วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2550

เรื่องเก่าๆ เล่าเรื่อยๆ: บ้านเรือนไทยกับเสาตะเคียนตกน้ำมัน

Rating:★★★★
Category:Other
วันนี้ออกจะอารมณ์ดีเล็กน้อย ไปหาเพื่อนที่ Durham กลับมา พบว่าเพื่อนที่เข้าไปอยู่ในบ้าน AF ผ่านลึกเข้าไปอีกละ อื่ม...ก็ดีเหมือนกันนะ แต่ว่า ยังไม่ได้แตงฟิกต่อเลยง่ะ -_-' อยากเขียนบล็อกนี้มากกว่า เพราะว่า...วันนี้ไปเจอเพื่อนเก่าๆ กล่องความทรงจำมันก็แง้มๆ ขึ้นมาอีกครั้ง และหน้ากระดาษแห่งอดีตที่สายตาของยิ้มไปจับต้อง...มันก็คือช่วงเวลาที่อยู่ที่บ้านทรงไทยแถวๆ ถนนวัวลาย ในตัวเมืองเชียงใหม่ ที่นั่นมีเรื่องดีๆ (ที่ไม่ดีก็มี แต่ไม่จำ) เกิดขึ้นมากมายจริงๆ

ยิ้มไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่ 3 เดือน แต่ว่าความทรงจำเริ่มเกิดขึ้นตอนก่อนจะครบขวบ แต่กว่าจะปะติดปะต่อความทรงจำได้ต่อเนื่องตลอดก็สามขวบมั้ง ก่อนหน้านั้นจำได้บ้างไม่ได้บ้าง เป็นห้วงๆ

บ้านหลังนั้นมีลักษณะเป็นเรือนไทยมีใต้ถุนสูง ห้องน้ำอยู่ด้านล่าง จะอาบทีต้องเดินลงบันไดมาอาบ จะเข้าห้องน้ำทีต้องเดินลงบันไดมาใช้ห้องน้ำ (น่ากลัวมากค่ะ เวลามืดๆ ) ลองจินตนาการดูนะคะ บ้านไม้หลังใหญ่ๆ มีบันไดขึ้นทางหน้าบ้าน มีชานกว้างๆ อยู่ที่ปลายบันได อ้อมไปทางทิศตะวันออกด้วย เข้าไปก็มีห้องนั่งเล่น ห้องนอนสองห้อง ห้องอาหาร ห้องครัว ชานหลังบ้านไว้ล้างจานและตากผ้า ห้องน้ำอยู่ด้านล่าง และมีใต้ถุนกว้างๆ ไว้ทำอะไรก็ได้

สิ่งที่สะดุดตาคนผ่านไปผ่านมาที่สุดคือเสาตะเคียนตกน้ำมันที่อยู่ตรงหัวบันได แต่ว่า...ในขณะนั้น บ้านหลังนั้นอยู่ใกล้ที่ทำงานพ่อจ๋าและแม่จ๋ามาก สะดวกสุดๆ จริงๆ แถมราคาก็ไม่ได้สูงมาก ยังพอเช่าได้ (ตอนนั้นพ่อจ๋า แม่จ๋า เพิ่งย้ายจากลำพูนมาทำงานที่เชียงใหม่ ยังไม่มีบ้าน ต้องหาบ้านเช่าไปพลางๆ ก่อน หลังแรก...เจอคู่สามีภรรยาเพื่อนบ้านทะเลาะกันทุกวัน สุขภาพจิตเสีย เลยย้ายมาเจอบ้านหลังนี้เข้า ถูกใจในทำเลที่ตั้ง ก็เลยเช่าเลย)

พอย้ายเข้า พ่อจ๋าก็จัดแจงเอาผ้าแพรสีๆ ที่มีคนเอามาผูกไว้ที่เสาตะเคียนตกมันหัวบันไดออก แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อยๆ คืนแรกแม่จ๋าก็ฝัน ว่ามีผู้หญิงไทยเดินเข้ามาหา บอกว่าถ้าเป็นคนดี ก็อยู่ได้ จะช่วยดูแล ส่วนในห้วงความทรงจำของเด็กเล็กๆ จำได้คลับคล้ายคลับคลา ว่าเคยมีคนมาเล่นจ๊ะเอ๋ด้วยแฮะ จำหน้าไม่ได้ อื่ม...จะว่าไปแล้วไม่มีหน้าให้จำด้วยซ้ำ เป็นเงาดำๆ (จินตนาการของเด็กป่าวเนี่ย - -' แต่เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นอะไรอย่างนี้เลยนะ จนป้าจ๋ามาเล่าให้ฟังตอนโตแล้ว ว่าเสาตกน้ำมันหมายถึงอะไร และบ้านแถวนั้นเคยมีประวัติอะไรบ้าง ก็เริ่มคิด เออแฮะ กึ๋ย ๆ ๆ ๆ )

เอาเหอะ ไม่พูดถึงเรื่องนั้นละกันนะคะ เล่าถึงชีวิตที่บ้านนั้นดีกว่า

เราก็ใช้ชีวิตครอบครัวง่ายๆ สมถะๆ ตามประสาครอบครัวข้าราชการไทยเงินเดือนไม่สูงน่ะค่ะ พ่อจ๋า แม่จ๋าก็ไปทำงาน ป้าจ๋าอาสามาดูแลยิ้มให้ ไปไหนมาไหนก็นั่งสามล้อไปได้ มันก็ง่ายๆ แต่ก็มีความสุขดีนะ นานๆ ที ปู่ ย่า ยายก็แวะมาหา (ตาเค้าไม่เคยออกจากบ้านสวน ถ้าไม่จำเป็นค่ะ) บ้านไม้หลังเล็กๆ มีกระถางต้นไม้เขียวๆ วางเต็มชานบ้านไปหมด แค่นี้ก็มีความสุขพอแล้วสำหรับเด็กเล็กๆ มีอาหารกิน มีคนดูแล เล่นด้วย มีหนังสือนิทานให้หัดอ่าน มีร้านขนมให้เดินไปซื้อ แค่นี้ก็เหลือแหล่แล้ว...สำหรับเด็กคนหนึ่ง

ชีวิตเริ่มเป็นทุกข์เมื่อถึงวัยเข้าเนิร์สเซอรี่ ซึ่งจริงๆ ก็อยู่ห่างไปจากบ้าน 20 เมตรค่ะ เป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นเอง - -' เค้าทำโรงเรียนสอนเด็ก แล้วก็ปลูกบ้าน 3 หลังให้เช่า ด้วยความที่ป้าจ๋าสอนมาดี ยิ้มสามารถท่อง ก-ฮ และนับเลขได้ก่อนเด็กอื่นๆ ในชั้น เลยถือโอกาสนี้ ไม่เรียน ไม่เข้าชั้น แต่กลับเดินตามครูคนหนึ่งต้อยๆ ประหนึ่งเด็กติดพี่เลี้ยง (ช็อตนี้จำได้ค่ะ ครูไปล้างจานก็เดินตาม ไปทำอะไรก็เดินตาม) ตอนนั้นก็ไม่มีใครว่าอะไรนะ ด้วยความที่ว่าเห็นกันมาตั้งแต่แบเบาะอ้ะ อภิสิทธิ์มาก เข้าเนอร์สเซอรี่ได้ไม่นานก็ถึงวัยเข้ารร. ( สามขวบกว่า) ตอนนั้นเริ่มทุกข์ เพราะว่าตอนเด็กน่ะ พูดน้อย ไม่สู้คน ถูกรังแกอยู่ร่ำไป (ตอนนี้อย่ามารังแกนะเฟ้ย...มีมือมีเท้า มีสมองเท่ากัน) แต่ก็อดทนมาเรื่อย ตอนนั้น...พ่อจ๋าเป็นศึกษานิเทศก์ อยู่บ้าน 1 สัปดาห์ ออกนิเทศก์ต่างจังหวัดเสีย 3 สัปดาห์ อยู่บ้านสามคนในซอยมืดๆ มันก็น่ากลัวใช้ได้เลย ยิ่งบ้านเช่าเรามีบรรยากาศหลอนๆ อีก เฮ้อ...เริ่มเป็นวัยเด็กที่เหงาๆ แบบลูกคนเดียว เลยต้องหาเพื่อนเล่นบ้างล่ะมั้ง

ทางด้านซ้ายของบ้านเรามีบ้านทรงไทยอีกหลังค่ะ บ้านหลังนั้น...เค้าทะเลาะกันบ่อย ส่วนบ้านที่อยู่ตรงข้ามเลย ก็บ้านไม้อีกนั่นแหละ บ้านนั้นมีเด็กเกเรรุ่นพี่ชื่อนาย ด. (นามสมมติละกัน เผื่อเจ้าตัวจะวนเวียนมาเข้าบล็อกนี้ด้วยความบังเอิญ) นายคนนี้ชอบมารังแกน้องยิ้มน้อยดีนักแล...อืม...สิ่งหนึ่งที่ไม่อยากสารภาพ (แต่ก็สารภาพก็ได้) คือเวลาที่นาย ด. มาแกล้งอ้ะ ยิ้มสู้ด้วยกำลังไม่ได้ ยิ้มก็จะร้องไห้ค่ะ ร้องดังๆ ร้องนานๆ ร้องให้เหมือนเจ็บมากๆ แล้วคุณพี่ ด. นี่ก็จะได้รับโทษทัณฑ์ทรมาคืนสนองเองนะเคอะ ถ้าไม่จากคนทางบ้านนี้ที่ทนน้ำตาของลูกสาวของบ้านไม่ได้ ก็คนทางบ้านโน้น ที่หน้าซีด...คิดว่าลูกชายทำร้ายลูกสาวเค้าหนักหนาสาหัสจนต่อมน้ำตาแตกได้ขนาดนั้น

คือบางทีมันก็ไม่เจ็บขนาดนั้นหรอกค่ะ มีอยู่ครั้งหนึ่งนาย ด. ผลักยิ้มล้มคว่ำลงไปบนพื้น ล้มลงไปบนดงหญ้าแห้วหมูพอดีเลย ไม่เจ็บนะ แต่แค้นอ้ะ ก็ร้องไห้มันเข้าไป ร้องจนคุณ ด. แกโดนตี เออ....บางทีก็น่าสงสารเหมือนกันเนอะ

มีตัวร้ายก็ต้องมีพี่ชายที่แสนดี เขาคือ หลานชายของเจ้าของบ้านหลังนี่ ที่พักอาศัยที่บ้านหลังใหญ่ที่อยู่ติดกับเนิร์สเซอรี่นั้นเอง ขอเรียกว่า พี่ ก. ละกันค่ะ พี่ก. นี่จะชอบมาเล่นกับยิ้มตั้งแต่ยังแบเบาะ น่าจะห่างกันประมาณ 5-6 ปีมั้ง (จำไม่ได้หรอก แม่จ๋าเล่า -_-' ) รอ....จนโต ยิ้มก็ติดพี่ ก. เสียยิ่งกว่าครูที่เนิร์สเซอรี่คนนั้น พี่เค้าเลิกเรียนก็วิ่งมาแล้ว มาเล่นกับน้องสาว เวลาพ่อจ๋าพาไปเดินเล่นที่สวนพวกหาด บางทีพี่ ก. ก็ไปด้วย ไปสวนสัตว์ก็ไปด้วย อู๊ยยย ถ้อยที ถ้อยอาศัย

น่ารักง่ะ...ดีกว่านายด. เยอะเลย

จำได้ว่าครั้งหนึ่งยิ้มซน ไปเล่นที่เย็บกระดาษ มันก็เย็บมือยิ้มเข้าให้อ่ะดิ ร้องจ๊าก น้ำตาไหลออกมาก่อนเลย พี่ ก. ก็รีบเข้ามา ดึงลวดออก แล้วเอาน้ำแข็งมากดให้ บอกว่าเย็นๆ มันจะไม่เจ็บ ไม่รู้มันถูกหลักปฐมพยาบาลรึเปล่า แต่ว่ามันก็รู้สึกดีขึ้นเยอะนะ

แล้วเราก็ต้องห่างกัน เพราะว่าแม่ของพี่ ก. เขาย้ายไปเชียงราย พี่ก. ก็ย้ายไปด้วย คงห่างกันได้ครบ 20 ปีแล้วค่ะ ถ้าเป็นไปได้อยากเจอปี ก. อีกครั้ง แต่พี่ก. คงแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วล่ะ

ส่วนพี่ด. น้องยิ้มก็ขอโทษที่ขี้แงเกินเหตุ ทำให้โดนดีไปหลายๆ ป้าบ แต่ตอนนั้นมันไม่มีทางสู้จริงๆ นี่คะ อาวุธเดียวที่มีคือน้ำตา จะให้ทำไงได้

จำได้เหมือนกัน ว่าวันสุดท้ายที่ย้ายออก พี่ด. วิ่งตามรถของยิ้มมา ตาละห้อยเชียว (ไม่มีคนให้แกล้งแล้วอ่ะดิ) วิ่งตามจนพ่อจ๋าต้องหยุดรถกลางซอย พี่ด. ก็เอาหน้าแนบกระจก แล้วก็ถามว่า "จะไม่อยู่แล้วเหรอ"

เออแฮะ...นึกถึงตอนนี้แล้วก็คิดถึงพี่ ด. เหมือนกัน ไม่รู้ตอนนี้จะทำอะไรอยู่

ชีวิตตอนอยู่ที่บ้านหลังนั้นมันชีวิตแบบพอเพียงแท้ๆ เลย เราก็พอมี พอกิน แต่ไม่พอฟุ่มเฟือย ของเล่นทุกชิ้นที่พ่อจ๋า แม่จ๋าซื้อให้ ยิ้มเก็บไว้อย่างดีที่สุด เพราะว่า...ก็รู้ว่าเงินมันไม่ได้หามาได้ง่ายๆ ยิ่งซื้อบ้านใหม่ ติดหนี้นุงนัง เราจะใช้ชีวิตราวกับผลิตเงินได้เองมันก็ไม่ได้ ตอนดูหนังเรื่องตุ๊กตาจ๋าจบ (หนูอยากกลับบ้านนนนนนน ถ้าอายุ 24 up น่าจะจำได้) แม่จ๋าก็อุตส่าห์นั่งรถไปตลาด ซื้อตุ๊กตาอ้วนกลม ตากระพริบได้แบบนั้นมาให้ จำได้ว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าเลย ไม่คิดว่าจะได้ มันเป็นของฟุ่มเฟือยนะเนี่ย ยิ้มเก็บไว้จนโต จนสามารถยกให้น้องที่เป็นญาติกันเอาไปเล่นต่อได้อีก

ตอนนั้นพวกเราก็ต้องประหยัดกันมากแหละ กินข้าวตามร้านอาหารงี้ ก็ไม่ค่อยได้ไป ไปเดินห้างงี้ก็ไม่ค่อยได้เดิน แต่ก็ยังอุตส่าห์มี 'พี่ตุ๊กตา' มาให้ แถมเดินทางไปซื้อมันก็ยากลำบาก งือ...คิดแล้วก็อยากจะร้องไห้ ตื้นตัน และจะบันทึกความรู้สึกนี้ไว้ เผื่อบางที...ตอนมีลูกเอง อาจจะได้คิดบ้างจากความรู้สึกตอนนั้น

จากวันนั้น ถึงวันนี้ ชีวิตก็ต่างไปเยอะแหละ ไม่น่าเชื่อ ว่าจากข้าราชการเงินเดือนเท่านั้น พร้อมกับภาระมากมาย หนี้ค่าบ้าน ค่าสวนลำไย อะไรร้อยแปด จะสามารถทุ่มเทให้ลูกคนหนึ่งได้มากมายเหลือเกิน (ก็ไม่ได้ว่าตัวเองดีพร้อม เพอร์เฝ็คท์อะไรหรอก -_-' แค่อดที่จะภูมิใจไม่ได้ ว่าทั้งที่มีทรัพยากรจำกัด แต่เขาทุ่มเทให้แบบไม่จำกัด เขาอดทนเลี้ยงมาให้มีอะไรติดตัว หนังสือการ์ตูนวิทยาศาสตร์ต้องมีทุกชุด ความรู้รอบตัวด้านวัฒนธรรมและวิถีชาวบ้านต้องมีติดตัว ความรู้ด้านภาษาต้องปึ้ก-ก็เล่นอ่านนิทานให้ตั้งแต่ยังพูดไม่ได้ - -' ส่งไป british council ตั้งแต่เนิ่นๆ ดนตรีนี่ก็ต้องเล่นเป็น อ่านโน้ตให้ได้ ทฤษฎีดนตรีต้องแข็ง ตอนนั้นไม่ค่อยเห็นค่า กลับเห็นว่าสิ้นเปลือง มาตอนนี้รู้คุณค่าชัดเจนเลย)

เฮ่ย...นอกเรื่องมาถึงนี่ได้ไงเนี่ย

กลับไปเรื่องบ้านใหม่
บ้านสามหลังนั้น...ชาวบ้านจะไม่ค่อยกล้าเข้ามาน่ะค่ะ เขาว่ามันมืดๆ ตรงปากทางเข้าจะมีที่ร้าง มีต้นไม้แห้งโกร๋นยืนต้นตายอยู่ มักจะมีนกเหยี่ยวมาเกาะประจำ เด็กซื่อๆ นี่ โดนหลอกประจำแหละ ว่าตกกลางคืนอย่าร้องไห้ เหยี่ยวจะมาจิกไปกิน ยิ้มก็แอบคิด เฮอะ...นกมันจะตัวใหญ่เท่าไหร่กัน เราออกจะตัวใหญ่กว่านก

เชื่อหรือไม่ก็ไม่รู้นะ แต่ว่าทุกๆ ดึกดื่น ค่อนคืน เด็กหญิงศศิษยา จะแหกปากร้อง ได้ยินไป 2 บ้าน 3 บ้าน

"แง....จะไปเตี้ยวววว จะไปเตี้ยววววว"

นิสัยรักเที่ยวมันคงติดตัวมาแต่เด็กอ่ะค่ะ ตอนนี้...ถ้าจะหายหน้าไปเที่ยวถึงเที่ยงคืน ตีหนึ่งก็อย่าสงสัยนะ I'm born with it อ่ะ นิสัยนี้ - -

สมัยนั้นบ้านก็อยู่ในย่านมืดๆ ใกล้สุสานอีกตะหาก ห้างร้านก็ยังไม่ค่อยจะมี...พ่อจ๋าไม่รู้จะพาไปไหน...เหอๆ สนามบินค่ะ -_-' เพราะมันเปิดดึกๆ ไปดูเครื่องบินขึ้น แล้วเด็กบ้านี่ก็ชอบด้วย โรคจิตจริงๆ

เราย้ายบ้านออกตอนยิ้มอายุ 5 ขวบค่ะ เข้าเรียนรร. เรยีนาแล้ว ตอนนั้นก็แอบคิดถึงบ้านเก่าเหมือนกันนะ มีความหลังฝังจำอ้ะ พอย้ายออกแล้ว เอาเลยค่ะ เรื่องเล่ามาเป็นชุด

"น้า อา ที่มานอนด้วย นอนไม่ค่อยหลับเลย มักจะมีคนมาดึงขา"

"บ้านที่อยู่ทางซ้ายมือ รื้อมาจากจังหวัดอื่นนะ เจ้าของบ้านเก่า xx x x x x (ละไว้ ไม่กล้าเล่าอ้ะ ไปจินตนาการเองละกัน)"

"บ้านตรงข้ามน่ะ มีคนเคย xxxxxxxx " โอววววว น่ากลัวๆ มิน่าล่ะ เราถึงไม่ค่อยอยากเข้าไปเท่าไหร่เลย บ้านพี่ ด. นี่นา >_< งื้ดดด น่ากลัว ๆ ๆ ๆ ๆ ดีนะ ตอนเด็กๆ ไม่คิดอะไร ถ้าคิดนี่คง...หลอนนน ไปนาน

บ้านหลังปัจจุบันอยู่มา 19 ปีแล้วค่ะ เกือบ 4 เท่าของบ้านเรือนไทย ใต้ถุนสูงหลังนั้น แต่ความทรงจำของบ้านหลังนี้ กลับไม่มากเท่าบ้านหลังนั้นแฮะ สงสัยว่าโตๆ ขึ้มาก็มีแต่การเรียน เรื่องอื่นๆ มั้ง ตอนเด็กๆ ว่างๆ เลยมีเวลาเก็บแง่มุมความประทับใจ สะเทือนใจอะไรได้ดีกว่า

ตอนนี้...อยากกลับไปดูบ้านหลังนั้นอีกครั้ง หวังว่าคงจะยังไม่พังนะ ตอนเราออกมาชานเรือนก็ผุแล้วอ้ะ ฝนตกใส่ทุกวันๆ

อยากเจอ พี่ ด. กับ พี่ ก. อีกสักครั้ง อยากขอบคุณ/ ขอโทษ กับเรื่องเก่าๆ ตอนนั้นยิ้มยังเด็กไปเกินกว่าที่จะเล่าความรู้สึกได้อ้ะ

พล่ามมานาน ไปดีกว่า

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2550

เพลงยาวพยากรณ์ดวงชะตากรุงศรีอยุธยา - ตำรามหาทักษา

กวีที่เอามาลงวันนี้ไม่ได้แต่งเอง...
ไหดองที่เปิดไว้ก็ยังคงค้างไว้อยู่ตามประสายิ้มน้อยร้อยโปรเจค (แต่ทำไม่เสร็จสักอย่าง - -')
ตอนเด็กๆ มีอาการโรคจิตเล็กน้อย คือชอบท่องคำทำนายชะตากรุงศรีจากตำรามหาทักษา ท่องไปก็เศร้าใจไป น้ำตาไหลพรากๆ ไป(ไม่รู้เป็นอะไร ชอบร้องไห้ตอนอ่านหนังสือ) ท่องนี่คือท่องจำเลยนะ (แต่ว่าจำเป็นบางบทที่โดนใจ สะเทือนใจ และปลุกใจ) อาจจะได้แรงบันดาลใจมาจากการอ่านนิยายเรื่องพิษสวาทของทมยันตี ซึ่งนับว่าเป็นจุดหักเหของชีวิตที่สำคัญเลยทีเดียว
แม่จ๋าก็คงจะไม่รู้ ว่าการค้นพบหนังสือเล่มนั้นในห้องเก็บของ แล้วเอามาให้เด็กที่ยังไม่ถึง 10 ขวบอ่านเนี่ย มันจะเปลี่ยนอนาคตลูกสาวไปตลอดกาล จากที่เคยคิดว่าอยากจะเรียนหมอ พลิกกลับมาอยากเรียนโบราณคดีทันที (แม้ว่ากว่าจะตัดสินใจว่าจะเรียนแน่ๆ ก็ปาเข้าไป ม. 5 แล้ว)
ตั้งแต่เจอข่าวประเทศไทยใน BBC ก็เริ่มนึกถึงเพลงยาวทำนายชะตากรุงศรีฯ ขึ้นมาถนัด...
วันนี้ ชะตาของประเทศไทยอาจจะยังห่างจากชะตาของอยุธยาในวันนั้น
แต่ทำไมก็ไม่รู้...กลอนเข้ามาวิ่งเล่นอยู่ในหัว ไม่ยอมออกไป

จะกล่าวถึงกรุงศรีอยุธยา
เป็นกรุงรัตนราชพระศาสนา มหาดิเรกอันเลิศล้น
เป็นที่ปรากฏร์จนา สรรเสริญอยุทยาทุกแห่งหน
ทุกบุรียสีมามณฑล จบสกลลูกค้าวานิช
ทุกประเทศสิบสองภาษา ย่อมมาพึ่งกรุงศรีอยุทยาเป็นอัคะนิด
ประชาราษฎร์ปราศจากไภยพิศม์ ทั้งความพิกลจริตแลความทุกข
ฝ่ายองค์พระบรมราชา ครองขันทสิมาเป็นศุข
ด้วยพระกฤษฎีกาทำนุก จึ่งอยู่เย็นเป็นศุขสวัสดี
เป็นที่อาไศรยแก่มนุษย์ในใต้หล้า เป็นที่อาไศรยแก่เทวาทุกราศรี
ทุกนิกรนรชนมนตรี คะหะบดีชีพราหมณพฤฒา
ประดุจดั่งศาลาอาไศรย ดั่งหนึ่งร่มพระไทรอันษาขา
ประดุจหนึ่งแม่น้ำพระคงคา เป็นที่สิเนหาเมื่อกันดาน
ด้วยพระเดชเดชาอานุภาพ อาจปราบไภรีทุกทิศาน
ทุกประเทศเขตขัณท์บันดาน แต่งเครื่องบัณาการมานอบนบ
กรุงศรีอยุทยานั้นสมบูรณ์ เพิ่มพูลด้วยพระเกรียศคะจรจบ
อุดมบรมศุขทั้งแผ่นภิภพ จนคำรบศักราชได้สองพัน
คราทีนั้นฝูงสัตว์ทั้งหลาย จะเกิดความอันตรายเป็นแม่นมั่น
ด้วยพระมหากษัตริย์มิได้ทรงทศมิตราชธรรม์ จึงเกิดเข็ญเป็นมหัศจรรย์สิบหกประการ
คือเดือนดาวดินฟ้าจะอาเพด อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศาน
มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาล เกิดนิมิตพิศดานทุกบ้านเมือง
พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง
ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง ผีเมืองนั้นจะออกไปอยู่ไพร
พระเสื้อเมืองจะเอาตัวหนี พระกาลกุลีจะเข้ามาเป็นไส้
พระธรณีจะตีอกไห้ อกพระกาลจะไหม้อยู่เกรียมกรม
ในลักษณะทำนายไว้บ่อห่อนผิด เมื่อวินิศพิศดูก็เห็นสม
มิใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงม มิใช่เทศกาลลมลมก็พัด
มิใช่เทศกาลหนาวก็หนาวพ้น มิใช่เทศกาลฝนฝนก็อุบัติ
ทุกต้นไม้หย่อมหญ้าสารพัด เกิดวิบัตินานาทั่วสากล
เทวดาซึ่งรักษาพระศาสนา จะรักษาแต่คนฝ่ายอกุศล
สัปรุษย์จะแพ้แก่ทระชน มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก
ภรรยาจะฆ่าซึ่งคุณผัว คนชั่วจะมล้างผู้มีศักดิ์
ลูกสิทธ์จะสู้ครูพัก จะหาญหักผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย
ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม
ผู้มีตระกูลจะสูญเผ่า เพราะจันทานมันเข้ามาเสพสม
ผู้มีศีลนั้นจะเสียซึ่งอารมณ์ เพราะสมัคสมาคมด้วยมารยา
พระมหากระษัตรจะเสื่อมสิงหนาท ประเทศราชจะเสื่อมซึ่งยศถา
อาสัจจะเลื่องฦๅชา พระธรรมาจะตกฦกลับ
ผู้กล้าจะเสื่อมใจหาญ จะสาบสูญวิชาการทั้งปวงสรรพ
ผู้มีสินจะถอยจากทรัพย์ สัปรุษย์จะอับซึ่งน้ำใจ
ทั้งอายุศม์จะถอยเคลื่อนจากเดือนปี ประเวณีจะแปรปรวนตามวิไส
ทั้งพืชแผ่นดินจะผ่อนไป ผลหมากรากไม้จะถอยรศ
ทั้งแพศพรรว่านยาก็อาเพด เคยเป็นคุณวิเศษก็เสื่อมหมด
จวงจันทน์พรรณไม้อันหอมรศ จะถอยถดไปตามประเพณี
ทั้งข้าวก็จะยากหมากจะแพง สารพันจะแห้งแล้งเป็นถ้วนถี่
จะบังเกีดทรพิศม์มิคสัญญี ฝูงผีจะวิ่งเข้าปลอมคน
กรุงประเทศราชธานี จะเกิดการกุลีทุกแห่งหน
จะอ้างว้างอกใจทั้งไพร่พล จะสาละวนทั่วโลกทั้งหญิงชาย
จะร้อนอกสมณาประชาราช จะเกิดเข็ญเป็นอุบาทว์นั้นมากหลาย
จะรบราฆ่าฟันกันวุ่นวาย ฝูงคนจะล้มตายลงเป็นเบือ
ทางน้ำก็จะแห้งเป็นทางบก เวียงวังก็จะรกเป็นป่าเสือ
แต่สิงห์สารสัตว์เนื้อเบื้อ นั้นจะหลงหลอเหลือในแผ่นดิน
ทั้งผู้คนสาระพัดสัตว์ทั้งหลาย จะสาบสูญล้มตายเสียหมดสิ้น
ด้วยพระกาลจะมาผลานแผ่นดิน จะสูญสิ้นการณรงสงคราม
กรุงศรีอยุทยาจะสูญแล้ว จะลับรัดสมีแก้วเจ้าทั้งสาม
ไปจนคำรบปีเดือนคืนยาม จนสิ้นนามศักราชห้าพัน
กรุงศรีอยุทยาเขษมสุข แสนสนุกนิ์ยิ่งล้ำเมืองสวรรค์
จะเป็นแพศยาอาทัน นับวันจะเสื่อมสูญเอยฯ


อ่านแล้วเศร้า เคล้าน้ำตา
ชอบอ่านพวกตำนานเมืองอย่างเชียงแสนเอย...ตำนานบุรพนครที่ผู้เฒ่า ผู้แก่เล่ามาเอย
แล้วก็อีกหลายๆ เมืองเลยแฮะ...
แต่อ่านแล้ว ฟังแล้วก็ใจหาย ดังที่เขาบอกไว้ว่า
"Every empire is prone to the model of rise and fall."