วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เยือนถิ่นอีสาน(เพื่อน)บ้านเฮา

Rating:★★★★
Category:Other
เติบโตมาย่างๆ เบญจเพสแล้ว ยังไม่เคยไปเหยียบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเลยค่ะ เพิ่งจะได้โอกาสก็คราวนี้แหละ...ต้องขอขอบคุณท่านน้าที่อุทิศที่พัก และ Internet ให้ใช้ได้ประหนึ่งอยู่บ้านตัวเอง (แบบว่าพกสายแลนติดตัวค่ะ ไปถึงก็เสียบเข้า router ได้ ^ ^')

ไม่ได้ไปเที่ยวค่ะ ครั้งนี้แม่ไปทำงาน เราก๊อติดตามไป...โดยตั้งฐานทัพที่ขอนแก่น ตอนแรกท่านน้าตั้งใจจะพาไปอุบลฯ หนองคาย แต่มีงานด่วนเข้ามา ก็เลยไม่ได้ไปกัน แต่ก็มีโอกาสได้ไปที่ใกล้ๆ ได้เห็นวิถีชีวิตชาวบ้านพอสมควรอยู่

สีประจำทริปนี้:
เขียว...อีสานเขียวจริงๆ ด้วยค่ะ สงสัยจะเป็นเพราะไปช่วงหน้าฝนพอดี นาก็เขียว ไร่อ้อยก็เขียว งามตาดีแท้ (เพื่อสนองความต้องการของโรงงานน้ำตาลหลายๆ แห่งใน จ. ขอนแก่น) ห้วยหนองคลองบึงก็เยอะ (ถ้าไปหน้าแล้ง อาจจะเป็นสีน้ำตาลหมดก็ได้แฮะ)

อาหารหลัก:
ไก่ย่าง ส้มตำ ปลาเผา ก๋วยเตี๋ยว

ไก่ย่างเขาสวนกวางที่อุดร อร่อยมากกกกกค่ะ เนื้อมันนุ่ม เหนียว แน่น แห้งๆ กรอบนอก นุ่มใน อร่อย ^ ^' ส้มตำลาวใส่ปลาร้าก็อร่อยนะ แต่มันเค็มไปนิดอ้ะ ก็เลยกินตำไทยเป็นหลัก ส่วนปลาเผานี่ก็ โอ้โห...ทำไมปลาแถวๆ นั้นตัวใหญ่กว่าปลาที่เชียงใหม่คะ ปลานิลยาวศอกนึง เอามาทำปลาลุยสวนกินกับผักสด อร่อยอย่าบอกใคร

ส่วนก๋วยเตี๋ยว...อาหารที่ดูเหมือนจะธรรรมดาแต่ก็ไม่ธรรมดา เพราะก๋วยเตี๋ยวแถบนั้นออกแนวเฝอหมดทั้งนั้นเลยค่ะ อาจจะเพราะอยู่ใกล้เวียดนามมั้ง แต่ละร้านก็จะมีการแถมผักสดตะกร้าใหญ่ บวกกับใบโหระพามาให้ด้วย ชอบมากกกก



ศาสนสถาน: วัดพระธาตุขามแก่น นี่เป็นสิ่งศักสิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองขอนแกนค่ะ ไปถึงก็ต้องไปสักการะบูชา เพื่อขวัญและกำลังใจ ไหนๆ ก็ผ่านแล้วก็แวะไหว้เสียหน่อย




ทริปแรกที่ไปก็...บ้านเชียงน่ะค่ะ

เมื่อก่อนแม่จ๋าก็เคยไปแล้ว และก็บอกว่าเชื่อมโยงบ้านเชียงกับหม้อ ไห เครื่องถ้วยชาม อะไรทำนองนั้น ก็แหม...เล่นมีร้านขายของที่ระลึกตั้งขายหม้อเขียนสีแดงๆ เต็มข้างทาง

ก็ถูกอยู่...

แต่น่าเสียดายที่แง่มุมที่ว่าบ้านเชียงเป็นแหล่งวัฒนธรรมเก่าแก่ตั้งแต่ 5000 กว่าปีมาแล้ว ไม่ค่อยได้รับการเผยแผ่เท่าไหร่ ส่วนมากพอพูดถึงบ้านเชียงปุ๊บ จะนึกถึงหม้อใบลายๆ มากกว่า



บ้านเชียงเป็นหนึ่งในมรดกโลก ที่ได้รับการรับรองสถานะจาก UNESCO มีแท่งศิลามาตั้งเด่นเป็นสง่า บ้านเชียงมีความสำคัญค่ะ เพราะเป็นอะไรที่ 'Unique' มีแหล่งชุมชน มีการผลิตเครื่องปั่นดินเผาไว้ใช้ มีการถลุงโลหะ ตัวไซต์เป็นสุสานเก่าค่ะ ถ้าจำไม่ผิด เหมือนจะหาร่องรอยของสถานที่อยู่ยังไม่เจอ แต่แค่นี้ก็...เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของนักโบราณคดีมากมายแล้ว เพราะสิ่งสำคัญก็คือ

1. กระดูก: สามารถบ่งบอกลักษณะของมนุษย์ในสมัยนั้นได้คร่าวๆ บ่งบอกพิธีกรรมความเชื่อก็ได้ ดูจากท่าทางการวางในหลุมฝังศพ บ่งบอกว่าคนสมัยนั้นกินอะไรก็ได้ ดูจากฟันและการสึกกร่อนของกระดูก เอาไปวิเคราะห์หาข้อมูลเชิงลึกถึงความเจ็บป่วย หรืองานประจำของคนนั้นๆ ก็ได้ เช่นคนนี้ข้อมือแข็งแรง...ช่างปั้นหม้อชัวร์

2. หม้อไห: จริงๆ แล้วมันก็ค่อนข้างศึกษาได้จำกัด เพาะว่าสวนมากเจอในหลุมศพ ไม่ได้เจอตามบ้านเรือนจริงๆ แบบที่เรียกว่า in situ แต่ที่นี่มันเคลื่อนย้ายมาอยู่ในหลุมแล้ว แต่ก็บ่งบอกเทคโนโลยีการทำหม้อ ถลุงเหล็กได้บ้าง บ่งบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับอาหารได้บ้าง (กรณีที่มีเศษอาหารในหม้อ)

แต่ว่า...บ้านเชียงไม่ใช่ที่แรกและที่เดียวนะคะ จริงๆ แล้วไซต์อื่นๆ อย่างบ้านดอนตาเพชร โคกพนมดี ที่อยู่ทางภาคกลาง บ้านหลุมเก่า บ้านปราสาท ที่ในภาคอีสานนี่แหละ ก็มีสุสานโบราณแบบนี้เหมือนกัน เก่าแก่ และดูมีเอกลักาณ์เหมือนๆ กัน เพียงแต่ยังไม่ได้รบการสนับสนุนเท่านี้เท่านั้นเอง

ประเทศไทยเราขาดการประชาสัมพันธ์อย่างร้ายแรงค่ะ




จากบ้านเชียงเราก็ไปภูเวียง (อีกวันหนึ่งแล้ว) ชื่อเสียงภูเวียง อำเภอเล็กๆ ที่มีภูล้อมรอบ มีทางเข้าทางเดียวมันโด่งดังขึ้นมาก็เพราะเจ้าไดโน่ ที่นอนสนิทอยู่ใต้ผืนดิน รอให้คนมาค้นพบที่แหละค่ะ



พิพิธภัณฑ์เขาก็ทำได้ดีพอใช้ เข้าฟรีด้วย (ของฟรีเนี่ย...ชอบ) มีการทำไดโน่จำลองให้เด็กๆ ตื่นตาตื่นใจ (สงสัยเราจะโตเกินไปแล้วแฮะ) ดังนั้น...ก่อนออกจากพิพิธภัณฑ์ก็เลยบริจาคเงินสมทบทุน กองทุนงานวันเด็กให้เขาหน่อย ไหนๆ ก็ไม่คิดเงินค่าเข้าเราแล้ว



หลังจากชมพิพิธภัณฑ์แล้ว ยิ้มก็อยากเดินดูหลุมขุดค้น ตามประสาคนชอบของเก่าๆ ถึงจะไม่ได้เรียนมาทาง Paleonthology หรือ โบราณชีววิทยา ก็ตาม แต่ดูระยะทางสิคะ แต่ละหลุมห่างกันพอดู ถ้าจะเดินให้ครบ 9 หลุมก็ 5-6 กิโลเมตรเห็นจะได้

ผู้(เกือบ)สูงอายุ (พระมารดา) ก็เลยรออยู่ด้านล่าง ให้ยิ้มกะน้องเดินไปดู เราก็แว้บบไปดูหลุม 3 กันนิดนึง เดินลุยๆ ไปในป่า ก่อนที่จะพบว่า อ้าววว มันมีทางรถให้ขึ้นไปจอดที่หลุม 2 ได้ ที่นั่นจะใกล้กับหลุมอื่นๆ มากกว่า แทนที่จะเดิน 4-5 โล ก็เดินแค่ 1 โลกว่าๆ เอง ก็เลยกลับลงมา เพื่อที่จะขึ้นรถไปกัน



แต่ถึงเราจะไปจอดจ่อปากหลุมเลยก็ตาม ก็ยังต้องขึ้นบันไดสูงๆ ไปอีก - -' นัยว่าหลุมมันอยู่บนเนินเขา ท่านแม่เริ่มหอบแฮ่กๆ



แถมพอขึ้นไปถึงก็บ่นพึมว่า 'มาดูแค่เนี๊ยะ' โห...นี่มันกระดูกสันหลังของ Phuwiangosaurus Sirindhornne' เชียวนะ ไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่อ้ะ น่าภาคภูมิใจแค่ไหน ถ้าอยากเห็นมากกว่านี้...ก็เดินไปหลุมอื่นอีกสิคะ หลุมนี้มันเจอแค่กระดูกสันหลังอ้ะ



ก็เลยหลงกลเดินกันต่อไป ท่ามกลางอาการดี๊ด๊าของนักโบราณคดี ที่ทำตัวเสมือนเป็นนักโบราณชีววิทยาไปชั่วขณะ บอกท่านแม่ว่าสุสานหอย 130 ล้านปีอยู่ห่างไป 50 เมตร ท่านแม่หลงเชื่อ เดินนำไปดุ่ยๆ ปรากฏว่าทางลาดชันเล็กน้อย 50 เมตรแม้วอ่ะดิ...เดินไปไม่ถึงซักที ^ ^' แหะๆ



ในที่สุดก็มาถึง เนี่ยค่ะ ก้อนหินพวกนี้ก็มีเปลือกหอยติดหมดเลยนะ บรรยากาศก็ดี๊...ดี เห็นแล้วอยากเดินไปหลุมอื่นๆ อีก ศึกษาดูธรรมชาติไปด้วย ประวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยาไปด้วย ชอบใจดีนักแล

แต่ทว่า T-T ไม่มีโอกาสไปต่อแล้ว...

ก็เลยตั้งปณิธานเอาไว้ว่า มาอีกรอบ อิฉันต้องไปให้ครบ 9 หลุมให้ได้
ขนาดไปน้ำตกยังปีนขึ้นไปถึงชั้นบนสุดได้
ตีกอล์ฟก็ัยังตีครบทุกหลุมได้ (หมายถึงคนอื่นนะ ^ ^' ข้าพเจ้าตีไม่เป็นนน)

ไปเที่ยวหลุมขุดค้นน้องไดโน่ทั้งที ก็น่าจะเดินได้ครบหลุมสิ

ไปครั้งหน้าจะทำแซนด์วิช พกน้ำดื่มมา เตรียมไปปิกนิกบนภูทีเดียวเชียวค่ะ

ป.ล. อิจฉาคนค้นพบกระดูกจังค่ะ ได้ใช้ชื่อตัวเองเป็นชื่อไดโนเสาร์ด้วย เท่ดี...
อยากมี Yimmosaurus มั่งอ้ะ ท่าทางจะดุหน่อย แล้วก็ชอบกินเด็กหนุ่มกระดูกอ่อนขบเผาะเป็นอาหาร

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ไม่รู้จักฉัน...ไม่รู้จักเธอ

^ ^'  เพิ่งมาอินกับเพลงนี้อะไรเอาตอนนี้ไม่รู้ค่ะ แบบว่าหนูบ้านไกล
ไม่ได้ดูหนังด้วย งือ... แหะๆ
ว่าแต่ว่ากลอนหนูบทนี้มันติดเรตไปรึเปล่าค่ะ งื้ด
หมายเหตุ * * ถ้าท่านอายุเกิน 18 ลากลงไปอ่าน section ล่าง ฉบับเพิ่มความร้อนแรงได้เลยค่ะ
......................................................................................................
อ้อมกอดอันแข็งแกร่งแฝงไออุ่น
สัมผัสแสนละมุนกรุ่นความหวาน
รอยจุมพิตแนบสนิทชิดวิญญาณ
ความสุขไม่จำกัดกาลปานนิรันดร์
แสงจันทร์ส่องสว่างกระจ่างหล้า
รอยยิ้มเธอกระจ่างตากว่าภาพฝัน
รอยสัมผัสอบอุ่นกว่าแสงตะวัน
รอยรักเธอกับฉันมั่นคงนาน
เธอกอดฉันไว้ในอ้อมแขน
มาตรแม้นคืนวันหยุดผันผ่าน
ร่วมล่องเพลิงอารมณ์โหมระราน
จนถึงห้วงสายธารหวานฉ่ำทรวง
.
.
แสงอาทิตย์สาดส่องช่องหน้าต่าง
แต่แนบข้างยังแรมร้าง...แม้วันล่วง
ตื่นขึ้นมาตระหนักว่าเป็นภาพลวง
น้ำตาร่วงลุกขึ้นนั่งยังร้าวใจ
เมื่อทุกสิ่งที่ได้เห็น...เป็นเพียงฝัน
หยุดความสุขเพียงแค่นั้นเมื่อวันใหม่
ไม่อาจก้าวสู่โลกกว้างเดินทางไกล
เพื่อเคียงคู่กันไปจนสุดทาง
พบกันเพียงในโลกฝันอันแสนหวาน
เวลาผ่าน..เจ็บหนักด้วยรักร้าง
หรือภูติพรายแห่งคืนเหงาเงาอำพราง
มาสรรค์สร้างภาพเธอบำเรอกัน
แท้จริงยังคงเหงา...เศร้าอย่างเดิม
ที่มีเพิ่มคือความคิดติดห้วงฝัน
ต้องมานั่งอกสะท้อนวอนขอจันทร์
ขอพบเธอคนนั้น...ในโลกจริง


""""""""""""""""""""""""""""""" ฉบับ edited เพิ่มดีกรีความร้อน """""""""""""""""""""""""""""""""""""
อ้อมกอดอันแข็งแกร่งแฝงไออุ่น
สัมผัสแสนละมุนกรุ่นความหวาน
รอยจุมพิตแนบสนิทชิดวิญญาณ
ความสุขไม่จำกัดกาลปานนิรันดร์

แสงจันทร์ส่องสว่างกระจ่างหล้า
รอยยิ้มเธอกระจ่างตากว่าภาพฝัน
รอยสัมผัสอบอุ่นกว่าแสงตะวัน
รอยรักเธอกับฉันมั่นคงนาน

นวลเนื้อแนบเนื้อระเรื่อรัก
นิ้วแนบนิ้วทอสมัครถักสมาน
ละลิ่วลอยในห้วงฝันอันตระการ
ยังวิมานสราญรมย์สมอุรา

จนกรีดร้องให้กึกก้องคลองอารมณ์
ละลิ่วแล่นดุจล้อลมสมปรารถนา
หนึ่งสัมผัสอันเจนจัดรัดกายา
พสุธาให้ร้อนเร่าด้วยเราสอง

รัตติกาลอันเร้นรักจักผ่านพ้น
สายน้ำวนจนนาวาพาลอยล่อง
บนฟากฟ้าดารกาทอแสงส่อง
อ้อมแขนเธอยังตระกองครองวิญญาณ

เธอกอดฉันไว้ในอ้อมแขน
มาตรแม้นคืนวันหยุดผันผ่าน
ร่วมล่องเพลิงอารมณ์โหมระราน
จนถึงห้วงสายธารหวานฉ่ำทรวง

.

.

แสงอาทิตย์สาดส่องช่องหน้าต่าง
แต่แนบข้างยังแรมร้าง...แม้วันล่วง
ตื่นขึ้นมาตระหนักว่าเป็นภาพลวง
น้ำตาร่วงลุกขึ้นนั่งยังร้าวใจ

เมื่อทุกสิ่งที่ได้เห็น...เป็นเพียงฝัน
หยุดความสุขเพียงแค่นั้นเมื่อวันใหม่
ไม่อาจก้าวสู่โลกกว้างเดินทางไกล
เพื่อเคียงคู่กันไปจนสุดทาง

พบกันเพียงในโลกฝันอันแสนหวาน
เวลาผ่าน..เจ็บหนักด้วยรักร้าง
หรือภูติพรายแห่งคืนเหงาเงาอำพราง
มาสรรค์สร้างภาพเธอบำเรอกัน

แท้จริงยังคงเหงา...เศร้าอย่างเดิม
ที่มีเพิ่มคือความคิดติดห้วงฝัน
ต้องมานั่งอกสะท้อนวอนขอจันทร์
ขอพบเธอคนนั้น...ในโลกจริง

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เรื่องเก่าๆ เล่าเรื่อยๆ: ละครจักรๆ วงศ์ๆ

Rating:★★★★
Category:Other
วันนี้ท่องโลกไซเบอร์ไปเรื่อยๆ ค่ะ ผีขี้เกียจยังเข้าสิงจนไม่สามารถปลีกกายออกมาแปล excavation report ดังที่ควรจะทำได้ โถ่...เศร้าใจเล็กน้อย แต่เรามีจุดยืนค่ะ ^ ^' กลับบ้านทีไร ยิ้มจะตัดขาดจากโลกภายนอกและภารกิจทุกอย่างไปเลยประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อให้ตัวเองปรับเวลาได้เต็มที่ ไม่รู้เป็นไง บินทีไร jetlag ทุกทีเลย แล้วก็มักจะเป็นหนักเสียด้วย เรียกได้ว่ากลับเมืองไทยมานี่ ตื่นบ่ายทุกวัน ส่วนขากลับไปอังกฤษทีไรก็ตื่นมันเสียตี 4 ตี 5 เสียทุกที

จากการท่องโลกไซเบอร์ ทำให้ไปเจอกระทู้ใน pantip.com ที่พูดถึงละครจักรๆ วงศ์ๆ ทางช่อง 7 สี ที่อยู่ยงคงคู่ประชนมานานแสนนาน เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ บางท่านอาจจะไม่ดู หรือไม่รู้จักนะคะ เพราะท่านๆ มีแนวโน้มว่าจะดูช่องเก้าการ์ตูนมากว่า แต่ยิ้มน่ะ...แฟนตัวยงเลยค่ะ สมัยเด็กๆ น่ะ ส่งไปเล่นแฟนพันธุ์แท้ได้เลย ตอนนี้แก่แล้ว...ความทรงจำค่อนข้างจะเลอะเลือนไปมาก ก็พอจำได้ลางๆ เลือนๆ น่ะค่ะ

ช่วงแรกๆ พ่อจ๋า แม่จ๋าก็แสดงความเป็นห่วงเหมือนกันค่ะ เพราะว่ายิ้มออกอาการติดหนึบ ต้องดูทุกเสาร์-อาทิตย์ ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการ์ตูน จนเช้าวันเสาร์อาทิตย์ไม่ต้องไปไหนกันแล้ว ถ้าไม่ไปบ้านยายเย็นวันศุกร์ ค้างสองคืน แล้วกลับเชียงใหม่มาบ่่ายวันอาทิตย์...ก็ต้องรอให้รายการภาคเช้าวันเสาร์จบแล้วค่อยออกเดินทาง

แหะๆ แต่ไม่อยากบอกเลย...ว่าราชาศัพท์ข้าพเจ้าค่อนข้างแม่นเพราะดูละครพวกนี้นะเนี่ย...

ชีวิตวันเสาร์ - อาทิตย์ ของยิ้มเริ่มต้นจากตื่นมาก่อน 7 โมงเช้า เพื่อดูการ์ตูนทางช่อง 7 เรื่อง
ที่ฮ็อต ฮิต จำได้ติดใจคือเรื่องเจ้าหนูสามตา ที่ตัวเอกเป็นเด็กเล็กๆ อ่อนแอ แต่ถ้ามีใครเปิดผ้าพันแผลที่ปิดตาที่ 3 ของเขาเอาไว้ พลังจะทวีขึ้นมากมาย (คล้ายๆ กับฮิเอในเรื่อง Yu Yu Hakusho - คนเก่งฟ้าประทาน เลยค่ะ) หลังจากนั้นก็จะกินปาท่องโก๋ จิบน้ำเต้าหู้ร้อนๆ ระหว่างดูรายการเจ้าขุนทอง ตามมาติดๆ ด้วยรายการดิสนีย์คลับ และก็ถึงเวลาละครที่รอคอยแล้ว แหะๆ ๆ เขินจริงๆ ^ ^'

เท่าที่จำความได้...นางเอกและพระเอกละครรุ่นแรกๆ ที่ดูคือ สินี หงส์มานพ กับ ชาตรี พิณโณ ค่ะ ยุคแรกๆ ก็มี สิงหไกรภพ แก้วหน้าม้า อุทัยเทวี นางสิบสอง มโนราห์ โกมินทร์ ดิน น้ำ ลม ไฟ อะไรทำนองนั้น

ต่อมาพระเอกนางเอกก็เด็กลง เข้าสู่ยุคโสนน้อยเรือนงาม ไกรทอง จันทโครพ บัวแก้ว บัวทอง มาลัยทอง ยอพระกลิ่น

แล้วก็มายุคหลังๆ ออกแนวประยุกต์มากขึ้นอย่าง มโหสถชาดก ปลาบู่ทอง แล้วก็มาถึง มิติมหัศจรรย์ แล้วก็เรื่องนี้ล่ะค่ะ ที่ทำให้หักใจ...ตัดสินใจหักดิบ เลิกดูละครจักรๆ วงศ์ๆ ไป จริงๆ แล้วก็ชอบนิยายเรื่องมิติมหัศจรรย์นะคะ เป็นนิยายสมัยใหม่ที่เขียนอิงเรื่องราวปะรำปะราได้ดี แต่พอทำออกมาเป็นละครแล้วดูแปลกๆ เลยถือโอกาสชิ่ง ไม่ได้เบื่อ ไม่ได้เลิกชอบหรอกค่ะ เพียงแต่อยากหลุดออกมาสู่โลกแห่งความจริงบ้าง แหะๆ

จนถึงทุกวันนี้...ถ้าตื่นทัน...ก็ยังอาจจะดูอยู่นะคะ แต่ว่า...เอิ๊ก ส่วนมากจะตื่นหลัง 9 โมงน่ะค่ะ 10 โมงนี่ก็ถือว่าเข้ามากแล้วสำหรับวันเสาร์ (ทำเป็นพูดดีไป วันธรรมดาก็ไม่ได้ตื่นเช้ากว่านี้เท่าไหร่หรอก) หลายๆ ท่านอาจจะคิดว่า

"ดูอะไรเนี่ย เชยจัง"

"เหยยย ไม่สมจริงเลยอ้ะ มีแต่สู้กันๆ ฟันดาบๆ แล้วก็ปล่อยแสง" (เอ่อ...ไม่ใช่หนังมนุษย์ 5 สีนะคะ)

"น่าเบื่อออก ดูอะไรแปลกๆ ไม่อินเตอร์เลย"

ข้าพเจ้าขอปกป้องการดูละครจักรๆ วงศ์ๆ สุดตัวเลยค่ะ เพราะถ้าเราไม่ดูละครพวกนั้นในสมัยเด็ก ก็คงจะไม่รู้จักวรรณกรรมพื้นบ้านหลายๆ เรื่องๆ อย่าง สโนน้อยเรือนงาม ไกรทอง ปลาบู่ทอง อะไรพวกนี้น่ะ และการดูละครพวนี้ก็ได้ซึมซับเอาความละเอียดอ่อนของวัฒนธรรมเก่าๆ ไปได้พอสมควร (แต่ต้องคัดสรรค์ กลั่นกรองก่อนนะคะ บางเรื่องทำออกมามั่วๆ ออกแนวในจินตนาการก็มี) และที่สำคัญ...ดูไปเรื่อยๆ ราชาศัพท์แน่นปึ้กค่ะ สอบตอนป. 6 ได้สบายมาก แหะๆ แล้วการดูละครพวกนี้ก็ทำให้ข้าพเจ้าฟังพวกกาพย์เห่ เสภา หรือเพลงไทยบรรเลงได้โดยไม่เบื่อด้วยนะ ตอนเรื่องไกรทองน่ะ...จำเสภาเริ่มเรื่องได้เลย

"จากตำนานเล่าเรื่องเมืองพิจิตร
มาประดิษฐ์เรียงร้อยถ้อยอักษร
เป็นเค้าความต่อเนื่องเรื่องละคร <---------- data-blogger-escaped-br="br">องค์ภูธรเลิศหล้านภาลัย
มาผสานเคล้าผสมกลมกลืนแต่ง
ทั้งดัดแปลงเข้านิยมสมสมัย
ให้ลูกหลานได้ดูรู้เข้าใจ
เพื่อสืบสานตำนานไทย ไว้ชั่วกาล..."

ไม่รู้ว่าช่องเจ็ดสีจะทำละครแนวนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน และไม่รู้ว่าจะทำออกมาเป็นแนวไหนนะคะ แต่อยากให้มีต่อไปเรื่อยๆ จัง อย่างน้อยมันก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เยาวชนรุ่นหลังจะได้เห็นวิถีชีวิตที่คล้ายๆ กับสิ่งที่เราเคยเป็นมาในอดีต และได้เรียนรู้วรรณกรรมพื้นบ้านแบบง่ายๆ ยอมรับเลยว่าที่เราไปอ่านอิเหนา และขุนช้างขุนแผนนอกเวลาเนี่ย ก็เพราะมีพื้นฐานความชอบจากการดูพวกนี้ด้วยส่วนหนึ่งแหละ

ความชอบเด็กสมัยนี้อาจจะเปลี่ยนไป ตื่นเช้ามาน้องหนูอาจจะดูการ์ตูนก่อน แล้วก็ไปเล่นเกมส์ เด็กๆ อาจจะเล่นเกมส์ต่อสู้ก่อน แล้วค่อยเพิ่มความยากขึ้นเป็นเกมส์ภาษา เกมส์ strategic อะไรทำนองนั้น...นอกจากพัฒนาการด้านการวางแผนและความต่อเนื่องทางความคิดแล้ว เด็กๆ อาจจะซึมซับวัฒนธรรม เอ้อ..การต่อสู้ ความรุนแรงเป็นของแถม หากไม่ระมัดระวังให้ดี

'ต้น' เจริญไปไกลแล้ว อย่าลืมหันกลับมามอง 'ราก' สักหน่อยนะคะ...

ตอนนี้สัญญากับตัวเองไว้ค่ะ ว่าถ้าเล่านิทานเรื่อง สโนไวท์ให้ลูกฟัง และเล่าเรื่องโสนน้อยเรือนงามไปด้วย หรือ...ถ้าเล่าเรื่องเงือกน้อย ก็จะเล่าเรื่องนางอุทัยเทวีให้ฟังควบคู่

คิดไปคิดมา...อ้าว ข้ามช็อตนี่ตู ^ ^' หาคนมาแต่งงานด้วยก่อนดิ แหะๆ ค่อยคิดเรื่องเลี้ยงดู