะกลับไปทีหลังหน่อย) คุวาบาร่าก็เตรียมสอบเข้ามหาลัย ส่วนฮิเอ...ก็คอยจีบมุคุโรต่อไปในโลกปิศาจ

อืม...จริงๆ ดู anime ก็ไม่ค่อยเหมือนตัดจบนะคะ มีรายละเอียดมากกว่าในการ์ตูนเล่มๆ หน่อย คงไม่มีบทสรุปนะ เพราะยิ้มก็ไม่รู้ว่าจะสรุปอะไร แค่อยากรวบรวมรูปของคุราม่า และตัวการ์ตูนที่เคยชอบมากไว้เท่านั้นเอง แหะๆ





วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

Englishness - อาหาร - กินม่ายด้ายยย


Rating:★★★
Category:Other
ประมาณ 2 เดือนก่อน อาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งต่อไปนี้จะขอเรียกง่ายๆ ว่าซุป(เปอร์ไวเซอร์) ได้ตั้งกลุ่มขึ้นมากลุ่มหนึ่ง พบกันทุกๆ วันศุกร์ตอนเย็น เดือนละครั้ง หรือประมาณ 3 อาทิตย์ครั้ง เรียกว่า Heritage Reading Group ทุกครั้งจะมีการหมุนเวียนบทความที่เห็นว่ามีประโยชน์ให้สมาชิกในกลุ่มอ่าน แล้วก็มีมาขยายความ + แสดงความคิดเห็นกันนิดหน่อย

สมาชิกในกลุ่มส่วนมากเป็นคนอังกฤษ มีเป็นคนออสเตรเลียบ้างเล็กน้อย อันได้แก่แกรี่ คุณสามีของซุปฯ ซึ่งทำงานในแขนงการจัดการมรดกทางวัฒนธรรมเช่นเดียวกัน เอมม่า รุ่นพี่ป.เอกที่เพิ่งจบไปหมาดๆ ส่วนตัวซุปฯ เองนั้น โตที่ออสเตรเลีย แต่ก็มาจากอังกฤษ ที่เหลือก็มีชาวกรีก และคนไทย (อิฉันเอง)

ประชุมครั้งแรกแกรี่ทำอาหารเลี้ยง แล้วให้สมาชิกเอาเครื่องดื่มไป ปรากฏว่าเมากันแอ๋ เพราะหนึ่งคนก็เอาไวน์ไปหนึ่งขวด คุยกันแทบไม่รู้เรื่อง ไม่เวิร์คอย่างแรง ครั้งหลังๆ ซุปฯ เลยให้สมาชิกเอาอาหารมาแทน เครื่องดื่มมีให้

ครั้งแรกยิ้มทำแกงเขียวหวานไป ซึ่งถึงฝีมือทำแกงจะไม่ดีเลิศ แต่ตอนช่วยกันกับปุ๋มทำหม้อใหญ่ขายในงาน Fiesta ก็ขายออกเกือบหมดหม้อล่ะน่า เหลือติดก้นหม้อแค่น้ำๆ และผักเท่านั้นเอง (ก็แหม..พริกแกงแม่ศรี รสชาติมาตรฐาน) เวลาทำเลี้ยงเพื่อนนานาชาติ ก็ออกจะขายดี ปีที่แล้วเคยทำไว้ 2 หม้อ เอาเลี้ยงแฟลตเมตของนก ตอนแรกคิดว่ากะจะเหลือเก็บไว้หม้อหนึ่ง เพื่อกินวันถัดไป ที่ไหนได้...แฟลตเมตนกกินเสียเกือบหมดเกลี้ยง

หากพอนำเสนอให้กลุ่ม heritage reading group นี้ โอ้ว...ความมั่นใจคลอนแคลนทันที แกงเขียวหวานหนึ่งหม้อขนาดกลางหมดไปแค่ครึ่ง.... T-T และคนกินก็มีแค่ไม่กี่คน อันได้แก่ ซุปฯ ซึ่งบอกว่าชอบนะ แต่เผ็ดเกินไปเลยกินไปนิดเดียว เอมม่า รุ่นพี่ป.เอกที่จบไปแล้วก็บอกว่าชอบเหมือนกันแต่เป็นโรคกระเพาะ เลยกินเยอะไม่ได้ และแกรี่ คุณสามีของซุปฯ (รายนี้กินไปเยอะมาก ขอบคุณมากฮ่ะ) ส่วนสมาชิกที่เหลือ แค่ชิมๆ และไม่กินเลย (กระซิกๆ ๆ)

ครั้งล่าสุดทำซูชิไป กะว่ากินเผ็ดกันไม่ได้ก็เอาจืดๆ นี่แหละ ซูชินี่...ทำในที่สาธารณะมา 2 รอบ รอบแรกในหมู่คนไทย ก็หมดนะ ถือว่าสำเร็จพอควร ทำอีกรอบตอนงานวันเกิดแฟลตเมต ทำเป็นกับแกล้ม ตอนนั้นทำไว้ถาดหนึ่ง พอตกดึกก็ต้องมาทำเพิ่มด้วยซ้ำ(เพราะหิวกัน) แต่พอยกไปนำเสนอกลุ่ม Heritage reading group นี้ - -' เหลืออีกแล้วขอรับ บางคนไม่กินเลย บางคนกินไปแค่ชิ้นสองชิ้น ครั้งนี้ก็ขอขอบคุณแกรี่อย่างสูงอีกเช่นกัน ที่กินไปประมาณ 15-16 ชิ้น ทำให้ซูชิจานนั้นพร่องไปกว่าครึ่ง ดูไม่ขายหน้าเท่าไรนัก

นี่มันอะไรกันคะนี่...
ใจคอคนอังกฤษแท้ๆ จะไม่กินอาหารแปลกๆ เลยใช่ไหมคะ ?????

จริงๆ ก็เคยได้ยิน ได้ฟังมาบ้าง ว่าคนอังกฤษแท้ๆ ค่อนข้างกินอาหารได้จำกัด แต่ก็ไม่เจอประสบการณ์ตรง เพราะว่าเพื่อนคนอังกฤษที่เคยรู้จัก กินทุกอย่างที่ขวางหน้า บางคนกินพริกเผ็ดกว่าเราเสียอีก แล้วเพื่อนนานาชาตินี่...ไม่ต้องถาม อาหารเอเชียคือของโปรด ทำทีไรก็เห็นหมดทุกที (หรือว่าของฟรี เพื่อนเลยคิดว่ากินๆ ไปเหอะหว่า - -') จากเหตุการณ์นี้...ทำให้เกิดแฟลชแบคย้อนไปถึงคำบ่นของเพื่อนสาวที่มีแฟนเป็นคนอังกฤษ

"ยิ้ม...รีบๆ ลงมาลอนดอนนะ จะได้ไปกินติ่มซำกัน"
"อ้าว ทำไม ชวนคุณแฟนไปสิ"
"โหย เขากินไม่ได้หรอก ของแปลกๆ"

หลังจากนั้นคุณเพื่อนก็ร่ายยาว

"ปลาหมึก หอย อะไรพวกนี้เขาก็ไม่กิน บอกว่าแปลก ไก่ก็ต้องกินส่วนอก เพราะว่าส่วนขา ส่วนน่องมันติดเอ็น ติดเส้นเลือด กินไม่ได้ อาหารไทยแท้ๆ แบบพะโล้ แกงส้ม ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ส้มตำ ก็กินไม่ได้ ต้องกินพวกแกงเขียวหวาน ผัดเปรี้ยวหวาน ผัดเต้าซี่ บลา บลา บลา บลา"

เออ...ที่ว่าคนอังกฤษกินยาก สงสัยจะจริง ไม่นานมานี้เองเพื่อนร่วมแฟลตก็ทำอาหารเลี้ยงเพื่อนชาวอังกฤษ ทำไปตั้ง 4 อย่าง คนอังกฤษกิ่นเท่าแมวดม บอกว่าไม่หิว แต่กลับมาชื่นชมโสมนัสกับเค้กช้อกโกแลตซึ่งซื้อมาจากร้านไอซ์แลนด์ราคา 3 ปอนด์ กินแล้วกินอีก - - ทำให้อาหารอย่างอื่นที่ใช้เสน่ห์ปลายจวักก็กลายเป็นหมันไปด้วยประการฉะนี้

หรือว่าเพื่อนอังกฤษที่เคยๆ กินด้วยกันมา เป็นเพื่อนที่ลอนดอน ซึ่งค่อนข้างเปิดกว้างต่อวัฒนธรรมนานาชาติ? แต่ยอร์คเชียร์ซึ่งยังคงความเป็น 'อังกฤษ' อยู่มาก ทำให้คนแถวๆ นี้ถูกเลี้ยงมาแบบไม่ค่อยได้สัมผัสกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมทางด้านอาหารการกิน?

ตัวเองไม่ค่อยประสบปัญหาการกินเท่าไหร่ เพราะว่าหลังจากมาถึงอังกฤษก็กลายเป็นคนอยู่ง่ายกินง่ายขึ้นมาทันทีเพราะความงก ช่วงแรกๆ อยู่กับแฟมิลี่ เขาทำไรให้กินก็ต้องกิน อะไรที่กินไม่ได้ก็กลายเป็นกินได้ไปหมด มาถึงตอนนี้ก็พอจะเริ่มสัมผัสได้แล้ว

อย่างงี้ครั้งต่อไปจะทำอะไรไปดีเนี่ย ถึงจะขายออก สงสัยต้องทำอะไรแบบ simpleๆ กินง่ายๆ แบบปอเปี๊ยะ ขนมปังหน้าหมู ไก่สะเต๊ะ อะไรทำนองนั้นแล้วใช่ไหมเคอะ หรือไม่ก็ซื้อของสำเร็จรูปมาจากซูเปอร์มาเก็ตโยนเข้าเตาอบ สำเร็จออกมาเลย เย่...โย่ววว

ป.ล. และแล้วแรงบันดาลใจในการอัพบล็อก ก็กลับมานิดนึงละ

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

อาหารที่...ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้กินอีก

Rating:★★★★
Category:Other


เวลาเราได้กินอะไรที่ค่อนข้างถูกใจ (แม้ว่าบางครั้งจะไม่ถูกลิ้นบ้าง) เราก็อดไม่ได้ที่จะย้อนไปนึกถึงมันอีกใช่ไหมคะ ในช่วงชีวิตที่ผ่านมานี้มีอาหารหลายต่อหลายชนิดที่เวลาที่มีกินไม่ค่อยจะนึกถึงคุณค่ามัน แต่พอไม่ได้กินแล้ว...อืม ช่างอยากกินเสียนี่กระไร และที่สำคัญก็คือไม่รู้ว่าจะได้กินอีกเมื่อไหร่ด้วยสิ

1. คั่วผำ/ เตา

ผำ...บางคนก็เรียกไข่แหน บางคนก็เรียกไข่น้ำ มันคือพืชน้ำชนิดหนึ่งที่ลอยๆ อยู่บนน้ำ เป็นเม็ดเล็กๆ เขียวๆ เวลากินต้องเอามาทำให้สุก เพราะว่าถ้าไม่สุกมันจะมีสารพิษ วิธีการปรุงก็ทุบกระเทียมหยาบๆ เจียวให้หอมๆ ใส่ผำลงไป ปรุงรสตามชอบ เวลากินก็เอาข้าวเหนียวจิ้ม อร่อย ^ ^

เตา...ภาษากลางเรียก เทาน้ำ คนเหนือส่วนมากเอามายำใส่บะเขือแจ้ (เอ๊ะ ภาษากลางเรียกอะไรอ้ะ - -') แต่ยิ้มชอบกินแบบเอาไปคั่วน้ำมัน กระเทียมเหมือนกับผำมากกว่า

สองอย่างนี้...รสชาติไม่ได้เลิศหรู ติดเหลา แต่ชอบอ้ะ คุณค่าทางอาหารสูงด้วยนะคะ พวกแคลเซียม แคโรทีน

แต่ว่า...หลังจากนี้คงไม่ได้กินแล้วค่ะ เพราะพืชน้ำพวกนี้ ซึมซับเอามลภาวะทางน้ำได้ดีมากๆ แล้วแม่น้ำลำคลองสมัยนี้มันสะอาดกันเสียที่ไหนอ้ะ จะให้ซื้อพวกที่ปลูกเองเพื่อเอาไว้ขายก็แหม...คนปลูกขยันใส่ยาฆ่าแมลงกันจัง บางคนกินไปแล้วเจออาหารเป็นพิษเลย แล้วข้าพเจ้าจะกล้ากินมั้ยเนี่ย

อื่ม..อดไป


2. แกงบอนใส่หนังเท้าควาย

อดค่ะ หากินยาก...ยิ่งอยู่อังกฤษยิ่งหาไม่ได้เลย อีกประการหนึ่งคือ...ยิ้มงดกินเนื้อวัว (Bos taurus)ไปแล้ว ครั้นจะไม่งดกินเนื้อควาย (Bubalus bubalis) ด้วย น้องวัวคงบ่นว่าเลือกปฏิบัติ ก็แหม..ขนาดตัวก็พอๆ กัน sub-family: bovinae เหมือนกัน ต่างกันแค่ Genus กะ species เอ๊ง...

แต่ว่ามันอร่อยมากเลยนะคะ พอบอกว่าหนังเท้าควาย อาจจะฟังดูอี๊ แหยะๆ แต่ลองนึกถึงคากิดูดิคะ...แหม...คากิหมั่นโถว อาหารขึ้นเหลาเชียวนะ เท้าควายออกจะเอ็นแข็งแรงกว่าเท้าหมู เหนียวหนึบๆ เพราะใช้งานหนัก ใส่ในแกงบอนเละๆ ตุ๋นซะให้นิ่ม ปรุงรสให้กลมกล่อม อร่อยอย่าบอกใคร


3. จิ๊นฮุ่ม

อันนี้ก็อดไป เพราะไม่สามารถแตะต้องผลิตภัณฑ์จาก Bos taurus ได้อีกแล้ว - -' แต่ยังจำรสชาติเนื้อนุ่มๆ แทบจะละลายในปาก นิ่มกว่าสเต็คของฝาหรั่งอีก หอมกลิ่นสมุนไพร พริกแดง ตะไคร้ ใบมะกรูด รสชาติกลมกล่อมได้ที่ เอิ๊กกก จะให้อร่อยที่สุดต้องทำเองในครัวเรือนด้วยนะ ไปซื้อเขากินก็ไม่เหมือน ไม่เป็นไร เกิดมาได้กินก็ไม่เสียดายแล้ว งื้ดๆ


โอ้เย้...คงไม่ได้กินเนื้อควายนึ่งไปด้วยแล้ว



4. ยำผักกาดนา

ยำผักกาดนาใส่แคบหมู ใส่น้ำปลาร้า อร่อยง่ะ สมัยก่อนผักกาดนามันขึ่นตามคันนา (รึเปล่านะ) ชาวบ้านเก็บมาขาย ซื้อมายำ อร่อย ๆ ๆ ๆ ๆ แต่ว่าเหตุผลที่ต้องอดก็เหมือนข้อ 1 เพราะว่าไม่ค่อยจะเหลือนาแล้ว - -' เป็นสวนลำไยไปหมด ถึงจะมีก็ไม่ไว้ใจ เล่นฉีดยาฆ่าแมลงกันเหลือเกินนิ จะกล้ากินได้ยังไง ฮือ ๆ ๆ



5. ผัดปูม้าสดๆ

อันนี้เกิดเพราะเราสงสารปู...ผัดปูม้ามันต้องผัดเป็นๆ นี่นา งือ ๆ ๆ ปูมันคงเหมือนตกกระทะทองแดงทั้งเป็น ร้อนไปหมด ไม่เอานะ สงสาร เราไปหากินอะไรที่ตายมาก่อนแล้วก็ได้ เช่นปลา แต่อย่างไรก็ดี...รสชาติหวานๆ ของปูมันช่างตราตรึงใจข้านัก...แม่เจ้าประคุณรุนช่องเอ๊ย


6. น้ำตาลสด หุหุหุ

น้ำตาลสดในที่นี้หมายถึง...สดจากงวงตาลแบบชนิดที่ว่ายังอุ่นๆ อยู่เลยนะคะ ได้ชิมสมัยเด็กๆ ตอนที่พ่อค้าหาบมาขาย โอ้ว...ช่างเป็นแบบเข้มข้น หอมกลิ่นไหม้นิดๆ ได้กลิ่่นตาลติดจมูก สีออกเทาๆ (ไม่เห็นจะเป็นสีเหลืองเหมือนน้ำตาล(ทราย)ต้ม ที่ขายกันเกลื่อนสมัยนี้เลย)

ครั้งนั้น...เป็นน้ำตาลที่อร่อยที่สุดในชีวิตแล้วค่ะ จริงๆ หลังจากนั้นแวะซื้อที่เขาตั้งโต๊ะขายกันข้างทางแถวๆ อ. สบทา จ. ลำพูนก็พอสูสี เคยแวะซื้ออยู่ปี - สองปี แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งแวะซื้อเช้าไปนิดหน่อย แม่ค้าบอกว่า

"ยังบ่แล้วเตื้อเจ้า กำเดวกรอกใส่ขวดหื้อน่อ"

ในมือแม่ค้ามีถังพลาสติกสีเหลืองๆ ที่เหมือนถังสังฆทานน่ะ ตะไคร่จับ ภายในมีน้ำตาลอุ่นๆ อยู่ ควันลอยขึ้น เอ๋...ถังพวกนี้มัน heat - resistant หรือ microwavable มั้ยนะ - -' น้ำตาลร้อนขนาดนั้น พวกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเหล่านี้จะทานทนไหว ละลายออกมาผสมผสานรึเปล่า

ก็เลยเลิกกินไปเลยดังนี้แล...



นึกออกแค่นี้อยู่ ไว้มาเล่าต่อเมื่อนึกออกเพิ่มละกันนะคะ