วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2550

อยากรู้..แต่ไม่อยากถาม

พี่ๆ ที่ York กำลังอินกับเพลง 'อยากรู้ แต่ไม่อยากถาม' มากค่ะ
ขออินด้วยคน เดี๋ยวไม่อินเทรนด์
.............................................................................

พลันรู้สึกนึกอะไรไม่ค่อยออก
มีเรื่องอยากจะบอกแต่รวบรวมคำพูดไม่ได้
แม้อยากเผยความรู้สึกลึกลึกข้างใน
แต่กลัวว่าหากพูดไปอะไรจะไม่เหมือนเดิม

ใครหนอ...ลิขิตให้เรามาเจอกัน
ใครหนอ...ผลักดันให้เรื่องของเรามีจุดเริ่ม
เหมือนวาดรูปแล้วแกล้งมาแต่งเติม
และสิ่งที่เพิ่มอาจย้อนมาทำร้ายจิตใจ

อยากรู้...แต่ไม่อยากถามเธอ
รู้เสมอว่าหากพลาดอาจย้อนกลับไม่ได้
คำว่า 'เพื่อน' มีค่ากว่าสิ่งใด
ความรู้สึกต้องเก็บไว้ กลัวเธอจะเปลี่ยนไปเมื่อได้ยิน

เธอจะมีใจหรือเปล่า...
ระหว่างเรามีจุดเริ่มแต่คงไม่มีจุดจบสิ้น
เจ็บ...จนน้ำตามันหลั่งริน
แต่ก็เริ่มชาชิน เพราะดีกว่าต้องเสียเธอไป

เธอจะมีใจหรือเปล่า..
คนขี้เหงาอยากรู้..แต่คงรับความจริงไม่ไหว
เพราะผิดเองที่ไม่รู้จักห้ามใจ
จึงขอเก็บเอาไว้...ไม่อยากพูดอะไรให้ทำร้ายเธอ

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2550

ฟ้าไร้แสง

กลอนนี้ขอสงวนลิขสิทธิ์ห้ามคัดลอกนะคะ
จะเอาไว้ประกอบนิยายเรื่อง 'ในรอยบรรพ์' (ชื่อเก่าคือ รอยรักฤๅร้าง...แต่ปางบรรพ์ ยาวมาก - -' ขี้เกียจเขียน มันยาวไป) ที่ดองมานานแสนนานน่ะค่ะ ตอนนี้เริ่มๆ เปิดฝาไหแล้ว...ย้ายหอเสร็จจะเริ่มทุบ

ตัวเอกของเรื่องเกิดมาพร้อมภาระ และพันธะแห่งอดีต
เขาและเธอ...รู้สึกอยู่ลึกๆ เสมอว่ามี 'หน้าที่' บางอย่างรออยู่ และต้องทำให้สำเร็จ เพื่อลบล้างบางสิ่งที่ตามหลอกหลอน ดังนั้น...จึงไม่มีครั้งไหนเลย ที่เขาและเธอจะมีความสุขได้อย่างแท้จริง จนกว่าวันนั้นจะมาถึง
................................................................................................................................................................

ยามสิ้นแสงตะวัน
หัวใจพลันสิ้นแสงทองส่องวิถี
บนฟากฟ้าไร้ดวงตาแห่งราตรี
ดาริกา...ริบหรี่ดูอ่อนแรง

ฟ้ายังเหงาไร้เงาโสมส่องหล้า
ฤๅเมฆาหมายคิดร้ายด้วยหน่ายแหนง
ฤๅเวทมนตร์แห่งราตรีที่สำแดง
เข้าจัดแจงแฝงจันทร์อันเรืองรอง

ลมยามดึกก่อเสียงสำเนียงประสาน
บทเพลงแห่งรัตติกาลขับขานก้อง
หรีดหริ่งเรไรให้ทำนอง
เสียงแซ่ซร้องฤๅสาปสรรค์แต่บรรพ์มา

เหตุไฉนดวงใจไหวสะท้อน
ความเจ็บย้อนตกตะกอนในใจข้า
ฤๅเป็นเพราะความผิดติดกายมา
กาลเวลาไม่อาจลบกลบโทษทัณฑ์

รู้ในจิตเรื่องผิดพลาดไม่อาจแก้
และรู้แน่...ภาพในใจไม่ใช่ฝัน
แต่วันนี้ไร้อำนาจมาฟาดฟัน
เพียงสู้ได้ด้วยใจมั่นไม่ผันแปร

เรื่องวันนั้นจบลง ณ วันนั้น
ในรอยบรรพ์...ไม่อาจหวนทวนกระแส
วันนี้มีเพียงกายที่อ่อนแอ
แต่จะไม่ยอมแพ้แก่ผู้ใด

แม้จะต้องยอมตายถวายชีวิต
ก็ไม่คิดจะหลีกหนีสู่ที่ไหน
ให้จากถิ่นสู่ดินแดนแสนห่างไกล
สักวันหนึ่งต้องกลับไปชดใช้กรรม
.................................................................................................................................................................

ไม่เข้าใจใช่ไหมล่ะคะ
นั่นแหละค่ะ คนเขียน เขียนไปก็ยังไม่เข้าใจเลย

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2550

หัวใจเจ้ากรรม

ไม่ได้อกหัก ไม่ได้รักคุด
กำลังอินกะโหมด girly talk ที่ค้างมาแต่หัวค่ำค่ะ
...............................................................................................
หัวใจเจ้ากรรม...
ไยต้องช้ำซ้ำรอยแผลเก่า
รอยจางรักร้างพรางเงา
กลับร้อนเร่าไฟรุมสุมทรวง

หัวใจเจ้าเอย..
ไยมิเคยละความหวงห่วง
ฤๅผ่านมาเป็นเพียงแค่ภาพลวง
กาลล่วง...ยังหนาวเหน็บเจ็บหทัย

หัวใจเจ้าขา...
ชีวิตข้าขอคืนมาเริ่มใหม่
แม้เนิ่นนาน..หากรอยรักปักทรวงใน
รอยเจ็บย้ำช้ำชอกใจยังไม่เลือน

หัวใจเจ้าปัญหา...
เจ็บปวดราวกายาถูกเชือดเฉือน
คนเคยใกล้มาห่างไกลไยแชเชือน
รอยยิ้มเยื้อนยังตราตรึงหนึ่งในใจ

หัวใจเจ้าจี้เจ้าการ...
นำความรักแสนหวานมาส่งให้
แล้วก็พรากพิศวาสบำราศไป
ทิ้งเอาไว้เพียงรอยเก่าเงาวันวาน

หัวใจเจ้ากรรม...
เมื่อเจ้าย้ำว่ารักเป็นเช่นวันผ่าน
ข้าจักขอเก็บใจไว้ชั่วกาล
ไม้ให้รักได้แผ้วพาน..นานนิรันดร์

ยิ้ม:)
19/09/2007

สนทนาประสาผู้หญิง

Start:     Sep 18, '07
พอเจอพื้นที่ใหม่ที่ใช้เขียนได้ก็เขียนยันเลย...อิอิ ดีค่ะ ชอบๆ
จากที่เคยบ่นคนเดียวในไดอารี่ ก็มาบ่นให้ชาวบ้านฟังด้วย (กรรมของคนอ่าน) บรรยากาศของ msn space ที่เอาไว้ใช้บ่นทุกอย่างเริ่มกลับมาแล้ว เย้ ๆ ๆ

วันนี้ไปกินข้าวกับเพื่อนๆ ในแฟลตมา แฟลต 5 บล็อค A1 นี้เป็นอะไรที่ลงตัวที่สุดเท่าที่เคยอยู่มา เราเริ่มต้นด้วยสาว 6 คน 6 เชื้อชาติอันได้แก่ ไทย จีน ญี่ปุ่น เคนยา อินเดีย และ ลูกครึ่งเปรู - สวีเดน

ที่สำคัญก็คือทั้ง 6 นางชอบทำอาหารและรักษาความสะอาดครัวอย่างยิ่งยวด (เผลอชมตัวเองเข้าไปด้วยซะงั้น แต่มันเป็นความจริงนี่นา) ดังนั้นแฟลตนี้จะมีอะไรกุ๊กกิ๊กๆ น่ารักๆ เช่นนัดกินข้าวกัน ทำอาหารนานาชาติมากินรวมกัน จัดงานวันเกิดให้ทุกคน น่าร้ากกกก (อวยได้อีกค่ะพี่น้อง อวยกันเข้าไป) แต่บรรยากาศมันอบอุ่นจริงๆ นะคะ ทุกคนถ้อยทีถ้อยอาศัยดีมาก

แล้วความน่ารักทั้งหลายก็ทลายลงเมื่อ 2 ใน 6 ต้องไปฝึกงานนอกมหาวิทยาลัย มีสมาชิกใหม่มาอยู่ จริงๆ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้เลวร้ายหรอกค่ะ แต่ความน่ารักและเป็นเอกลักษณ์แบบต้นปีมันหายไปเยอะเลย ยิ่งเทอมสามที่ต่างคนต่างยุ่งอยู่กับการทำวิทยานิพนธ์ แฟลตก็ยิ่งเงียบเหงา สมาชิกขาจรที่มาอยู่แทนสองสาวที่จากไปก็นิสัยไม่เหมือนเดิม

วันนี้...เรานัดกินข้าว รวมตัวกันอีกครั้ง แม่เจ้า หัวข้อสนทนาในวันนี้คือ

1. ความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศ
2. การแต่งงาน
3.แผนชีวิต
4. การมีลูก
5. การหย่าร้าง

ทำไมมันเครียดแบบนี้้คะ อิชั้นอยู่มา 24 ฝน 24 หนาว ยังไม่คิดถึงเรื่องแต่งงานเลยสักกระติ๊ดเดียวมองเป็นเรื่องไกลตัวมากๆ แต่เพื่อนๆ ของเจ๊แคโรลินา สาวลูกครึ่งเปรูแต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว ลูกอายุ 3 ขวบแล้ว กำลังน่ารักน่าหยิก กรี๊ดดดดด

แล้วถ้าอิชั้นเรียน PhD อีก อิชั้นก็จะจบมาตอนอายุ 27 - 28 เป็นด๊อกเตอร์ยังสาว แต่มีความเสี่ยงของการเป็นของสูงที่เอื้อมไม่ถึงมากๆ (อยู่บนคาน)

แอ้ก ๆ ๆ
แววอยู่ตัวคนเดียวมารำไรๆ แล้วค่ะ

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2550

Fountains Abbey - ซากหินสีน้ำตาลบนพรมสีเขียว




ในที่สุดก็ปลดแอกด้านการเรียนออกไปได้อีกอย่างหนึ่งนะคะ....

จัดการกับวิทยานิพนธ์เสร็จไปแล้วค่ะ วันจันทร์ที่ 3 กันยา 2550 จึงเป็นวันที่ยิ้มหนีออกจากห้องไปเปิดหูเปิดตาพร้อมกับพี่ๆ คนไทยที่ Fountains Abbey ซึ่งเป็นโบราณสถานที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในบัญชีของ UNESCO และเป็นสถานที่ที่ใครๆ ก็แนะนำให้ต้องไป ใช่ค่ะ...คนแนะนำส่วนมากคืออาจารย์และคนในวงการโบราณคดี ^ ^’

วันนี้เรื่องราวที่จะมาเล่าอาจจะมีกลิ่นไอวิชาการติดมาเล็กน้อย เพราะตอนเราไป เราพลาดคณะทัวร์ค่ะ เลยไม่ค่อยรู้ประวัติความเป็นมาของสถานที่เท่าไหร่ รู้คร่าวๆ แค่ว่าสร้างขึ้นเมื่อไหร่ มีไว้ทำไมเฉยๆ ผิดวิสัยการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ก็เลยต้องมาค้นคว้าต่อดังนี้แล คงไม่เล่ายาวมากค่ะ ตัวหนังสือ พรืดดด พรืดดดด คนไม่อ่านกันพอดี เอาเป็นว่าขอแบบสั้นๆ ได้ใจความละกันนะคะ

Fountains Abbey เนี่ย เป็นซากปรักหักพังของสำนักสงฆ์โบราณที่สร้างขึ้นในสมัย ค.ศ. 1132 ก็ประมาณ 800 กว่าปีมาแล้ว ประมาณก่อนการก่อตั้งกรุงสุโขทัยนิดหน่อย สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่อยู่ของนักบวชนิกายย่อย นิกายหนึ่งของโรมันคาธอลิก จัดได้ว่าเป็นสำนักสงฆ์ที่ใหญ่มากกก และยังเป็นซากที่ใหญ่ที่สุดของประเทศด้วย (ก็คงจริง เพราะไปมาหลายที่แล้ว ยังไม่มีที่ไหนอลังการเท่าที่นี่เลย) แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นซากปรักหักพังแบบนั้น ทั้งที่ไม่มีพม่ามาเผาเมืองเหมือนอยุธยา...คำตอบก็คือ ในสมัยของกษัตริย์ Henry VIII นั้น มีการเปลี่ยนศาสนาจากนิกายโรมันคาธอลิกมาเป็นแองกลิกัน ก็ต้องมีการทำลายล้างสัญลักษณ์ของนิกายเก่ากันหน่อย ซึ่งที่นี่ก็กวาดล้างกันเป็นจริงเป็นจัง สำนักสงฆ์หลายๆ แห่งก็ถูกรื้อ ถูกยึดทรัพย์ กลายเป็นซากร้างๆ แบบนี้แหละ (ยุคนั้นเขาเรียก Dissolution of monasteries ค่ะ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1539)


เด่น เป็นสง่า



สถาปัตยกรรมหลายๆ สมัยรวมกันตั้งแต่ โรมาเนสก์มาถึงกอธิก


โถงใหญ่รู้สึกเขาจะเรียกว่า The cloister


การซ้อนทับของโบราณคดี แสดงถึงอดีตอันยาวนาน (ดูที่ฝา) มีการสร้างๆ รื้อๆ หลายครั้ง ขนาดวัสดุที่ใช้ยังไม่เหมือนกันเลย (ดูที่ขนาดและสีของหิน)


สถาปัตยกรรมรูปแบบนี้เรียกว่า vaulted คงเป็นสมัยแรกๆ เพราะยังไม่มีพวกดอกไม้ลายสลัก ห้อยระย้อยระย้า วิลิศมาหรา


Arch เป็นรูปโค้ง บ่งบอกอิทธิพลของ Roman (Romanesque ก็มาจากคำนั้นแหละค่ะ)


สะท้อนใจเหมือนกันนะคะ บางครั้ง...สงครามในประเทศ ก่อให้เกิดผลรุนแรงยิ่งกว่าสงครามระหว่างชนชาติอีก แต่อย่างไรก็ดี...ซากสำนักสงฆ์ต่างๆ ที่ถูกทุบทิ้ง ก็กลายมาเป็นเสน่ห์คู่ประเทศอังกฤษไปแล้วแฮะ คล้ายๆ กับว่าอังกฤษ ประเทศเก่าๆ ก็ต้องคู่กับซากเก่าๆ หญ้าเขียวๆ ตัดเรียบเนียน

ใครจะรู้เนี่ย...ว่าอดีตของสถานที่พวกนี้มันน่าเศร้าแค่ไหน

แวะพักที่ Ripon

พวกเราออกจากมหาวิทยาลัยกันตอน 8 โมง บางคนก็จัดการอาหารเช้ามาแล้ว บางคนก็ยังไม่ พอรถบัสแบบฉิ่งฉับทัวร์เอาพวกเรามาปล่อยไว้ที่เมือง Ripon เพื่อต่อรถอีกคันไปยัง Fountains Abbey แต่ละคนก็เลยจัดการตัวเองตามอัธยาศัย บ้างก็ไปเข้าห้องน้ำ บ้างก็ไปหาอะไรกิน (ส่วนยิ้มก็...อย่างหลังค่ะ ^ ^ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง) เมือง Ripon นี่ เป็นเมืองที่เล็กเป็นอันดับ 4 ของอังกฤษ ขนาดกำลังเล็กๆ มีจัตุรัสอยู่กลางเมือง เขาว่าประชากรมีไม่ถึง 20,000 ไม่เห็นคนเอเชียเลยสักกะนิด ยิ่งขึ้นมาทางเหนือของอังกฤษยิ่งหาคนผมดำยากค่ะถ้าเป็นเมืองที่ไม่มีมหาวิทยาลัย เคยไปขุดอยู่ที่ชายแดนอังกฤษ – สก็อตแลนด์ เด็กๆ ถึงกับวิ่งมาดูยังกะเป็นตัวประหลาดเลยทีเดียว เหอๆๆ ไม่รู้จะดีใจดีหรือเปล่าหนอ

เมืองเล็กน่ารักอย่างนี้...แวะพัก แวะกินข้าวก็ดีหรอก เล็กๆ น่ารัก แต่มีพร้อมทุกอย่าง แต่ถ้าให้อยู่ หุหุหุ คงลำบากหน่อยล่ะนะคะ เพราะ York (ที่ดูว่าเล็กแล้ว) ยังใหญ่กว่า Ripon มากมาย


เมือง Ripon ที่พักริมทาง



Fountains Abbey และ Studeley Royal Park

ในอังกฤษก็มีระบบที่คล้ายๆ กับระบบศักดินาเหมือนกัน อย่างเมืองไทยเราก็มีเจ้าขุนมูลนายยศต่างๆ ดูแลไพร่ทาสในสังกัดใช่ไหมล่ะ ที่ประเทศอังกฤษนี่เขาก็มีระบบเจ้าของที่ ดูแลประชากรที่เช่าที่ของเขาอยู่ ระบบคล้ายๆ กัน ดังนั้น...ซาก Fountains Abbey ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Studeley Royal Park ไป เจ้าของคงจะคิดว่าเท่ไม่หยอกนะ มีซากโบราณสถานอยู่ในสวนของตัวเองด้วย

ที่ดินผืนนั้นก็มีการพัฒนาเรื่อยๆ ตามยุคสมัย เป็นมรดกตกทอดของลูกหลานต้นตระกูลมา สมัยประมาณ ศตวรรษที่ 18 เจ้าของที่ก็ได้สร้างสวนน้ำ หรือ Water Garden ขึ้นมา เป็นสวนที่มีชื่อมาก คนในคณะชอบเก็บมาเป็นกรณีศึกษา แต่บังเอิญยิ้มไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์ศิลปะ เลยไม่ได้เก็บรายละเอียดมาก รู้แค่ว่ามันเป็น Neo-gothic style เป็นยุคที่...ผู้มีอันจะกินเริ่มสร้างสิ่งก่อสร้างด้วยรูปแบบเก่าๆ ด้วยความ 'กระหายวัฒนธรรม'

ถามว่าสวยมั้ย...ยิ้มก็ว่ามันสวยแบบอังกฤษๆ นะ คือดูรกๆ หน่อยน่ะค่ะ จะเน้นให้เห็นถึงความคิดอันลึกซึ้งและปรัชญาที่แฝงมาจากการจัดสวน ให้เห็นถึงความงามแบบไม่ปรุงแต่ง (อันนี้มั่วเอง ไม่มีทฤษฎีรองรับ) สวนของทางยุโรปภาคพื้นทวีปจะสวยแบบจัดตั้ง ดอกไม้ปลูกตามแปลง มีหินโรย หญ้าไม่มีสักเส้น แต่สวน Water Garden นี้จะออกแนวสวนป่า สวยตามธรรมชาติ เน้นที่สีเขียวของพื้นหญ้า สีน้ำตาลของซากปรักหักพังและตัววิหาร สร้างความอลังการด้วยเนินเล็กๆ และการจัดตำแหน่งของสิ่งก่อสร้างให้ดูมีมิติ คือ...ถ้าเราไปอยู่ตรงนั้น...จะมีความรู้สึกเกรงๆ และเคารพในสถานที่ เหมือนกับว่าพลังงานจะส่งผ่านจากซากโบราณสถานออกมาถึงสวนแห่งนี้ (หรืออิชั้นจะคิดไปเอง)


แต่มันขลังจริงๆ นะคะ ไม่ได้พูดเล่น ดูดิ


นอกจากสวนน้ำแล้วก็ยังมีโบสถ์ประจำตระกูล มีโรงสี (mill) มีบ้านประจำตระกูล เรียกได้ว่าแค่ที่ดินของตระกูลนี้ก็กินพื้นที่เนินเขาไปแล้วหลายลูกล่ะค่ะ ความยิ่งใหญ่มีจริงค่ะพี่น้อง ถ้าเป็นที่เมืองไทย เศรษฐีคนไหนมีที่ดินที่มีโบราณสถานอยู่ จะไม่ค่อยกล้าพัฒนาที่ดินต่อ ภาษาเหนือเรียกว่า ‘ขึด’ แปลว่าผิดจารีตประเพณี (หรือบางคนก็อาจจะขุดเอาไปขายเลย อันนี้ไม่เรียกว่าขึด แต่เรียกว่า ‘ชั่ว’ )

คิดไปคิดมา...ยิ้มว่าดีออก ของเก่า กะของใหม่ อยู่ด้วยกันอย่างสันติ โบราณสถานควรมีส่วนร่วมกับปัจจุบันมากว่านี้ ตั้งอยู่สวยๆ ก็เหมือนโมเดล ดูได้ ชมได้ ใช้งานไม่ได้ มันต้องมีวิธีสิคะพี่น้อง มันต้องมีวิธีเชื่อมอดีตกับปัจจุบันมากกว่านี้ (เริ่มเข้าโหมดเพ้อพล่าม)

Marquis of Ripon ที่เป็นต้นตระกูลเจ้าของที่คนแรกๆ เขาก็พัฒนาที่ของเขาไป โดยให้ความเคารพกับโบราณสถาน มีการพัฒนาตามสมควร ที่ดินผืนนี้ ก็จะเป็นที่ดินที่รวบรวมเอาพัฒนาการจากสมัยเกือบพันปีที่แล้ว มาถึงสมัย Elizabethan ที่เลยยุคกลางมานิดๆ มาถึงสวนน้ำในสมัย Georgian ที่อังกฤษเริ่มก้าวไปสู่คำว่า ‘ผู้ดี’ สวนกวางบนทุ่งหญ้าเขียวขจี และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ อีก

โลกเรามันคู่อยู่กับการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว...เราไม่จำเป็นต้องแยก ‘ของเก่า’ ออกจาก ‘ของใหม่’ หรอก แต่ว่าต้องทำให้มันกลมกลืนกันไปได้หมด ยิ้มว่า National Trust องค์กรที่ได้รับที่ผืนนี้มาและบริหารจัดการอยู่ดูแลได้ดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ แต่เขายังไม่ได้เน้นเรื่องการพัฒนาของที่ดินผืนนี้และความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องของสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งในที่ดินกว้างๆ ผืนนี้ได้ นักท่องเที่ยวเลยมองไม่เห็นภาพรวมว่า Fountains Abbey, Fountains Hall, Fountains Mill, โบสถ์ประจำตระกูล, สวนกวาง ทุกๆ อย่างนี้มันมีความสัมพันธ์กันยังไง คือถ้าเราไปทันคณะทัวร์ที่มีไกด์ มันก็โชคดีไป ^ ^’ แต่ถ้ามาไม่ทัน เราก็จะมุ่งตรงเข้าหาซากโบสถ์ที่เด่นชัดที่สุดในสวนนี้อยู่แล้ว โดยลืมส่วนอื่นๆ ที่สำคัญไปได้ง่ายๆ

เสียดายที่มีเวลาน้อยเลยเดินได้ไม่ทั่ว ได้ไปแค่ซากโบสถ์ กับโบสถ์ประจำตระกูลของเจ้าของที่ ยิ้มคิดว่า...คนเราสามารถอยู่ร่วมกับมรดกทางวัฒนธรรมได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปรบกวนอีกสิ่งหนึ่ง

ขอขอบคุณพี่เต่าและพี่ๆ ชาวยอร์คท่านอื่นๆ เป็นอย่างยิ่งที่ชวนพวกเราไปเที่ยวด้วยกันค่ะ ได้ความคิดดีๆ แล้ว เรื่องการบริหารจัดการมรดกทางวัฒนธรรม ที่อาจจะเป็นแนวทางการปฏิบัติให้กับประเทศไทยได้ต่อไปในอนาคต ยิ่งตอนนี้ มีอีกหลายแห่งที่กำลังจะส่งรายชื่อเข้าเสนอ UNESCO ด้วย

เป็นเวลาหนึ่งวันที่คุ้มค่าจริงๆ


ป.ล. ขอขอบคุณ เวบไซต์นำเที่ยวของ Fountains abbey และ วิกิพีเดีย ค่ะ